“เฮ้ย เปิดออกอีกแล้วเหรอ มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่เนี่ย”
มินแข้งขาเริ่มอ่อนลง โชคดีที่เธอจับราวบันไดไว้ ไม่งั้นมีหวังได้ตกบันไดลงไปแน่
เมื่อตั้งสติได้ หญิงสาวรีบวิ่งเข้าไปดันประตูห้องเก็บของกลับไปทันที พร้อมกับเอากล่องเก็บของมาดันไว้เหมือนเดิม
มินเอาตัวพิงหลังประตูไว้แล้วตบไปที่อกของตัวเอง
จากความฝันเมื่อคืน เรื่องประตู เธอเริ่มรู้สึกว่าบ้านหลังนี้มีอะไรสักอย่างอยู่กับเธอด้วย แต่ด้วยความที่หญิงสาวเป็นคนไม่เชื่อเรื่องพวกนี้ เมื่อหายตื่นตระหนกก็พยายามหาเหตุผลเพื่อมารองรับกับเหตุการณ์เหล่านี้
“มันคงเป็นแค่เรื่องบังเอิญ แค่เรื่องบังเอิญ เมื่อคืนก็แค่ฝันไปเท่านั้น”
จากนั้นมินก็รีบออกจากบ้านไปทำงานทันที
วันนี้มินทำงานอย่างเหม่อลอยทั้งวัน พร้อมกับคิดไปว่าต้องสืบหาต้นตอของเสียงเหล่านั้น
เย็นนั้นมินแวะไปเยี่ยมพี่อู๊ดก่อนกลับบ้าน
แอ๊ด
“สวัสดีค่ะ พี่อู๊ด วันนี้ดีขึ้นกว่าเมื่อวานหรือเปล่าค่ะ”
อู๊ดมองหน้ามินเหมือนอยากจะถามอะไรสักอย่าง แต่แล้วก็ไม่ได้ถามออกมา กลับตอบกลับคำถามของมินแทน
“อืม ดีขึ้นแล้ว หมอให้ดูอาการ หากไม่มีอะไรแทรกซ้อนก็สามารถกลับบ้านได้”
“ก็ดีนะพี่ มินลางานให้แล้วนะ พี่ ๆ ที่ทำงานฝากเยี่ยมกันใหญ่เลย เห็นบอกว่ามันพรุ่งนี้ มะรืนนี้จะพากันมาเยี่ยมค่ะ” มินถือโอกาสนั่งลงตรงโซฟา สีหน้าของมินวันนี้ดูอิดโรยมาก แต่ก็พยายามฝืนยิ้มให้กับพี่ชายที่สนิทคนนี้ หากแต่อู๊ดก็ดูออก
“สีหน้าไม่ค่อยดีเลย เป็นอะไรหรือเปล่า” อู๊ดเอ่ยถามออกไปอย่างเป็นห่วง น้องคนนี้ช่างน่าสงสาร โดนสามีหักหลังจนสามารถหย่าขาดได้ แต่กลับต้องมาเจอ เฮ้อ เราผิดจริง ๆ ตอนที่น้องหาบ้าน น่าจะไปกับเธอด้วย ไม่งั้นก็คงไม่เจอบ้านหลังนี้ ว่าแล้วก็แอบโกรธพี่โต้ง ที่เสนอบ้านหลังนี้ให้น้องสาวคนสนิทไป
“นอนไม่ค่อยหลับค่ะ เมื่อคืนฝันร้ายนิดหน่อย” เมื่อนึกถึงฝันเมื่อคืนมือหญิงสาวก็มีอาการสั่นขึ้นมาเล็กน้อย
“เอ่อ บ้านหลังเช่ากี่เดือนเหรอ จะครบกำหนดเมื่อไหร่ แล้วมินได้ไปดูหลังใหม่ ๆ บ้างมั้ย”
“มินเช่าไว้แค่หกเดือนค่ะ แต่มินก็ชอบนะ สภาพบ้านข้างในดูดีเลย แถมถูกด้วย ไม่แน่มินอาจจะขอซื้อต่อจากพี่โต้งเลย จะได้ไม่ต้องหาที่ใหม่ ย้ายบ้านหลายรอบ เหนื่อยค่ะ” เมื่อเห็นพี่ชายกังวล หญิงสาวจึงฝืนยิ้มกว้างออกมามากกว่าเดิม และบอกเรื่องที่เธอคิดขึ้นมา
“ไม่ได้ มินรีบหาที่บ้านใหม่เถอะ ถ้าจะให้ดี รีบย้ายออกภายในเดือน สองเดือนนี้จะดีมาก เดี๋ยวพี่ออกไปจะพาเราไปดูบ้าน และพี่จะช่วยเราย้ายเอง” อู๊ดพูดออกมาเสียงดัง เมื่อประโยคนี้เกิดขึ้น ไม่มีใครทันสังเกตว่ามีเงาดำเกิดขึ้นที่ระเบียงห้องทันที
“อะไรอะพี่ ทำไมต้องเสียงดังด้วย” มินโวยวายออกมาเล็กน้อยเพราะตกใจเสียงที่ดังของอู๊ด
“เออ ๆ ขอโทษ แต่เอาเป็นตามที่ว่าแล้วกัน
มินอยากจะถามอะไรเพิ่ม แต่เป็นจังหวะเดียวกับที่พยาบาลเดินเข้ามาพร้อมกับเครื่องมือวัดความดันกับชีพจร และอ่างน้ำตั้งท่าว่าถึงเวลาเช็ดตัวแล้ว หญิงสาวจึงขอตัวพี่ชายกลับบ้านไป
ก่อนไป อู๊ดก็พูดทิ้งท้ายว่า
“จำไว้นะมิน อย่าอยู่บ้านหลังนี้นาน รีบหาบ้านหลังใหม่และย้ายออกให้เร็วที่สุด” พูดจบพยาบาลก็ปิดม่านทันที
มินอยากจะถามต่อ แต่ช่วงนี้ก็ไม่อยากกลับบ้านดึกเท่าไหร่ จึงคิดว่าค่อยมาถามวันพรุ่งนี้ดีกว่า คิดได้ดังนั้นก็กลับบ้านไป
เมื่อเปิดประตูรั้วไป สายตาเหลือบไปมองที่ชั้นสองของบ้าน แล้วก็เห็นเด็กผู้ชายคนหนึ่งยืนอยู่ตรงชั้นสองตรงโถงชั้นนอก หน้าห้องนอนของเธอ ดวงตาของเด็กชายคนนั้นมีความเศร้าออกมาอย่างเห็นได้ชัด
เมื่อเห็นดังนั้น มินที่ไม่ใช่คนกลัวเรื่องลี้ลับแบบนี้อยู่แล้ว และอยากรู้ด้วยว่าเกิดอะไรขึ้นกับเด็กคนนั้นหรือเปล่า ก็รีบทำการเปิดประตู แล้ววิ่งขึ้นไปหาเด็กคนนั้นทันที
แต่....เมื่อไปถึงห้องโถงกลับว่างเปล่า ไม่มีใคร มินมึนงงอย่างมาก เธอรีบเดินลงมาข้างล่างเพื่อหาเด็กน้อย แต่หาเท่าไหร่ก็หาไม่พบ หญิงสาวรู้สึกอึดอัดมาก ตอนนี้สิ่งที่เกิดขึ้น เธอไม่สามารถหาคำอธิบายไหนมาปลอบใจตัวเองได้อีกแล้ว จึงตะโกนขึ้นมา
“หนูน้อย เธอเป็นใคร เธอต้องการอะไรจากฉัน เธอตายที่นี้งั้นเหรอ อยากให้ฉันช่วยอะไรก็บอกสิ หนูน้อย หนูน้อย”
เมื่อตะโกนเสร็จ ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงเก้าอี้ล้มที่ห้องนอนกลาง มินรีบวิ่งขึ้นไป เมื่อเปิดประตูเข้าไป ก็เห็นเป็นเก้าอี้ล้มจริงๆ
มินค่อยๆ เดินเข้าไปอย่างช้า ๆ บรรยากาศในห้องหนาวขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก หญิงสาวค่อยเดินไปโต๊ะเครื่องแป้งแล้วเก็บเก้าอี้ที่ล้มขึ้นมา เมื่อเงยขึ้นอีกครั้งก็ตกใจจนกระเถิบถอยหลังล้มลง บนกระจกตรงโต๊ะเครื่องแป้ง มีข้อความที่เขียนจากลิปสติก “หนีไป” เมื่อมองไปบนโต๊ะ ลิปสติกที่ใช้เขียนก็ยังอยู่ที่บนนั้น มินพยายามตั้งสติอย่างที่สุด นี่ถ้าเธอเป็นคนขวัญอ่อน คงต้องเป็นลมล้มพับไปแน่นอน
มินลุกขึ้นเดินไปหยิบลิปสติกบนโต๊ะขึ้นมาดู ก็เห็นว่านี่ไม่ใช่ลิปสติกของเธอ ก็แปลกใจมาก คนเก่าย้ายบ้านไม่เอาของออกไปเหรอ ถึงเฟอร์นิเจอร์ใหญ่ไม่เอาออกไป แต่ของเล็กน้อยก็ไม่เอาไปด้วยเหรอ
ห้องนี้ หญิงสาวก็ยังไม่ค่อยได้สำรวจเท่าไหร่ อย่างที่บอกเธอมาถึงก็เอาแต่ดูห้องนอนใหญ่เท่านั้น ห้องอื่นๆ ก็แค่เข้าไปกวาด ๆ ถู ๆ ตามพื้น บนโต๊ะ แต่ยังไม่ได้เปิดดูใด ๆ ทั้งสิ้น เมื่อเห็นว่าแม้ของเล็กน้อยก็ยังอยู่ ดังนั้น มินก็ไม่รอช้ารีบเปิดลิ้นชักออกมาดูทันที
“โห มีของเต็มเลย ทั้งเครื่องสำอาง ทั้งหวี ยางรัดผม” ทุกสิ่งที่มินกล่าวมา ทำให้รู้ว่าห้องนี้เป็นห้องของผู้หญิงอย่างแน่นอน
เมื่อเปิดไปที่ลิ้นชักที่สอง มินก็พบกับสมุดเล่มหนึ่งคล้ายกับไดอารี่ มินถือวิสาสะเปิดอ่านทันที
“วันที่ 1 เดือน มีนาคม 2558 วันนี้เป็นวันแรกที่ได้ย้ายเข้ามาบ้านใหม่ บ้านหลังนี้สวยมากจริงๆ ฉันดีใจมากที่ได้ย้ายมาอยู่บ้านหลังนี้ หลังจากที่รอคอยให้บ้านหลังนี้ซ่อมเสร็จ ......”
มินกำลังจะอ่านต่อ แต่ก็มีเสียงกริ่งหน้าบ้านดังขึ้นมา
อ๊อด อ๊อด อ๊อด
มินนำไดอารี่ออกจากห้องไปวางไว้บนเตียงในห้องนอนตัวเองพร้อมกับกระเป๋าถือ แล้วรีบเดินลงไปข้างล่างเมื่อดูว่าใครมาหา
เมื่อเปิดประตูหน้าบ้านออกไปก็ต้องแปลกใจเพราะพบกับเจ้าของบ้านที่ยืนอยู่หน้าบ้านด้วยสีหน้ายิ้มๆ แต่รู้สึกว่ารอยยิ้มนั้นมันไม่ไปถึงดวงตา เหมือนกับฝืนยิ้มอย่างไงอย่างงั้น
“สวัสดีค่ะ” มินยกมือไหว้ และทำท่าจะเปิดประตูรั้วให้อีกฝ่ายเข้ามา
แต่ก็เหมือนครั้งแล้ว หรือจริง ๆ ก็เหมือนกับทุก ๆ ครั้ง ที่เจ้าของบ้านไม่เคยเข้ามาเหยียบในบ้านหลังนี้เลย โดยทุกครั้ง เขาจะมีข้ออ้างกับเธอเสมอ และครั้งนี้ก็เช่นกัน
“สวัสดีครับ ไม่ต้องหรอกครับ พอดีผมแวะมาทำธุระแถวนี้ เลยแวะมาเยี่ยมครับ ว่าแต่คุณมินอยู่ได้ใช่มั้ยครับ”
มินพยายามคิดตามถึงประโยคคำถามที่เมื่อก่อนฟังแล้วก็ไม่รู้ว่ามีอะไรผิดปกติ แต่วันนี้ทุกอย่างดูผิดปกติไปหมด พร้อมย้อนไปถึงเมื่อวันแรกที่เข้ามาดูบ้านหลังนี้ เจ้าของบ้านก็ไม่เคยย่างกรายเข้ามาเช่นกัน โดยให้เหตุผลว่าติดสายให้เธอเดินดูบ้านได้ตามใจชอบ
“คุณมิน คุณมินครับ เป็นอะไรหรือเปล่าครับ”
เสียงเรียกของเจ้าของบ้านทำให้หญิงสาวกลับมาจากห้วงความคิดถึงเรื่องในตอนที่มาดูบ้านแรก ๆ
“ไม่มีอะไรค่ะ มินอยู่ได้ค่ะ เพียงแต่ว่า...” ประโยคหลังของมินเริ่มเบาเสียงลง สองจิตสองใจว่าจะถามเขาไปดีมั้ย เขาจะหาว่าเธองมงายหรือเปล่า ถ้าหากที่นี่ไม่มีอะไรจริงๆ ล่ะ เราจะโดนฟ้องมั้ย
“เพียงแต่ว่าอะไรหรือครับ” เสียงคนถามเหมือนมีความตื่นเต้นอยู่ในน้ำเสียงเล็กน้อย
“พี่เจ้าของบ้านค่ะ บ้านหลังนี้มีผีหรือเปล่าค่ะ”
“ฉันเลือก....”คำพูดของภูมิขาดหายไปเมื่อเขาตระหนักว่าการเลือกไม่ใช่ทางออกเดียวที่มีอยู่ ถ้าหากเขาเลือกเป็นตัวตายตัวแทนของซัน คนอื่นก็อาจจะรอดไปได้ แต่เขาเองจะติดอยู่ในวงจรอาถรรพ์นี้ต่อไป และหากเขาเลือกจะเป็นเพื่อนซัน มันก็ไม่ได้หมายความว่าคำสาปนี้จะจบลงมีทางเลือกอื่นไหม? ทางที่จะทำลายคำสาปนี้ให้หมดสิ้นไปซันหายไปแล้วราวกับว่าต้องการให้ภูมิได้มีเวลาคิดถึงทางเลือกของตัวเองภูมินิ่งคิดสักพักใหญ่ก่อนจะมุ่งตรงไปยังห้องนอนเพื่อค้นเอกสารเก่าที่เขาค้นพบก่อนหน้านี้ หากคำสาปนี้เกี่ยวข้องกับพิธีกรรมบางอย่าง มันต้องมีร่องรอยหรือวิธีแก้ไขอยู่ในบันทึกเหล่านั้นพลิกกระดาษเก่า ๆ ไปทีละหน้า เขาสะดุดตากับข้อความหนึ่งในรายงานของตำรวจที่ระบุถึง “วัตถุปริศนา” ซึ่งถูกเก็บไว้ในห้องเก็บของของบ้าน เป็นรูปปั้นเด็กผู้ชายที่ดูคล้ายกับซันอย่างไม่น่าเชื่อ และมีข่าวลือว่ามันเคยถูกทำลาย แต่กลับฟื้นคืนมาในสภาพเดิมอย่างไม่มีร่องรอยความเสียหาย‘หลวงพี่โต้งเคยพูดถึงรูปปั้นนี้... มีคนเคยทำลายมัน แต่เพราะทำลายผิดวิธี มันจึงกลับมาได้’ห
ภูมิถอนหายใจยาวหลังจากวางสายกับแฟนของประภาพิมพ์ ดูเหมือนทุกคนที่เกี่ยวข้องกับบ้านเลขที่ 13 จะพยายามหลีกเลี่ยงเรื่องนี้ให้มากที่สุด ยิ่งทำให้เขามั่นใจว่ายังมีบางอย่างที่ถูกซ่อนไว้แต่คำถามสำคัญคือ... ทำไม?คืนนั้น เขากลับมาที่บ้านเลขที่ 13 อีกครั้งด้วยความรู้สึกกดดันแปลก ๆ คราวนี้เขาไม่ได้มาเพียงเพื่อเก็บข้อมูล แต่เพื่อค้นหาคำตอบบางอย่างที่ยังคงคลุมเครืออยู่ขณะที่เดินผ่านหน้าร้านขายของชำ เขาสังเกตเห็นป้าอุษาแอบมองจากหน้าต่างร้านของตัวเอง แม้เธอจะไม่พูดอะไร แต่แววตานั้นเต็มไปด้วยความกังวลเขาใช้กุญแจไขประตูเข้าไปข้างใน บรรยากาศในบ้านเงียบงัน มีเพียงเสียงฝีเท้าเบา ๆ ของตัวเขาเองที่สะท้อนในความว่างเปล่าเขาเดินขึ้นบันไดไปที่ชั้นสอง คราวนี้ เขาตัดสินใจเข้าไปในห้องสุดท้ายของบ้านภายในห้องนั้นมีกลิ่นเหม็นอับ วอลเปเปอร์บนกำแพงเริ่มลอกออก โต๊ะเขียนหนังสือเก่าถูกตั้งไว้ริมหน้าต่าง มีรูปถ่ายที่ซีดจางวางอยู่บนโต๊ะมือของภูมิเอื้อมไปหยิบรูปถ่ายหนึ่งขึ้นมา เป็นรูปของครอบครัวหนึ่ง—พ่อ แม่ และเด็กชายคนหนึ่งเด็กชายในรูป... หน้าตาเหมือนเ
เสียงประตูเหล็กที่ขึ้นสนิมครูดกับพื้นซีเมนต์ดังลั่นเมื่อภูมิเปิดประตูรั้วเข้ามาในบ้านเลขที่ 13 บรรยากาศโดยรอบเงียบสงัดจนผิดปกติ มีเพียงเสียงลมพัดไหวผ่านต้นไม้แห้ง ๆ ที่ขึ้นอยู่ริมรั้วเท่านั้นเขาหยิบกุญแจที่ป้าอุษาให้มา แล้วไขประตูเข้าไปด้านใน บ้านทั้งหลังเงียบกริบ มีเพียงแสงจากดวงไฟถนนด้านนอกที่ลอดผ่านเข้ามาทางหน้าต่างที่มีม่านขาดรุ่งริ่ง ภูมิยกนาฬิกาข้อมือขึ้นมาดู ตอนนี้เป็นเวลาเกือบสองทุ่ม“เริ่มงานเลยดีกว่า” เขาพึมพำ ก่อนจะหยิบสมุดโน้ตกับกล้องถ่ายรูปออกมาจากกระเป๋า เขาวางข้าวของไว้บนโต๊ะกลางห้องรับแขกแล้วเริ่มสำรวจไปรอบ ๆ บ้านภูมิได้รับหน้าที่ทำสกู๊ปข่าวพิเศษเกี่ยวกับบ้านร้างที่มีอาถรรพ์มากที่สุดในกรุงเทพฯ ซึ่งบ้านหลังนี้ติดอันดับหนึ่งในสิบด้วย ภูมิจึงตัดสินใจเลือกบ้านหลังนี้สิ่งแรกที่เขาสังเกตเห็นคือฝุ่นที่เกาะหนาเตอะตามเฟอร์นิเจอร์และพื้นบ้าน เป็นไปได้ว่าบ้านหลังนี้อาจไม่มีใครอยู่มานานแล้ว แต่ที่แปลกคือไม่มีร่องรอยของสัตว์รบกวน เช่นหนูหรือแมลงสาบเลยแม้แต่น้อย ราวกับว่ามีบางอย่างทำให้พวกมันไม่กล้าเข้ามาภูมิก้าวขึ้นไปบนชั้นสอง ปร
มินยืนตัวแข็งทื่อ ร่างของเธอราวกับถูกตรึงเอาไว้ด้วยแรงบางอย่างที่มองไม่เห็น ความกลัวพุ่งเข้าจู่โจมจนเธอแทบจะหายใจไม่ออก ดวงตาของเด็กชายที่ชื่อซันนั้นว่างเปล่า ราวกับไม่มีวิญญาณอยู่ในร่างกาย"พี่มิน... จะทำยังไงหรือฮะ?" เสียงเย็นเยียบของเด็กชายดังขึ้นอีกครั้ง พร้อมกับรอยยิ้มแปลกประหลาดที่เริ่มฉีกกว้างเกินกว่าที่มนุษย์ควรจะทำได้มินพยายามถอยหลังไปเรื่อย ๆ แต่ขาของเธอกลับไม่ขยับตามที่ต้องการ หัวใจของเธอเต้นรัวเหมือนกลองศึก เหงื่อเย็นไหลซึมไปทั่วแผ่นหลัง ความรู้สึกเหมือนถูกจ้องมองจากทุกทิศทางทำให้เธอแทบจะเป็นบ้า"ทำไม... ทำไมถึงเป็นแบบนี้ ซัน... เธอเป็นใครกันแน่!" มินตะโกนออกไปสุดเสียง ความหวังที่ว่าเด็กชายตรงหน้าจะตอบคำถามเธอด้วยความเมตตานั้นไม่มีอยู่จริงซันหัวเราะเบา ๆ เสียงของเขาดังก้องอยู่ในห้องเก็บของแคบ ๆ ก่อนจะค่อย ๆ เดินเข้ามาใกล้"พี่ไม่จำเป็นต้องรู้หรอกฮะ... แค่รู้ไว้ว่าพี่ต้องอยู่ที่นี่... อยู่กับผม... ตลอดไป!"ทันทีที่คำพูดนั้นจบลง แรงมหาศาลที่มองไม่เห็นก็พุ่งเข้าโถมใส่มิน ร่างของเธอลอยหวือกระแทกกับผนังด้านหลังจนรู้สึกได้ถึงแรงกระแท
มินจ้องมองที่กำแพงด้วยความหวาดกลัว ชื่อของเธอกำลังค่อยๆ ปรากฏขึ้นทีละตัวอักษร เหมือนมีมือล่องหนกำลังเขียนมันลงไป เธอรู้สึกว่าหัวใจของเธอเต้นแรงขึ้นทุกวินาที ความกลัวที่เคยค่อยๆ คืบคลานเข้ามาในใจของเธอ ตอนนี้ได้กลายเป็นคลื่นยักษ์ที่ถาโถมเข้ามาอย่างรุนแรง“ไม่... นี่มันไม่ใช่เรื่องจริง...” มินพึมพำกับตัวเอง แต่เธอรู้ดีว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตรงหน้านั้นเป็นเรื่องจริงเกินกว่าที่เธอจะปฏิเสธได้เธอรีบคว้าจดหมายฉบับอื่นๆ ในกล่องขึ้นมาอ่าน ทุกฉบับล้วนแต่เป็นจดหมายที่เขียนโดยผู้เช่าบ้านคนก่อนๆ ที่ต่างก็พยายามยกเลิกสัญญาเช่า แต่ดูเหมือนว่าไม่มีใครสามารถทำได้สำเร็จ จดหมายแต่ละฉบับเต็มไปด้วยความหวาดกลัวและความสิ้นหวัง บางฉบับถึงกับเขียนถึงการพบเจอสิ่งลึกลับในบ้านหลังนี้ เช่นเดียวกับที่เธอกำลังประสบอยู่มินรู้สึกว่าตัวเองกำลังถูกดึงเข้าไปในความลึกลับที่เธอไม่อาจเข้าใจได้ เธอต้องหาทางออกจากที่นี่ให้ได้ แต่ก่อนอื่น เธอต้องเข้าใจว่าอะไรคือสาเหตุของทุกสิ่งที่เกิดขึ้น“ซัน... ซันช่วยพี่หน่อย...” มินร้องเรียกด้วยเสียงที่สั่นเครือ แต่ไม่มีเสียงใดๆ ตอบ
“หา เด็กผู้ชาย ใช่ ซันหรือเปล่า” มินพึมพำกับตัวเอง รีบเปิดวันต่อไปเพื่ออ่านต่อเมื่อคิดว่าเด็กผู้ชายคนนั้นก็คือ ‘ซัน’ หญิงสาวก็เริ่มมีความหวาดหวั่น เหมือนทุกสิ่งที่ตัวเองกำลังเจอเดินตามรอยของหญิงสาวคนนี้ ที่เคยอยู่ในบ้านหลังนี้และต้องเผชิญกับความลึกลับที่เธอกำลังประสบอยู่ เธอพลิกหน้าต่อไปอย่างใจจดจ่อ“วันที่ 11 วันนี้ฉันเริ่มรู้สึกว่ามีอะไรบางอย่างผิดปกติในบ้านหลังนี้ ฉันได้ยินเสียงฝีเท้าในตอนกลางคืน ทั้งที่ฉันอยู่คนเดียว เสียงนั่นเหมือนกับเด็กวิ่งไปมาบนพื้นไม้ แต่เมื่อฉันเปิดไฟดู ก็ไม่มีอะไร ฉันพยายามบอกตัวเองว่ามันอาจเป็นแค่เสียงบ้านเก่าแต่ใจฉันรู้ดีว่ามันไม่ใช่วันที่ 12 ฉันเห็นเขาแล้ว... เด็กชายคนนั้น เขายืนอยู่ที่มุมห้อง มองมาที่ฉันด้วยสายตาเศร้าสร้อย ฉันพยายามตะโกนถามว่าเขาเป็นใคร แต่เขาก็หายไปในความมืด ฉันรู้สึกเหมือนเขาพยายามจะบอกอะไรฉัน แต่ฉันไม่เข้าใจวันที่ 13 ฉันพบรอยขีดเขียนบนกำแพงห้องเก็บของ มันเป็นรายชื่อของผู้ที่เคยอยู่ในบ้านนี้ พร้อมกับวันที่เสียชีวิต ฉันเห็นชื่อของตัวเองถูกเขียน