CHAPTER 3
เด็กดอย
สิบนาทีต่อมา
ต่อจากนี้เรนไม่รู้ว่าจะเชื่อคำพูดของคนบางคนได้มากน้อยแค่ไหน เพลิงบอกว่าเพื่อนเขามีแต่คนหน้าเถื่อน ซ้ำยังขู่สำทับตลอดทางว่าทุกคนไว้หนวดเครารุงรัง แต่ภาพที่ได้เห็นเมื่อมาถึงที่หมายช่างต่างกันยิ่งกว่าฟ้ากับเหว
บ้านสองชั้นขนาดกลางเต็มไปด้วยเหล่าชายชาตรีหน้าตาหล่อเหลา รูปร่างสูงยาวเข่าดีห่างไกลจากที่หญิงสาวจินตนาการไว้หลายส่วน นอกจากจะโดนหลอกว่ามีแต่เพื่อนชายซ่องสุมอยู่กันเหมือนกองโจร เท่าที่ได้เห็นในขณะนี้ก็มีผู้หญิงนั่งรวมกลุ่มอยู่ด้วยอีกสองคน แน่นอนว่าอารมณ์ของสตรีเพศย่อมทำให้บรรยากาศแบบผู้ชายผ่อนคลายลง
“ไหนเพลิงว่ามีแค่เพื่อนผู้ชายไง?” คนตัวเล็กกระซิบเสียงแผ่ว กระตุกชายเสื้อของคนข้างกายส่งสายตาตั้งคำถาม
“ก็ที่นี่มันอยู่แค่ผู้ชาย” เพลิงให้คำอธิบาย “ส่วนสองคนนั้นพวกมันอยู่บ้าน” เพลิงหมายถึงเพื่อนต่างเพศ กล่าวจบก็กวักมือเรียกสองคนที่ว่าให้เดินเข้าหา
“ใครอะ?” คนแรกเป็นผู้หญิงรูปร่างสูงระหงสีหน้าท่าทางนิ่งสนิท แม้จะสวยไม่หยอก แต่ใบหน้ามีเอกลักษณ์โดดเด่นกลับเรียบเฉยไร้อารมณ์
“นี่อาโป” เพลิงแนะนำให้คนมาใหม่ได้เป็นฝ่ายรู้จักก่อน จากนั้นจึงพยักพเยิดไปยังอีกคนที่อยู่ในสภาพสะลึมสะลือ “นั่นคะนิ้ง”
อาโป ไม่ได้ยินดียินร้ายต่อการปรากฏตัวของผู้มาเยือนเพียงแค่พยักหน้าให้หนึ่งที ต่างจาก คะนิ้ง ที่แม้ในตอนแรกจะมีอาการอ่อนเปลี้ยเพลียแรง แต่ก็ยังยิ้มกว้างให้อย่างเป็นมิตร
“อย่าบอกนะว่าเด็กใหม่มึง?” คะนิ้งใช้ไหล่กระแทกร่างสูงที่พาคนแปลกหน้ามาทำความรู้จัก นิ้งไม่ยักรู้ว่านิสัยแข็งเป็นไม้แบบเพลิงจะชอบผู้หญิงท่าทางนุ่มนิ่มเหมือนเต้าหู้แบบนี้
“เด็กก็เหี้ยแล้ว นี่เพื่อนกู” เพลิงไขข้อข้องใจให้คนหนึ่งฟัง และนั่นส่งผลให้สีหน้าของอีกหลายคนซึ่งกำลังมองแขกผู้มาเยือนพากันร้อง ‘อ๋อ’ อย่างพร้อมเพรียง
“หน้าแบบมึงไม่น่ามีเพื่อนน่ารักขนาดนี้” ใครสักคนเอ่ยขัดจังหวะ ก่อนเจ้าของเสียงจะแซงคิวเข้าทำความรู้จักก่อนใครเพื่อน “สวัสดีครับ เราชื่อเติร์กนะ”
“สวัสดีค่ะ” เรนยิ้มตอบอย่างเป็นมิตร ทว่ายังไม่ทันได้ยื่นมือตอบรับสัมผัสจากฝ่ามือของ เติร์ก เพลิงกลับปัดมือเพื่อนทิ้ง
“อะไรวะไอ้เพลิง…” เติร์กขมวดคิ้วใส่ และแม้พยายามยื่นมือขอจับอีกครั้ง แต่เพลิงก็จูงมือเรนเดินหนี ทั้งยังแนะนำคนอื่นให้หญิงสาวได้รู้จักต่อหน้าตาเฉย
“นั่น ไฉ”
ไฉ พยักหน้ารับพอเป็นพิธีก่อนจะก้มหน้าก้มตาเลื่อนสมาร์ตโฟนต่อ ท่าทางไร้อารมณ์ไม่ต่างจากอาโปซึ่งเดินไปทรุดกายนั่งลงที่ข้างกัน
“ที่หน้าตาฉลาด ๆ ชื่อไอ้เทมป์”
“อือ” เรนพยักหน้าตาม
ที่เพลิงว่าดูฉลาดอาจเป็นเพราะ เทมป์ คนที่ว่าสวมแว่นตา แต่แม้จะสวมแว่นทว่าออราความหล่อก็ยังพุ่งกระจาย และดูเหมือนเจ้าตัวจะรู้ดีอยู่แก่ใจ ถึงได้ทำทีเต๊ะท่าวางมาดขึ้นมา
“ขอบคุณที่ชม แต่กูหล่อมากกว่าดูฉลาด” ว่าพลางก็กอดอกทำทรง แต่ยังไม่ทันขาดคำเสียงของคะนิ้งก็ดังแทรกขึ้น
“ขอร้อง มึงมั่นอะไรขนาดนั้น”
แม้จะโดนแขวะ แต่คนที่ดูจะหลงตัวเองอยู่หลายส่วนก็กระตุกยิ้มขึ้นได้ “มึงไม่เคยได้ยินหรือไง? ปรัชญาเขาว่าไว้ คนหล่อมักจะภูมิใจในตัวเอง”
คะนิ้งทำหน้าระอา กระนั้นก็พยักหน้าขอฟัง “ปรัชญาสำนักไหน?”
“สำนักกู”
“หน้าตาฉลาดแต่พูดจาขาดสมองแบบนี้ มิน่าถึงได้จีบใครไม่ติดสักที”
“จ้ะ แม่คนฮอต” เทมป์ว่า
แต่เพื่อนสาวก็พยักหน้ารับไม่คิดถ่อมตัว “กูรู้ตัว”
น่าจะจริงสมคำประชดเยินยอ ในสายตาเรนเห็นด้วยชนิดไร้ข้อกังขา ถึงไม่ได้แต่งหน้าแต่งตัว เธอก็เห็นเค้าความสวยของคะนิ้ง สวยขนาดนี้อาจเป็นดาวคณะได้เลยทีเดียว
“นั่งนี่” เพลิงดึงมือหญิงสาวให้นั่งลงข้างกันที่โซฟาซึ่งว่างเว้น
เพลิงคิดอยู่แล้วว่าอาจมีคนวางตัวไม่ถูกเลยไม่อยากพามาด้วยตั้งแต่แรก เมื่อมาถึงจึงลอบสังเกตใบหน้าจิ้มลิ้มแทบจะทุกวินาที คนตัวเล็กทำหน้าปั้นยากอยู่บ้าง แต่ถือว่ารับมือได้ดีกว่าสมัยยังเรียนอยู่ที่เชียงใหม่หลายส่วน แม้เพลิงจะมีเพื่อนฝูงเยอะเป็นปกติ แต่เรนนั้นแทบไม่มีเพื่อนเลย อาจเพราะความขี้อายด้วยส่วนหนึ่ง และติดเขาด้วยอีกส่วน
“เพื่อนที่ไหนวะ? ทำไมไม่เห็นเคยเจอ” ไฉตั้งคำถามโดยไม่คิดเงยหน้าจากหน้าจอ
ทว่าคนที่ดูสนใจแขกผู้มาเยือนเป็นพิเศษเห็นจะไม่พ้นเติร์กที่รีบปรี่เข้านั่งบนโต๊ะไม้ตัวกลาง “นั่นดิ น่ารักขนาดนี้มีแฟนยังครับ?”
“เรายังไม่มี” เรนยิ้มตอบ
“หูย! ดีเลยครับ” เจ้าของคำถามทำทีถูไม้ถูมืออย่างหมายมั่น ทว่าการขวางลำจากใครบางคนก็ขัดขึ้นทันควัน
“ต่อให้ไม่มี เขาก็ไม่น่าเอามึงว่ะไอ้เติร์ก” เป็นเทมป์ที่เหยียดยิ้มกว้างตั้งใจกวนตีน ทว่าเติร์กที่ไวพอกันก็หันคว้าของบนโต๊ะปาใส่เจ้าของคำดูแคลนทันที
“อย่าเสือก กูอาจได้สมหวังมีคู่ก็วันนี้”
“ก่อนจะสมหวัง สมประกอบให้ได้ก่อน” เทมป์ยังคงลับฝีปากกับเพื่อนไม่เลือกหน้า ท่าทางฉลาดสุขุมเป็นเพียงแค่เปลือกนอกเท่านั้น และเติร์กที่ชินชากับนิสัยเพื่อนก็ทำเมินไม่ใส่ใจ หันพูดคุยกับผู้มาเยือนอีกครั้ง
“มาเที่ยวเหรอครับ?” เติร์กแน่ใจว่าไม่เคยเห็นหน้าหญิงสาวมาก่อน
“ไม่ได้มาเที่ยว แต่จะย้ายมาเรียนที่นี่” เพลิงเป็นคนให้คำตอบ “ย้ายมาจากเชียงใหม่”
“หืม?” ทุกคนร้องเป็นเสียงเดียวโดยไม่ได้นัดหมาย ไม่เว้นแม้แต่ไฉที่ยอมสละเวลาละสายตาจากหน้าจอสมาร์ตโฟนชั่วครู่ ต่างก็รู้กันดีว่าบ้านเกิดของเพลิงอยู่ที่เชียงใหม่เช่นกัน
“มาจากบ้านมึง?”
“กูมาจากในเมือง ส่วนยายนี่เป็นเด็กดอย” เพลิงตอบ และคำที่ว่าก็ทำเอาเด็กดอยหันค้อนตาคว่ำ
“ถ้าเราเป็นเด็กดอย เพลิงก็เหมือนกันนั่นแหละ บ้านเพลิงก็อยู่ข้างบ้านเรา”
“อ๋า…” ผู้ร่วมวงสนทนาขานเสียงรับในลำคอ ตั้งอกตั้งใจฟังกันหน้าสลอน ด้วยไม่ยักรู้ว่าเพลิงมีเพื่อนข้างบ้านหน้าตาน่ารักขนาดนี้
“เป็นเหี้ยไรกัน?” ท่าทางสอดรู้ของเพื่อนเป็นอีกเหตุผลที่เพลิงคร้านจะสาธยายเรื่องส่วนตัว “กูเป็นเพื่อนสนิทกัน”
“อืม…”
“เพื่อนข้างบ้าน”
“อืม…”
“อยู่กันมาตั้งแต่เด็ก”
“อืม…”
“กูไม่เล่าละ” เพลิงตัดจบ เมื่อทุกคู่สายตาพากันมองอย่างมีเลศนัยคล้ายกับว่าไม่เชื่อในสิ่งที่เขาพูด โดยเฉพาะรอยยิ้มกวนตี๊นกวนตีนที่ประดับอยู่บนหน้าไอ้ห่าเทมป์
“โห! ไรวะ เล่าต่อดิ พวกกูอยากฟัง” เติร์กที่นั่งอยู่ใกล้สุดรีบเขย่าขาให้เล่าต่อ แต่เพลิงก็ปัดมือเพื่อนทิ้ง
“เล่าเหี้ยไรอีก ก็มีแค่นี้”
“ไม่ถามมึงก็ได้ กูถามเพื่อนมึงดีกว่า” เติร์กไม่สนใจจะตอแย หันหาคนตัวเล็กที่นั่งเบียดกายอยู่ข้างกันกับเพลิงแทน “ทำไมย้ายมาอะ? บอกว่าเป็นเพื่อนกับไอ้เพลิงแสดงกว่าเราอายุเท่ากันใช่ปะ?”
“อือ” เรนยิ้มรับ สีหน้าเริ่มผ่อนคลายเมื่อได้เห็นท่าทางเวลคัมของทุกคน “ปีที่แล้วเราเรียนไม่ไหวและมีปัญหาที่บ้านด้วย เลยตัดสินใจซิ่วย้ายที่เรียนใหม่เลยดีกว่า”
“อ๋อ…”
“ถ้าไม่บอกว่าเป็นเพื่อนกัน แล้วตามมาเรียนกับไอ้เพลิงถึงที่นี่ คิดเป็นอื่นไม่ได้เลยนะ” เทมป์ขยับนั่งเท้าคางมอง
คำที่ว่าทำเอาเพลิงเลียริมฝีปากทั้งสีหน้ารำคาญใจ คว้าหมอนได้หนึ่งใบก็จัดการปาใส่เจ้าของเสียงทันที “ไม่ต้องสาระแนชง นี่เพื่อนกู”
“อือ เรากับเพลิงเป็นแค่เพื่อน” ขณะที่เรนเองก็รีบสมทบเสียงช่วยเพราะไม่อยากให้คนบางคนต้องลำบากใจ
บ่อยครั้งใครต่อใครมักจะเข้าใจผิดในความสัมพันธ์ของทั้งคู่อยู่เสมอ แม้ตัวเธอไม่มีอะไรจะเสียเพราะตกอยู่ในสภาวะเพื่อนสนิทคิดไม่ซื่อมานานหลายปี แต่ไม่ใช่กับอีกคน อย่างไรเพลิงก็คงไม่มีวันคิดไปในทางเดียวกัน
“เป็นเพื่อนมาตั้งแต่เด็ก ๆ เลย”
“แล้วเพิ่งย้ายมาหรือยังไง?” คะนิ้งเห็นใจผู้หญิงด้วยกันจึงพยายามส่งสายตาปรามให้เพื่อนคนอื่นสงบปากสงบคำ “ตอนนี้พักอยู่ที่ไหน?”
“เออนั่นดิ เพิ่งมาถึงเหรอ? ไม่เห็นเจอหน้าที่มอ”
“เราเพิ่งมาถึงวันนี้เลย พอดีเพิ่งจัดการเรื่องอื่น ๆ เสร็จ”
“แล้วได้หอรึยัง? มาอยู่ใกล้กันดิ เดี๋ยวพาเปิดหูเปิดตา แถวนี้มีให้เที่ยวเยอะนะ ไม่ไกลจากนี่ก็ถึงทะเลแล้ว” คนอัธยาศัยดีอย่างคะนิ้งเอ่ยอย่างนำเสนอ ขณะที่เรนเองก็รีบพยักหน้ารับเพื่อสร้างกัลยาณมิตรที่ดี
“ดีเลย เราชอบทะเล หอเราอยู่ไม่ไกลจากที่นี่เท่าไร เพลิงขับรถพามาน่าจะแค่สิบนาที”
“หอใกล้กับไอ้เพลิง?” ไฉที่เงียบมานานเลิกคิ้วถาม ห่างออกไปสักสิบนาทีเห็นจะไม่พ้นย่านหอพักนักศึกษาที่เด็กวิศวะอยู่กันจนเต็ม
“อือ เราตั้งใจจะอยู่หอเดียวกับเพลิง” เรนเอ่ยตอบโดยไม่ทันได้คิดอะไร แต่ก็เป็นอีกครั้งที่เพื่อนใหม่พากันขานเสียงรับอย่างพร้อมเพรียง
“อ๋า…”
จากนั้นทุกคู่สายตาก็ย้ายมองไปยังคนถูกอ้างถึงราวกับจะให้เจ้าตัวเป็นคนขยายความ และเพลิงก็จำใจต้องพยักหน้ารับแบบส่ง ๆ เพราะถึงอย่างไรเพื่อนเขาคงได้รู้กันอยู่ดี
“เรนอยู่ห้องตรงข้ามกับกู”