ห้องพักฟื้นในโรงพยาบาล
วันนี้ฉันมาโรงพยาบาลตั้งแต่เช้าเพื่อมาเยี่ยมคุณคิมหันต์ แต่พอมาถึงฉันก็ได้ยินข่าวดีจากพยาบาลบอกว่าคุณคิมหันต์ฟื้นแล้ว และถูกย้ายมาอยู่ห้องปกติแล้วด้วย ฉันเลยรีบวิ่งตรงมาที่ห้องด้วยความดีใจในทันที “คุณคิมหันต์ :)” ฉันมองดูผ่านกระจกบานเล็กๆของประตูห้อง ก่อนที่ความรู้สึกโล่งใจและดีใจจะผุดขึ้นมา เมื่อเห็นร่างของคนที่นอนไม่ได้สติ ลืมตาตื่นขึ้นมาแล้วจริงๆ กึก! แต่แล้วมือที่กำลังจะเอื้อมไปเปิดประตูกลับหยุดชะงักลงซะดื้อๆ จู่ๆฉันก็นึกถึงคำขอโทษที่เขาเอ่ยออกมาตอนเกิดอุบัติเหตุ พอนึกถึงมันแล้วฉันก็เกิดกลัวขึ้นมา …กลัวว่าฉันจะได้ยินคำนั้นออกมาจากเขาอีก ถ้าเขาพูดคำนั้นออกมาอีก ฉันควรจะรู้สึกยังไงดี? โกรธเหรอ? หรือเสียใจดี? แต่ฉันคิดว่าฉันทำไม่ได้หรอก ฉันจะโกรธคนที่ยอมเสี่ยงชีวิตเพื่อปกป้องฉันขนาดนี้ได้ยังไงกันล่ะ? ฉันรู้ดีว่าใจตัวเองตอนนี้ไม่มีทางรู้สึกโกรธเขาแน่ๆ เพราะฉัน…รักเขา แต่นี่แหละปัญหา ถ้าเขารู้ว่าฉันรักเขา เขาจะยังใจร้ายและปฏิเสธฉันอีกรึเปล่านะ? “ญาติคนไข้ใช่มั้ยคะ?” เสียงของคุณพยาบาลที่ดังอยู่ข้างหลังทำฉันสะดุ้งเล็กน้อย ก่อนจะสังเกตเห็นว่าคุณพยาบาลกำลังเข็นรถเข็นอาหารมาทางนี้ด้วย “เอ่อ…ค่ะ” “คุณหมออนุญาตให้คนไข้ทานอาหารมื้อแรกได้แล้วนะคะ แต่เพราะคนไข้เพิ่งฟื้นจากการผ่าตัด เลยยังทานได้แต่อาหารอ่อนๆ” อ่า อาหารของคนป่วยสินะ “ฉันเอาเข้าไปให้เองค่ะ” “โอเคค่ะ ถ้าคนไข้กินข้าวเสร็จแล้วก็อย่าลืมให้คนไข้ทานยาหลังอาหารที่เตรียมไว้ด้วยนะคะ” “ค่ะ ขอบคุณมากนะคะ” ฉันยิ้มให้คุณพยาบาลก่อนจะรับรถเข็นมาจัดการต่อ ฮู่ววว!! ก๊อกๆๆ!! ฉันถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ ก่อนจะตัดสินใจเคาะประตูห้องคนป่วยด้วยใจที่เต้นรัวไม่หยุด แอ๊ดดด!! ฉันไม่ได้รอให้คนป่วยที่อยู่ในห้องตอบรับแต่อย่างใด แต่กลับเปิดประตูเข้ามาในห้องซะเอง ขวับ!! วินาทีที่เข้ามาในห้องแล้วสายตาของฉันได้สบเข้ากับดวงตาของคนป่วยที่นั่งอยู่บนเตียง ใจฉันมันก็เต้นรัวขึ้นมามากกว่าเดิม ดีจังที่ได้เห็นหน้าเขาอีกครั้ง “ได้เวลาอาหารแล้วค่ะ …คุณคิมหันต์” “…” ไม่มีเสียงตอบกลับจากคนป่วยที่นั่งตรงหน้าเลยสักนิด มีเพียงแค่สายตาของเขาเท่านั้น ที่กำลังจ้องเขม็งมาที่ฉันด้วยความงุนงง “คุณ…เป็นยังไงบ้างคะ?” ฉันถามพลางจัดแจงยกถาดอาหารมาวางไว้บนโต๊ะคนป่วย “เธอไม่โกรธฉันเหรอ?” คำถามแรกที่เอ่ยออกมาจากคุณคิมหันต์ กลับทำฉันหยุดชะงักลงครู่หนึ่ง “อย่าเพิ่งถามอะไรตอนนี้เลยนะคะ กินข้าวแล้วกินยาก่อนเถอะ” “ฉันนึกว่าเธอจะโกรธฉันจนหนีไปแล้วซะอีก” คำพูดของคุณคิมหันต์ก็ยังคงฟังดูใจร้ายเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนเลย แต่สิ่งที่เปลี่ยนไปคือแววตาของเขาต่างหากล่ะ ถ้าเป็นเมื่อก่อนแววตาของเขาคงจะเรียบนิ่งและเยือกเย็นจนน่ากลัว แต่ตอนนี้แววตาที่เขาส่งมาให้ฉันคือแววตาของคนที่กำลังรู้สึกผิด แววตาที่อ่อนโยนจนทำใจฉันอ่อนไปหมดแล้ว “โกรธสิคะ” ฟึ่บ!! ฉันพูดพลางหยิบช้อนที่วางอยู่ขึ้นมาตักโจ๊กในถาด ก่อนจะเป่ามันให้หายร้อน แล้วป้อนให้กับคนป่วยตรงหน้า “แต่เกวไม่ใช่คุณคิมหันต์นะคะ ที่จะใจร้ายกับคนที่เสี่ยงชีวิตช่วยตัวเองน่ะ” “เธอไม่เกลียดฉันแล้วเหรอ?” ดูท่าว่าคุณคิมหันต์จะไม่ยอมหยุดตั้งคำถามแล้วกินข้าวง่ายๆเลยแฮะ ถ้าฉันไม่ยอมตอบคำถามเขา เขาก็คงจะไม่ยอมกินข้าวแน่ๆ ฟึ่บ!! ฉันวางช้อนที่ยื่นค้างไว้ลง ก่อนจะหันไปตอบคำถามของเขาอย่างอ่อนโยน “เกวเกลียดคุณไม่ลงหรอกค่ะคุณคิมหันต์” “ทำไม?” หมับ!! ฉันมองลึกเข้าไปในดวงตาที่กำลังสั่นไหวของคุณคิมหันต์ พลางยื่นมือออกไปสัมผัสใบหน้าของเขาอย่างอ่อนโยน “…เพราะเกวรักคุณ” “…” ความเงียบเข้ามาครอบงำบรรยากาศระหว่างเราสองคนอีกแล้ว ไม่มีเสียงใดๆดังขึ้นมาอีก มีแค่เพียงสายตาของเราสองคนเท่านั้นที่สอดประสานกันกันอย่างลึกซึ้ง ฉันพูดความรู้สึกที่อยู่ในใจของตัวเองออกไปอย่างไม่ลังเล ฉันไม่ได้คาดหวังว่าคำตอบจากเขาทั้งนั้น ไม่ว่าเขาจะตอบรับหรือจะปฏิเสธมันฉันจะไม่สนใจมันอีกแล้ว ฉันขอเพียงให้เขา…ได้รับรู้ความรู้สึกของฉันเท่านั้นก็เพียงพอแล้ว หมับ!! คุณคิมหันต์ยกมือของตัวเองมาจับมือฉันที่กำลังสัมผัสใบหน้าเขาอยู่อย่างอ่อนโยน พร้อมกับแนบแก้มของตัวเองให้สัมผัสกับฝ่ามือของฉันมากขึ้น พลางสบสายตากับฉันอย่างอ่อนโยน ปฏิกิริยาของเขาทำฉันแปลกใจมากเลยล่ะ เหมือนว่าเขาจะเปลี่ยนไปจากเดิมเยอะเลยแฮะ แต่ฉันรู้สึกดีมากๆเลยล่ะ ที่เขาไม่ปฏิเสธฉันเหมือนเมื่อก่อน “เฮ้อออ~ ฉันขอโทษเกว ฉัน…ควรจะบอกเธอให้เร็วกว่านี้” คำขอโทษถูกเอ่ยออกมาจากปากคนตัวสูงด้วยท่าทีจริงใจ อย่างที่เขาไม่เคยเป็นมาก่อน “ใช่ค่ะ! ถ้าคุณบอกความจริงกับเกวเร็วกว่านี้ คุณก็คงไม่ต้องมาเจ็บตัวเพราะเกวแบบนี้ เกวขอโทษนะคะที่เป็นต้นเหตุให้คุณต้องเจ็บตัว” หยดน้ำตาที่คลอเบ้าหยดลงมาอย่างห้ามไม่อยู่ เพราะความรู้สึกผิดที่ทำให้คุณคิมหันต์ต้องมาเจ็บตัวแบบนี้ ใจฉันมันเจ็บปวดขึ้นมาทุกครั้งที่นึกถึงภาพตอนที่เขานอนจมกองเลือดมากมายขนาดนั้น ฉันมองดูผ้าพันแผลที่แปะอยู่ตามร่างกายของคุณคิมหันต์เต็มไปหมด “ฮึก เจ็บ…มากมั้ยคะ?” “ดูเหมือนเธอจะเจ็บมากกว่าฉันอีกนะ” ฟึ่บ!! คุณคิมหันต์ส่ายหน้าเบาๆ ก่อนจะยื่นมือออกมาเช็ดน้ำตาที่ไหลรินอาบแก้มทั้งสองข้างของฉันอย่างแผ่วเบา “ฉันขอโทษนะเกวลิน” คำขอโทษถูกเอ่ยออกมาจากปากของเขาอีกครั้ง ฉันสัมผัสได้ถึงความจริงใจของเขาสายตาที่สั่นไหว น้ำเสียงและสัมผัสที่อ่อนโยนของเขา ทุกอย่างมันคือสิ่งที่ออกมาจากใจเขาจริงๆ “เกวยินดีรับคำขอโทษของคุณค่ะ แต่เกวยังไม่หายโกรธคุณหรอกนะคะ” “ฉันต้องทำยังเธอถึงจะหายโกรธฉัน?” สีหน้าของคุณคิมหันต์เริ่มเปลี่ยนไปจากเดิม คิ้วที่ขมวดผูกกันเป็นปม แสดงออกถึงความกังวลที่มีมากขึ้นของเขาได้ดีเลยล่ะ หึ! ฉันไม่เคยเห็นท่าทีเป็นกังวลขนาดนี้ของคุณคิมหันต์มาก่อนเลยแฮะ มันแอบดูตลกนิดหน่อย “อย่าขอโทษเกวอีกเลยนะคะคุณคิมหันต์ ลืมเรื่องทุกอย่างไปให้หมด” ฟึ่บ!! ฉันพูดพลางหยิบช้อนที่วางคือไว้ก่อนหน้านี้ขึ้นมา ก่อนจะตักข้าวต้มในถาดแล้วยกขึ้นมาป้อนให้คนป่วยตรงหน้าอีกครั้ง “แล้วรีบกลับมาหายดีไวๆเถอะนะ” นี่คือสิ่งเดียวที่ฉันต้องการในตอนนี้“อ้ะ!” ฉันร้องลั่นขึ้นมาเมื่อคนตัวสูงกระแทกเอวสวนจนรู้สึกจุกไปหมด“แต่ฉันชอบสุดๆไปเลยล่ะ~” เสียงกระซิบบองชอบที่แหบพร่า บวกกับแววตาหื่นกระหายของคนตรงหน้าทำให้ความเขินอายที่มีในตอนแรก เลแปรเปลี่ยนเป็นความร้อนรุ่มที่เพิ่มมากขึ้นกว่าเดิมไปอีก“จุ๊บ!! อื้ม~” ฉันก้มลงไปประทับริมฝีปากของตัวเองลงบนริมฝีปากหนา จู่ๆฉันก็เกิดความคิดประหลาดๆขึ้นมา คราวนี้ฉันอยากจะลองเป็นคนเดินเกมส์ดูบ้าง ฉันอยากจะรู้…ว่าฉันสามารถทำให้คนตรงหน้าเสียสติได้มาก เท่ากับที่เขา…ทำให้ฉันเสียสติจวนจะบ้าตายอย่างในตอนนี้รึเปล่านะ?ฉันส่งเรียวลิ้นของตัวเองเข้าไปเกี่ยวตระหวัดดูดเม้มกับเรียวลิ้นของเขาอย่างร้อนแรง เหมือนกันที่เขาทำกับฉัน และช่วงชิมรสหวานจากปากของเขาอย่างหื่นกระหาย เหมือนกันที่เขาทำกับฉัน“อืมมม~” เสียงครวญครางที่ดังออกมาจากในลำคอของคนใต้ร่าง มันทำให้ฉัพอใจมากเลยล่ะ แต่แค่นี้ยังไม่พอหรอก ฉันอยากเห็นเขา…พอใจสัมผัสของฉันมากกว่านี้“อ่าส์ เกว~” ฉันเปลี่ยนตำแหน่จาริมฝีปากของคนตัวสูง มาซุกไซร้ซอกคอแกร่งของเขาแทน ฉันใช้เรียวลิ้นของตัวเองไล้เลียและดูดเม้มไปตามผิวเนียนของเขาอย่างหื่นกระหาย ให้เหมือนกับที่เขาทำกับฉัน
วันต่อมาเมื่อวานหลังจากกลับมาจากห้องของคุณคิมหันต์แล้ว ฉันก็นั่งทำโอทียาวมาจนถึงเช้าเลยล่ะ ยังไม่ได้นอนมาตั้งแต่เมื่อคืนเลย ง่วงจนตาจะปิดอยู่แล้วเนี่ยกริ๊งงง!! ระหว่างที่กำลังนั่งเฝ้าล็อบบี้รอเวลาออกกะอยู่นั้น เสียงมือถือที่วางอยู่หน้าล็อบบี้ก็ดังขึ้นมา รินณ์ที่นั่งทำงานอยู่ใกล้ๆเลยทำหน้าที่รับสายแทน“สวัสดีค่ะ”“อาหารเช้าสองที่เหรอคะ?”“ได้ค่ะ เดี๋ยวทางเราจะเตรียมไว้ให้นะคะ”“ให้ใครไปเสริฟ์นะคะ?”“พนักงานที่ชื่อ…เกวลิน”“ได้ค่ะ อีกสามสิบนาทีเราจะเอาอาหารไปให้นะคะ”ทันทีที่วางสายฉันกับรินณ์หันมาสบตากันอย่างไม่ได้นัดหมาย“มีอะไรเหรอรินณ์?” “ก็แฟน…เอ่อ…คุณคิมหันต์อ่ะ เขาขอให้เกวเอาอาหารเช้าเสริฟ์ให้น่ะสิ” รินณ์มองซ้ายมองขวาก่อนจะเขยิบมากระซิบใกล้ๆฉันคุณคิมหันต์ให้ฉันเอาอาหารไปเสริฟ์ให้เนี่ยนะ? คิดจะแกล้งอะไรฉันอีกล่ะเนี่ย?ห้องพักกริ๊งงง!! ฉันกดออดที่หน้าห้องพักของคุณคิมหันต์ หลังจากที่เข็นรถเข็นอาหารมาส่งให้เขาถึงหน้าห้อง ตามคำสั่งที่สั่งไว้ก่อนหน้านี้แอ๊ดดด!! ผ่านไปเพียงไม่กี่วิ คนตัวสูงก็เปิดประตูห้องออกมา แต่ทันทีที่ฉันเห็นร่างของคนที่อยู่ในห้อง ฉันถึงกับเบิกตาโ
ห้องพักวีไอพีกริ๊งงง!! ฉันตัดสินใจกดออดหน้าประตูห้องพักวีไอพีห้องหนึ่ง หลังจากที่ยืนทำให้อยู่หน้าห้องมาได้สักพักหนึ่งแล้วแอ๊ดดด!! ผ่านไปไม่กี่วินาที ประตูห้องก็ถูกเปิดออกมาช้าๆ ก่อนจะปรากฏร่างของคนตัวสูงที่ยืนยกยิ้มมุมปากอย่างเจ้าเล่ห์อยู่หลังประตู“ฉันเอากระเป๋ามาให้…”หมับ!! ยังไม่ทันที่จะพูดจบ คนตัวสูงก็คว้าร่างฉันเข้าไปในห้องอย่างไม่ทันตั้งตัว พร้อมกับกระเป๋าใบใหญ่ที่ลากเข้ามาในห้องด้วยกันอีกทีปัง!! ฉันสะดุ้งตกใจเสียงปิดประตูที่ดังขึ้นมาซะลั่นห้อง “คุณคิมหันต์! คุณจะทำอะไรเนี่ย?”ตุบ!! คนตัวสูงเตะกระเป๋าใชเดินทางใบใหญ่ของตัวเอทีกันเองมาด้วยออกไป ก่อนจะดันตัวฉันให้ติดกับประตห้องไม่ให้ไปไหน“ไม่ได้เจอกันนานเลยนะเกวลิน”“นั่นน่ะสิค่ะ เกวก็ไม่คิดว่าจะได้เจอคุณที่นี่ในฐานะแขกวีไอพีด้วยเหมือนกันค่ะ” ฉันพูดด้วยน้ำเสียงและสายตาที่ออกจะดุนิดหน่อย “คุณมาทำอะไรที่นี่คะ?”“ฉันคิดถึงเธอเกว~”ตึกตักๆๆ!! คนตัวสูงเลือกที่จะเปลี่ยนเรื่องเลี่ยงตอบคำถามของฉัน เป็นการกระซิบเบาที่ข้างหูฉันแทน ซึ่งวิธีนี้ก็ถือว่าเป็นวิธีทำให้ฉันใจสั่นขึ้นมาได้ดีเลยล่ะ“เราไม่ได้เจอกันตั้งเดือนนึงเลยนะเก
หนึ่งเดือนผ่านไปวันเวลาผ่านไปเร็วราวกับพลิกหน้ากระดาษ ตอนนี้ก็ผ่านมาเดือนกว่าแล้วที่ฉันมาฝึกงานที่นี่ ทุกๆวันที่อยู่ที่นี่ไม่เคยมีวันไหนที่ฉันจะไม่คิดถึงคนที่ตัวเองรักอย่างคุณคิมหันต์ แต่ถึงอย่างนั้น…ฉันก็ยังสนุกกับการฝึกงานที่นี่อยู่นั่นแหละและดูเหมือนว่าใกล้ถึงเวลาที่ฉันจะกลับไปหาคนที่ตัวเองรักสักที“เอ้า! ทุกคน ใกล้ถึงเวลาที่แขกวีไอพีขอบโรงแรมจะมาแล้ว รีบออกมาต้อนรับกันเร็ว” เสียงของผู้จัดการตะโกนร้องเรียกพนักงานทุกคนที่อยู่ในล็อบบี้โรงแรมเมื่อสองวันก่อนผู้จัดการแจ้งมาว่าในวันนี้จะมีแขกวีไอพีมาพักที่โรงแรม ซึ่งแขกคนนี้เป็นแขกคนสำคัญมากๆเลยล่ะ ลือกันว่าเขาเป็นเพื่อนของท่านประธานคนใหม่ของที่นี่ ดังนั้นเราจึงต้องให้การต้อนรับแขกวีไอพีคนนี้ให้ดีที่สุดและห้ามทำอะไรผิดพลาดโดยเด็ดขาด“ไปกันเถอะเกว” เสียงของรินณ์ที่ยืนอยู่หน้าล็อบบี้เรียกให้ออกไปยืนรอด้วยกัน“อื้อ!” ฉันกันรินณ์ออกไปรอต้อนรับแขกวีไอพีคนดังกล่าวที่หน้าประตูโรงแรม พร้อมกับผู้จัดการและพี่แอนเอี๊ยดดด!! ยืนรอกันได้อยู่พักหนึ่ง ไม่นานก็มีรถหรูคันหนึ่งเข้ามาจอดเทียบที่หน้าประตูโรงแรมพนักงานชายเดินไปเปิดประตูรถ ก่อนท
หลังจากได้ฟังคำตอบจากปากของเกวลินแล้ว สิ่งที่ค้างคาใจผมในตอนแรกก็คลายลง ผมตัดสินใจเดินออกมาจากร้านนั้น แล้วก็มาเดินเล่นที่ริมหาดกับไอ้กวินท์แทนระหว่างที่เดินเล่นอยู่ผมก็ทบทวนคำพูดของเกวลินอยู่ตลอดเวลาที่ผ่านมาสิ่งที่เกวลินต้องการมาตลอดก็คืออิสระ เพราะเธอโตมากับตระกูลของผม เลยทำให้เธอคิดว่าตัวเองติดหนี้บุญคุณตระกูลของผม ไอ้สิ่งที่ผูกมัดเกวลินมาตลอดคือ…ตระกูลอัศวนันทร์ และตัวผมนี่แหละผมไม่อยากสูญเสียเกวลินไป ผมอยากให้เกวลินอยู่กับผมไปตลอดเลยด้วยซ้ำ เพราะผมรักเธอ แต่มันคงไม่ง่ายสำหรับเกวลิน แม้เธอจะรักผม แต่เธอก็มีความต้องการเหมือนกัน และสิ่งที่เธอต้องการก็คือ…อิสระ เธอต้องการอิสระมาโดยตลอด เพราะงั้น…ผมตัดสินใจแล้วว่าผม…จะยอมให้อิสระกับเกวลิน อย่างที่เธอต้องการ“ดูเหมือนแกกับเด็กคนนั้นจะรักกันมากเลยนะ” ไอ้กวินท์พูดเหมือนเด็กฝึกงานที่มากับเกวลินไม่มีผิด“ไม่ใช่เรื่องของแก”“ครั้งแรกเลยนะที่ฉันเห็นแกร้อนรนแบบนี้อ่ะ”“อย่ามาทำเป็นรู้ดีหน่อยเหอะ”“นี่! ฉันกำลังเตือนสติแกอยู่นะเว้ย! ฉันไม่รู้หรอกนะว่าเพราะอะไรน้องเขาถึงหนีมาอยู่ที่นี่ได้อ่ะ แต่จากที่ฟังเมื่อกี้…น้องเขาคงจะรัก
[คิมหันต์]ณ ร้านอาหารแห่งหนึ่งผมขับรถตามรถของเกวลินมาเรื่อยๆ จนมาถึงที่ร้านอาหารที่ตั้งอยู่ริมทะเลร้านหนึ่ง เกวลินกันเพื่อนของเธอคงจะมากินอาหารกันที่นี่ ผมไม่อยากให้เกวบินคลาดสายตาผมไป เลยตามเกวลินเข้ามาในร้านด้วยเหมือนกันแต่ผมไม่เข้าใจว่าไอ้กวินท์มันจะตามผมมาถึงที่นี่ด้วยทำไมเนี่ย?“นั่งตรงนี้มั้ยเกว?”“ได้สิ” เกวลินกับเพื่อนของเธอเลือกนั่งลงบนโต๊ะๆหนึ่งในร้านอาหาร ฟุ่บ!! ผมที่เดินตามอยู่ห่างๆ เลยเดินเข้าไปนั่งใกล้กับโต๊ะของเกวลิน ซึ่งระยะห่างระหว่างผมกันเกวลินก็ห่างกันเพียงแค่โต๊ะอาหารคั่นกลางไว้แค่โต๊ะเดียวเท่านั้นตุบ!! ส่วนไอ้กวินท์ที่ตามติดมาด้วยก็ดันเลือกที่จะมานั่งข้างๆผมอีกซะงั้น ที่มีตั้งเยอะแยะจะมานั่งติดผมทำไมเนี่ย?“แกจะตามฉันมาด้วยทำไมเนี่ย?”“ฉันไม่ได้ตามแกมาซะหน่อย ลืมไปแล้วรึไงว่ารถที่แกขับมาน่ะ รถฉันเว้ย!” มันพูดด้วยท่าทีเลิ่กลั่ก ความจริง ผมสังเกตเห็นตั้งแต่ที่โรงแรมล่ะ ไอ้กวินท์เอาแต่ชะเง้อมองตามใครสักคนอยู่ตลอดเวลา ไม่ต่างจากผมเลยสักนิด และผมก็เดาว่าคนที่มันกำลังตามอยู่คงจะเป็นเพื่อนที่อยู่กับเกวลินตอนนี้แน่ๆ“ใครว่ะ? แฟนเหรอ?” ผมเป็นฝ่ายเอ่ยปากถาม
[คิมหันต์]ณ บริษัท เอ.เอส.เอ็นก๊อกๆๆ!! เสียงเคาะประตูห้องทำงานหน้าห้องของผมดังขึ้น“เข้ามา” ธนินเดินเข้ามาในห้องหลังจากได้รับอนุญาตจากผมแล้ว“เรื่องที่ให้ไปสืบเป็นไงบ้าง?“ ทันทีที่เห็นหน้าของธนินผมก็เอ่ยถามถึงงานที่ผมมอบหมายไปให้เมื่อวานนี้ “ได้ที่อยู่ของคุณเกวลินมาแล้วครับ” ซึ่งก็เป็นเรื่องไหนไม่ได้เลน นอกจากเรื่องของเกวลิน ยัยตัวแสบที่แอบหนีผมไปไงล่ะ เมื่อวานทันทีที่รู้ว่าเกวลินหนีไป ผมก็รีบยกหูโทรหาให้ธนินไปสืบหาที่อยู่ของเกวลินทันที “เกวลินอยู่ไหน?”“คุณเกวลิน ย้ายไปฝึกงานอยู่ที่โรงแรมพาวิลเลียนที่ต่างจังหวัดครับ” ได้ยินชื่อโรงแรมที่ธนินเอ่ยแล้วผมถึงกับต้องขมวดคิ้วขึ้นมาทันที เพราะเหมือนว่าชื่อโรงแรมนี้จะฟังดูคุ้นหูเอามากเลยล่ะ“โรงแรมพาวิลเลียนเหรอ?”“ครับ โรงแรมในเครือตระกูลอัครวานิชครับ” และผมก็อดที่จะยกยิ้มมุมปากขึ้นมาไม่ได้ เมื่อสิ่งที่ผมสงสัยได้รับการยืนยันจากธนินโรงแรมพาวิลเลียน ในเครือตระกูลอัครวานิช คือโรงแรมที่ไอ้กวินท์ เพื่อนสนิทสมัยเรียนมหาลัยของผมบริหารอยู่นี่เอง ตืดๆๆ!! ทันทีที่รู้ว่าเกวลินอยู่ที่นั่น ผมก็ไม่รอช้ารีบยกหูกดโทรออกหาไอ้กวินท์มันอย่า
[เกวลิน]“ยินดีต้อนรับน้องๆฝึกงานทุกคนเลยนะคะ” เสียงของผู้จัดการโรงแรมเอ่ยขึ้น หลังจากที่พาพวกเราที่เป็นเด็กฝึกงานใหม่ ไปแนะนำสถานที่ต่างๆในโรงแรมเสร็จแล้ว“ต่อไปนี้ก็ตั้งใจทำงาน แล้วก็ขอให้โชคดีกับการฝึกงานนะคะ” พี่แอนพี่พนักงานอีกคนหนึ่งเอ่ยขึ้น“ขอบคุณค่ะ” ฉันและเพื่อนอีกคนที่เป็นเด็กฝึกงานเหมือนกันเอ่ยขอบคุณผู้จัดการและพี่แอนพร้อมๆกัน“วันนี้ก็คงไม่มีอะไรแล้วล่ะ เราสองคนกลับไปพักผ่อนกันก่อนเถอะ แล้วเดี๋ยวค่อยมาเริ่มงานพรุ่งนี้อีกที”“ได้ค่ะ”“งั้นพี่ไปก่อนนะ” ร่ำลากันเสร็จผู้ตัดการกับพี่แอนก็เดินกลับไปทำงานของตัวเองกันต่อ เหลือไว้แค่ฉันกับเพื่อนร่วมฝึกงานกันอยู่สองคน“หวัดดี เราชื่อรินณ์นะ” เพื่อนอีกคนที่ยืนอยู่ข้างๆ หันมาทักทายด้วยสีหน้าที่สดใส“หวัดดี เราชื่อเกว”“เกวมาจากกรุงเทพเหรอ?”“อื้อ แล้วรินณ์อ่ะ?”“เราเรียนที่นี่แหละ แล้วก็อยู่ที่นี่มาตั้งแต่เด็กแล้วด้วย” อ่อ เป็นคนที่นี่สินะ“อ่อ อื้ม!”“แล้วนี่…เกวจะกลับเลยรึเปล่า? เราไปกินข้าวกันมั้ย?”“โทษทีนะ พอดีเราเพิ่งย้ายมาที่นี่เมื่อวานเองอ่ะ คงต้องขอตัวกลับไปจัดของที่ห้องก่อน” “อ่อ งั้นไม่เป็นไร ไว้ไปกินข้าวกั
[คิมหันต์]เช้าวันต่อมา พรึ่บ!! ผมลืมตาขึ้นมาช้าๆ หลังจากที่หลับพักผ่อนจากกิจกรรมอันเหน็ดเหนื่อยเมื่อคืนไปทั้งคืนอย่างเต็มที่แล้ว แสงแดดที่เล็ดลอดผ่านผ้าม่านสีดำในห้องของตัวเองสาดส่องเข้ามา ทำผมถึงกับต้องหรี่ตาลงเพื่อปรับสายตาของตัวเองให้คงที่ขวับ!! เมื่อสายตากลับมาอยู่ในสภาพคงที่แล้ว ผมจึงพลิกตัวมาอีกฝั่งหนึ่งของเตียง ด้วยความหวังที่ว่าจะเจอกันคนตัวเล็กอย่างเกวลินนอนอยู่ข้างๆกาย"..." แต่แล้วสิ่งที่ผมเจอมีเพียงแค่รอยยับของผ้าปูที่ว่างเปล่าและไร้ซึ่งร่างของคนตัวเล็กเกวลินตื่นแล้วเหรอ?ฟุ่บ!! ผมคิดว่าคนตัวเล็กคนจะตื่นก่อนผมไปแล้ว ผมจึงลุกออกจากเตียง ก่อนจะเดินหยิบกางเกงนอนของตัวเองมาใส่ แล้วเดินออกไปจากห้อง ด้วยความหวังที่ว่าเกวลินคงจะอยู่ข้างนอกห้อง หรือที่ไหนสักที่ในบ้านนั่นแหละ"..." แต่ผมกลับต้องขมวดคิ้วด้วยความแปลกใจมากกว่าเดิม เมื่อลงมาแล้วไม่เจอกับเกวลินอยู่ที่ชั้นล่างของบ้าน ในครัวก็ไม่อยู่ ในห้องรับแขกก็ไม่เจอ "เกวลิน!" ผมลองตะโกนร้องเรียกชื่อของคนตัวเล็ก แต่ก็ไร้ซึ่งเสียงใดๆตอบรับกลับมาใจผมเริ่มสั่นไหวขึ้นมา จู่ๆความคิดที่ไม่ดีก็ดันโผล่เข้ามาในหัว ตอนนี้ผมกำลังคิดว่า