CHAPTER 7
ชิดใกล้
ตอนค่ำ
หลังจากประตูห้องปิดลง ร่างสูงก็ปรายหางตามองไปยังห้องฝั่งตรงข้ามที่คนด้านในเงียบเชียบหายไปตั้งแต่ช่วงเย็น เสียงระบายลมหายใจพรืดใหญ่ดังยาว ก่อนเจ้าของเสียงจะตัดสินใจเดินไปเคาะบานประตูซึ่งปิดสนิทในนาทีสุดท้าย
ทว่าเพียง ‘ก๊อก’ แรกดังขึ้น บานประตูห้องที่ว่าก็ถูกเหวี่ยงเปิดออกแทบจะในทันที พร้อมกับเจ้าของห้องโผล่หน้าออกมาให้ได้เห็น
“เปลี่ยนใจจะพาเราไปด้วยเหรอ?” เรนยิ้มแป้น กระวีกระวาดสวมใส่รองเท้า จัดการล็อกประตูลงกลอนอย่างรวดเร็ว “ปะ เราพร้อมแล้ว”
“…” เพลิงถึงกับพูดไม่ออก เมื่อได้เห็นสภาพของคู่สนทนาที่ราวกับเตรียมความพร้อมที่จะออกไปข้างนอกอยู่ก่อนแล้ว
คนตัวเล็กซึ่งกำลังเงยหน้ามองเขาในขณะนี้ สวมใส่สายเดี่ยวเอวลอยกับกระโปรงยีนสั้นเหนือเข่ากว่าสองคืบ และแค่ได้เห็น เพลิงก็คว้ากุญแจมาจากมือเจ้าของ ถือวิสาสะไขลูกบิดเปิดห้องหมายเลข 13 อีกรอบ
“เพลิงทำอะไร?”
“ถ้าจะไป ไปหาเสื้อที่มันปิดมิดชิดมากกว่านี้” เสียงเรียบให้การตอบกลับสายตางุนงงของเพื่อนตัวเล็ก
ใบหน้าหล่อมีสีหน้ายุ่งยาก ใช่ว่าเพลิงไม่เคยเห็นเนินหน้าอกขาวผ่องของเพื่อนสนิท แต่เขาได้เห็นทีไรหน้ายายน้อยกับน้าศรีก็ลอยมาแต่ไกลทุกที
“เราว่าน่ารักดีออก ดูนี่สิ…” หญิงสาวชูหางเปียเดี่ยวให้ดู แสร้งไม่ได้ยินคำทัดทานกับการหลุบมองด้วยสายตาเยียบเย็น “น่ารักจะตาย”
“จะไปไม่ไป?” เพลิงตัดบท ตั้งท่ากอดอกพิงวงกบประตูด้วยสีหน้าเป็นต่อ “ถ้าเธอดื้อ เราจะโทรฟ้องน้าศรี”
“เพลิงกล้าเหรอ?” เรนถึงกับทำตาโตร้องเสียงดัง “เอาสิ ถ้าเพลิงฟ้องแม่เรา เราจะฟ้องแม่เพลิง”
“กลัวที่ไหน?” คนตัวโตไหวไหล่ไม่ยี่หระ แม้จะเบื่อกับคำบ่นของแม่แต่อย่างน้อยไอ้เพลิงก็เป็นผู้ชาย หากใครจะโดนดุมากกว่าคงไม่พ้นฝ่ายหญิง “แม่รู้อยู่แล้วว่าเราเป็นไง แต่ถ้าน้าศรีรู้ว่าเธอดื้อแบบนี้…”
“ก็ได้ ๆ” ไม่ต้องรอให้เพลิงพูดจบประโยค คนซึ่งเป็นฝ่ายเพลี่ยงพล้ำเสียทีก็จำต้องยกมือยอมแพ้
เรนรู้ดีว่าหากมีคนช่างฟ้องเอาไปพูดขึ้นมาจริง ๆ เธอจะต้องโดนแม่สวดยับเป็นแน่ แต่สำหรับเพลิงที่โดนด่าเป็นประจำคงไม่มีอะไรให้เสียมากไปกว่าที่เป็น
“เชิญไปเปลี่ยนเสื้อ” เพลิงพยักพเยิดส่งสัญญาณ
ใบหน้าหล่อกระตุกยิ้มมุมปากอย่างผู้กำชัย สายตาฉายแววขบขันมองตามคนตัวเล็กที่กระแทกเท้าเดินผ่านหน้ากลับเข้าห้องไปอย่างจำใจ ก่อนประตูจะกระแทกปิดลง
ปึง!
เพลิงยืนรอไม่กี่นาที คนด้านในก็เดินกลับออกมาอีกหน…
ร่างผอมบางเปลี่ยนเป็นสวมเสื้อแขนยาวคอเต่าที่ก็ยังอวดโชว์เอวคอดกิ่วไม่ต่างจากเดิม ต่างที่ขนาดของเนื้อผ้าที่คราวนี้ปกปิดสูงถึงช่วงลำคอ
“พอใจรึยัง?”
“…”
เพลิงนึกอยากจะขัดอีกสักรอบ อยากวิ่งเข้าไปหาเสื้อยืดโง่ ๆ สักตัวมายัดใส่หัวอีกฝ่าย แต่เพราะเป็นเพียงเพื่อนกันเขาไม่มีสิทธิ์ก้าวก่ายให้มากเกินพอดี สุดท้ายจึงได้แต่เงียบเสียงเป็นฝ่ายเริ่มออกเดินนำ โดยมีคนเดินตามส่งเสียงบ่นพึมพำ
“ให้มาด้วยแล้วก็อย่าบ่น” เพลิงอดไม่ได้ที่จะแทรกเสียงขัด
ตลอดช่วงบ่ายหญิงสาวรบเร้าจะให้เขาพาไปเที่ยวด้วย ตอนแรกไอ้เพลิงก็ใจแข็งปฏิเสธได้อยู่ แต่เจ้าตัวคงรู้ว่าเขาจะต้องใจอ่อนในนาทีสุดท้าย มิเช่นนั้นคงไม่ลงทุนแต่งหน้าแต่งตัว เตรียมพร้อมออกท่องราตรีขนาดนี้
“ถ้าบ่นมากวันหลังก็อยู่ห้องไป” เสียงเรียบขู่สำทับ แต่ขู่ไปก็เท่านั้นเมื่อคนซึ่งเดินตีคู่อยู่ข้างกันยังคงกอดอกเงยหน้าเถียง
“เราไม่ได้บ่นสักหน่อย แต่เพลิงชอบทำตัวเหมือนคนหัวโบราณ ทั้งที่ก็ชอบส่องนมตามไอจี แถมคบผู้หญิงแต่ละคนนมงี้เท่าลูกฟุตบอล”
คิ้วหนาเลื่อนขมวดเข้าหากันกับคำประชดเกินจริงที่ได้ฟัง
เพลิงยอมรับว่าชอบดูนม ผู้ชายชอบนมมันผิดตรงไหน ไม่ชอบนมสองเต้า จะให้ชอบไข่สองพวงหรือยังไง
“เราชอบดูนมมันก็ดีแล้ว ถ้ายายน้อยรู้ว่าไอ้เพลิงชอบดูอย่างอื่นคงได้อกแตกตาย”
“แล้วนมเรามันต่างจากคนอื่นตรงไหน?” เรนอยากรู้จริง ๆ ว่านมเธอมันไม่น่ามองบ้างเลยหรือยังไง
ทว่าเพียงได้ยินคำถามร่างสูงก็ชะงักหยุดเดิน เพลิงเริ่มตีหน้าจริงจังทำราวกับนมเธอเป็นปัญหาแห่งจักรวาลอย่างไรก็อย่างนั้น
“ทำไมเดี๋ยวนี้เถียงเก่ง?”
“เขาเรียกถาม ไม่ใช่เถียง”
“ก็เห็นอยู่ว่าเถียงคำไม่ตกฟาก เธอกลับห้องไปนอนดีไหม?” เพลิงตั้งท่าจะคว้าแขนคนตัวเล็กประกอบคำขู่ แต่คนขี้เถียงก็ฉลาดพอจะเบี่ยงตัวรีบเดินหนีอย่างรู้ทัน
“ร้านอยู่ไกลรึเปล่า?”
เรนทำทีเปลี่ยนเรื่องคุย สีหน้าไม่สลดเลยสักนิด แต่เพลิงก็ไม่ได้คิดจะลากใครกลับห้องอย่างเป็นจริงเป็นจังเช่นกัน
เขาขู่ไปก็เท่านั้น สุดท้ายก็ใจอ่อนทุกที
ครึ่งชั่วโมงต่อมา
ฤกษ์เหล้า
เรนคิดว่าร้านเหล้าก็เหมือนกันทุกที่ หากไม่ใช่ผับบาร์ก็ต้องเป็นร้านนั่งชิลล์ที่มีดนตรีสดกับจำนวนคนเยอะ ๆ ซึ่งยั้วเยี้ยเหมือนหนอน ไม่ว่าจะชลบุรีหรือเชียงใหม่ก็ไม่ต่าง และหากเป็นย่านที่มีนักศึกษาคนก็จะยิ่งเยอะเป็นพิเศษ
เสียงดนตรีสดในจังหวะชวนเต้นดังคลอไปกับเสียงพูดคุยของนักท่องราตรีซึ่งส่วนใหญ่ไม่พ้นเด็กมหา’ลัยเดียวกัน
ขณะที่ตากลมโตกวาดมองไปโดยรอบเพื่อสำรวจบรรยากาศ คนเดินนำหน้าก็หันมองกลับมาแทบจะทุกสองวินาที เพลิงทำอย่างกับกลัวเธอจะหลงอย่างไรก็อย่างนั้น ทั้งที่อายุเท่ากันแต่อีกฝ่ายชอบทำเหมือนว่าเธอเป็นเด็กอยู่เรื่อย
“ไอ้เพลิงมานู่นแล้ว”
“เพลิง!” เสียงตะโกนเรียกดังมาจากทางหนึ่ง
และเมื่อพบต้นเสียงทั้งสองก็ปรี่เดินไปยังทิศทางดังกล่าวทันที
“อ้าว! ไหนมึงว่าเรนไม่มา?” เติร์กเป็นคนแรกที่กุลีกุจอลุกขึ้น ตะโกนร้องขอเก้าอี้เพิ่มจากเด็กร้าน
ขณะเดียวกันเพลิงก็กดไหล่คนที่พามาด้วยให้นั่งเก้าอี้ซึ่งว่างเว้น พร้อมทั้งก้มหน้าส่งภาษาที่ข้างใบหูของหญิงสาวในระยะประชิด
“อยู่กับเพื่อนเราได้ใช่ไหม? จะไปเข้าห้องน้ำ”
“ดะ… ได้สิ” เรนอึกอักตอบกลับเมื่อเจอเข้ากับความใกล้ชิดโดยไม่ทันได้เตรียมใจ ทั้งสัมผัสจากมือหนาซึ่งบีบบริเวณลาดไหล่ทั้งสองข้าง รวมถึงใบหน้าคมคายที่เฉียดข้างแก้มใสเพียงนิดเดียวก็ด้วย
หากแสงไฟหรี่สลัวของร้านสว่างกว่านี้อีกนิด ทุกคนคงได้เห็นผิวแก้มของเธอฝาดแดงเป็นแน่ ทว่าคนซึ่งป้องปากตะโกนใส่หูแข่งกับเสียงเพลง คงไม่รู้เลยว่าทำให้ใจดวงน้อยสั่นไหวมากเพียงใด
ร่างสูงของเพลิงผละห่างออกไปแล้ว ทว่าอุณหภูมิร้อนจากลมหายใจอุ่นยังคงหลงเหลือบางเบาที่ข้างแก้มใส แต่แล้วเสียงของคนข้าง ๆ ก็กระชากสติหญิงสาวให้ตื่นจากภวังค์
“เหล้าหรือเบียร์”
“เบียร์ก็ได้” พลันยิ้มหวานก็ปรากฏบนใบหน้าผ่องใส เรนเพิ่งมีโอกาสได้มองไฉในระยะใกล้ ๆ และเป็นครั้งแรกที่อีกฝ่ายยิ้มตอบอย่างเป็นมิตร
“ตอนแรกไอ้เพลิงมันว่าจะไม่ให้เธอมา” ไฉเป็นฝ่ายชวนคุย สีหน้าแสดงความประหลาดใจเล็กน้อย “บอกว่าเธอเป็นเด็กอนามัยนอนไว”
คำที่ได้ฟังทำเอา ‘เด็กอนามัย’ เม้มริมฝีปากเย้ยเสียงเยาะในใจ “เราไม่ใช่เด็กอนามัยอะไรหรอก” เรนอดไม่ได้ที่จะแก้ต่าง “แต่เพลิงคงกลัวไม่ได้ส่องสาวน่ะสิ”
“อืม” ไฉขานเสียงรับ ระหว่างคีบน้ำแข็งก็หลุบสายตาสำรวจเรือนร่างขาวเนียนที่ดูบอบบางเหมือนเต้าหู้นุ่มนิ่มไปด้วย “มันน่าจะกลัวคนมาวอแวเธอมากกว่า”
“เพลิงเนี่ยเหรอ?” เรนสั่นหัวปฏิเสธ “เพลิงไม่สนใจเราขนาดนั้นหรอก ที่ให้มาด้วยก็เอาแต่บ่นตลอดทาง ว่าจะเป็นภาระอย่างนั้นอย่างนี้”
“หึ” ไฉหัวเราะออกมาอีกหนึ่งคำ “บ่นแต่ก็ยอมให้มา?”
“เพลิงเป็นคนใจอ่อน ตื๊อนิดตื๊อหน่อยก็คงทนรำคาญไม่ไหว” ยิ้มหวานปรากฏบนใบหน้าของหญิงสาว แต่คู่สนทนาไม่เห็นด้วย
“งั้นเราน่าจะอยู่กันคนละเซิร์ฟ” ไฉไม่เคยเห็นใครใจแข็งต่อคำรบเร้าได้เท่ากับคนซึ่งถูกอ้างถึง เห็นได้ชัดว่าเพลิงคงเลือกใจอ่อนแค่กับบางคน
“ไฉ ม้าบอกว่าม่าคิดถึง” เสียงบุคคลที่สามดังขึ้นในจังหวะนี้เอง
อาโปส่งต่อสมาร์ตโฟนให้เพื่อน ก่อนจะนั่งกอดอกไขว่ห้างอย่างเบื่อหน่าย เรือนผมหลุดลุ่ยจากการรวบมัดอย่างไม่ตั้งใจ กระทั่งใบหน้าไร้การแต้มแต่งบ่งบอกว่าไม่ผ่านการเตรียมตัวที่จะออกมาเที่ยว แต่ไฉก็เลือกที่จะส่งสัญญาณกับเจ้าของสีหน้าไร้อารมณ์คนที่ว่า
“มึงเทเบียร์ให้เพื่อนหน่อย”
“เอาเบียร์ใช่ไหม?”
“อือ” เรนพยายามจะแจกยิ้มอีกครั้ง ในบรรดาเพื่อนของเพลิง เธอแอบหวั่นใจในสีหน้าเรียบตึงกับท่าทีอ่านไม่ออกของอาโปที่สุด ถึงจะเป็นเพศเดียวกัน แต่โปต่างจากนิ้งโดยสิ้นเชิง ขณะที่คนหนึ่งเป็นมีนิสัยเปิดเผยอัธยาศัยดี แต่อีกคนดูจะขี้รำคาญไม่น้อย ทว่าก็ต้องแปลกใจที่ได้รับยิ้มตอบกลับจากคนที่ว่าเป็นครั้งแรก แม้จะเป็นยิ้มเล็กน้อยพอเป็นพิธีก็ตามที
“ม่าหรือม้ากันแน่?” เสียงบ่นดังมาจากไฉที่กำลังขมวดคิ้วอยู่กับหน้าจอ “ม้าอยากให้กูกลับบ้านอะดิ”
“ม่าหรือม้าแล้วต่างกันยังไง? กลับบ้านบ้างเถอะ กูเบื่อต้องเป็นนกพิราบคอยส่งข่าว” อาโปตั้งท่าจะดึงของส่วนตัวกลับคืน
ทว่าไฉก็เริ่มรัวนิ้วลงบนหน้าจอ “กูคุยเอง”
“สองคนนี้เป็นเพื่อนสนิทกัน ที่บ้านก็สนิทกัน เหมือนเรนกับเพลิงเปี๊ยบเลย” คะนิ้งชะโงกหน้าข้ามโต๊ะเพื่อให้ข้อมูลกับเพื่อนใหม่ ก่อนอีกคนที่บังเอิญได้ยินจะรีบหันมาสมทบเสียง
“กูว่าไอ้สองตัวนี้ดูเป็นเพื่อนกันจริง ส่วนเรนกับไอ้เพลิงกูว่าเคมีมันไม่ได้ เป็นเพื่อนกันจริง?” เติร์กเลิกคิ้วรอฟังอย่างคนสอดรู้
ทว่าเรนก็พยักหน้ายืนยันให้ความเป็นธรรมกับอีกคนที่ไม่ได้อยู่ตรงนี้
“เป็นเพื่อนสิ เพื่อนตั้งแต่เด็ก อาบน้ำกะละมังเดียวกันเลยแหละ”
“ถ้าสภาพกัดกันทุกวันแบบไอ้สองตัวนี้กูจะไม่สงสัยเลย” คะนิ้งบุ้ยใบ้ให้ได้เห็นสถานการณ์แย่งชิงสมาร์ตโฟนระหว่างไฉกับโป “แต่ไอ้เพลิงไม่ยักพูดหยาบกับเธอสักคำ”
“บวกหนึ่ง ทีคุยกับกูนี่นะ นึกว่าปากแม่งขนหมามาทั้งฟาร์ม”
“ถูก”
“แถมปกติมันไม่ยอมอะไรใคร แล้วมึงเห็นวันนี้ปะไอ้นิ้ง…” เติร์กสะกิดเรียกคะนิ้งที่ก็รีบเคาะโต๊ะตัดสินมาอีกคน
“จริง”
“แล้วดูไอ้สองตัวนี้ดิ”
เติร์กยังคงเปรียบเทียบให้เห็นภาพด้วยการชี้ไปยังอาโปที่กำลังบิดแขนไฉจนฝ่ายชายหน้าเบี้ยว กระทั่งบทสนทนาระหว่างสองคนที่ว่าก็ไร้ซึ่งความอ่อนโยน แน่นอนว่าต่างจากการใช้สรรพนามระหว่างเรนและเพลิง
เรนได้แต่นั่งยิ้มเพราะไม่รู้จะตอบกลับว่าอย่างไร ทว่าคะนิ้งก็เอื้อมมือข้ามโต๊ะมาตบไหล่ ใบหน้าสวยผุดยิ้มกว้างอย่างคนอารมณ์ดี
“ไม่มีไรหรอก แซวเล่นเฉย ๆ เพลิงมันไม่เคยเล่าเรื่องเธอให้ฟัง เลยคิดว่ามันเอาสาวที่ไหนมาหลอกว่าเป็นแค่เพื่อนน่ะสิ”
“เพื่อนจริง” เรนหัวเราะเมื่อได้ฟังข้อสันนิษฐานดังกล่าว ก่อนจะรีบปัดเลื่อนจอสมาร์ตโฟนเข้าสู่แอปพลิเคชันรูปภาพ “นี่ไง”
“ไหน…” ทั้งเติร์กและนิ้งชะโงกหัวเข้าดูหลักฐานยืนยันพร้อมกัน ซึ่งก็เป็นภาพระหว่างเรนและเพลิงในชุดนักเรียน
“เรนใส่ชุดนักเรียนแล้วโคตรน่ารัก”
“เรนน่ารัก แต่หน้าเพื่อนมึงเรียกตีนมาตั้งนานแล้วแหละกูว่า”
“คุยไรกัน?”
แต่แล้วเดดแอร์ก็บังเกิดโดยฉับพลัน เมื่อคนโดนนินทาเดินกลับมาถึงโต๊ะ ทันทีที่เพลิงนั่งร่วมวง บทสนทนาลับหลังก็เป็นอันถูกแช่แข็งไปโดยปริยาย ทั้งเติร์กและคะนิ้งพากันสั่นศีรษะทำทีไม่รู้ไม่ชี้
“เปล่านะ พวกกูไม่ได้พูดถึงมึงเลย”
“หึ” เพลิงหัวเราะเมื่อได้เห็นอาการร้อนรนแก้ตัว แต่เขาไม่คิดจะถามหาเอาความเพราะรู้นิสัยเพื่อนเป็นอย่างดี
จากนั้นไม่มีคิดใครเอ่ยต่อในหัวข้อสนทนาเดิม ต่างเติมเครื่องดื่มจนเต็มแก้ว ก่อนใครสักคนจะร้องเสียงดัง ชูแก้วยื่นเข้าที่กลางวง
“หมดแก้ว!”
ทุกคนที่นั่งร่วมโต๊ะจำต้องคว้าแก้วส่วนตัวขึ้นชน กระดกของเหลวสีอำพันลงคอจนหมดไม่เหลือแม้สักหยด สถานการณ์กลับมาคึกคักไหลตามสภาพแวดล้อมรอบตัว ระหว่างที่วงดนตรีสดกำลังซาวด์เช็กเพื่อเตรียมแสดงในรอบถัดไป เสียงจอแจก็ดังคลอไปกับเพลงจากลำโพงที่เปิดคั่นรายการ
แม้ผู้ร่วมโต๊ะทุกคนจะชิลล์กับปริมาณของมึนเมาที่ดื่มหมดในรวดเดียว ทว่ามีอยู่คนหนึ่งที่ถึงกับต้องยกหลังมือขึ้นปิดปากเพราะขยาดในรสชาติขมฝาดของเครื่องดื่มที่ไม่คุ้นเคย
เพลิงสังเกตเห็นท่าทีของคนที่ว่าเข้าพอดี จึงเสนอทางเลือกด้วยความหวังดี “เธอไม่ต้องกินก็ได้ ไอ้พวกนี้มันกินเยอะ เดี๋ยวเมา”
“นิดหน่อยเอง เราไม่เมาง่าย ๆ หรอก” เรนส่งสัญญาณว่ายังโอเค แต่นัยน์ตาคมที่จ้องสำรวจอาการบ่งชัดว่าไม่ศรัทธาในคำที่ได้ยิน
“ไม่เมาแน่?” เพลิงสบประมาทตรงไปตรงมา “คออ่อนแบบเธอ ไม่กี่แก้วก็คงได้น็อกหลับคาร้าน”
“ตอนอยู่เชียงใหม่เราก็กินอยู่บ้างหรอก” เรนโกหก
ปกติเธอไม่ดื่ม แต่เพราะอยากสนุกสนานกับเพื่อนใหม่ จึงไม่ลังเลที่จะรับอีกแก้วมาจากคะนิ้ง ทว่าแอลกอฮอล์แก้วที่สองแผดเผาจนลำคอผ่าวร้อนไม่ทันไร เทมป์ที่เพิ่งเดินกลับมาจากโต๊ะอื่นก็ส่งสัญญาณให้ทุกคนชนแก้วอีกครั้ง
เรนเพิ่งเห็นว่าคืนนี้เทมป์ไม่ได้สวมแว่น ความหล่อเหลาจึงไร้เครื่องบดบัง สายตาผู้หญิงโต๊ะที่อื่นมองมาเป็นตาเดียวราวกับจะช่วยยืนยันในสิ่งที่เธอคิด เพื่อนของเพลิงไม่ว่าจะหญิงชายน่าจะโซฮอตกันยกแก๊งเลยทีเดียว
และเมื่อการชนแก้วครั้งใหม่มาถึง คนคออ่อนก็ยังทำใจดีสู้ ยอมกระดกหมดแก้วท่ามกลางเสียงร้องเชียร์ทั้งจากเพื่อนโต๊ะเดียวกัน และเสียงจากคนเมาสักคนที่บังเอิญเดินผ่านมาร่วมแจมสร้างสีสันก็ด้วย
กึก!
“เพื่อนมึงกินเก่งว่ะไอ้เพลิง นึกว่าจะคออ่อน ไม่คิดว่าหน้าตาแบบนี้จะยกหมดได้ตั้งสามแก้วรวด” เติร์กหัวเราะอย่างคนอารมณ์ดี ท่าทางบ่งชัดว่าเมานำหน้าเพื่อนไปไกล
“…” เพลิงไม่ได้ตอบ
แต่เขาคิดว่าคงไม่ผิดจากที่เติร์กประมาณการ แม้คนตัวเล็กยังคงยิ้มได้ แต่อีกไม่นานยายเด็กดอยคงเป่าปี่ร้องขอให้ไอ้เพลิงพากลับห้องสิไม่ว่า รอดูได้เลย…
จากนั้นเวลาก็เดินหน้าอย่างรวดเร็ว…
ท่ามกลางแสงสีเสียงยามราตรี บรรยากาศเต็มไปด้วยความคึกคักสนุกสนาน ทุกอย่างยังเหมือนเดิมกับที่เคยเป็น แต่ที่ต่างคือคืนนี้เพลิงแทบไม่ได้ลุกเดินไปโต๊ะอื่น กระทั่งว่าชนเบียร์กับผู้หญิงคณะอื่นก็ไม่
หากไม่นั่งเป็นเพื่อน คนบางคนโกรธเขาไปอีกหลายวัน…
ทว่าหลายแก้วผ่านไป เพลิงก็อดทนอยู่ไม่ไหว ตะแคงคอป้องปากพูดคุยกับคนข้าง ๆ “พอได้แล้ว”
คนตัวเล็กหันมองเขา แม้ยิ้มหวานบนใบหน้าเพื่อนชาวดอยยังคงเดิม แต่ที่ต่างอย่างเห็นได้ชัดคือความหยาดเยิ้มบางชนิดซึ่งเข้าแทนที่ในแววตา
“ยังไม่เมา” ทันทีเรนก็คว้ามือหนาขึ้นเขย่าเพื่อขอต่อเวลา “เรากินต่อได้”
“เธอเมาแล้ว” เพลิงค้านด้วยข้อเท็จจริง “ตาเยิ้มขนาดนี้คือเมา”
“ถ้าเมาแล้วจะคุยกับเพลิงรู้เรื่องได้ไง?”
“ไอ้เติร์กเมามันยังคุยกับหมารู้เรื่อง”
“ไม่เหมือนกันสักหน่อย”
“เมาก็คือเมา”
ใบหน้าระหว่างทั้งคู่เฉียดกันไปมา เพราะต่างต้องเอียงคอส่งเสียงที่ข้างหูอีกฝ่าย ทว่านานเข้าเพลิงก็เริ่มเสียสมาธิเพราะความนุ่มนิ่มบางชนิดเบียดเสียดอยู่ที่ข้างแขน แต่เจ้าของเนื้อเต้าอวบอัดก็ยังคงพร่ำเสียงพูดโดยไม่รู้สึกตัว อีกทั้งหน้าแป้น ๆ ก็ยิ่งขยับเข้าชิดในระยะไม่ปลอดภัย
“ถ้าเพลิงตามใจเราจะรูดซิบปากให้สนิท คุณป้าจะไม่มีทางรู้เลยว่าเพลิงเนี่ย เจ้าชู้ม้าก…”
“นั่งให้มันนิ่ง ๆ”
“นะเพลิง…”
ไม่มีคำใดหลุดรอดผ่านริมฝีปากของคนได้รับสินบน
เพลิงยังไม่ผละใบหน้าออกห่าง แต่ก็ไร้การโต้ตอบใด ๆ
มีเพียงสายตาไม่บ่งบอกอารมณ์เท่านั้นที่พลั้งเผลอหลุบมองริมฝีปากอวบอิ่มซึ่งอยู่ห่างเพียงไม่กี่เซนติเมตร ผิวแก้มของเพื่อนตัวเล็กปลั่งแดงโดยธรรมชาติแม้ไม่จำเป็นต้องเมา และนั่นเป็นที่มาของฉายาเด็กดอยที่เพลิงใช้เรียก
กระทั่งกลิ่นหอมของเจ้าตัวก็เป็นกลิ่นเดิมกับที่เพลิงคุ้นเคย แค่กลิ่นโลชันบำรุงผิวกายไร้น้ำหอมปรุงแต่ง ทว่ากลิ่นหอมชนิดนี้กลับส่งผลต่อความรู้สึกของบุรุษเพศวัยกำลังกลัดมัน แปลกที่ในครั้งนี้มันช่างยากเย็นสำหรับเขาที่จะถอนลมหายใจกลับคืน
SPECIAL 3สัญญาใจ 3 สิบสองปีก่อน “ฮึก!” “กลับบ้านได้แล้ว ถ้าเธอยอมกลับ เราจะปั่นจักรยานให้ซ้อนทุกวัน” “เพลิงขี้โม้ ฮึก!” “เราใจดี” เด็กหญิงตัวน้อยสะอึกสะอื้นอยู่บนชิงช้าซึ่งไร้การกวัดแกว่ง โดยมีเด็กชายวัยเดียวกันยืนใช้ปลายเท้าเขี่ยดินเล่นอยู่ที่ด้านหน้า บริเวณรอบด้านเต็มไปด้วยเครื่องเล่นมาตรฐานที่สนามเด็กเล่นทั่วไปพึงมี ตอนนี้เป็นเวลาเกือบพลบค่ำ เด็ก ๆ พากันกลับเข้าบ้านหมดแล้ว เหลือเพียงสองคนเท่านั้นที่ยังคงสนทนากันเพียงลำพัง เด็กชายรู้ดีว่าหากเขาไม่พาเพื่อนกลับบ้านก่อนค่ำมืดจะต้องโดนผู้เป็นแม่ดุ แต่เพราะอีกฝ่ายยังคงมีคราบน้ำตาปรากฏบนใบหน้าจึงอดทนรออย่างใจเย็น “จะค่ำแล้ว เดี๋ยวน้าศรีเป็นห่วง เธอจะโดนดุ และเราก็จะโดนแม่ตี” เสียงใจดีพยายามเอ่ยถึงบทลงโทษที่ทั้งคู่อาจได้รับหากมัวเถลไถลไม่ตรงต่อเวลาที่มีการตกลงกับพ่อแม่เอาไว้ แม้สนามเด็กเล่นของหมู่บ้านจะมีระบบรักษาความปลอดภัยอย่างดีไม่ต้องกลัวคนนอกเข้าออก อีกทั้งบ้านของทั้งคู่ก็อยู่ไม่ไกลจากสนามส่วนกลาง รวมถึงต่างโตพอจะไม่ไว้ใจคนแปลกหน้าตา
SPECIAL 2สัญญาใจ 2สิบนาทีต่อมาร่างผอมบางของเรนยืนอยู่ที่ตำแหน่งเดิม สายตากวาดมองไปยังความคึกคักรอบด้าน เครื่องหน้าหมดจดมียิ้มมุมปากผุดเผยในสีหน้า เพียงคิดว่าเพลิงจะต้องกระดากอายกับจำนวนคนที่เพิ่มมากขึ้นเธอก็รู้สึกขบขันอย่างบอกไม่ถูกหลังจากการแสดงห้องล่าสุดของระดับชั้นจบลง เพียงแค่ร่างสูงคุ้นตาเดินขึ้นเวทีพร้อมกีตาร์ตัวหนึ่งเพื่อทำโชว์คิวถัดไป เสียงกรี๊ดกร๊าดของบรรดาสาว ๆ ต่างก็เริ่มวี้ดว้ายกระหึ่มลั่นไปทั่วทั้งลานอเนกประสงค์ด้านหน้าเวทีเรนไม่ได้รู้สึกแปลกใจกับเสียงที่ได้ยิน รวมถึงไม่แปลกใจว่าเหตุใดจำนวนคนถึงแห่กันมายืนมองแน่นขนัดไปหมด เพื่อนสนิทของเธอเป็นหนุ่มฮอตของโรงเรียนเรื่องนี้หญิงสาวไม่เถียง แต่ตอนนี้คงมีแค่เธอคนเดียวที่กำลังหัวเราะกับท่าทีผิดปกติไปจากเคยของคนที่ว่าสายตาของเพลิงกวาดมองไปโดยรอบในจังหวะที่หย่อนกายนั่งลงบนเก้าอี้ซึ่งมีการเตรียมไว้กลางเวที ก่อนสายตาที่ว่าจะจบลงยังตำแหน่งที่เรนกำลังยืนกอดอกมอง“สวัสดีครับ”“กรี๊ด!!!”“พี่เพลิง!!!”“ว้าย!!!”เพียงเสียงคุ้นหูทักทายผ่านไมโครโฟนซึ่งเสียบอยู่บนขาตั้งในระดับพอดีกับริมฝีปาก เสียงวี้ดว้ายของสาว ๆ ก็ตอบรับด้วยเสียงกระหึ
SPECIAL 1สัญญาใจ 1 หลายปีก่อน “เพลิงจะเขินอะไร?” “ไม่เขินได้ไง? คนทั้งโรงเรียน” “รุ่นน้องกรี๊ดเพลิงกันทั้งนั้น ไม่เห็นต้องอาย” “อาย” เพลิงพยักหน้ารับไม่กระดากแม้แต่นิด “เธอลองขึ้นไปร้องเพลงแล้วมีคนเป็นพันนั่งมองอยู่ข้างล่างเวทีดูไหม?” “ทำไมป๊อดงี้? ตัวก็ตั้งโต” “มันใช้คำว่า ‘ป๊อด’ ได้ที่ไหน?” ร่างสูงในชุดนักเรียนยกแขนขึ้นปาดเหงื่อซึ่งชื้นผ่านใบหน้า ท่ามกลางผู้คนซึ่งเดินขวักไขว่ ท่ามกลางเสียงดนตรีสดวงปัจจุบันกำลังบรรเลงอยู่บนเวทีกลางของโรงเรียน สองหนุ่มสาวยืนปรับทุกข์ห่างออกมาทางด้านหนึ่ง “ถ้าเราขึ้นร้องเพลงแทนเพลิงได้ก็คงทำไปแล้ว” คนตัวเล็กทำทีตบเข้าที่อก “ถ้าเป็นเราไม่อายหรอก” “เธอก็พูดได้” เพลิงหรี่ตามองอย่างไม่ศรัทธา แค่จะคุยกับเพื่อนคนอื่น เจ้าตัวยังต้องคอยให้เขาเป็นสะพานเชื่อมอยู่เรื่อย เมื่อโดนสายตาสบประมาทของชายหนุ่มหลุบมอง หญิงสาวในชุดนักเรียนก็ทำทีเปลี่ยนเรื่อง “เพลิงเป็นตัวแทนห้องนะ ทำหน้าที่หน่อยสิ ใจกล้า ๆ หน่อย” “ใครจะเก่งเ
CHAPTER 61ฝันละเมอ 4หนึ่งชั่วโมงต่อมาร้านขนมหวานร้านเดิมยังคงมีคนต่อคิวซื้อจนหางแถวยาวออกไปด้านนอกตัวร้าน เพลงที่เปิดคลอสร้างบรรยากาศเป็นเพลงภาษาถิ่นเหมือนเช่นทุกครั้ง กระทั่งลูกค้าก็ยังคงเป็นหน้าเดิม ๆ สภาพแวดล้อมแสนคุ้นเคยราวกับจะพาใจย้อนไปในวันวาน เหมือนเมื่อวานนี้เองที่สองเพื่อนสนิทในชุดนักเรียนมัธยมปลายพากันแว้นมอเตอร์ไซค์มาตบน้ำตาลเข้ากระแสเลือดในทุกค่ำของทุกวันหลังจากได้กินของหวานปิดท้าย สองหนุ่มสาวลูกค้าขาประจำของร้านยังคงนั่งรอออร์เดอร์ซึ่งสั่งกลับบ้านเป็นปกติธรรมดาอีกสองชุดใหญ่ระหว่างที่เพลิงสนทนาอยู่กับเพื่อนสมัยมัธยมที่บังเอิญเจอ เรนกำลังกวาดสายตามองกระดาษโน้ตหลากสีซึ่งกระจายแปะเต็มพื้นที่ผนังด้านหนึ่งของตัวร้าน โน้ตแต่ละแผ่นล้วนมีข้อความบางอย่างเขียนไว้ราวกับเป็นเครื่องเตือนใจว่าครั้งหนึ่งเคยมาเหยียบเยือนสถานที่ ทั้งจากลูกค้าที่เป็นขาประจำ รวมถึงลูกค้าขาจรก็ด้วยเช่นกันข้อความโดยส่วนมากเป็นการระบุว่าได้มาเยือนกับใคร มีทั้งที่เป็นคู่รัก มีทั้งที่เป็นกลุ่มเพื่อน มากันเป็นครอบครัว กระทั่งคนที่คล้ายจะประชดชีวิตโสดเขียนว่ามากินกับ หมา ก็มี“ทำไร?”“หืม?” เรนขานเสียงรับในล
CHAPTER 60ฝันละเมอ 3 ตอนค่ำ ตั้งแต่จำความได้ โต๊ะอาหารที่บ้านของเพลิงไม่ได้มีเฉพาะคนในครอบครัวแต่มีสมาชิกอีกสองคนมาร่วมรับประทานมื้อค่ำด้วยกันเสมอ เว้นแค่ช่วงเช้าเท่านั้นที่เพลิงจะเป็นฝ่ายไปฝากท้องที่บ้านหลังข้างกัน เสียงเจื้อยแจ้วคุ้นเคย รวมถึงการกุลีกุจอเป็นลูกมือหยิบจับทุกสิ่งอย่างของเรนเป็นสิ่งที่เพลิงได้เห็นมาจนชินตา นอกจากจะกระตือรือร้นเป็นปกติ คนที่ทำให้มื้ออาหารดำเนินไปด้วยรอยยิ้มก็คือเจ้าตัว เพลิงเคี้ยวข้าวกร้วม ๆ สลับสายตามองคนนั้นทีคนนี้ทีเพื่อสังเกตท่าทีว่าเป็นเวลาเหมาะสมหรือไม่ที่เขาจะเอ่ยเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างทั้งสองคนออกมาบรรยากาศเป็นไปด้วยเสียงพูดคุยสนุกสนาน เรนกำลังช่วยผสมโรงมีอารมณ์ร่วมอยู่กับยายน้อยและน้าศรี ที่ต่างก็อินกับการก่นด่านางร้ายในละครซึ่งเปิดผ่านทางโทรทัศน์ ที่ได้เห็นไม่ใช่ภาพน่าประหลาดใจสำหรับเพลิง ในที่นี้มีเพียงเขาและพ่อเท่านั้นที่มองหน้ากันเองแล้วส่ายหัวไปมา “พ่อ” ในที่สุดเพลิงตัดสินใจหันมองหน้าบิดา เอ่ยในสีหน้านิ่งสนิท “ผมมีไรจะบอก” คนเดียวที่ว่างพอจะสนทนากับลูกชายถึงกับวางช
CHAPTER 59ฝันละเมอ 2ริมฝีปากอุ่นประทับผ่านลำคอเรียวระหง…เพลิงซุกไซ้ใบหน้าสูดดมกลิ่นกายหอมกรุ่นของคนตัวเล็กที่นอนนิ่งรับสัมผัสแต่โดยดี นัยน์ตาคมเลื่อนมองผิวกายขาวเนียนผุดผ่องเป็นยองใยทุกจุดที่ปลายลิ้นลากผ่าน ค้างนานบริเวณยอดถันสีชมพูหวาน หมดเวลากับการดูดเลียหัวนมสวยสะพรั่งของหญิงสาวนานหลายนาที ขณะที่ปากดูดเม็ดเต่งชูชัน มือหนาก็ขยำนวดเต้าข้างที่ว่างเว้นด้วยความมันมือแต่ละสัมผัสดำเนินไปอย่างเงียบเชียบเพราะสถานที่ไม่เป็นใจ ทว่าทุกวินาทีที่ดำเนินผ่านล้วนเต็มไปด้วยความหวามหวิวในอารมณ์ สายตาของชายหนุ่มหลุบเลื่อนมองตามสัดส่วนโค้งเว้าด้วยประกายตาเร่าร้อนแม้เรนจะกินเข้าไปมากเกินกว่าขนาดตัว แต่บั้นเอวผอมบางกลับไร้ชั้นไขมัน ทั้งยังเว้าสวยมิใช่เพียงแต่เร้าอารมณ์ภายใน ทว่ายังดึงดูดสันจมูกคมให้ไล้ผ่านตามแนวคดโค้ง ริมฝีปากอุ่นกดจูบสลับกับการดูดดึงเนื้อกายผ่องขาวไม่ละสัมผัสแม้แต่วินาที เพลิงชันกายขึ้นนั่ง สองมือคว้าสะโพกคนตัวเล็กขึ้นในระดับเดียวกัน สายตามากด้วยอารมณ์ทอดจับเรือนร่างสุดเซ็กซ์ ตั้งแต่เต้าใหญ่โตที่ประดับด้วยป้านบัวสดสวยขนาดเต็มปากเต็มคำ ทั้งแอ่งสะดือเล็กบนหน้าท้องแบนราบ ร