CHAPTER 4
สัมพันธ์ยาวนาน
ตอนค่ำ
หากเป็นเวลาปกติ ช่วงหัวค่ำกระทั่งดึกเพลิงมักจะไม่อยู่ห้อง หากไม่อยู่บ้านเพื่อนก็ไม่พ้นพากันออกตะลอนตระเวนยามราตรี แต่วันนี้ต่างออกไป…
คืนนี้นอกจากเขาจะต้องอยู่ประจำที่ห้องเพราะสถานการณ์บังคับแล้ว ยังต้องอดทนฟังเสียงบ่นจากแม่บังเกิดเกล้ามานานกว่าสิบนาทีผ่านหูโทรศัพท์ มารดาโทรหาเขาครั้งสุดท้ายก็สวดยับเป็นชั่วโมง เห็นทีรอบนี้คงไม่ต่าง แต่ที่ต่างเป็นหัวข้อในการสนทนา
“รู้แล้วน่า”
(รู้ก็ดี แล้วนี่เราไปพูดอะไรหรือเปล่า? ทำไมหนูเรนถึงบอกว่าเราทำตัวดีนักดีหนา)
“พูดไร? เรนว่าไงก็ตามนั้นแหละแม่”
(เชื่อได้รึ? เรามันเกเร บังคับเพื่อนไม่ให้รายงานพฤติกรรมตัวเองสิไม่ว่า)
“ไอ้เพลิงคนนี้จะเอาอะไรไปบังคับลูกสาวยายน้อยได้?” เสียงเนือยจงใจประชด แต่ปลายสายก็สวนกลับอย่างรวดเร็ว
(ทำพูดดีไป เห็นเพื่อนตามใจหน่อยไม่ได้ เราน่ะมันตัวดี)
“แค่นี้นะยายน้อย จะไปกินข้าว”
(อย่าเพิ่ง! แม่ยังพูดไม่จบ!)
“งั้นคุยกับลูกสาวคุณแทนไหม?”
(อยู่ด้วยกันรึเปล่า?)
“อืม”
(หาข้าวหาปลาให้เพื่อนกินด้วย อย่าเอาแต่เมาหัวราน้ำไปวัน ๆ เข้าใจไหม?)
“เมาไร? ผมก็นั่งกินน้ำผักที่แม่ฝากเรนมาให้อยู่เนี่ย” เพลิงไม่ได้โกหก
เขากำลังดูดน้ำผักเพื่อสุขภาพที่แม่ฝากเพื่อนสนิทมาให้จริง ๆ สีหน้าเผยให้เห็นถึงความละเหี่ยใจกับคำบ่นซ้ำไปซ้ำมา ขณะเดียวกันก็จับสายตามองร่างผอมบางในชุดนอนแขนยาวที่มีความสั้นเหนือข้อเข่ากำลังทำการรื้อเสื้อผ้าของเขาทั้งตู้ออกมาจัดการพับให้เป็นระเบียบเรียบร้อย
“เพลิง ทำไมถึงมีไม้แขวนแค่นี้ล่ะ?” เสียงของคนที่ว่าร้องถาม และคนในสายก็ดันได้ยินเข้าให้พอดี
(ใช้เพื่อนทำอะไรอีกแล้วสิ เหลือเกินจริง ๆ ถ้าน้าศรีรู้ว่าลูกเขาต้องไปลำบากลำบนแทนที่จะมีคนดูแล แม่จะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน?)
“ลำบากไร? ลูกสาวคุณเพิ่งมาได้แค่วันเดียว และผมก็ไม่ได้ใช้งานอะไรเลยด้วย ข้าวก็ไปซื้อให้กิน น้ำก็แบกขึ้นมาให้ตั้งหลายแพ็ก ไหนจะต้องวิ่งขึ้นลงบันไดแบกขนสารพัดสัมภาระตั้งแต่ชั้นหนึ่งขึ้นมาถึงชั้นสี่ หอไม่มีลิฟต์นะครับยายน้อย ไอ้เพลิงมากกว่ามั้งที่ลำบาก”
(ไหนเอาหนูเรนมาคุยหน่อยซิ)
เพลิงได้ทีรีบโยนสมาร์ตโฟนส่งต่อให้อีกบุคคลทันที “แม่จะคุย”
ไม่ใช่แค่ยายน้อยที่รักเพื่อนสนิทลูกชายประหนึ่งลูกในไส้ แต่เรนเองก็สนิทสนมคุ้นเคยเข้านอกออกในบ้านเขาเหมือนลูกคนหนึ่งเช่นกัน
“ค่ะคุณป้า”
“…”
“เพลิงเหรอคะ?” คนตัวเล็กเอียงคอหนีบสมาร์ตโฟนไว้ที่ข้างหูชำเลืองมองคนที่ปลายสายถามถึง พลางก็สะบัดเสื้อยืดพับกองอย่างเป็นระเบียบไปด้วย “ตอนนี้เพลิงก็ดีค่ะ ห้องรกนิดหน่อย หนูช่วยเก็บได้ค่ะ”
“…”
“เรื่องผู้หญิงเหรอคะ”
“…” แม้ไม่ใส่ใจจะฟัง แต่เพราะหูบังเอิญได้ยินประโยคถัดมาของหญิงสาวก็ทำเอาคนซึ่งนอนเหยียดขายาวพลิกตัวหันมองทันที
เพียงสองสายตาจับประสาน เรนก็ตีหน้าขึงขังตั้งท่าจะพูดอะไรบางอย่าง แต่เพลิงไวกว่ารีบคว้าสมาร์ตโฟนมาเปิดลำโพงทันที
(แอบเล่าได้นะลูก ไม่ต้องไปกลัวตาเพลิง ป้าเป็นแบ็กให้ทั้งคน)
แค่ได้ยิน เพลิงก็ถึงกับเม้มริมฝีปากมองชื่อ ‘ยายน้อย’ บนหน้าจอสลับกับลูกสาวนอกไส้ของแกอย่างฉุน ๆ นอกจากแม่จะให้ท้ายคนอื่นมากกว่าลูกตัวเอง คนที่ว่ายังมีหน้ามายิ้มเยาะเขาเสียอีก
ยายเด็กดอยนี่เหลือเกินจริง ๆ
(ว่าไงลูก?)
“เรื่องผู้หญิง…” เรนทำทีลากเสียงยาว เลิกคิ้วจ้องตอบคนที่กำลังรัวนิ้วพิมพ์ข้อความบนหน้าจอสมาร์ตโฟน และก่อนคำใดจะหลุดลอดผ่านริมฝีปาก เพลิงก็รีบโยนหน้าจอให้ดู
“อืม… แป๊บนึงนะคะคุณป้า”
(หนูบอกป้ามาได้เลยไม่ต้องกลัว)
‘จะพาไปกินของอร่อยทุกเย็น’
เมื่อได้อ่านข้อความของคนที่พยายามจะติดสินบนใบหน้าขาวผ่องของหญิงสาวก็พลันเผยยิ้มชั่วร้าย
ในขณะที่เพลิงก็รีบเคลื่อนตัวเข้าจนใกล้เผื่อมีคนคิดพิเรนทร์อยากแกล้งกันขึ้นมา เขาไม่ได้กลัวแม่แค่ไม่อยากเบื่อตายกับเสียงบ่นต่างหาก ยายน้อยบ่นทีสวดได้เป็นวันประหนึ่งท่องประจำเป็นคาถาชินบัญชรเลยทีเดียว
แต่ก็เหมือนว่ามีคนอยากจะแกล้งเขาอย่างไรก็อย่างนั้น…
ร่างผอมบางตั้งท่าโจนตัวหนี ตากลมโตจ้องมองคล้ายจะท้าทาย “เพลิงมีถุงยางเพียบเลยค่ะคุณป้า!”
เพลิงคิดผิดเสียเมื่อไร! ยายเด็กดอยนี่มีคนให้ท้ายจนเคยตัว!
พรึ่บ!
“ว้าย!”
(เป็นอะไรรึเปล่าหนูเรน…)
ติ๊ด!
เพลิงกดตัดสายแม่ทิ้งในที่สุด สมาร์ตโฟนถูกโยนไปอีกทาง แต่ร่างผอมบางบนตักเขาอย่าหวังว่าจะหลุดรอดไปได้ง่าย ๆ
“เราไม่ได้ทำอะไรเลย!” เรนที่รู้ตัวว่ากำลังจะโดนเอาคืนร้องเสียงหลง พยายามดิ้นตัวหนีเมื่อต้องอยู่ในอ้อมแขนแข็งแรงของเพื่อนสนิทที่ตัวใหญ่กว่าเกือบเท่า
“เธอไม่ได้ทำอะไร?” เพลิงตีหน้าขึงขังถามทวนคำ “แล้วไอ้ที่ปากโป้งบอกแม่เราเมื่อกี้คือ?”
“เรากะจะบอกคุณป้าว่าเพลิงมีถุงยางเพียบ แต่ไม่ได้ใช้เลยต่างหาก!” คนตัวเล็กร้อนรนแก้ตัว “ใครจะไปกล้าบอกว่าเพลิงเจ้าชู้ ชอบมีความสัมพันธ์แบบหิวเมื่อไหร่ก็แวะมาเซเว่นอีเลฟเว่นกันเล่า!”
“แน่ใจว่าไม่กล้า?” เพลิงคร้านจะฟัง เรนกลัวเขาเสียที่ไหน ทำท่าตื่นกลัวไปก็เท่านั้น เห็นตัวเล็กแบบนี้ก็เคยถีบไอ้เพลิงตกเตียงมาแล้วนับครั้งไม่ถ้วน กระนั้นเจ้าตัวก็ยังปั้นหน้าตายทำตาโต
“เพลิงก็รู้ว่าเรากลัวเพลิงจะตาย” สองมือเล็กพยายามงัดแงะข้อแขนที่ล็อกแน่นอยู่ที่เอว ทั้งต้องพยายามย่นคอถอยห่างลมหายใจอุ่นร้อนที่รินรดในระยะไม่ปลอดภัยก็ด้วย
“เธอเนี่ยนะกลัวเรา?” เสียงเรียบตั้งคำถาม “ตอนนู้นใครกันที่ฟ้องแม่ว่าเราโดดเรียน?”
“เอ้า! ก็สมควรแล้วไหมล่ะ?” เรนไม่ปฏิเสธ เธอช่างฟ้องก็จริง แต่ฟ้องเฉพาะเรื่องที่สมควรต่างหาก!
“รอบที่แล้วก็เธอที่ฟ้องแม่ว่าเราสัก” เพลิงยังคงว่าต่อ รอยสักบนตัวเขาก็ได้คนแถวนี้เอาเรื่องไปบอกแม่แท้ ๆ เล่นเอาไอ้เพลิงโดนยายน้อยด่าจนหูชาไปหลายเดือน
“เราไม่ได้ตั้งใจสักหน่อย ก็คุณป้าเขาขอดูรูปเพลิง” เรนพูดด้วยความสัตย์จริง “ใครใช้ให้เพลิงไปสักล่ะ? ก็รู้นี่ว่าคุณป้าไม่ชอบ ต่อให้เราไม่บอกท่านก็เห็นอยู่ดี”
“เห็นช้าก็เราก็โดนด่าช้าลงไง”
“ไม่รู้แหละ ปล่อยเราสักที อึดอัดจะตายอยู่แล้ว!” ใบหน้าขาวเนียนบัดนี้เถือกแดงกับความใกล้ชิด โชคดีที่ในสายตาคนมองคงคิดแค่เพียงเธอกำลังออกแรงในการดิ้นตัวหนี
“สมควรโดนฟาดสักที” เพลิงนึกอยากจะจับตัวบาง ๆ ของเพื่อนกดเตียงให้สักที เขารู้อยู่หรอกว่าเจ้าตัวมารยาแค่ไหน ไก่เห็นตีนงู งูเห็นนมไก่อย่างไร ไอ้เพลิงก็รู้นิสัยใจคออีกฝ่ายฉันนั้น แต่สุดท้ายก็ทำเพียงใช้นิ้วดีดนิ้วเข้าที่หน้าผากมนด้วยความหมั่นไส้
แป๊ะ! แป๊ะ! แป๊ะ!
“เราเจ็บนะเพลิง” คนตัวเล็กยกมือขึ้นปิดหน้าผาก ปากอิ่มโค้งคว่ำส่งค้อนให้วงเบ้อเร่อ ท่าทางที่ว่าเรียกยิ้มเย้ยเยาะบนใบหน้าเพลิงได้เสมอ
“เธอสมควรโดน”
เรนปั้นหน้าบึ้งยิ่งกว่าเดิม ก็ดีเหมือนกันจะได้รู้ดีรู้ชั่วกันไป เธอกะจะทำความสะอาดห้องให้ฟรีแท้ ๆ “เราคิดผิดสินะที่จะช่วยเก็บห้องรก ๆ ของเพลิงให้โดยไม่คิดตัง”
“เธอไม่คิดตังค่าทำความสะอาด แต่เดี๋ยวก็ให้เราพาไปกินขนมทุกเย็นอยู่ดี” คนตัวโตโต้กลับ มีหวังเขาหมดตังเยอะกว่าเดิมด้วยซ้ำไป กินอย่างกับพายุขนาดนี้
ทว่าเรนก็ย้อนเสียงเถียง “เราไม่ได้ขอให้เพลิงมาจ่ายให้สักหน่อย”
“…” มีคนใบ้กินก็ตอนนี้ นี่ก็เสือกเป็นเรื่องจริง ไอ้เพลิงมันสาระแนจ่ายให้ตลอดเองนั่นแหละ
แน่นอนว่าคดีพลิก เมื่อคนบนตักมีสีหน้าเป็นต่อ “ปล่อยสักที เราจะกลับห้อง เชิญเพลิงเก็บเสื้อผ้าเข้าตู้เองก็แล้วกัน”
“เธอเป็นคนรื้อเสื้อผ้าเราออกมา” เสื้อผ้าของเขามันก็อยู่ของมันดี ๆ แต่ใครกันที่เอาออกมากองเต็มเตียงแบบนี้
“เพลิงก็แค่ยัดมันกลับเข้าไปเหมือนเดิม ก่อนหน้านี้มันก็แทบไม่ได้พับอะไรอยู่แล้วนี่…”
ท้ายเสียงของหญิงสาวขาดหาย เมื่อรับรู้ได้ถึงสายตาคมกริบที่กำลังหลุบมองบริเวณขาอ่อนขาวเนียนซึ่งโผล่พ้นจากการถกร่นของชายกระโปรง
“นี่อะไร?”
“ไม่มีอะไร”
“ให้เราดู”
“เพลิง”
“อยู่นิ่ง ๆ”
“…”
เรนรู้ดีว่าถึงอย่างไรก็คงห้ามไม่ได้ ทุกครั้งที่เพลิงเริ่มตีหน้าเคร่งเครียด เธอมักเป็นฝ่ายตามใจเสมอเพราะไม่อยากมีปากเสียง สุดท้ายจึงยอมนั่งนิ่งรับการสำรวจแต่โดยดี
เพียงชายกระโปรงถูกดึงเปิดขึ้นสูง รอยฟกช้ำบางชนิดที่ข้างขาอ่อนก็ปรากฏแก่สายตาของคนทั้งคู่ จ้ำม่วงแดงขนาดใหญ่ที่ได้เห็นส่งผลให้ลมหายใจของชายหนุ่มผ่าวร้อนขึ้นในฉับพลัน นิ้วสากลากสัมผัสผ่านร่องรอยเหล่านั้น ทว่าเพลิงไม่ทันได้ตั้งคำถาม เสียงแก้ตัวแผ่วเบาก็ดังขึ้น
“ไม่มีอะไรหรอก เราแค่ล้ม”
“อย่าโกหกได้ไหม?” คิ้วเข้มเริ่มขมวดผูกเป็นปม ทว่าหญิงสาวก็พยายามจะแย้มยิ้มกว้าง
“เราไม่เป็นไร”
“มัน?”
“…”
“ไอ้เวรนั่น?”
“…”
“เรน?”
น้ำเสียงที่เพลิงใช้ยังคงเดิม ทว่าคนบนตักสามารถสัมผัสอารมณ์คุกรุ่นผ่านกล้ามเนื้ออันเครียดเกร็ง รับรู้ได้ถึงประสาทอันตึงเครียดระหว่างการสนทนา และสายตาเค้นเอาความจริงก็ทำให้หญิงสาวพยักหน้ารับในที่สุด
“เขาเพิ่งได้รับการปล่อยตัวเมื่อครึ่งปีที่แล้ว” ‘เขา’ ที่เรนว่า หมายถึงพ่อเลี้ยงที่เลิกรากับผู้เป็นมารดาไปเมื่อนานมากแล้ว “ไม่กี่วันก่อนเขาบุกเข้ามาขู่จะเอาเงินจากแม่เรา”
“…”
“แม่ไม่ทันตั้งตัว และเราก็โดนลูกหลงนิดหน่อย แค่โดนผลักไปกระแทกของในบ้านก็แค่นั้น”
“นี่ไม่เรียกว่านิด” เพลิงรู้สึกร้อนระอุอยู่ในใจ ผิวขาว ๆ ต้องมาช้ำเลือดขนาดนี้จะเรียกว่า นิดหน่อย ได้อย่างไร
“ไม่เป็นไรจริง ๆ ตอนนี้คุณลุงกับคุณป้าจัดการให้แล้ว”
“ทำไมไม่มีใครบอกเรา?” เครื่องหน้าคมคายฉายแววเดือดเนื้อร้อนใจ
เพลิงรู้ว่าพ่อกับแม่จะต้องยื่นมือให้ความช่วยเหลือครอบครัวของเพื่อนสนิทเขาเหมือนที่ทำมาโดยตลอด แค่คิดว่าเรื่องเหล่านี้จะไม่เกิดขึ้นอีกแล้วเมื่อตำรวจสามารถจับกุมคนใจเหี้ยมยัดเข้าตะรางไปเมื่อหลายปีก่อน กระทั่งมาวันนี้ที่ได้เห็นอีกครั้ง เพลิงไม่เข้าใจว่าเหตุใดไม่มีใครคิดจะบอกข่าวคราวให้เขาได้รับรู้
“เราขอไว้เอง” เรนรับสารภาพตามตรง นัยน์ตาสุกใสทอดจับอยู่ที่รอยแผลเป็นบางชนิดข้างสันกรามของเสี้ยวหน้าคมคาย “ถ้าเพลิงรู้ เรื่องมันจะยิ่งไปกันใหญ่”
“…”
“ตอนนี้คุณลุงเขาจัดการให้ แถมคุณป้าก็ให้แม่เราไปนอนด้วยที่บ้าน เพลิงไม่มีอะไรให้ต้องกังวลหรอก ทุกคนจัดการเรียบร้อยหมดแล้ว”
“…”
ได้ฟังแบบนั้น เพลิงก็รู้ดีว่าอีกฝ่ายกำลังหมายความว่าอย่างไร
ตั้งแต่เด็กจนโตปัญหาของครอบครัวเพื่อนสนิทอยู่ในการรู้เห็นของเขามาโดยตลอด การทำร้ายร่างกายไม่ใช่เรื่องที่ยอมรับได้ แม้เรนจะไม่ใช่ผู้ถูกกระทำที่โดนทำร้ายโดยตรง แต่เพราะมักเป็นฝ่ายเข้าช่วยเหลือมารดา สุดท้ายจึงโดนลูกหลงอยู่เสมอ
ครั้งยังเป็นเด็กเพลิงไม่สามารถทำอะไรได้ แต่เมื่อโตมากพอจะมีกำลังปกป้องก็ไม่มีอะไรให้ต้องคิด แม้ว่าครั้งหนึ่งเขาเองจะเข้าต่อสู้ขัดขวางจนต้องนอนหยอดน้ำข้าวต้มที่โรงพยาบาล รวมถึงได้รอยแผลเป็นฝากไว้บนร่างกายก็ตามที
“เราหิวแล้ว” เสียงแผ่วเบาของคนบนตักราวกับจะดึงสติรวมถึงอารมณ์ของเพลิงให้เป็นปกติ สีหน้าบ่งชัดว่าไม่ต้องการสนทนาในหัวข้อนี้
สุดท้ายจึงจบลงที่เขาต้องยอมปล่อยเจ้าตัวให้เป็นอิสระ ทำได้เพียงจับสายตามองตามร่างบางที่ผละห่างออกไปเพื่อเตรียมมื้อค่ำจัดใส่จาน
“ทำไมเพลิงซื้อมาแค่นี้ล่ะ?”
“…”
“เพลิง?” หญิงสาวหันมองกลับมา พยายามแย้มยิ้มหวานไม่ต่างจากทุกที “ซื้อมาแค่นี้เหรอ?”
“มะละกอของเธออยู่ในนั้น” เพลิงพยักพเยิดไปทางตู้เย็น
“อือ มากินข้าวกัน” ว่าพลางคนตัวเล็กก็เดินเข้าหา ฉุดแขนแกร่งให้ขยับจากอิริยาบถเดิม “ลุกมาเร็ว ๆ”
“อืม”
เรนทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นคงเพราะไม่อยากให้เขาเป็นกังวล กระทั่งพ่อแม่ก็คงคิดแบบเดียวกันถึงไม่มีใครยอมปริปากเล่า สุดท้ายเพลิงก็จำต้องกดข่มอารมณ์ไว้ที่ข้างใน
แต่แม้พยายามปรับความรู้สึกให้เป็นปกติ ทว่าตาคมก็ยังให้ความสนใจอยู่ที่เรียวขาขาวเนียนที่เผยให้เห็นถึงความบอบช้ำ
ยายเด็กดอยตัวเล็กเท่านี้ ร่างกายก็บอบบางแค่นั้น ยิ่งได้รู้เขาก็ยิ่งหงุดหงิด ทว่าก็ทำได้เพียงเป็นเดือดเป็นร้อนอยู่ที่ข้างในแค่คนเดียว