มินนั่งตัวแข็งทื่อดูเงาตรงหน้า แต่เพียงแค่แวบเดียวภาพตรงนั้นก็หายไป
มินรีบยืนขึ้นเดินไปเปิดประตูระเบียงแล้วเดินออกไปมองดูรอบ ๆ พยายามมองหา
“ผีไม่มีจริง ผีไม่มีจริง ผีไม่มีจริง ทุกอย่างเป็นเพราะแสงและเงา มันต้องอธิบายได้ด้วยวิทยาศาสตร์สิ”
เสียงพึมพำของหญิงสาวที่พยายามบอกตัวเองแบบนั้น ระหว่างเดินไปเดินมาตรงระเบียงเพื่อพยายามหาที่มาของภาพหลอนนั่น
เดินอยู่สักพัก จึงหยุดเดินที่ริมระเบียงแล้วมองลงไปเบื้องล่าง
“มันเป็นแค่เงาเท่านั้น...”
ยังคิดไม่ทันจบ ก็เห็นเด็กผู้ชายคนนั้นกำลังแหงนหน้ามองมาที่เธอแล้วยิ้มให้
มินไม่คิดอะไรทั้งนั้น รีบวิ่งกลับเข้าไปในห้อง พร้อมกับกระชากประตูห้องนอนเพื่อเปิดลงไปข้างล่าง ในใจหญิงสาวต้องการพบเด็กคนนี้ ต้องการรู้ว่าเด็กคนนี้ต้องการอะไร ที่สำคัญ เขาเป็นคนหรือผี
หญิงสาวเปิดประตูหน้าบ้านแล้วมองออกไปข้างหน้า ใต้แสงจันทร์และแสงไฟถนน ทำให้ร่างของเด็กคนนั้นดูลึกลับอย่างบอกไม่ถูก
“หนู หนูเป็นใครมาทำอะไรที่บ้านน้าเหรอจ๊ะ” มินพยายามข่มความกลัว เธออยากรู้จริงๆ ว่าเด็กคนนี้เป็นคนหรือเป็น...ผี และเด็กคนนี้มาหาเธอต้องการอะไร
เด็กผู้ชายยืนจ้องมินอยู่ครู่หนึ่ง ก็ฉีกยิ้มออกมา เป็นยิ้มที่ดูไร้เดียงสา...แต่ภายใต้บรรยากาศที่เงียบและมืดเช่นนี้ มันมีความรู้สึกเย็นยะเยือกผุดขึ้นมาด้วย
“สวัสดีครับพี่มิน ผมอยู่ที่นี่ฮะ” เด็กน้อยตอบคำถามมินอย่างตรงไปตรงมา
“หา! เธออยู่ที่นี่ มะ มะ หมายความว่ายังไง เธอไม่ใช่คนเหรอ” มือของหญิงสาวเย็นเฉียบ ขาแทบจะก้าวไปไหนไม่ออก คำที่เธอท่องอยู่ในใจ ‘ผีไม่มีจริง ผีไม่มีจริง’ กำลังจะสั่นคลอน
“ฮะ จะเรียกว่าอย่างนั้นก็ได้ฮะ”
‘นั่นไง ผีไม่มีจริง ผีไม่มีจริง ผีมีจริง ผีมีจริงๆ ด้วย’ หลังจากบ่นกับตัวเองในใจนานพอสมควร เพื่อข่มความกลัวในใจไปได้ระดับหนึ่ง มินจึงถามออกเด็กตรงหน้าออกไป ในสิ่งที่เธอสงสัย
“แล้วเธออยู่ที่นี่กับใครเหรอ เธอเป็นอะไรตาย ทำไมวิญญาณของเธอถึงมาอยู่ที่นี่” มินรัวคำถามทันที
เด็กชายเมื่อได้ฟังคำถามเหล่านั้น ก็ยิ้มออกมา แต่คราวนี้เป็นรอยยิ้มที่ดูเศร้าสร้อยอย่างมาก
มินรู้สึกหน่วงๆ ที่หัวใจเมื่อเห็นรอยยิ้มนั้นอย่างบอกไม่ถูก
“พี่สาวอยากรู้จริงเหรอฮะ พี่ไม่กลัวผมแล้วใช่มั้ยฮะ” เด็กชายถามออกมา ดูออกว่าพยายามข่มอาการสะอื้นไม่ให้อยู่ในน้ำเสียง
มินได้แต่ยืนนิ่ง ไม่รู้จะตอบอะไร จะบอกว่าไม่กลัวก็ไม่ใช่ จะบอกว่ากลัวก็กลัวจริงๆ แต่ความอยากรู้มีมากกว่า แต่ถ้าบอกออกไป คำตอบเหล่านั้น จะทำให้เกิดอะไรขึ้นหรือเปล่า หญิงสาวจึงตัดสินใจเงียบ
เมื่อเห็นว่าพี่สาวตรงหน้าเงียบไปพักใหญ่ๆ แล้ว เด็กน้อยถอนหายใจออกมา แล้วเอ่ยเสียงเบาๆ ว่า
“ดูเหมือนตอนนี้ พี่ยังไม่พร้อมจะคุยกับผมนะฮะ งั้นถ้าพี่พร้อมเมื่อไหร่ เราค่อย.....”
ยังพูดไม่ทันจบ เด็กน้อยที่มองมาที่หญิงสาวก็ชะงักไป มินตราเห็นแววตาที่ดูหวาดกลัวแล้วท่าทางที่ดูลนลาน และตื่นกลัวอย่างเห็นได้ชัด
“ผะ ผมต้องไปแล้วนะฮะ พยายามออกไปจากที่นี่ให้เร็วที่สุด จำไว้นะฮะ พยายามออกไปให้เร็วที่สุด”
มินเห็นว่าเด็กผู้ชายมองไปข้างหลังเธอตลอดเวลา หญิงสาวรีบหันหลังกลับไปเพื่อมองดูว่าเด็กน้อยกลัวอะไรกันแน่ แต่ก็ไม่พบอะไรแม้แต่น้อย เมื่อหันกลับมา ก็ไม่เห็นเด็กคนนั้นแล้ว เหลือเพียงคำพูดของเขาที่ยังก้องอยู่ในหูเธอ
เมื่อไม่มีใครอยู่ตรงหน้า มินรีบวิ่งกลับเข้าไปในบ้านและปิดประตูทันที จากนั้นก็รีบขึ้นไปที่ห้องนอนตัวเอง
ตอนนี้เวลาล่วงเข้าไปตีสามสี่สิบห้าแล้ว อากาศในห้องรู้สึกเย็นยะเยือกอย่างบอกไม่ถูก หญิงสาวจึงเดินไปมุดตัวเข้าไปอยู่ในเตียงแล้วก็พยายามข่มตานอนเพื่อที่วันนี้สายๆ จะได้มีแรงไปช่วยงานศพพี่อู๊ดที่วัด
ครั้งนึกถึงพี่อู๊ด หญิงสาวก็เผลอร้องไห้ออกมาจนผล๊อยหลับไป
มินตื่นมาอีกทีเมื่อช่วงสายๆ หญิงสาวรู้สึกมึนหัวเล็กน้อย จากอาการนอนไม่พอมาหลายคืน หญิงสาวสะบัดหัวไปมาเพื่อไล่ความง่วงหงาวหาวนอนออกไป เหลือบมองนาฬิกา เป็นเวลาสิบนาฬิกาแล้ว
“ตายแล้ว ต้องไปช่วยพี่โต้งเพื่อจัดถวายเพลที่วัด”
ว่าแล้วก็รีบวิ่งเข้าไปอาบน้ำ ผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วออกจากบ้านไป
เนื่องจากเป็นช่วงเทศกาลหยุดยาว ทำให้รถไม่ค่อยติด มินใช้เวลาไม่นานก็ไปถึงที่วัด
หลังจากที่ถวายเพลเรียบร้อยและรอพระท่านฉันอยู่นั้น มินสังเกตเห็นพระหนุ่มรูปหนึ่งคอยมองมาที่เธอด้วยอาการแปลกๆ เหมือนเหลือบตามองด้วยอาการหวาดกลัวจนทำให้พระชรารูปข้างๆ หันไปพูดอะไรสักอย่าง ทำให้พระหนุ่มรูปนั้นหลีกเลี่ยงการมองมาที่มินและปากก็เหมือนจะสวดพึมพำอะไรอยู่ตลอดเวลา
เมื่อได้รับพรหลังจากพระฉันเสร็จแล้ว ระหว่างทื่ยืนส่งพระออกจากศาลา พระชรารูปนั้นหยุดยืนอยู่ตรงหน้ามินและพูดออกมา
“โยม เขาห่วงโยมมากนะ หากโยมอยากจะหาคำตอบในสิ่งที่โยมอยากรู้ โยมต้องพยายามมองไปรอบๆ ตัวโยม คำตอบอยู่รอบๆ ตัวโยม ที่สำคัญ อย่าปล่อยเวลาให้นานเกินไป ไม่อย่างนั้น” ไม่มีคำพูดใดออกมาอีก
“ไม่อย่างนั้นทำไมหรือค่ะ”
“อาตมาพูดมากไม่ได้หรอกโยม มีทั้งคนที่อยากให้พูด และมีทั้งคนที่ไม่อยากให้พูด อาตมาเตือนได้เท่านี้แหละ”
พูดจบพระชรารูปนั้นก็รีบเดินออกไปทันที
มินยกมือค้างอึ้งไปกับสิ่งที่ได้ยิน ในขณะที่พี่โต้งก็ดูอึ้งๆ ไปเหมือนกัน ทั้งสองหันไปมองหน้ากัน
“พี่โต้งค่ะ มิน...” จังหวะที่มินอยากจะถามแต่เหมือนพี่โต้งไม่อยากจะตอบ
“เอ่อ มินเดี๋ยวพี่ต้องไปซื้อของสำหรับถวายพระเย็นนี้เพิ่ม ตอนนี้ไม่มีอะไรมินจะไปเดินเล่นที่ห้างแถวที่ก่อนเถอะ แล้วเจอกันตอนหกโมงเย็นนะ พี่ไปละ” พี่โต้งเดินออกไปจากศาลาทันทีที่พูดจบ
“อ้าวพี่โต้ง เดี๋ยวสิค่ะ อะไรเนี่ยยังไม่ทันได้พูด ได้ถามอะไรเลย ทำไมต้องรีบขนาดนั้น”
มินหันไปมองที่รูปของพี่อู๊ดที่ตั้งอยู่หน้าโลงศพแล้วค่อยๆ เดินเข้าไปหาอย่างช้าๆ มือบางลูบไปที่รูปภาพนั้นอย่างอาลัย
“ขนาดพี่ไม่อยู่แล้ว พี่ก็ยังหวังดีกับมินอยู่เลย ขอบคุณมากนะคะ พี่อู๊ด หากชาติหน้ามีจริง ขอให้เราทั้งสองเกิดมาเจอกันอีกนะคะ และมินจะขอเป็นคนที่ดูแลพี่อู๊ดบ้างนะคะ ฮือ ฮือ ฮือ ฮือ” มินร้องไห้ออกมาอย่างเก็บไม่อยู่
ประโยคของหลวงลุงรูปนั้นยังก้องอยู่ในหัวเธอ ‘เขาห่วงโยมมากนะ’
“ฮือ ฮือ ฮือ พี่อู๊ด ฮือ ฮือ ฮือ ไม่ต้องห่วงมินแล้วนะ มินจะดูแลตัวเองดีๆ พี่อู๊ดไปสู่สุขคติเถอะนะคะ มินรักพี่นะคะ ฮือ ฮือ ฮือ”
เพล้ง
สิ้นประโยคนั้น มินสะดุ้งรีบเดินไปตามเสียงที่ได้ยินก็เห็นถาดข้าวสำหรับไหว้ศพหล่นลงมา พร้อมกับถ้วยชามและแก้วน้ำที่แตกกระจาย
เหมี้ยวววว!
เสียงแมวที่ร้องเหมือนถูกใครตีก็ดังขึ้น เมื่อหันไปทางเสียงก็เห็นแมวดำตัวหนึ่งกำลังกระโดดขึ้นไปอยู่บนโลงศพ มันร้องพร้อมกับเลียไปที่ขา มันนั่งอยู่ตรงนั้นไม่นานก็หันไปขู่ทางมุมศาลาที่ใกล้กับจุดตั้งศพ แล้วก็รีบกระโดดออกไปเหมือนกับหนีอะไรสักอย่าง
เหมี้ยวววววว!
“ฉันเลือก....”คำพูดของภูมิขาดหายไปเมื่อเขาตระหนักว่าการเลือกไม่ใช่ทางออกเดียวที่มีอยู่ ถ้าหากเขาเลือกเป็นตัวตายตัวแทนของซัน คนอื่นก็อาจจะรอดไปได้ แต่เขาเองจะติดอยู่ในวงจรอาถรรพ์นี้ต่อไป และหากเขาเลือกจะเป็นเพื่อนซัน มันก็ไม่ได้หมายความว่าคำสาปนี้จะจบลงมีทางเลือกอื่นไหม? ทางที่จะทำลายคำสาปนี้ให้หมดสิ้นไปซันหายไปแล้วราวกับว่าต้องการให้ภูมิได้มีเวลาคิดถึงทางเลือกของตัวเองภูมินิ่งคิดสักพักใหญ่ก่อนจะมุ่งตรงไปยังห้องนอนเพื่อค้นเอกสารเก่าที่เขาค้นพบก่อนหน้านี้ หากคำสาปนี้เกี่ยวข้องกับพิธีกรรมบางอย่าง มันต้องมีร่องรอยหรือวิธีแก้ไขอยู่ในบันทึกเหล่านั้นพลิกกระดาษเก่า ๆ ไปทีละหน้า เขาสะดุดตากับข้อความหนึ่งในรายงานของตำรวจที่ระบุถึง “วัตถุปริศนา” ซึ่งถูกเก็บไว้ในห้องเก็บของของบ้าน เป็นรูปปั้นเด็กผู้ชายที่ดูคล้ายกับซันอย่างไม่น่าเชื่อ และมีข่าวลือว่ามันเคยถูกทำลาย แต่กลับฟื้นคืนมาในสภาพเดิมอย่างไม่มีร่องรอยความเสียหาย‘หลวงพี่โต้งเคยพูดถึงรูปปั้นนี้... มีคนเคยทำลายมัน แต่เพราะทำลายผิดวิธี มันจึงกลับมาได้’ห
ภูมิถอนหายใจยาวหลังจากวางสายกับแฟนของประภาพิมพ์ ดูเหมือนทุกคนที่เกี่ยวข้องกับบ้านเลขที่ 13 จะพยายามหลีกเลี่ยงเรื่องนี้ให้มากที่สุด ยิ่งทำให้เขามั่นใจว่ายังมีบางอย่างที่ถูกซ่อนไว้แต่คำถามสำคัญคือ... ทำไม?คืนนั้น เขากลับมาที่บ้านเลขที่ 13 อีกครั้งด้วยความรู้สึกกดดันแปลก ๆ คราวนี้เขาไม่ได้มาเพียงเพื่อเก็บข้อมูล แต่เพื่อค้นหาคำตอบบางอย่างที่ยังคงคลุมเครืออยู่ขณะที่เดินผ่านหน้าร้านขายของชำ เขาสังเกตเห็นป้าอุษาแอบมองจากหน้าต่างร้านของตัวเอง แม้เธอจะไม่พูดอะไร แต่แววตานั้นเต็มไปด้วยความกังวลเขาใช้กุญแจไขประตูเข้าไปข้างใน บรรยากาศในบ้านเงียบงัน มีเพียงเสียงฝีเท้าเบา ๆ ของตัวเขาเองที่สะท้อนในความว่างเปล่าเขาเดินขึ้นบันไดไปที่ชั้นสอง คราวนี้ เขาตัดสินใจเข้าไปในห้องสุดท้ายของบ้านภายในห้องนั้นมีกลิ่นเหม็นอับ วอลเปเปอร์บนกำแพงเริ่มลอกออก โต๊ะเขียนหนังสือเก่าถูกตั้งไว้ริมหน้าต่าง มีรูปถ่ายที่ซีดจางวางอยู่บนโต๊ะมือของภูมิเอื้อมไปหยิบรูปถ่ายหนึ่งขึ้นมา เป็นรูปของครอบครัวหนึ่ง—พ่อ แม่ และเด็กชายคนหนึ่งเด็กชายในรูป... หน้าตาเหมือนเ
เสียงประตูเหล็กที่ขึ้นสนิมครูดกับพื้นซีเมนต์ดังลั่นเมื่อภูมิเปิดประตูรั้วเข้ามาในบ้านเลขที่ 13 บรรยากาศโดยรอบเงียบสงัดจนผิดปกติ มีเพียงเสียงลมพัดไหวผ่านต้นไม้แห้ง ๆ ที่ขึ้นอยู่ริมรั้วเท่านั้นเขาหยิบกุญแจที่ป้าอุษาให้มา แล้วไขประตูเข้าไปด้านใน บ้านทั้งหลังเงียบกริบ มีเพียงแสงจากดวงไฟถนนด้านนอกที่ลอดผ่านเข้ามาทางหน้าต่างที่มีม่านขาดรุ่งริ่ง ภูมิยกนาฬิกาข้อมือขึ้นมาดู ตอนนี้เป็นเวลาเกือบสองทุ่ม“เริ่มงานเลยดีกว่า” เขาพึมพำ ก่อนจะหยิบสมุดโน้ตกับกล้องถ่ายรูปออกมาจากกระเป๋า เขาวางข้าวของไว้บนโต๊ะกลางห้องรับแขกแล้วเริ่มสำรวจไปรอบ ๆ บ้านภูมิได้รับหน้าที่ทำสกู๊ปข่าวพิเศษเกี่ยวกับบ้านร้างที่มีอาถรรพ์มากที่สุดในกรุงเทพฯ ซึ่งบ้านหลังนี้ติดอันดับหนึ่งในสิบด้วย ภูมิจึงตัดสินใจเลือกบ้านหลังนี้สิ่งแรกที่เขาสังเกตเห็นคือฝุ่นที่เกาะหนาเตอะตามเฟอร์นิเจอร์และพื้นบ้าน เป็นไปได้ว่าบ้านหลังนี้อาจไม่มีใครอยู่มานานแล้ว แต่ที่แปลกคือไม่มีร่องรอยของสัตว์รบกวน เช่นหนูหรือแมลงสาบเลยแม้แต่น้อย ราวกับว่ามีบางอย่างทำให้พวกมันไม่กล้าเข้ามาภูมิก้าวขึ้นไปบนชั้นสอง ปร
มินยืนตัวแข็งทื่อ ร่างของเธอราวกับถูกตรึงเอาไว้ด้วยแรงบางอย่างที่มองไม่เห็น ความกลัวพุ่งเข้าจู่โจมจนเธอแทบจะหายใจไม่ออก ดวงตาของเด็กชายที่ชื่อซันนั้นว่างเปล่า ราวกับไม่มีวิญญาณอยู่ในร่างกาย"พี่มิน... จะทำยังไงหรือฮะ?" เสียงเย็นเยียบของเด็กชายดังขึ้นอีกครั้ง พร้อมกับรอยยิ้มแปลกประหลาดที่เริ่มฉีกกว้างเกินกว่าที่มนุษย์ควรจะทำได้มินพยายามถอยหลังไปเรื่อย ๆ แต่ขาของเธอกลับไม่ขยับตามที่ต้องการ หัวใจของเธอเต้นรัวเหมือนกลองศึก เหงื่อเย็นไหลซึมไปทั่วแผ่นหลัง ความรู้สึกเหมือนถูกจ้องมองจากทุกทิศทางทำให้เธอแทบจะเป็นบ้า"ทำไม... ทำไมถึงเป็นแบบนี้ ซัน... เธอเป็นใครกันแน่!" มินตะโกนออกไปสุดเสียง ความหวังที่ว่าเด็กชายตรงหน้าจะตอบคำถามเธอด้วยความเมตตานั้นไม่มีอยู่จริงซันหัวเราะเบา ๆ เสียงของเขาดังก้องอยู่ในห้องเก็บของแคบ ๆ ก่อนจะค่อย ๆ เดินเข้ามาใกล้"พี่ไม่จำเป็นต้องรู้หรอกฮะ... แค่รู้ไว้ว่าพี่ต้องอยู่ที่นี่... อยู่กับผม... ตลอดไป!"ทันทีที่คำพูดนั้นจบลง แรงมหาศาลที่มองไม่เห็นก็พุ่งเข้าโถมใส่มิน ร่างของเธอลอยหวือกระแทกกับผนังด้านหลังจนรู้สึกได้ถึงแรงกระแท
มินจ้องมองที่กำแพงด้วยความหวาดกลัว ชื่อของเธอกำลังค่อยๆ ปรากฏขึ้นทีละตัวอักษร เหมือนมีมือล่องหนกำลังเขียนมันลงไป เธอรู้สึกว่าหัวใจของเธอเต้นแรงขึ้นทุกวินาที ความกลัวที่เคยค่อยๆ คืบคลานเข้ามาในใจของเธอ ตอนนี้ได้กลายเป็นคลื่นยักษ์ที่ถาโถมเข้ามาอย่างรุนแรง“ไม่... นี่มันไม่ใช่เรื่องจริง...” มินพึมพำกับตัวเอง แต่เธอรู้ดีว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตรงหน้านั้นเป็นเรื่องจริงเกินกว่าที่เธอจะปฏิเสธได้เธอรีบคว้าจดหมายฉบับอื่นๆ ในกล่องขึ้นมาอ่าน ทุกฉบับล้วนแต่เป็นจดหมายที่เขียนโดยผู้เช่าบ้านคนก่อนๆ ที่ต่างก็พยายามยกเลิกสัญญาเช่า แต่ดูเหมือนว่าไม่มีใครสามารถทำได้สำเร็จ จดหมายแต่ละฉบับเต็มไปด้วยความหวาดกลัวและความสิ้นหวัง บางฉบับถึงกับเขียนถึงการพบเจอสิ่งลึกลับในบ้านหลังนี้ เช่นเดียวกับที่เธอกำลังประสบอยู่มินรู้สึกว่าตัวเองกำลังถูกดึงเข้าไปในความลึกลับที่เธอไม่อาจเข้าใจได้ เธอต้องหาทางออกจากที่นี่ให้ได้ แต่ก่อนอื่น เธอต้องเข้าใจว่าอะไรคือสาเหตุของทุกสิ่งที่เกิดขึ้น“ซัน... ซันช่วยพี่หน่อย...” มินร้องเรียกด้วยเสียงที่สั่นเครือ แต่ไม่มีเสียงใดๆ ตอบ
“หา เด็กผู้ชาย ใช่ ซันหรือเปล่า” มินพึมพำกับตัวเอง รีบเปิดวันต่อไปเพื่ออ่านต่อเมื่อคิดว่าเด็กผู้ชายคนนั้นก็คือ ‘ซัน’ หญิงสาวก็เริ่มมีความหวาดหวั่น เหมือนทุกสิ่งที่ตัวเองกำลังเจอเดินตามรอยของหญิงสาวคนนี้ ที่เคยอยู่ในบ้านหลังนี้และต้องเผชิญกับความลึกลับที่เธอกำลังประสบอยู่ เธอพลิกหน้าต่อไปอย่างใจจดจ่อ“วันที่ 11 วันนี้ฉันเริ่มรู้สึกว่ามีอะไรบางอย่างผิดปกติในบ้านหลังนี้ ฉันได้ยินเสียงฝีเท้าในตอนกลางคืน ทั้งที่ฉันอยู่คนเดียว เสียงนั่นเหมือนกับเด็กวิ่งไปมาบนพื้นไม้ แต่เมื่อฉันเปิดไฟดู ก็ไม่มีอะไร ฉันพยายามบอกตัวเองว่ามันอาจเป็นแค่เสียงบ้านเก่าแต่ใจฉันรู้ดีว่ามันไม่ใช่วันที่ 12 ฉันเห็นเขาแล้ว... เด็กชายคนนั้น เขายืนอยู่ที่มุมห้อง มองมาที่ฉันด้วยสายตาเศร้าสร้อย ฉันพยายามตะโกนถามว่าเขาเป็นใคร แต่เขาก็หายไปในความมืด ฉันรู้สึกเหมือนเขาพยายามจะบอกอะไรฉัน แต่ฉันไม่เข้าใจวันที่ 13 ฉันพบรอยขีดเขียนบนกำแพงห้องเก็บของ มันเป็นรายชื่อของผู้ที่เคยอยู่ในบ้านนี้ พร้อมกับวันที่เสียชีวิต ฉันเห็นชื่อของตัวเองถูกเขียน