Share

บทที่ 9

last update Huling Na-update: 2025-02-13 12:00:42

“มิน มินรู้มั้ย อู๊ดมันเป็นห่วงมินมากนะ เป็นห่วงมากกว่าน้อง”

มินรีบเงยหน้ามองไปที่พี่โต้งอย่างตื่นตะลึง

“อะไรนะพี่ ตะ ตะ แต่มินเคยหย่ามาแล้วนะ”

“เราหนะคิดมาก อู๊ดมันไม่ได้คิดเรื่องพวกนั้นเลย มัน ฮึก มันชอบเธออย่างใจจริง ไม่งั้นมันจะช่วยเธอเรื่องสามีเก่าเหรอ จนยอมโดนไล่ออกพร้อมกับเธอ ฮึก ฮึก แต่ตอนนี้มันไม่อยู่แล้ว มันไม่ทันได้บอกความในใจกับเธอด้วยซ้ำ ฮือ ฮือ ฮือ” พี่โต้งพูดไปก็ร้องไห้ไป

มินตราเมื่อได้ยินความรู้สึกของพี่ชายที่แสนดีคนนั้น หญิงสาวก็มีดวงตาแดงก่ำ น้ำตาไหลออกมาอย่างไม่รู้ตัว เพราะจริงๆ แล้วลึก ๆ เธอก็รู้สึกดีกับพี่อู๊ด พี่ชายคนสนิทคนนี้ของเธอเหมือนกัน

“แล้วหมอบอกมั้ยค่ะ ว่าทำไมพี่อู๊ดถึงหัวใจวายตายค่ะ” มินสงสัยอย่างมาก เมื่อวานที่เธอมาเยี่ยมเขายังดูปกติอยู่เลย แถมบอกว่าจะมาช่วยย้ายบ้านถ้าเธอหาที่อื่นได้

“หมอบอกว่ามีอาการตกใจกลัวสุดขีดเลยทำให้หัวใจวายเฉียบพลัน” โต้งแจ้งออกมาตามความจริงที่หมอแจ้งมา

“ตกใจกลัวสุดขีดงั้นเหรอ ปกติพี่อู๊ดไม่ใช่คนที่ตกใจกลัวอะไรง่ายๆ นี่”

“ใช่ ใช่ ปกติไอ้อู๊ดไม่ใช่คนที่ตกใจกลัวอะไรง่ายๆ แต่ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ว่าแต่เมื่อวานตอนที่มินมาเยี่ยมมันมีอาการอะไร หรือพูดอะไรบ้างหรือเปล่า”

“ไม่มีนะพี่ พี่อู๊ดมีอาการปกติมาก แต่...” มินทำหน้าพยายามนึกถึงเมื่อวานที่มาเยี่ยมพี่ชายคนสนิทว่ามีอะไรผิดแปลกไปบ้างหรือเปล่า

“แต่อะไรมิน”

“มีช่วงหนึ่ง เหมือนเขาไม่กล้ามองไปทางระเบียงห้อง คล้ายพยายามหลบเลี่ยงอะไร ตอนนั้นฉันไม่ได้เอะใจอะไรเพราะคิดว่าพี่เขาแสบตาหรือเปล่า พอมานั่งคิดดูอาการนั้นไม่น่าใช่อาการแสบตาแน่”

โต้งตกใจเล็กน้อย

“พอจำได้มั้ยว่าตอนนั้นกำลังคุยกันเรื่องอะไร”

“ตอนนั้นเหมือนกำลังคุยกันเรื่องบ้านเช่าที่ฉันอยู่ พี่อู๊ดบอกว่าบ้านหลังนี้อยู่นานไม่ได้ ให้มินหาบ้านใหม่ ฮึก เขายังบอกเลยว่าจะมาช่วยย้ายบ้าน ฮือ ฮือ ฮือ” มินตราเริ่มร้องไห้อีกครั้ง หลังจากนึกถึงพี่ชายที่รักที่ต้องกันไป

ตรงข้ามกับโต้ง ที่เมื่อได้ยินดังนั้นก็ชะงักงันไปในทันที พร้อมกับเหลือบมองไปทางห้องพักที่ยังมีศพน้องชายอยู่

มินสังเกตเห็นโต้งเหม่อมองไปทางห้องพักผู้ป่วยจึงถามออกมา

“พี่โต้ง พี่โต้ง เป็นอะไรไปค่ะ” มินถามโต้งพร้อมกับยื่นมือไปเขย่าให้หลุดออกจาภวังค์

“อะ อ๋อ ไม่มีอะไร แค่อยู่ ๆ ก็คิดถึงอู๊ดขึ้นมา พี่ไปตามเรื่องพาอู๊ดไปโรงพยาบาลก่อนนะ แล้วไปเจอกันที่วัดเลยแล้วกันนะ” พูดจบโต้งก็รีบเดินกลับเข้าไปในห้องพักทันทีเพื่อคุยกับบุรุษพยาบาลต่อ

มินมองตามและเตรียมตัวกลับบ้านไปเปลี่ยนเสื้อผ้าเพราะวันนี้เธอใส่ชุดสีส้มมา ถ้าหากจะไปช่วยงานศพคงต้องเปลี่ยน และต้องโทรไปแจ้งกับบริษัทด้วย

มินเดินเข้าบ้านด้วยความรู้สึกที่ไม่ดี ทั้งเรื่องฝันเมื่อเช้า เรื่องพี่อู๊ดที่เสียไปกะทันหัน และหน้าตาของพี่โต้งที่ดูตื่นตระหนก แต่มินก็พยายามปลอบใจตัวเองว่าไม่มีอะไร ทุกอย่างเป็นแค่ฝัน แค่อาการป่วยและอาการเสียใจเท่านั้น

เมื่อเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จก็บ่ายสามแล้วด้วยรอบบ้านมีต้นไม้ใหญ่ ทำให้บรรยากาศในบ้านค่อนข้างร่มรื่นและเงียบ ไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไหร่ ที่รู้สึกว่าบ้านหลังนี้ดูเหมือนไม่ได้อยู่ในโลกเดียวกับโลกหน้าบ้าน ทุกอย่างดูเงียบและ.....วังเวง

ใช่....วังเวง มินเพิ่งนึกถึงคำนี้ได้ตอนนี้นี่เอง ก่อนหน้านี้ มินไม่ได้รู้สึกถึงคำนี้เลย มินรู้สึกว่าบ้านหลังนี้เงียบสงบดีจัง เหมาะแก่การพักผ่อนและอยู่อาศัย แต่....ตอนนี้มีคำว่าวังเวงเข้ามาเพิ่ม ทำให้ความสงบเปลี่ยนเป็นความหวาดผวาเข้ามาแทนที่ทีละน้อย แต่มันก็ยังไม่มากพอที่จะทำให้หญิงสาวคิดเรื่องการย้ายออกจากบ้านหลังนี้โดยเร็วเหมือนที่หลายๆ คนคอยเตือน

เย็นนั้นมินตราไปช่วยงานศพพี่อู๊ด โดยมีเพื่อนๆ ของพี่อู๊ดจากบริษัทมาช่วยเสิร์ฟอาหารและน้ำดื่มที่วัด

มินตรากลับถึงบ้านเกือบห้าทุ่ม เนื่องจากต้องนั่งคุยและรอส่งเพื่อนๆ ของพี่อู๊ดกลับจนหมด

เมื่อกลับถึงบ้านก็เกือบเที่ยงคืนแล้ว บรรยากาศทุกอย่างเหมือนเดิม ห้องเก็บของประตูเปิดทิ้งไว้ แต่ตอนนี้มินไม่มีกะจิตกะใจจะสนใจมัน ด้วยความเหนื่อยและเสียใจ มินตรารีบเดินขึ้นห้องไปทันที ไม่แม้แต่จะเปิดไฟชั้นล่างหรือแวะห้องครัวเหมือนทุกที ทำให้เธอเห็นเงาภาพสั่นไหว เหมือนคนหลายคนยืนอยู่รอบบ้าน แต่เธอก็ไม่ได้รู้สึกหวาดกลัวใดๆ

“เงาต้นไม้ เงาต้นไม้ เงาต้นไม้” เสียงบ่นพึมพำเหมือนสะกดตัวเองแล้วเดินขึ้นข้างบนไปในทันที

เพราะยืนรับแขกนาน ทำให้มินรู้สึกปวดเมื่อยไปทั้งตัว ไหน ๆ พรุ่งนี้ ก็ไม่ต้องทำงาน หญิงสาวจึงขอนอนแช่อ่างน้ำอุ่นเพื่อผ่อนคลายร่างกายเสียหน่อย

เมื่อร่างกายได้ผ่อนคลาย ประกอบกับนอนไม่พอมาหลายวัน หนังตาของหญิงสาวก็ค่อยคล้อยลง ก่อนที่เปลือกตาจะปิดสนิทเธอมองเห็นเงาผู้ชายคนหนึ่งเปิดประตูห้องน้ำเข้ามา ดูคล้าย คล้ายกับพี่อู๊ด โดยมีเด็กผู้ชายคนหนึ่งยืนอยู่ข้างหลังแล้วเธอก็หลับไป

“พี่ขอโทษนะมิน พี่ขอโทษ พี่ไม่สมควรให้มินมาอยู่ที่บ้านหลังนี้เลย พี่ขอโทษ พี่รักมินนะ พยายามย้ายออกไป หนีไป หนีไป” เสียงทุ้มดังแผ่วเบาข้างหูของเธอ เปลือกตาหญิงสาวกระตุกเล็กน้อยแต่ยังไม่ยอมเปิดออกมา ร่างกายเหมือนกับขยับไม่ได้เหมือนระบประสาทยังไม่ตื่นตัวดี แต่หูกลับได้ยินบางอย่างชัดขึ้น

“ไม่ต้องห่วงครับพี่ชาย ผมจะดูแลพี่มินเอง ผมชอบพี่มินครับ” เสียงเด็กผู้ชายดังขึ้นคล้ายกับพูดกับเสียงของผู้ชายคนนั้น

“แก แก แกนั่นแหล่ะ อ๊าก” ตามด้วยเสียงร้องโหยหวนของผู้ชายดังขึ้น ก่อนที่มินจะเปิดเปลือกตาขึ้นมาได้ หญิงสาวได้ยินคำสุดท้ายของชายหนุ่ม

“มินหนีไป”

เฮือก มินตราตื่นขึ้นมาพบว่าตัวเองอยู่บนเตียงตัวเองอีกครั้ง มินหันซ้ายหันขวาเพื่อพยายามมองหาที่มาของเสียงนั้น แต่เธอไม่เห็นอะไรเลย

เมื่อมองไปที่นาฬิกา เวลาตีสามสิบสามนาทีอีกแล้ว

“เวลานี้อีกแล้ว คืออะไร แล้วเรากลับมานอนที่เตียงตั้งแต่เมื่อไหร่”

หญิงสาวเอามือขึ้นมากุมขมับตัวเอง พร้อมทั้งคลึงไปมา เหมือนอยากจะเค้นให้ความทรงจำที่เหมือนจะหายไปกลับมาให้ได้ แต่เธอก็จำอะไรไม่ได้จริงๆ

ตอนนี้มินไม่สามารถข่มตาหลับได้แล้ว เมื่อมองไปที่โต๊ะทำงาน หญิงสาวเห็นไดอารี่ที่เธอเจอที่ห้องข้างๆ เธออยากรู้เหลือเกินว่าเกิดอะไรขึ้น จึงรีบเดินไปที่โต๊ะ และหยิบไดอารี่ออกมาอ่านอย่างรวดเร็ว

วันแรกหญิงสาวที่ไม่ได้ระบุชื่อพรรณนาถึงความตื่นเต้นและดีใจที่จะได้ย้ายมาอยู่บ้านหลังนี้ หลังจากที่รอให้บ้านหลังซ่อมเสร็จมาเกือบสองเดือน โดยที่ไม่ได้บอกเหตุผลว่าต้องซ่อมหนักตั้งสองเดือนเพราะอะไร

อาทิตย์แรกดูเหมือนหญิงสาวจะมีความสุขมากกับบ้านหลังนี้ หญิงสาวเจ้าของไดอารี่ดูเหมือนจะเป็นแม่บ้าน และบ้านหลังนี้เธอก็เช่าอยู่กับสามีสองคน

แต่อาทิตย์ที่สอง เหมือนจะมีอะไรผิดปกติเกิดขึ้น สิ่งของที่วางไว้เริ่มเคลื่อนย้าย หรือหายไปจากที่ที่มันควรจะอยู่

ที่เหมือนกันกับมินตราคือ ประตูห้องเก็บของเปิดออกในทุก ๆ เช้า โดยสามีเธอเปลี่ยนกลอนประตูไปหลายต่อหลายอัน แต่ก็ยังไม่สามารถซ่อมได้ ให้ช่างมาดูก็ไม่เห็นถึงความผิดปกติใดๆ

“ทำไมเหตุการณ์มันเหมือนกับเราเลย” มินพึมพำออกมาเบาๆ

อยู่ ๆ ฟ้าก็แลบขึ้นมา หญิงสาวหันไปมองที่ระเบียงห้องและก็ต้องตกใจเมื่อเห็นผู้หญิงคนหนึ่งยืนหันหลังให้เธออยู่ตรงระเบียงห้อง โดยมีเด็กผู้ชายยืนอยู่ข้างหลัง

Patuloy na basahin ang aklat na ito nang libre
I-scan ang code upang i-download ang App

Pinakabagong kabanata

  • บ้านเลขที่ 13   ตอนพิเศษ 3

    “ฉันเลือก....”คำพูดของภูมิขาดหายไปเมื่อเขาตระหนักว่าการเลือกไม่ใช่ทางออกเดียวที่มีอยู่ ถ้าหากเขาเลือกเป็นตัวตายตัวแทนของซัน คนอื่นก็อาจจะรอดไปได้ แต่เขาเองจะติดอยู่ในวงจรอาถรรพ์นี้ต่อไป และหากเขาเลือกจะเป็นเพื่อนซัน มันก็ไม่ได้หมายความว่าคำสาปนี้จะจบลงมีทางเลือกอื่นไหม? ทางที่จะทำลายคำสาปนี้ให้หมดสิ้นไปซันหายไปแล้วราวกับว่าต้องการให้ภูมิได้มีเวลาคิดถึงทางเลือกของตัวเองภูมินิ่งคิดสักพักใหญ่ก่อนจะมุ่งตรงไปยังห้องนอนเพื่อค้นเอกสารเก่าที่เขาค้นพบก่อนหน้านี้ หากคำสาปนี้เกี่ยวข้องกับพิธีกรรมบางอย่าง มันต้องมีร่องรอยหรือวิธีแก้ไขอยู่ในบันทึกเหล่านั้นพลิกกระดาษเก่า ๆ ไปทีละหน้า เขาสะดุดตากับข้อความหนึ่งในรายงานของตำรวจที่ระบุถึง “วัตถุปริศนา” ซึ่งถูกเก็บไว้ในห้องเก็บของของบ้าน เป็นรูปปั้นเด็กผู้ชายที่ดูคล้ายกับซันอย่างไม่น่าเชื่อ และมีข่าวลือว่ามันเคยถูกทำลาย แต่กลับฟื้นคืนมาในสภาพเดิมอย่างไม่มีร่องรอยความเสียหาย‘หลวงพี่โต้งเคยพูดถึงรูปปั้นนี้... มีคนเคยทำลายมัน แต่เพราะทำลายผิดวิธี มันจึงกลับมาได้’ห

  • บ้านเลขที่ 13   ตอนพิเศษ 2

    ภูมิถอนหายใจยาวหลังจากวางสายกับแฟนของประภาพิมพ์ ดูเหมือนทุกคนที่เกี่ยวข้องกับบ้านเลขที่ 13 จะพยายามหลีกเลี่ยงเรื่องนี้ให้มากที่สุด ยิ่งทำให้เขามั่นใจว่ายังมีบางอย่างที่ถูกซ่อนไว้แต่คำถามสำคัญคือ... ทำไม?คืนนั้น เขากลับมาที่บ้านเลขที่ 13 อีกครั้งด้วยความรู้สึกกดดันแปลก ๆ คราวนี้เขาไม่ได้มาเพียงเพื่อเก็บข้อมูล แต่เพื่อค้นหาคำตอบบางอย่างที่ยังคงคลุมเครืออยู่ขณะที่เดินผ่านหน้าร้านขายของชำ เขาสังเกตเห็นป้าอุษาแอบมองจากหน้าต่างร้านของตัวเอง แม้เธอจะไม่พูดอะไร แต่แววตานั้นเต็มไปด้วยความกังวลเขาใช้กุญแจไขประตูเข้าไปข้างใน บรรยากาศในบ้านเงียบงัน มีเพียงเสียงฝีเท้าเบา ๆ ของตัวเขาเองที่สะท้อนในความว่างเปล่าเขาเดินขึ้นบันไดไปที่ชั้นสอง คราวนี้ เขาตัดสินใจเข้าไปในห้องสุดท้ายของบ้านภายในห้องนั้นมีกลิ่นเหม็นอับ วอลเปเปอร์บนกำแพงเริ่มลอกออก โต๊ะเขียนหนังสือเก่าถูกตั้งไว้ริมหน้าต่าง มีรูปถ่ายที่ซีดจางวางอยู่บนโต๊ะมือของภูมิเอื้อมไปหยิบรูปถ่ายหนึ่งขึ้นมา เป็นรูปของครอบครัวหนึ่ง—พ่อ แม่ และเด็กชายคนหนึ่งเด็กชายในรูป... หน้าตาเหมือนเ

  • บ้านเลขที่ 13   ตอนพิเศษ 1

    เสียงประตูเหล็กที่ขึ้นสนิมครูดกับพื้นซีเมนต์ดังลั่นเมื่อภูมิเปิดประตูรั้วเข้ามาในบ้านเลขที่ 13 บรรยากาศโดยรอบเงียบสงัดจนผิดปกติ มีเพียงเสียงลมพัดไหวผ่านต้นไม้แห้ง ๆ ที่ขึ้นอยู่ริมรั้วเท่านั้นเขาหยิบกุญแจที่ป้าอุษาให้มา แล้วไขประตูเข้าไปด้านใน บ้านทั้งหลังเงียบกริบ มีเพียงแสงจากดวงไฟถนนด้านนอกที่ลอดผ่านเข้ามาทางหน้าต่างที่มีม่านขาดรุ่งริ่ง ภูมิยกนาฬิกาข้อมือขึ้นมาดู ตอนนี้เป็นเวลาเกือบสองทุ่ม“เริ่มงานเลยดีกว่า” เขาพึมพำ ก่อนจะหยิบสมุดโน้ตกับกล้องถ่ายรูปออกมาจากกระเป๋า เขาวางข้าวของไว้บนโต๊ะกลางห้องรับแขกแล้วเริ่มสำรวจไปรอบ ๆ บ้านภูมิได้รับหน้าที่ทำสกู๊ปข่าวพิเศษเกี่ยวกับบ้านร้างที่มีอาถรรพ์มากที่สุดในกรุงเทพฯ ซึ่งบ้านหลังนี้ติดอันดับหนึ่งในสิบด้วย ภูมิจึงตัดสินใจเลือกบ้านหลังนี้สิ่งแรกที่เขาสังเกตเห็นคือฝุ่นที่เกาะหนาเตอะตามเฟอร์นิเจอร์และพื้นบ้าน เป็นไปได้ว่าบ้านหลังนี้อาจไม่มีใครอยู่มานานแล้ว แต่ที่แปลกคือไม่มีร่องรอยของสัตว์รบกวน เช่นหนูหรือแมลงสาบเลยแม้แต่น้อย ราวกับว่ามีบางอย่างทำให้พวกมันไม่กล้าเข้ามาภูมิก้าวขึ้นไปบนชั้นสอง ปร

  • บ้านเลขที่ 13   บทที่ 22 (ตอนจบ)

    มินยืนตัวแข็งทื่อ ร่างของเธอราวกับถูกตรึงเอาไว้ด้วยแรงบางอย่างที่มองไม่เห็น ความกลัวพุ่งเข้าจู่โจมจนเธอแทบจะหายใจไม่ออก ดวงตาของเด็กชายที่ชื่อซันนั้นว่างเปล่า ราวกับไม่มีวิญญาณอยู่ในร่างกาย"พี่มิน... จะทำยังไงหรือฮะ?" เสียงเย็นเยียบของเด็กชายดังขึ้นอีกครั้ง พร้อมกับรอยยิ้มแปลกประหลาดที่เริ่มฉีกกว้างเกินกว่าที่มนุษย์ควรจะทำได้มินพยายามถอยหลังไปเรื่อย ๆ แต่ขาของเธอกลับไม่ขยับตามที่ต้องการ หัวใจของเธอเต้นรัวเหมือนกลองศึก เหงื่อเย็นไหลซึมไปทั่วแผ่นหลัง ความรู้สึกเหมือนถูกจ้องมองจากทุกทิศทางทำให้เธอแทบจะเป็นบ้า"ทำไม... ทำไมถึงเป็นแบบนี้ ซัน... เธอเป็นใครกันแน่!" มินตะโกนออกไปสุดเสียง ความหวังที่ว่าเด็กชายตรงหน้าจะตอบคำถามเธอด้วยความเมตตานั้นไม่มีอยู่จริงซันหัวเราะเบา ๆ เสียงของเขาดังก้องอยู่ในห้องเก็บของแคบ ๆ ก่อนจะค่อย ๆ เดินเข้ามาใกล้"พี่ไม่จำเป็นต้องรู้หรอกฮะ... แค่รู้ไว้ว่าพี่ต้องอยู่ที่นี่... อยู่กับผม... ตลอดไป!"ทันทีที่คำพูดนั้นจบลง แรงมหาศาลที่มองไม่เห็นก็พุ่งเข้าโถมใส่มิน ร่างของเธอลอยหวือกระแทกกับผนังด้านหลังจนรู้สึกได้ถึงแรงกระแท

  • บ้านเลขที่ 13   บทที่ 21

    มินจ้องมองที่กำแพงด้วยความหวาดกลัว ชื่อของเธอกำลังค่อยๆ ปรากฏขึ้นทีละตัวอักษร เหมือนมีมือล่องหนกำลังเขียนมันลงไป เธอรู้สึกว่าหัวใจของเธอเต้นแรงขึ้นทุกวินาที ความกลัวที่เคยค่อยๆ คืบคลานเข้ามาในใจของเธอ ตอนนี้ได้กลายเป็นคลื่นยักษ์ที่ถาโถมเข้ามาอย่างรุนแรง“ไม่... นี่มันไม่ใช่เรื่องจริง...” มินพึมพำกับตัวเอง แต่เธอรู้ดีว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตรงหน้านั้นเป็นเรื่องจริงเกินกว่าที่เธอจะปฏิเสธได้เธอรีบคว้าจดหมายฉบับอื่นๆ ในกล่องขึ้นมาอ่าน ทุกฉบับล้วนแต่เป็นจดหมายที่เขียนโดยผู้เช่าบ้านคนก่อนๆ ที่ต่างก็พยายามยกเลิกสัญญาเช่า แต่ดูเหมือนว่าไม่มีใครสามารถทำได้สำเร็จ จดหมายแต่ละฉบับเต็มไปด้วยความหวาดกลัวและความสิ้นหวัง บางฉบับถึงกับเขียนถึงการพบเจอสิ่งลึกลับในบ้านหลังนี้ เช่นเดียวกับที่เธอกำลังประสบอยู่มินรู้สึกว่าตัวเองกำลังถูกดึงเข้าไปในความลึกลับที่เธอไม่อาจเข้าใจได้ เธอต้องหาทางออกจากที่นี่ให้ได้ แต่ก่อนอื่น เธอต้องเข้าใจว่าอะไรคือสาเหตุของทุกสิ่งที่เกิดขึ้น“ซัน... ซันช่วยพี่หน่อย...” มินร้องเรียกด้วยเสียงที่สั่นเครือ แต่ไม่มีเสียงใดๆ ตอบ

  • บ้านเลขที่ 13   บทที่ 20

    “หา เด็กผู้ชาย ใช่ ซันหรือเปล่า” มินพึมพำกับตัวเอง รีบเปิดวันต่อไปเพื่ออ่านต่อเมื่อคิดว่าเด็กผู้ชายคนนั้นก็คือ ‘ซัน’ หญิงสาวก็เริ่มมีความหวาดหวั่น เหมือนทุกสิ่งที่ตัวเองกำลังเจอเดินตามรอยของหญิงสาวคนนี้ ที่เคยอยู่ในบ้านหลังนี้และต้องเผชิญกับความลึกลับที่เธอกำลังประสบอยู่ เธอพลิกหน้าต่อไปอย่างใจจดจ่อ“วันที่ 11 วันนี้ฉันเริ่มรู้สึกว่ามีอะไรบางอย่างผิดปกติในบ้านหลังนี้ ฉันได้ยินเสียงฝีเท้าในตอนกลางคืน ทั้งที่ฉันอยู่คนเดียว เสียงนั่นเหมือนกับเด็กวิ่งไปมาบนพื้นไม้ แต่เมื่อฉันเปิดไฟดู ก็ไม่มีอะไร ฉันพยายามบอกตัวเองว่ามันอาจเป็นแค่เสียงบ้านเก่าแต่ใจฉันรู้ดีว่ามันไม่ใช่วันที่ 12 ฉันเห็นเขาแล้ว... เด็กชายคนนั้น เขายืนอยู่ที่มุมห้อง มองมาที่ฉันด้วยสายตาเศร้าสร้อย ฉันพยายามตะโกนถามว่าเขาเป็นใคร แต่เขาก็หายไปในความมืด ฉันรู้สึกเหมือนเขาพยายามจะบอกอะไรฉัน แต่ฉันไม่เข้าใจวันที่ 13 ฉันพบรอยขีดเขียนบนกำแพงห้องเก็บของ มันเป็นรายชื่อของผู้ที่เคยอยู่ในบ้านนี้ พร้อมกับวันที่เสียชีวิต ฉันเห็นชื่อของตัวเองถูกเขียน

Higit pang Kabanata
Galugarin at basahin ang magagandang nobela
Libreng basahin ang magagandang nobela sa GoodNovel app. I-download ang mga librong gusto mo at basahin kahit saan at anumang oras.
Libreng basahin ang mga aklat sa app
I-scan ang code para mabasa sa App
DMCA.com Protection Status