“แต่พี่รักพี่ภามนี่…มาก” นันทิยาตอบกลับเสียงเบาหวิว อยากให้ตัวเองเข้มแข็งกว่านี้ จะได้ตัดใจจากภามได้เสียที ไม่ต้องเจ็บช้ำใจเหมือนดังเช่นทุกวันนี้ แต่เธอก็ยังไม่อาจทำได้
“ผมรู้ครับ พี่รักพี่ภาม แต่พี่จะยอมเจ็บอยู่แบบนี้หรือครับ เป็นพี่ที่เจ็บและร้องไห้อยู่เพียงคนเดียว พี่ภามไม่เคยหันมาสนใจความรู้สึกของพี่สักนิด” สองมือใหญ่จับมือเล็กเรียวบีบเบา ๆ
“ผมรักพี่นะครับ ผมเจ็บปวดทุกครั้งที่เห็นพี่ร้องไห้และเป็นทุกข์แบบนี้โดยที่ผมช่วยอะไรไม่ได้เลย” ชานนท์พูดเสียงแผ่วเบาด้วยความอัดอั้นตันใจ เขาเป็นเพียงแค่คนนอกที่จะไปบอกกับภามว่า...ถึงไม่รักกันก็อย่าทำร้ายหัวใจกันแบบนี้ได้ไหม ไม่รักแต่ให้สงสารพี่สาวผมหน่อยได้ไหม
“พี่รู้ พี่...พี่ขออีกครั้งนะนนท์ ถ้าหากครั้งนี้พี่ภามทำให้พี่เจ็บอีก พี่...พี่จะยอมตัดใจ” นันทิยาเอ่ยบอกน้องชายเสียงเบาหวิวและขาดเป็นห้วง ใบหน้าสวยก้มลงมองสองมือเล็กที่วางจับกันอยู่บนตัก ในหัวใจอึดอัดคับแค้นทั้งโหวงเหวงและเบาหวิว
“สัญญานะครับ” ปลายนิ้วก้อยยาวใหญ่ยื่นออกมาตรงหน้าพี่สาว “ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ผมยังอยู่ตรงนี้...ข้าง ๆ พี่เสมอนะครับ”
นันทิยาพยักหน้ารับพร้อมยกนิ้วก้อยเล็กเรียวยื่นมาเกี่ยวกับนิ้วน้องชาย ด้วยความอัดอั้นตันใจหัวใจที่ไม่รู้ว่าจะทำตามคำพูดได้หรือเปล่า เพียงแค่เห็นหน้าภาม เธอก็เป็นเหมือนกับขี้ผึ้งที่มันถูกลนด้วยไฟ หลอมละลายกองแทบเท้าเขาในทันที แล้วอย่างนี้หรือที่จะตัดใจจากเขาได้ง่าย ๆ มองไม่เห็นทางเลยสักนิด ด้วยสายใยความผูกพันที่มีระหว่างกันมาตั้งแต่เด็ก ๆ จะให้ตัดใจนั้นคงจะยากยิ่งกว่าเข็นครกขึ้นภูเขา งมเข็มในมหาสมุทร
ลมหายใจอุ่นร้อนเป่าพ่นออกจากจมูกและริมฝีปากอวบอิ่มสีแดงสด แต่ถ้ามันถึงที่สุด ไม่ว่าจะทำยังไง เขาก็ไม่รัก แล้วยังจะมองไม่เห็นคุณค่าในตัวของเธอแล้ว...เธอก็คงจะต้องทำตามคำพูดที่ตกลงกับชานนท์ให้ได้ ไม่ว่าจะต้องเจ็บปวดแค่ไหน ก็ต้องพยายามทำให้ได้ ไม่แน่ว่าการทำแบบนั้น ภามอาจจะเห็นคุณค่าในตัวเธอขึ้นมาบ้าง และอาจเป็นเขาเองที่จะต้องเป็นคนไล่ล่า เอาตัวเธอมาเป็นเจ้าสาวให้จงได้...ใครจะไปรู้อนาคตได้ล่ะ
“เอาละ หายเศร้าได้แล้วนะครับ เห็นพี่ไทนี่เศร้า ร้องไห้แบบนี้ทีไร ผมไม่สบายใจเลย พานอยากจะร้องไห้เป็นเพื่อนด้วย” ชานนท์ล้อพี่สาวน้ำเสียงนุ่มทุ้ม เริ่มต้นหาเรื่องที่จะดึงเอานันทิยาไปจากเรื่องราวที่ทำให้เศร้าใจ ทุกข์ใจ
“อืม...ผมชักจะหิวแล้ว พี่สาวคนสวยทำอะไรให้น้องชายสุดหล่อคนนี้ทานหน่อยซิครับ นานแล้วที่ผมไม่ได้ทานอาหารฝีมือพี่สาวคนสวย ไม่รู้ว่ารสชาติมือจะยังคงเดิมหรือเปล่าน้า...”
ร่างหนาผุดลุกจากที่นั่งพร้อมดึงรั้งร่างพี่สาวเดินเข้าไปในห้องครัว แต่กลับต้องชะงักหยุดกึก เมื่อคนที่ถูกใช้ให้เป็นแม่ครัวเหมือนจะนึกอะไรได้ คิ้วเข้มเลิกขึ้นสูง หันกลับมามองด้านหลังตัวเองที่ตอนนี้มีรัศมีของสารวัตรนักขยันทำงานเริ่มต้นทำงานอีกแล้ว
“เดี๋ยว...”
“อะไรครับพี่ไทนี่” แม้จะรู้ว่าอีกฝ่ายจะพูดอะไร แต่ชานนท์ก็แสร้งทำเป็นไม่รู้ ดวงตาคมกริบเลิกขึ้นมองเพดานห้องสลับกับมองออกไปนอกบ้าน พร้อมด้วยคิ้วเข้มที่มันเลิกขึ้นเป็นจังหวะ ก่อนที่จะแปรเปลี่ยนเป็นรอยยิ้มเอาใจแทน
“มีอะไรครับพี่สาวคนสวย”
ไม่น่าเชื่อว่าคนร่างใหญ่ราวกับยักษ์จะเคลื่อนไหวได้รวดเร็วเพราะเพียงแค่แวบเดียวชานนท์ก็มายืนอยู่ด้านหลังร่างนันทิยา พร้อมวงแขนแข็งแกร่งที่โอบรอบเรือนกายพี่สาว พร้อมจมูกโด่งได้รูปที่กดลงบนพวงแก้มนุ่ม ๆ ทั้งสองข้าง
“หยุดเลยนนท์ ไม่ต้องมาเล่นมุกนี้ พี่ไม่สนุกกับเราด้วยนะ” มือเล็กเรียววางทาบบนแขนแกร่ง หยิบเอาเนื้อหนา ๆ ขึ้นมาเล็กน้อย บิดจนอีกฝ่ายร้องโวยวายดังลั่นห้อง
“โอ๊ย!! พี่ไทนี่น่ะแกล้งผม คอยดูนะ ผมจะฟ้องพ่อกับแม่”
“ก็เอาซิ พี่จะได้ฟ้องกลับเหมือนกัน” สองมือเล็กยกขึ้นเท้าสะเอวและชักสีหน้าใส่น้องชายที่ชอบชักใบให้เรือเสีย พาออกนอกลู่นอกทางเสียบ่อยครั้ง จนเธอลืมไปเลยว่าจะพูดอะไร แต่คราวนี้จะไม่ยอมละ ยังไงก็ต้องเอาเรื่องให้ได้ ไปมั่วกับใครมาล่ะถึงได้ขาดงานแบบนี้น่ะ
“ฟ้องเรื่องอะไรครับ” ชานนท์ยังแกล้งทำไขสือ ปลายนิ้วยาวใหญ่จี้ไปที่สะเอวพี่สาว เพราะรู้ว่านันทิยาจั๊กจี้ง่าย และก็เป็นอย่างต้องการเมื่ออีกฝ่ายหวีดร้องเสียงดังลั่น และเริ่มต้นเอาคืนเขาจนลืมเลือนเรื่องที่จะถามและต่อว่าเรื่องที่เขานั้นหยุดงานทำไมไปเสียสนิทใจ
เป็นนานที่สองพี่น้องเล่นกันจนเหนื่อยอ่อน พาร่างอ่อนระโหยโรยแรงกลับไปนอนซบกันที่โซฟาตัวนุ่ม เมนูอาหารที่นันทิยาคิดไว้ในสมองจะทำให้น้องชายกินก็เลือนหายไป กลับกลายเป็นว่าวันนั้นสองพี่น้องต้องใช้บริการร้านอาหารนอกบ้าน พร้อมเดินเล่นริมหาดทรายขาวสะอาด เล่นน้ำทะเล ก่อกองทรายเล่นกันเหมือนตอนที่เขาและเธอเป็นเด็กตัวน้อยอย่างสนุกสนาน
ชานนท์เดินก้มหน้ามองรายงานการจองห้องพักของแขกที่ฝ่ายการตลาดส่งมา หัวคิ้วหนายาวตวัดเฉียงทำมุมกับใบหูขมวดมุ่นจนเป็นปม
แผนทางการตลาดที่เขาวางไว้และผลตอบรับที่ได้รับมาก่อนหน้ามันควรจะได้ลูกค้ามากกว่านี้นี่นา ไหนจะลูกค้าที่เอเจนซี่ส่งมาให้อีก น้อยกว่าเมื่อทัวร์ที่แล้วเกือบจะสองเปอร์เซ็นต์เลยนะ น้อยกว่าที่เขากับภามคาดไว้สามเปอร์เซ็นต์ด้วย
อืม...มีอะไรผิดพลาดไปหรือเปล่า หรือเขายังได้รับเอกสารไม่ครบ
เห็นแบบนี้แล้วก็ต้องเปลี่ยนใจจากการเดินไปที่ห้องทำงานตัวเองกลับหลังหันเดินไปห้องทำงานของภาม อย่างนี้มันต้องปรึกษาหารือวางแผนหากลยุทธ์เรียกแขกเข้ามาพักในตัวโรงแรมที่เขาและภามเพิ่งจะทำการก่อสร้างเสร็จและเปิดให้บริการในหน้าทัวร์นี้อย่างเร่งด่วนแล้วล่ะ
โดยจะเน้นไปที่แขกกระเป๋าหนัก ที่เข้ามาเล่นในกาสิโนและต้องการอยู่เป็นสัดส่วนท่ามกลางท้องฟ้าสีคราม สายน้ำสีเขียวเหมือนมรกตที่จะแตะใต้ฝ่าเท้า เปิดประตูออกไปก็เล่นน้ำทะเลเย็น ๆ ท่ามกลางแสงแดดอันอบอุ่นหรือไม่ก็พระจันทร์ที่ไม่ว่าจะเป็นเต็มดวงหรือครึ่งดวงก็ตาม แต่บ้านทุกหลังที่สร้างนอกจากจะมีความคงทน ยังเน้นการอยู่ร่วมกับธรรมชาติโดยสงบ ไม่มีการทำร้ายและทำลายกัน
เพียงแค่ร่างหนาใหญ่เดินไปเกือบจะถึงห้องของภาม ไม่ทันจะลับเหลี่ยมโค้งก็ต้องหยุดกึก เมื่อหูแววได้ยินเสียงคุ้นเคย ที่ไม่ว่าจะจากกันไปนานถึงสองปีครึ่งเขาก็ยังจำน้ำเสียงหวานนุ่มนั้นได้เสมอ
“ไม่เลยไทนี่ พี่ไม่ได้ปากหวาน แต่พี่รู้ตัวว่าทำผิด ทำร้ายไทนี่ให้ต้องอับอายและเจ็บปวด” สองมือใหญ่จับมือเล็กมาทาบบนอกกว้าง“พี่ขอโทษนะไทนี่ น้องจะยกโทษให้พี่ได้ไหม ให้โอกาสกับคนที่รู้ตัวช้าและกลับตัวกลับใจคนนี้ได้พูดได้แสดงออกถึงความรักที่มีแก่ไทนี่...ไทนี่จะยอมให้โอกาสพี่...ให้โอกาสผู้ชายนิสัยไม่ดีคนนี้ได้ดูแลและรักไทนี่ตลอดไปได้ไหม”ถึงจะได้ยินชัด ๆ จนเต็มสองหูแต่นันทิยาก็ยังไม่เชื่อ ถึงแม้ว่าคำว่ารักที่หนักแน่นที่หลุดออกมาจากปากหนา ให้หัวใจไม่รักดีของเธอก็ละลายกลายเป็นน้ำแล้วก็ตาม เพราะภามคือคนเบื่อง่ายหน่ายเร็ว แรกรักแรกต้องการคำหวานมีให้เสมอ แต่ยามเมื่อรักคลายน้ำต้มผักที่ว่าหวานก็ยังกลายเป็นขม“ไทนี่จะเชื่อได้หรือคะว่าพี่ภามจะไม่ทำให้ไทนี่ต้องร้องไห้ อับอายและเจ็บช้ำอีก”“ถึงพี่จะให้คำมั่น แต่อดีตที่ผ่านมามันคือความทรงจำอันเลวร้ายที่พี่มอบให้ไทนี่...มันคงจะมีอย่างเดียวที่ทำให้ไทนี่มั่นใจ นั่นคือจากนี้ไปพี่ขอให้เวลาเป็นเครื่องพิสูจน์ความรักและความจริงใจที่พี่มอบให้สุดที่รักของพี่คนนี้” สองมือใหญ่ทาบบนใบหน้านวลเนียนนุ่ม“ขอแค่ไทนี่ให้โอกาสพี่เท่านั้นพอ...พี่สัญญาจะไม่ทำให้ไทนี่ต้องน
ริมฝีปากหนาทาบทับบนกลีบปากอวบอิ่มที่เผยอแย้มจะต่อว่าและผลักไสเขาให้ออกห่าง ขบกัดกลีบปากบนสลับล่าง สอดแทรกปลายลิ้นเลาะเล็มซอกซอนหาความหวานจากโพรงปากนุ่มโดยที่นันทิยาเองก็ไม่ขัดขืน และยังจะให้ความร่วมมือส่งปลายลิ้นเล็กๆ มาเลาะเลี้ยวเกี่ยวกระหวัดกับลิ้นสากระคายเสียอีก เป็นนานกว่าที่เขาจะหักห้ามใจถอนจุมพิตออกอย่างเสียดาย‘โอ๊ย! ไทนี่จ๋า อย่าตอบสนองพี่แบบนี้สิยาหยี เดี๋ยวพี่ทนไม่ไหวปล้ำไทนี่ก่อนจะได้คุยกันนะคนดี’ภามถึงกับร้อนฉ่าไปทั่วทั้งกายเมื่อนันทิยาตอบสนองกลับอย่างไม่มีแง่งอน สัดส่วนความเป็นชายเริ่มขยายตัวนูนเด่นดันตัวผ้าขนหนูออกมาแนบชิดลำขากลมกลึง“คุยกันดี ๆ ไม่คิดหนีและไม่ทำร้ายร่างกายพี่ด้วย พี่จะปล่อย ตกลงไหม” ภามกัดฟันข่มกลั้นความต้องการไว้อย่างสุดความสามารถ ลมหายใจหอบแรงจนกล้ามเนื้อไหวกระเพื่อมนันทิยาขบกัดริมฝีปาก จ้องมองเข้าไปในดวงตาคู่นั้นแล้วเห็นถึงความรักและจริงใจรักหรือ...เธอเข้าใจอะไรผิดไปหรือเปล่า อย่างภามนี่นะรักเธอ เป็นไปไม่ได้ เธอคงจะตาฝาดไปเท่านั้น สิ่งที่เห็นเป็นเพียงแค่สายตาที่เอื้อเอ็นดูระหว่างคนที่เคยเติบโตมาด้วยกันเท่านั้นเอง วงหน้าสวยหมองเศร้าลงทันตา รีบตอบคำ
“มองอะไรไม่เคยเห็นคนหรือไง” เมื่ออีกฝ่ายยังเงียบก็อดที่จะตวาดแว้ดไปด้วยความหงุดหงิดระคนวาบหวิวในทรวง แต่เมื่อนึกได้ว่ามาด้วยเรื่องใดก็สูดลมหายใจเขาเต็มปอด ข่มความโมโหเอาไว้ภายในทั้งที่อารมณ์นั้นเดือดปุด ๆ และวาบหวิวจากสายตาคมกริบเอ่ยถามออกไปเสียงแข็ง ห้วนและกระด้าง“พี่ภามทำอย่างนี้หมายความว่ายังไง จะแกล้งกันไปถึงไหน” หญิงสาวข่มกลั้นน้ำตาแห่งความน้อยใจที่สุดท้ายแล้วภามก็ยังไม่ได้ปรับปรุงตัวเองยังทำร้ายหัวใจเธอซ้ำอีก“หือ...ทำอย่างนี้ได้ยังไง?” ภามแสร้งทวงคนถามอย่างไม่เข้าใจ คิ้วเข้มเลิกขึ้นสูง เดินไปนั่งบนเตียงนอนใหญ่ที่เขาเพิ่งจะเปลี่ยนสด ๆ ร้อน ๆ เมื่อไม่ถึงครึ่งชั่วโมงที่ผ่านมา พร้อมข้าวของอีกหลายชิ้นในห้องเพื่อให้เกียรตินันทิยาที่จะไม่ต้องมานอนทับบนเตียงที่เขาเคยพาผู้หญิงคนอื่นมานอน“พี่ภามอย่ามาเล่นลิ้นนะ ไทนี่ซีเรียดนะ” นันทิยาตวาดแว้ดชักสีหน้าบึ้งตึงใส่คนที่ยังอารมณ์ดีที่กวนโมโหจนเธอแทบจะปรี๊ดแตกแล้ว ดวงตาเป็นประกายเจิดจ้ากรุ่นระอุด้วยไอโกรธที่มันพลุ่งพล่านอยู่ในเรือนกาย ร่ำ ๆ อยากจะเข้าไปทำร้ายคนหน้าเป็น‘ไม่รู้จะยิ้มอะไรหนักหนา ปากน่ะหุบเสียบ้างก็ได้คนบ้านี่’“ไม่ได้เล่นลิ้น
“รักตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ มารู้ตัวอีกทีก้อยก็เป็นเจ้าของหัวใจฉันจนหมดทั้งดวง เลยต้องใช้เล่ห์เหลี่ยมหลอกล่อทุกอย่างทุกทางจนก้อยหลงติดกับไปไหนไม่รอดไง”ปากหนาทาบจากพวงแก้มนุ่มสีพีชสุกไล่ไปถึงริมฝีปากอวบอิ่ม กดลงไปแผ่วเบา นุ่มนวลและอ่อนโยน ตอนที่แผนการนี้ผุดขึ้นมาในสมองเขากลัวแทบตายว่ารวิกานต์จะดื้อดึงดื้อรั้นไม่ยอมง่าย ๆ แต่กาลกลับตาลปัตรไปโดยสิ้นเชิง แม้จะงอนและโกรธอยู่บ้าง แต่รวิกานต์กลับเข้าใจอะไรได้ง่ายอย่างที่คิด คงจะเป็นเพราะเธอรักเขา...แต่คำนี้นอกจากการกระทำแล้วมันก็ต้องได้ยินจากปากด้วย ถึงจะมั่นใจได้ว่าไม่ได้คิดไปเอง“ว่าไง ยังไม่ตอบให้ชื่นใจเลยนะ รักผมไหม...แล้วเราจะแต่งงานกันใช่ไหมก้อย” ฝ่ามือใหญ่ลูบไล้บนผิวกายเนียนนุ่ม ครอบครองฟอนเฟ้นหน้าอกหน้าใจสาวที่มันอวบอิ่มใหญ่เต็มไม้เต็มมือ ริมฝีปากจุมพิตเลาะเล็มขบกัดกลีบปากเนียนนุ่มจนรวิกานต์ถึงกับตัวสั่น ยกสองมือดันกายใหญ่ให้ออกห่างอย่างยากเย็น“คุยกันก่อนสิคะเจ้านาย เล่นรุกถึงเนื้อถึงตัวแบบนี้ก้อยทำอะไรไม่ถูกนะคะ” หัวใจรวิกานต์เต้นตึกตัก ๆ รัวเร็วยิ่งกว่ามีใครยิงปืนกลเสียอีก ใบหน้าแดงปลั่งก้มงุดไม่กล้ามองสบสายตามคมกริบที่จ้องทะลุไปถ
ปากและใจบอกว่าไม่...อย่าไปยอมให้รัฐภาสเห็นเธอเป็นเพียงแค่ของเล่นใกล้มือที่จะหยิบมาเชยชมเมื่อไหร่ก็ได้ แต่กายกลับไม่เป็นเช่นนั้น เพียงแค่ถูกเขากอดจูบเพียงแค่นิดหน่อยเท่านั้นมันก็พร้อมที่จะหลอมละลายกลายเป็นไอ สองมือที่วางทาบอยู่บนลำตัวเริ่มที่จะเคลื่อนไหวไปตามกล้ามเนื้อล่ำสันไปจนโอบรอบบ่ากว้าง เผลอตัวตอบรับจุมพิตหวานแผดร้อนที่แทบจะสูบเอาลมหายใจออกจากปอดจนหมดสิ้นรัฐภาสถอนจุมพิตเคลื่อนไปตามพวงแก้มอิ่มนุ่ม สันจมูกโด่งและสุดท้ายประทับบนดวงตากลมโตที่มันบวมช้ำเพราะการร้องไห้อย่างหนัก“ขอโทษนะก้อยที่ฉันมาช้า อย่าโกรธฉันนะคนดี” ปลายนิ้วยาวร้อนไล้ไปบนกลีบปากอวบอิ่มแดงระเรื่อที่ขบกัดหนี“ปล่อยก้อยได้แล้วเจ้านาย...คุณรัฐภาส” รีบเปลี่ยนเพราะตอนนี้เธอไม่ใช่พนักงานในบริษัทเขาแล้ว และไม่คิดที่จะไปลาออกให้มันถูกต้องด้วย จะทำอะไรก็ทำไม่แคร์“แล้วก็รีบออกไปจากบ้านก้อยด้วย ก้อยไม่ได้เป็นอะไรกับคุณอีกแล้ว” สองมือเล็กผลักดันกายใหญ่ให้ออกห่างและรัฐภาสก็ยอมให้ แต่...กายใหญ่ขยับลุกขึ้นพร้อมกับเกี่ยวเอากายโปร่งกลมกลึงขึ้นไปนั่งบนตักกว้าง จับรั้งไม่ให้เบือนหน้าหนี พร้อมสอดแขนใหญ่กระชับเอวเล็กคอด“หู...หายไปแค่
เปลือกตาบางปรือขึ้นอย่างเชื่องช้า แพขนตายาวงอนกะพริบถี่ ๆ ก่อนจะลืมตาที่แดงก่ำ รอบ ๆ ขอบตาบวมช้ำขึ้นมาสู้กับแสงแดดที่สาดส่องเข้ามาในห้องนอน พร้อมกับอาการปวดหัวริ้ว ๆ ของผู้เป็นเจ้าของห้อง มือเล็กยกขึ้นจับลำคอแห้งผากเหมือนกับมีกระดาษมาถูไถอยู่เลยไปถึงพวงแก้มนิ่มที่เย็นจัด ไล่ไปจนถึงดวงตากลมโตที่ถึงตอนนี้ก็ยังมีคราบน้ำตาหลงเหลือติดอยู่กายกลมกลึงพลิกตัวหนีแสงแดดที่ส่องมาจนตาถึงกับพร่าเลือนไปชั่วขณะหนึ่ง ค่อย ๆ ผ่อนลมหายใจออกจากจมูกที่ตอนนี้มีสิ่งไม่พึงประสงค์อุดอยู่ เสียงท้องร้องประท้วงให้เธอรีบไปหาอะไรใส่ลงไปเสียบ้าง ไม่ใช่เอาแต่ร้องไห้เป็นวรรคเป็นเวรอยู่แบบนี้ ฟันขาวสะอาดขบกัดกลีบปากแตกแห้งเพราะขาดการบำรุง พยุงตัวเองให้ลุกขึ้นนั่งบนเตียงก็ยังลำบากยากเย็น เพราะร่างกายหมดไร้ซึ่งเรี่ยวแรงจากการไม่เอาใจใส่ตัวเอง แม้อาหารก็ไม่คิดจะหามาใส่ท้องเธอร้องไห้มากี่วันแล้ว...ร้องและรอว่าเขาคนนั้นจะมาหา บอกเล่าว่าสิ่งที่เธอเห็นในวันนั้นไม่เป็นความจริง เขายังเป็นคนโสดไม่มีพันธะใดๆ กับใคร แต่รอแล้วรอเล่า จากหนึ่งวันเป็นหนึ่งคืนและล่วงเลยมาจนถึงตอนนี้ก็ครบหนึ่งอาทิตย์พอดี แต่ก็ไม่มีวี่แววรัฐภาสจะมา...