หนึ่งอาทิตย์ผ่านไป
ณ บริษัทเอ.เอส.เอ็น เวลา 07.50 น. “สายแล้วๆๆ!” ตึกๆๆๆ!! ฉันเร่งฝีเท้าของด้วยความเร็วที่สุดเท่าที่ขาสั้นๆของตัวเองจะทำได้ เพื่อมุ่งตรงไปยังลิฟต์ที่ตอนนี้กำลังจะปิดลงแล้ว วันนี้ฉันตื่นสายนิดหน่อยเพราะลืมตั้งนาฬิกาปลุก เวลาเข้างานของบริษัทคือแปดโมง แต่ตอนนี้ฉันสายเอามากเลยล่ะ ถ้าฉันวิ่งไปเข้าลิฟท์ไม่ทันรอบนี้ ฉันต้องโดนพี่ขิมบ่นอีกแน่ๆ “รอด้วยค่ะๆๆๆ” ครืดดด!! ประตูลิฟต์กำลังจะปิดลงก่อนหน้านี้ กลับเปิดกว้างออกมาอีกครั้ง อ่าาา! ดีนะที่วิ่งมาทัน เพราะได้คนในลิฟต์ช่วยไว้แท้ๆ “แฮ่กๆๆ ขอบคุณที่รอนะ…” ขวับ!! ฉันกล่าวขอบคุณในขณะที่กำลังหอบหายใจด้วยความเหนื่อยบวกกับดีใจที่วิ่งทันลิฟต์ แต่เมื่อหันมาเจอหน้าคนที่อยู่ในลิฟต์แล้ว ความรู้สึกหอบเหนื่อยและดีใจก่อนหน้ากลับหายไปในชั่วพริบตา “จะขึ้นมามั้ย?” น้ำเสียงเย็นยะเยือกที่คุ้นหูถูกเอ่ยออกมาพร้อมกับใบหน้าที่เรียบนิ่งจากคนตรงหน้า คนที่เอาแต่มองฉันด้วยสายตาแบบนั้นมีแค่คนเดียวเท่านั้นแหละ …คุณคิมหันต์ “ขึ้นค่ะ” แม้จะหวั่นใจนิดหน่อยที่รู้ว่าคนในลิฟต์คือคุณคิมหันต์ แต่ตอนนี้ฉันไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากก้าวเท้าขึ้นลิฟต์ไปด้วยกันกับเขาเท่านั้น “…” ระหว่างที่ลิฟต์เคลื่อนตัว มีเพียงความเงียบเท่านั้นที่เข้ามาครอบงำบรรยากาศระหว่างเราสองคน อึดอัดชะมัด!! ตั้งแต่วันนั้นฉันก็ไม่ได้เจอหน้ากับคุณคิมหันต์อีกเลย ไม่สิ! ฉันหลบหน้าเขาต่างหาก ฉันยังนึกถึงคำพูดของเขาในวันนั้นได้ดี ‘ไอ…ชอบเขาไม่ได้เกรซ’ แม้ฉันจะได้รับรู้ความรู้สึกบางอย่างของเขา แต่มันก็ไม่ได้ทำให้ฉันรู้สึกดีเลยสักนิด เพราะถึงยังไงเขาก็เลือกที่จะเกลียดฉัน มากกว่าเลือกความรู้สึกของตัวเองอยู่ดี ฉันเองก็ไม่ได้อยากอยู่ใกล้คนที่เกลียดตัวเองหรอก ว่าแต่…ทำไมลิฟต์มันนานขนาดนี้เนี่ย แล้วทำไมในลิฟต์ถึงมีแค่ฉันกับเขาแค่สองคนล่ะ คนอื่นเขาไม่ทำงานกันรึไงนะ? ติ้ง!! เสียงประตูลิฟต์ที่ดังขึ้นเปรียบราวกับแสงสว่างที่เข้ามาช่วยชีวิตฉันไว้ได้ทัน ดีล่ะ! รีบออกไปก่อนที่จะอึดอัดตายอยู่ในนี้ซะก่อน “เธอทำงานชั้นนี้เหรอ?” แต่ในตอนที่ฉันกำลังจะก้าวเท้าเดินออกไปจากลิฟต์ เสียงที่เรียบนิ่งของคนตัวสูงที่ยืนอยู่ข้างหลังก็ทำฉันชะงักฝีเท้าลงซะก่อน ขวับ!! แม้จะฉันจะพยายามแสดงท่าทีเมินเขา แต่คำพูดของเขาก็ทำฉันแอบเหลือบไปมองเลขบอกชั้นที่ข้างๆประตูลิฟต์ …ชั้น3 ฉันไม่ได้ทำงานที่ชั้นนี้ ที่ที่ฉันทำงานอยู่คือชั้นสอบต่ากหากล่ะ แต่นั่นไม่ใช่สิ่งที่ดึงดูดสายตาของฉัน สิ่งที่ทำให้ฉันถึงกับเหลือกตาแทบถลนได้ คือปุ่มกดลิฟต์ที่ขึ้นสีแดงยาวเป็นแถบ ตั้งแต่ชั้น1ถึงชั้น10เลยล่ะ ไอ้เรื่องบ้าๆแบบนี้ คงเดาไม่ยากว่าฝีมือใคร “คุณทำอะไรลงไปเนี่ยฮ่ะคุณคิมหันต์?!” ฉันหันกลับไปตะคอกใส่คนที่ยืนทำหน้านิ่งอยู่ข้างๆ ก่อนที่เขาจะกดปิดประตูลิฟต์ลงด้วยมือของเขาเองอีกครั้ง “เธอหลบหน้าฉันทำไมเกวลิน?” สิ่งที่ฉันได้กลับมาคือคำถามที่ไม่คาดคิด และสีหน้าที่เรียบนิ่งจากเขา เหอะ! เขารู้ตัวด้วยสินะว่าฉันหลบหน้าเขา ติ๊ง!! แล้วประตูลิฟต์ก็เปิดออกมาที่ชั้นสี่อีกครั้ง และปิดลงด้วยฝีมือของเขาอีกนั่นแหละ “เพราะฉันไม่อยากเห็นหน้าคุณค่ะ” “วันนั้นเธอไม่ได้ยินเรื่องที่ฉันคุยกับเกรซรึไง?” “ไม่ต้องห่วงหรอกค่ะ ถ้าคุณหมายถึงเรื่องที่คุณกับคุณเกรซไม่ใช่คู่หมั้นกันจริงๆ ฉันไม่เอาไปบอกคนอื่นหรอก” ติ๊ง!! …ชั้น5 “เธอก็รู้ว่าฉันไม่ได้หมายถึงเรื่องนั้น” ฉันรู้…ฉันรู้ว่าเขาหมายถึงเรื่องที่เขาชอบฉัน “แล้วคุณหมายถึงเรื่องไหนล่ะคะ?” “เกวลิน!!” คุณคิมหันต์ตะคอกเสียงดุออกมาด้วยความไม่พอใจ ถ้าเป็นเมื่อก่อนฉันคงกลัวจนตัวหดไปแล้ว แต่ตอนนี้ฉันไม่อยากสนใจมันแล้ว “เลิกแกล้งฉันสักทีเถอะค่ะคุณคิมหันต์ คุณไม่ใช่เด็กๆแล้วนะคะ ที่จะมาเล่นอะไรแบบนี้” ฟึ่บ!! ฉันพูดพลางยื่นแขนออกไปหวังจะกดปุ่มปิดชั้นลิฟต์ ในนี้มันอึดอัดเกินไปแล้ว ฉันไม่อยากมายืนเถียงกับเขา อยากรีบๆออกไปจากในลิฟต์สักที หมับ!! แต่ในตอนที่ฉันกำลังยื่นแขนออกไป คนตัวสูงกลับคว้าแขนข้างนั้นของฉันเอาไว้ ก่อนจะใช้แขนที่เหลืออยู่ของตัวเองคว้าแขนอีกข้างของฉันขึ้นมา แล้วรวบตรึงแขนทั้งสองข้างไว้กับผนังลิฟต์ “คุณคิมหันต์! คุณทำบ้าอะไรของคุณเนี่ย? ปล่อยฉันนะ!!” ฉันพยายามดิ้นหนีอย่างสุดความสามารถ แต่แรงอันน้อยนิดของฉันไม่สู้แรงของคนตัวใหญ่อย่างเขาได้ยังไงกันล่ะ? ติ้ง!! ฉันเบิกตาโพลงด้วยความตกใจเมื่อได้ยินเสียงประตูลิฟต์เปิดออกอีกครั้ง แต่ก็โชคดีที่ชั้นนี้ไม่มีคนรอลิฟต์อยู่ ฉันไม่เข้าใจเขาเลย เขาคิดจะทำอะไรของเขากันแน่?! “บอกฉันมาสิว่าวันนั้นเธอได้ยินอะไรบ้างเกวลิน?” คนตัวสูงที่ขึงร่างฉันไว้ ถามขึ้นด้วยสีหน้าที่เคร่งเครียดต่างจากเดิม “ฉันไม่รู้! ไม่รู้อะไรทั้งนั้น ปล่อยนะคุณคิมหันต์!” ฉันรู้ว่าเขาอยากได้ยินอะไร แต่ฉันไม่เข้าใจว่าเขาจะเซ้าซี้ให้มันได้อะไรขึ้นมา “จะไม่รู้ได้ยังไง ในเมื่อเธอก็ได้ยินแล้วว่าฉันรู้สึกกับเธอยังไง?” นั่นไง…เขาอยากให้ฉันพูดออกมาว่าฉันรู้ว่าเขาชอบฉันสินะ ติ้ง!! …ชั้น7 เสียงเปิดปิดลิฟต์ก็ยังคงดังต่อเนื่องไม่หยุด และก็ถือว่าโชคดีที่ไม่มีคนยืนรอลิฟต์สักชั้น “ลืมไปแล้วเหรอคะว่าวันนั้นคุณพูดอะไรไป?” “อะไรนะ?” “ถ้าวันนั้นคุณพูดความรู้สึกของคุณออกมาจริงๆ งั้นช่วยบอกฉันอีกทีได้มั้ยคะว่าคุณรู้สึกยังไง?” “…” คำตอบที่ได้กลับมามีเพียงแค่ความเงียบจากคนตรงหน้าเท่านั้น หึ! ไม่กล้าสินะ คนอย่างเขาน่ะไม่มีทางพูดคำนั้นกับฉันออกมาหรอก ไม่มีทาง!! ติ้ง!! …ชั้น8 พลั่ก!! ฉันรวบรวมแรงที่มีทั้งหมดของตัวเองผลักคนตัวสูงตรงหน้าให้ออกห่างตัวเองได้ในที่สุด “คุณจำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าวันนั้นตัวเองพูดอะไรออกไป แล้วฉันจะไปรู้ได้ยังไงล่ะคะ?” “…” ติ๊ง!! …ชั้น9 “อีกอย่างความรู้สึกของคุณจะเป็นยังไงมันไม่สำคัญหรอกค่ะ เพราะฉันรู้ว่าไม่ว่าคุณจะรู้สึกยังไง สสุดท้ายคุณก็ไม่มีวันเลือกความรู้สึกของตัวเองอยู่ดี” ติ๊ง!! …ชั้น10 และแล้วประตูลิฟต์ชั้นสุดท้ายก็เปิดออกมาในที่สุด ฉันไม่รอช้าที่จะเดินออกมาจากลิฟต์ และจากคนเห็นแก่ตัวอย่างเขาทันที ความหมายของประโยคก่อนหน้าที่ฉันพูดออกไป มันแปลได้อีกความหมายหนึ่งคือ ต่อให้คุณคิมหันต์จะชอบฉัน แต่ไม่ว่ายังไง…เขาก็ยังจะปฏิบัติกับฉันอย่างกับคนที่เขาเกลียดอยู่ดี“อ้ะ!” ฉันร้องลั่นขึ้นมาเมื่อคนตัวสูงกระแทกเอวสวนจนรู้สึกจุกไปหมด“แต่ฉันชอบสุดๆไปเลยล่ะ~” เสียงกระซิบบองชอบที่แหบพร่า บวกกับแววตาหื่นกระหายของคนตรงหน้าทำให้ความเขินอายที่มีในตอนแรก เลแปรเปลี่ยนเป็นความร้อนรุ่มที่เพิ่มมากขึ้นกว่าเดิมไปอีก“จุ๊บ!! อื้ม~” ฉันก้มลงไปประทับริมฝีปากของตัวเองลงบนริมฝีปากหนา จู่ๆฉันก็เกิดความคิดประหลาดๆขึ้นมา คราวนี้ฉันอยากจะลองเป็นคนเดินเกมส์ดูบ้าง ฉันอยากจะรู้…ว่าฉันสามารถทำให้คนตรงหน้าเสียสติได้มาก เท่ากับที่เขา…ทำให้ฉันเสียสติจวนจะบ้าตายอย่างในตอนนี้รึเปล่านะ?ฉันส่งเรียวลิ้นของตัวเองเข้าไปเกี่ยวตระหวัดดูดเม้มกับเรียวลิ้นของเขาอย่างร้อนแรง เหมือนกันที่เขาทำกับฉัน และช่วงชิมรสหวานจากปากของเขาอย่างหื่นกระหาย เหมือนกันที่เขาทำกับฉัน“อืมมม~” เสียงครวญครางที่ดังออกมาจากในลำคอของคนใต้ร่าง มันทำให้ฉัพอใจมากเลยล่ะ แต่แค่นี้ยังไม่พอหรอก ฉันอยากเห็นเขา…พอใจสัมผัสของฉันมากกว่านี้“อ่าส์ เกว~” ฉันเปลี่ยนตำแหน่จาริมฝีปากของคนตัวสูง มาซุกไซร้ซอกคอแกร่งของเขาแทน ฉันใช้เรียวลิ้นของตัวเองไล้เลียและดูดเม้มไปตามผิวเนียนของเขาอย่างหื่นกระหาย ให้เหมือนกับที่เขาทำกับฉัน
วันต่อมาเมื่อวานหลังจากกลับมาจากห้องของคุณคิมหันต์แล้ว ฉันก็นั่งทำโอทียาวมาจนถึงเช้าเลยล่ะ ยังไม่ได้นอนมาตั้งแต่เมื่อคืนเลย ง่วงจนตาจะปิดอยู่แล้วเนี่ยกริ๊งงง!! ระหว่างที่กำลังนั่งเฝ้าล็อบบี้รอเวลาออกกะอยู่นั้น เสียงมือถือที่วางอยู่หน้าล็อบบี้ก็ดังขึ้นมา รินณ์ที่นั่งทำงานอยู่ใกล้ๆเลยทำหน้าที่รับสายแทน“สวัสดีค่ะ”“อาหารเช้าสองที่เหรอคะ?”“ได้ค่ะ เดี๋ยวทางเราจะเตรียมไว้ให้นะคะ”“ให้ใครไปเสริฟ์นะคะ?”“พนักงานที่ชื่อ…เกวลิน”“ได้ค่ะ อีกสามสิบนาทีเราจะเอาอาหารไปให้นะคะ”ทันทีที่วางสายฉันกับรินณ์หันมาสบตากันอย่างไม่ได้นัดหมาย“มีอะไรเหรอรินณ์?” “ก็แฟน…เอ่อ…คุณคิมหันต์อ่ะ เขาขอให้เกวเอาอาหารเช้าเสริฟ์ให้น่ะสิ” รินณ์มองซ้ายมองขวาก่อนจะเขยิบมากระซิบใกล้ๆฉันคุณคิมหันต์ให้ฉันเอาอาหารไปเสริฟ์ให้เนี่ยนะ? คิดจะแกล้งอะไรฉันอีกล่ะเนี่ย?ห้องพักกริ๊งงง!! ฉันกดออดที่หน้าห้องพักของคุณคิมหันต์ หลังจากที่เข็นรถเข็นอาหารมาส่งให้เขาถึงหน้าห้อง ตามคำสั่งที่สั่งไว้ก่อนหน้านี้แอ๊ดดด!! ผ่านไปเพียงไม่กี่วิ คนตัวสูงก็เปิดประตูห้องออกมา แต่ทันทีที่ฉันเห็นร่างของคนที่อยู่ในห้อง ฉันถึงกับเบิกตาโ
ห้องพักวีไอพีกริ๊งงง!! ฉันตัดสินใจกดออดหน้าประตูห้องพักวีไอพีห้องหนึ่ง หลังจากที่ยืนทำให้อยู่หน้าห้องมาได้สักพักหนึ่งแล้วแอ๊ดดด!! ผ่านไปไม่กี่วินาที ประตูห้องก็ถูกเปิดออกมาช้าๆ ก่อนจะปรากฏร่างของคนตัวสูงที่ยืนยกยิ้มมุมปากอย่างเจ้าเล่ห์อยู่หลังประตู“ฉันเอากระเป๋ามาให้…”หมับ!! ยังไม่ทันที่จะพูดจบ คนตัวสูงก็คว้าร่างฉันเข้าไปในห้องอย่างไม่ทันตั้งตัว พร้อมกับกระเป๋าใบใหญ่ที่ลากเข้ามาในห้องด้วยกันอีกทีปัง!! ฉันสะดุ้งตกใจเสียงปิดประตูที่ดังขึ้นมาซะลั่นห้อง “คุณคิมหันต์! คุณจะทำอะไรเนี่ย?”ตุบ!! คนตัวสูงเตะกระเป๋าใชเดินทางใบใหญ่ของตัวเอทีกันเองมาด้วยออกไป ก่อนจะดันตัวฉันให้ติดกับประตห้องไม่ให้ไปไหน“ไม่ได้เจอกันนานเลยนะเกวลิน”“นั่นน่ะสิค่ะ เกวก็ไม่คิดว่าจะได้เจอคุณที่นี่ในฐานะแขกวีไอพีด้วยเหมือนกันค่ะ” ฉันพูดด้วยน้ำเสียงและสายตาที่ออกจะดุนิดหน่อย “คุณมาทำอะไรที่นี่คะ?”“ฉันคิดถึงเธอเกว~”ตึกตักๆๆ!! คนตัวสูงเลือกที่จะเปลี่ยนเรื่องเลี่ยงตอบคำถามของฉัน เป็นการกระซิบเบาที่ข้างหูฉันแทน ซึ่งวิธีนี้ก็ถือว่าเป็นวิธีทำให้ฉันใจสั่นขึ้นมาได้ดีเลยล่ะ“เราไม่ได้เจอกันตั้งเดือนนึงเลยนะเก
หนึ่งเดือนผ่านไปวันเวลาผ่านไปเร็วราวกับพลิกหน้ากระดาษ ตอนนี้ก็ผ่านมาเดือนกว่าแล้วที่ฉันมาฝึกงานที่นี่ ทุกๆวันที่อยู่ที่นี่ไม่เคยมีวันไหนที่ฉันจะไม่คิดถึงคนที่ตัวเองรักอย่างคุณคิมหันต์ แต่ถึงอย่างนั้น…ฉันก็ยังสนุกกับการฝึกงานที่นี่อยู่นั่นแหละและดูเหมือนว่าใกล้ถึงเวลาที่ฉันจะกลับไปหาคนที่ตัวเองรักสักที“เอ้า! ทุกคน ใกล้ถึงเวลาที่แขกวีไอพีขอบโรงแรมจะมาแล้ว รีบออกมาต้อนรับกันเร็ว” เสียงของผู้จัดการตะโกนร้องเรียกพนักงานทุกคนที่อยู่ในล็อบบี้โรงแรมเมื่อสองวันก่อนผู้จัดการแจ้งมาว่าในวันนี้จะมีแขกวีไอพีมาพักที่โรงแรม ซึ่งแขกคนนี้เป็นแขกคนสำคัญมากๆเลยล่ะ ลือกันว่าเขาเป็นเพื่อนของท่านประธานคนใหม่ของที่นี่ ดังนั้นเราจึงต้องให้การต้อนรับแขกวีไอพีคนนี้ให้ดีที่สุดและห้ามทำอะไรผิดพลาดโดยเด็ดขาด“ไปกันเถอะเกว” เสียงของรินณ์ที่ยืนอยู่หน้าล็อบบี้เรียกให้ออกไปยืนรอด้วยกัน“อื้อ!” ฉันกันรินณ์ออกไปรอต้อนรับแขกวีไอพีคนดังกล่าวที่หน้าประตูโรงแรม พร้อมกับผู้จัดการและพี่แอนเอี๊ยดดด!! ยืนรอกันได้อยู่พักหนึ่ง ไม่นานก็มีรถหรูคันหนึ่งเข้ามาจอดเทียบที่หน้าประตูโรงแรมพนักงานชายเดินไปเปิดประตูรถ ก่อนท
หลังจากได้ฟังคำตอบจากปากของเกวลินแล้ว สิ่งที่ค้างคาใจผมในตอนแรกก็คลายลง ผมตัดสินใจเดินออกมาจากร้านนั้น แล้วก็มาเดินเล่นที่ริมหาดกับไอ้กวินท์แทนระหว่างที่เดินเล่นอยู่ผมก็ทบทวนคำพูดของเกวลินอยู่ตลอดเวลาที่ผ่านมาสิ่งที่เกวลินต้องการมาตลอดก็คืออิสระ เพราะเธอโตมากับตระกูลของผม เลยทำให้เธอคิดว่าตัวเองติดหนี้บุญคุณตระกูลของผม ไอ้สิ่งที่ผูกมัดเกวลินมาตลอดคือ…ตระกูลอัศวนันทร์ และตัวผมนี่แหละผมไม่อยากสูญเสียเกวลินไป ผมอยากให้เกวลินอยู่กับผมไปตลอดเลยด้วยซ้ำ เพราะผมรักเธอ แต่มันคงไม่ง่ายสำหรับเกวลิน แม้เธอจะรักผม แต่เธอก็มีความต้องการเหมือนกัน และสิ่งที่เธอต้องการก็คือ…อิสระ เธอต้องการอิสระมาโดยตลอด เพราะงั้น…ผมตัดสินใจแล้วว่าผม…จะยอมให้อิสระกับเกวลิน อย่างที่เธอต้องการ“ดูเหมือนแกกับเด็กคนนั้นจะรักกันมากเลยนะ” ไอ้กวินท์พูดเหมือนเด็กฝึกงานที่มากับเกวลินไม่มีผิด“ไม่ใช่เรื่องของแก”“ครั้งแรกเลยนะที่ฉันเห็นแกร้อนรนแบบนี้อ่ะ”“อย่ามาทำเป็นรู้ดีหน่อยเหอะ”“นี่! ฉันกำลังเตือนสติแกอยู่นะเว้ย! ฉันไม่รู้หรอกนะว่าเพราะอะไรน้องเขาถึงหนีมาอยู่ที่นี่ได้อ่ะ แต่จากที่ฟังเมื่อกี้…น้องเขาคงจะรัก
[คิมหันต์]ณ ร้านอาหารแห่งหนึ่งผมขับรถตามรถของเกวลินมาเรื่อยๆ จนมาถึงที่ร้านอาหารที่ตั้งอยู่ริมทะเลร้านหนึ่ง เกวลินกันเพื่อนของเธอคงจะมากินอาหารกันที่นี่ ผมไม่อยากให้เกวบินคลาดสายตาผมไป เลยตามเกวลินเข้ามาในร้านด้วยเหมือนกันแต่ผมไม่เข้าใจว่าไอ้กวินท์มันจะตามผมมาถึงที่นี่ด้วยทำไมเนี่ย?“นั่งตรงนี้มั้ยเกว?”“ได้สิ” เกวลินกับเพื่อนของเธอเลือกนั่งลงบนโต๊ะๆหนึ่งในร้านอาหาร ฟุ่บ!! ผมที่เดินตามอยู่ห่างๆ เลยเดินเข้าไปนั่งใกล้กับโต๊ะของเกวลิน ซึ่งระยะห่างระหว่างผมกันเกวลินก็ห่างกันเพียงแค่โต๊ะอาหารคั่นกลางไว้แค่โต๊ะเดียวเท่านั้นตุบ!! ส่วนไอ้กวินท์ที่ตามติดมาด้วยก็ดันเลือกที่จะมานั่งข้างๆผมอีกซะงั้น ที่มีตั้งเยอะแยะจะมานั่งติดผมทำไมเนี่ย?“แกจะตามฉันมาด้วยทำไมเนี่ย?”“ฉันไม่ได้ตามแกมาซะหน่อย ลืมไปแล้วรึไงว่ารถที่แกขับมาน่ะ รถฉันเว้ย!” มันพูดด้วยท่าทีเลิ่กลั่ก ความจริง ผมสังเกตเห็นตั้งแต่ที่โรงแรมล่ะ ไอ้กวินท์เอาแต่ชะเง้อมองตามใครสักคนอยู่ตลอดเวลา ไม่ต่างจากผมเลยสักนิด และผมก็เดาว่าคนที่มันกำลังตามอยู่คงจะเป็นเพื่อนที่อยู่กับเกวลินตอนนี้แน่ๆ“ใครว่ะ? แฟนเหรอ?” ผมเป็นฝ่ายเอ่ยปากถาม
[คิมหันต์]ณ บริษัท เอ.เอส.เอ็นก๊อกๆๆ!! เสียงเคาะประตูห้องทำงานหน้าห้องของผมดังขึ้น“เข้ามา” ธนินเดินเข้ามาในห้องหลังจากได้รับอนุญาตจากผมแล้ว“เรื่องที่ให้ไปสืบเป็นไงบ้าง?“ ทันทีที่เห็นหน้าของธนินผมก็เอ่ยถามถึงงานที่ผมมอบหมายไปให้เมื่อวานนี้ “ได้ที่อยู่ของคุณเกวลินมาแล้วครับ” ซึ่งก็เป็นเรื่องไหนไม่ได้เลน นอกจากเรื่องของเกวลิน ยัยตัวแสบที่แอบหนีผมไปไงล่ะ เมื่อวานทันทีที่รู้ว่าเกวลินหนีไป ผมก็รีบยกหูโทรหาให้ธนินไปสืบหาที่อยู่ของเกวลินทันที “เกวลินอยู่ไหน?”“คุณเกวลิน ย้ายไปฝึกงานอยู่ที่โรงแรมพาวิลเลียนที่ต่างจังหวัดครับ” ได้ยินชื่อโรงแรมที่ธนินเอ่ยแล้วผมถึงกับต้องขมวดคิ้วขึ้นมาทันที เพราะเหมือนว่าชื่อโรงแรมนี้จะฟังดูคุ้นหูเอามากเลยล่ะ“โรงแรมพาวิลเลียนเหรอ?”“ครับ โรงแรมในเครือตระกูลอัครวานิชครับ” และผมก็อดที่จะยกยิ้มมุมปากขึ้นมาไม่ได้ เมื่อสิ่งที่ผมสงสัยได้รับการยืนยันจากธนินโรงแรมพาวิลเลียน ในเครือตระกูลอัครวานิช คือโรงแรมที่ไอ้กวินท์ เพื่อนสนิทสมัยเรียนมหาลัยของผมบริหารอยู่นี่เอง ตืดๆๆ!! ทันทีที่รู้ว่าเกวลินอยู่ที่นั่น ผมก็ไม่รอช้ารีบยกหูกดโทรออกหาไอ้กวินท์มันอย่า
[เกวลิน]“ยินดีต้อนรับน้องๆฝึกงานทุกคนเลยนะคะ” เสียงของผู้จัดการโรงแรมเอ่ยขึ้น หลังจากที่พาพวกเราที่เป็นเด็กฝึกงานใหม่ ไปแนะนำสถานที่ต่างๆในโรงแรมเสร็จแล้ว“ต่อไปนี้ก็ตั้งใจทำงาน แล้วก็ขอให้โชคดีกับการฝึกงานนะคะ” พี่แอนพี่พนักงานอีกคนหนึ่งเอ่ยขึ้น“ขอบคุณค่ะ” ฉันและเพื่อนอีกคนที่เป็นเด็กฝึกงานเหมือนกันเอ่ยขอบคุณผู้จัดการและพี่แอนพร้อมๆกัน“วันนี้ก็คงไม่มีอะไรแล้วล่ะ เราสองคนกลับไปพักผ่อนกันก่อนเถอะ แล้วเดี๋ยวค่อยมาเริ่มงานพรุ่งนี้อีกที”“ได้ค่ะ”“งั้นพี่ไปก่อนนะ” ร่ำลากันเสร็จผู้ตัดการกับพี่แอนก็เดินกลับไปทำงานของตัวเองกันต่อ เหลือไว้แค่ฉันกับเพื่อนร่วมฝึกงานกันอยู่สองคน“หวัดดี เราชื่อรินณ์นะ” เพื่อนอีกคนที่ยืนอยู่ข้างๆ หันมาทักทายด้วยสีหน้าที่สดใส“หวัดดี เราชื่อเกว”“เกวมาจากกรุงเทพเหรอ?”“อื้อ แล้วรินณ์อ่ะ?”“เราเรียนที่นี่แหละ แล้วก็อยู่ที่นี่มาตั้งแต่เด็กแล้วด้วย” อ่อ เป็นคนที่นี่สินะ“อ่อ อื้ม!”“แล้วนี่…เกวจะกลับเลยรึเปล่า? เราไปกินข้าวกันมั้ย?”“โทษทีนะ พอดีเราเพิ่งย้ายมาที่นี่เมื่อวานเองอ่ะ คงต้องขอตัวกลับไปจัดของที่ห้องก่อน” “อ่อ งั้นไม่เป็นไร ไว้ไปกินข้าวกั
[คิมหันต์]เช้าวันต่อมา พรึ่บ!! ผมลืมตาขึ้นมาช้าๆ หลังจากที่หลับพักผ่อนจากกิจกรรมอันเหน็ดเหนื่อยเมื่อคืนไปทั้งคืนอย่างเต็มที่แล้ว แสงแดดที่เล็ดลอดผ่านผ้าม่านสีดำในห้องของตัวเองสาดส่องเข้ามา ทำผมถึงกับต้องหรี่ตาลงเพื่อปรับสายตาของตัวเองให้คงที่ขวับ!! เมื่อสายตากลับมาอยู่ในสภาพคงที่แล้ว ผมจึงพลิกตัวมาอีกฝั่งหนึ่งของเตียง ด้วยความหวังที่ว่าจะเจอกันคนตัวเล็กอย่างเกวลินนอนอยู่ข้างๆกาย"..." แต่แล้วสิ่งที่ผมเจอมีเพียงแค่รอยยับของผ้าปูที่ว่างเปล่าและไร้ซึ่งร่างของคนตัวเล็กเกวลินตื่นแล้วเหรอ?ฟุ่บ!! ผมคิดว่าคนตัวเล็กคนจะตื่นก่อนผมไปแล้ว ผมจึงลุกออกจากเตียง ก่อนจะเดินหยิบกางเกงนอนของตัวเองมาใส่ แล้วเดินออกไปจากห้อง ด้วยความหวังที่ว่าเกวลินคงจะอยู่ข้างนอกห้อง หรือที่ไหนสักที่ในบ้านนั่นแหละ"..." แต่ผมกลับต้องขมวดคิ้วด้วยความแปลกใจมากกว่าเดิม เมื่อลงมาแล้วไม่เจอกับเกวลินอยู่ที่ชั้นล่างของบ้าน ในครัวก็ไม่อยู่ ในห้องรับแขกก็ไม่เจอ "เกวลิน!" ผมลองตะโกนร้องเรียกชื่อของคนตัวเล็ก แต่ก็ไร้ซึ่งเสียงใดๆตอบรับกลับมาใจผมเริ่มสั่นไหวขึ้นมา จู่ๆความคิดที่ไม่ดีก็ดันโผล่เข้ามาในหัว ตอนนี้ผมกำลังคิดว่า