“เอ...เสียงแมวดื้อที่ไหนมาร้องไห้แถวนี่นะ”
วิศราชะงักกึก ถอนสะอื้น ก่อนหันไปมองร่างสูงโปร่งที่กำลังเดินตรงมา
“อ้าว คนหรอกเหรอ” เสียงนั้นยียวนกวนประสาทยิ่งนัก “อ้อ คุณหนูส้มคนสวย แอบมารดน้ำต้นไม้ยามดึกตรงนี้นี่เอง”
หญิงสาวกัดฟันแน่น ความโกรธพลุ่งพล่านจนอยากหักคอคนขึ้นมาตงิดๆ แต่ติดที่เสียเปรียบเรื่องรูปร่าง ไม่ทันที่จะได้หักคอเขา เธอนี่แหละคงถูกเขาจับทุ่มคอหักเสียก่อน แต่...ฮึ ใครกลัว!
“แล้วพวกปลิงหน้าด้านมาสะเออะอะไรด้วยล่ะ”
ปราบดาชะงักกึกกับความโอหังของหญิงสาวตรงหน้า
“ก็แค่อยากมาดูหน้าหมาหัวเน่าเท่านั้น” คนพูดชะโงกหน้าทำจมูกฟุดฟิดๆ ก่อนยิ้มเยาะ “หึ หน้าตาเป็นอย่างนี้เอง น่าสมเพชเนอะ!”
“เอ๊ะ! นาย!” วิศราชาวาบไปทั้งร่าง ดวงหน้าแดงก่ำด้วยความโกรธเกรี้ยว “ไอ้...”
“จุ๊ๆ ลองด่าสิ ถ้าอยากลองดีก็เชิญ แต่ขอเตือนไว้ก่อนว่าผมไม่ได้ใจดีเหมือนหน้าตาหรอกนะ”
“ฮึ พวกหลงตัวเอง ไอ้ฆาตกรใจทราม... อุ๊ย!”
ยังพูดไม่ทันจบร่างหญิงสาวก็ลอยขึ้นจากพื้นโดยฝีมือคนตัวโตกว่า ปราบดาอุ้มร่างอรชรของหญิงสาวพาดบ่าก่อนฟาดฝ่ามือหนาเข้าที่ก้นของเธอเน้นๆ เสียงดังเพียะ
“โอ๊ย! ไอ้บ้ามาตีฉันทำไม ปล่อยนะ โอ๊ย! เจ็บ...” วิศราร้องลั่น ดิ้นพราดๆ เมื่อถูกชายหนุ่มทำโทษด้วยขนมเปี๊ยะอีกครั้ง ยิ่งด่าก็ยิ่งตี แถมไม่ตีเปล่ามือใหญ่ยังขยำเนื้อหนั่นแน่นของวัยสาวอย่างมันเขี้ยวอีกด้วย
“ด่าอีกสิ วันนี้ก้นไม่ลายไม่ต้องมาเรียกฉันว่าปราบดา”
“ไอ้ผู้ชายเฮงซวย รังแกผู้หญิง ไอ้หน้าตัวเมีย!”
ชายหนุ่มตาวาว “ปากดีนัก เด็กดื้ออย่างเธอต้องถูกสั่งสอนเสียบ้าง”
วิศรากัดริมฝีปากแน่น ไม่ว่าจะดิ้นหรือทุบถองจนเหนื่อย แก้มก็เจ็บ แถมก้นยังมาระบมแทบหมดแรงก็ไม่อาจสู้แรงของอีกฝ่ายได้เลยแม้แต่น้อย มันน่าเจ็บใจจริงๆ เธอเกลียดเขา...นายปราบดาคนบ้าผีทะเล
ฝ่ายมือโหดแอบยิ้มมุมปากเมื่อเห็นอีกฝ่ายหยุดดิ้น หยุดด่า แถมยังหอบหายใจเหนื่อยอ่อนแรง
“ไง คนเก่ง หมดฤทธิ์แล้วเหรอ โธ่เอ๊ย นึกว่าจะแน่กว่านี้เสียอีก”
หญิงสาวกัดฟันแน่น กลั้นเสียงสะอื้น ปล่อยให้อีกฝ่ายลูบคลำเนื้อแน่นเปรี๊ยะของตนอย่างไร้ทางต่อกร
“จำไว้ ต่อไปอย่ามาก้าวร้าวกับพี่สาวผม ถ้าคุณทำร้ายเธอไม่ว่าทางไหน ผมจะตามรังควานชีวิตคุณจนถึงที่สุด คุณไม่รอดมือผมแน่”
ขาดคำชายหนุ่มก็โยนสาวจอมดื้อลงที่พื้นหญ้าจนล้มลุกคลุกคลาน
“โอ๊ย...ไอ้คนสารเลวรังแกผู้หญิง คนโรคจิต คอยดูนะฉันจะฟ้องคุณพ่อ” ร่างเพรียวบางพยายามพยุงกายลุกขึ้นอย่างทุลักทุเล ทั้งจุกทั้งระบม
“ตามสบาย มาดูกันว่าคุณพ่อของคุณจะเข้าข้างใครกันแน่ ระหว่างผมกับเด็กหัวดื้อไร้เหตุผลอย่างคุณ”
วิศราโกรธจนหน้าเขียว จ้องหน้าชายหนุ่มอย่างอาฆาตแค้น
“ฝากไว้ก่อนเถอะ นี่แน่ะ!” หญิงสาวอาศัยทีเผลอเตะหวดเข้าหน้าแข้งของปราบดาอย่างเต็มแรง ก่อนวิ่งหนีโซซัดโซเซหายไปในความมืดอย่างรวดเร็ว
“โอ๊ย ยายเด็กบ้า!” ชายหนุ่มคำรามลั่น มองตามร่างยายตัวร้ายที่แลบลิ้นปลิ้นตาใส่อย่างเข่นเขี้ยว คอยดูนะ ถ้ายังดื้อไม่เลิกละก็ พ่อจะจับปล้ำให้หายซ่าเลยคอยดู!
///////////////
สถานการณ์ในบ้านอาภาพิพัฒน์ดำเนินไปอย่างตึงเครียดขึ้นเรื่อยๆ เมื่อวิศราต่อต้านไม่ยอมญาติดีกับแม่เลี้ยงและน้องชายของเธอทุกวิถีทาง แม้จะเห็นแก่หน้าบิดาอยู่บ้างจึงทำเมินราวกับปุริมาและปราบดาเป็นเศษฝุ่นไม่มีตัวตนในบ้าน หรือไม่ก็คอยประชดกระแทกแดกดันด้วยวาจาทุกคราวที่มีโอกาส ทำให้คนกลางอย่างวิศรุตได้แต่หนักใจไม่เว้นวันกับสงครามเย็นที่ลูกสาวสุดที่รักก่อหวอดขึ้น แต่ด้วยงานที่รัดตัวทำให้เขายังหาเวลาเหมาะๆ มาคอยจัดการปรับความเข้าใจ หรืออธิบายอะไรต่างๆ อย่างที่ตั้งใจไว้ไม่ได้ และนับวันปัญหาก็ยิ่งเพิ่มพูนราวกับคลื่นใต้น้ำที่รอวันโหมซัดพังทลายทุกอย่างราบคาบ
“นี่กระถางกุหลาบใคร ทำไมเอามาวางตรงนี้” เสียงขุ่นเคืองเอ็ดตะโรลั่น เมื่อเห็นสิ่งผิดปกติเกิดขึ้นกับกระถางบอนไซบนระเบียงที่เธอโปรดปรานนักหนา เพราะเป็นสิ่งที่มารดาโปรดปรานและเหลือทิ้งไว้ให้ดูต่างหน้า แต่วันนี้กลับถูกรุกรานและเคลื่อนย้ายโดยไม่บอกกล่าว กระถางบอนไซของรักของแม่ที่เธอคอยเฝ้าดูแลทะนุถนอมถูกแทนที่ด้วยกระถางกุหลาบขาวที่กำลังผลิดอกงดงามเต็มต้น ขัดหูขัดตาอย่างบอกไม่ถูก
“ของ...เอ่อ...คุณผู้หญิงคนใหม่ค่ะ” คำตอบนั้นทำให้คนฟังฉุนจนฟิวส์ขาด
ฉับ! ฉับ! ฉับ! เพล้ง!
สถานที่จัดงานแต่งงานของคู่รักดีไซเนอร์คือสวนดอกไม้ที่ถูกจัดแต่งอย่างเรียบง่ายตามเจตนารมย์ของเจ้าสาวที่ไม่ต้องการงานเอิกเกริกแต่กระนั้นก็แอบมีกิมมิคเล็กๆ น้อยๆ สำหรับคู่รักดีไซเนอร์คนดังโดยเวทีถูกออกแบบให้เป็นรันเวย์สำหรับบ่าวสาวเดินไปทำพิธีอย่างมีสไตล์ แขกที่มาร่วมงานนอกจากครอบครัวแล้วก็มีแค่เพื่อนสนิทของสองฝ่ายเท่านั้น และทันทีที่เจ้าสาวปรากฏตัวขึ้น แขกทุกคนก็พร้อมใจยืนขึ้นต้อนรับด้วยบรรยากาศที่อบอุ่นวิศรุตในชุดสูทลุกขึ้นช้าๆ โดยมีภรรยาสาวช่วยประคองและส่งไม้เท้าให้สามีทำหน้าที่ส่งตัวเจ้าสาว เขายื่นมือไปรับมือลูกรักด้วยใบหน้าที่เป็นปลื้มจนน้ำตาคลอ“คุณพ่อ” เจ้าสาวสวมกอดบิดาสุดที่รักอย่างตื้นตัน ไม่คิดเลยว่าเธอจะได้มีวันนี้“ไปเถอะลูก”วิศรุตจับมือเจ้าสาวคนสวยพาเดินตรงไปยังแท่นทำพิธี โดยด้านหน้ามีเด็กหญิงตัวน้อยนำขบวนสองคนคือเด็กหญิงลูกปลาที่ทำหน้าที่คอยโปรยดอกไม้ให้ และอีกคนคืออลิศลูกสาวของเธอที่ทำหน้าที่ถือแหวน วันนี้หนูน้อยอลิศสวมชุดสีชมพูฟูฟ่องน่ารัก ที่ลำคอของเด็กน้อยสวมสร้อยแปลกตาที่มีแหวนวงหนึ่งห้อยเป็นจี้ แหวนเพชรสีชมพูสวยทอประกายสวยสดใส เป็นภาพที่น่ารักน่าเอ็นดูสำหรับทุกคนวิ
‘และเธอเพิ่งตอบตกลงยอมแต่งงานกับผมเมื่อไม่นานมานี้’แวบหนึ่งเหมือนชายหนุ่มหันมองตรงมาด้วยแววตาอ่อนหวานทำให้วิศราหน้าร้อนผ่าว หัวใจเต้นโครมคราม นี่เขากำลังประกาศแต่งงานออกสื่อ อลัน เลวิธ หนุ่มโสดเนื้อหอมคนนั้นเนี่ยนะ‘โอ...พระเจ้า’ พิธีกรสาวรุ่นเดอะยกมือทาบอก ทำตาโตเท่าไข่ห่าน เชื่อว่าหากเทปนี้ออกอากาศไป จะต้องเรียกเรตติงได้ถล่มทลายเลยทีเดียว ‘คุณพอจะบอกได้ไหมคะอลันว่าใครคือผู้หญิงที่โชคดีคนนั้น’คำถามนั้นทำให้ใบหน้าคนถูกถามแต้มสีแดง นัยน์ตาสีเทาทอประกายพราวระยับ‘เธอเป็นดีไซเนอร์สาวชาวไทยครับ และเธอเป็นรักแรกพบของผม’วิศราแว่วได้ยินเสียงหวีดผ่านฝ่ามือที่ปิดปากของยุทธนา คำว่ารักแรกพบของเขาทำให้เพื่อนของเธอถึงกับเสียอาการไปไม่น้อยเลยทีเดียว“รักแรกพบ...”วิศราพึมพำเบาๆ สมองนึกย้อนไปถึงตอนที่เธอและเขาได้พบกันครั้งแรก จำได้ว่าเป็นตอนที่เธอใจลอยเดินตัดหน้ารถเขาเพราะกำลังช็อกที่เพิ่งรู้ว่าตัวเองกำลังตั้งครรภ์ นี่เขาตกหลุมรักเธอตั้งแต่ตอนนั้นเนี่ยนะมันใช่เหรอ‘ว้าววว ฟังดูโรแมนติกจัง คุณพอจะเล่าเหตุการณ์นั้นให้พวกเราฟังได้ไหมคะ’‘อืม...ตอนนั้นเธอยังเป็นนักศึกษาทุนที่วิทยาลัยแฟชั่น และผมได้ร
“ว้าววว...สวยที่สุดเลย สวยอย่างกับเจ้าหญิงแน่ะค่ะ ลองส่องกระจกดูสิคะ”ประโยคนั้นของช่างแต่งหน้าทำให้หญิงสาวเจ้าของเรือนร่างระหงในชุดเจ้าสาวที่ออกแบบและตัดเย็บจากผ้าไหมและผ้าลูกไม้ที่สั่งทอมาเป็นพิเศษเพื่อเธอโดยเฉพาะและเป็นชุดเดียวในโลกจากการออกแบบของดีไซเนอร์หนุ่มชื่อดังของแบรนด์ระดับโลกอย่าง Lewis โดยใช้โทนสีครีมอ่อนปนด้วยสีชมพูพาสเทลหวานละมุนไปทั้งตัวขับให้ผิวเนียนละเอียดของเธอเปล่งปลั่งงดงามเฉิดฉายราวกับเป็นเจ้าหญิงที่หลุดออกมาจากเทพนิยายก็ไม่ปานวิศรามองภาพสะท้อนของตัวเองในกระจกด้วยความรู้สึกตื้นตันในหัวใจปนประหม่า เธอเป็นคนขอร้องให้เขาเลือกสีอื่นที่ไม่ใช่สีขาว เพราะเธอไม่ใช่เจ้าสาวที่แสนบริสุทธิ์ผุดผ่อง แล้วเขาก็เลือกสีนี้มาให้ด้วยเหตุผลว่าเขาอยากเห็นเจ้าสาวของตัวเองสวยหวานที่สุดในวันที่แสนพิเศษของเราคนเป็นเจ้าสาวยิ้มบางๆ เมื่อนึกถึงตอนที่เขาอาสาออกแบบตัดเย็บชุดนี้ให้เธอด้วยมือตัวเอง ทุกขั้นตอนทุกรายละเอียดที่เขาใส่ลงไปล้วนมีความหมายลึกซึ้งซ่อนอยู่ และมันทำให้เธอรู้สึกอบอุ่นในหัวใจอย่างบอกไม่ถูกตั้งแต่ครั้งที่ยังเป็นเด็กน้อยช่างฝันตามประสาเด็กผู้หญิงทั่วๆ ไป เธอเคยจินตนาการถึงง
จริงอย่างที่อลันว่า พอได้ล้างหน้าล้างตาด้วยน้ำเย็นๆ หญิงสาวก็รู้สึกสดชื่นขึ้นทันตา แต่ตอนที่กำลังจะลงไปด้านล่างเพื่อช่วยคนอื่นๆ ตามหาลูกสาว จู่ๆ สายตาก็เหลือบไปเห็นกล่องแหวนที่วางอยู่บนหัวเตียง แหวนที่ได้จากปุริมาวันนั้นแหวนของนายปราบดา!อะไรบางอย่างทำให้ร่างระหงเดินย้อนกลับไปหยิบแหวนนั้นขึ้นมาเปิดดู ประกายจากเพชรสีชมพูสะท้อนวูบเข้านัยน์ตาจนแสบพร่า“นายยังอยู่แถวนี้หรือเปล่า...” วิศรามองแหวนวงงามราวกับมันมีชีวิต “ถ้ายังอยู่แถวนี้ ช่วยให้ฉันตามหาลูกของเราให้พบด้วยนะคะ ขออย่าให้ลูกต้องเป็นอะไร อย่าให้อลิศเป็นอะไร ช่วยฉันด้วยนะคะ”ทันใดนั้น ลมเย็นวูบหนึ่งก็พัดผ่านร่างเธอไปทั้งๆ ที่หน้าต่างไม่ได้เปิด ราวกับใครบางคนได้ตอบรับคำขอนั้น หญิงสาวยิ้มกับตัวเองเศร้าๆ หากปราบดายังอยู่ตรงหน้า เธอคงไม่กล้าเอ่ยปากขอร้องเขาเช่นนี้ คงชวนทะเลาะมากกว่า แต่เพื่อลูกสุดที่รัก สิ่งไหนที่พอจะยึดเหนี่ยวหรือช่วยทำให้สบายใจได้บ้าง เธอก็ยอมทำทั้งนั้นวิศราปิดกล่องแหวนนั้นแล้ววางมันไว้ที่เดิม ทว่าตอนที่เธอกำลังจะก้าวเท้าออกจากห้องนั้นเอง จู่ๆ หูก็พลันได้ยินเสียงอะไรบางอย่างแว่วมา“ฮือๆ...” วิศราหันขวับอย่างตกใจ ก
งานแต่งงานของวิศราและอลันถูกตระเตรียมขึ้นท่ามกลางความดีใจของทุกคน แม้เจ้าสาวจะบอกว่าไม่ต้องการให้จัดงานใหญ่โตเอิกเกริก และอยากให้เป็นงานเล็กๆ ที่อบอุ่นมากกว่า ถึงกระนั้นทุกคนในบ้านอาภาพิพัฒน์ที่เพิ่งผ่านความเศร้าจากการสูญเสียไปเมื่อไม่นานมานี้ก็เริ่มยิ้มออกและกระตือรือร้นกับงานมงคลที่กำลังจะเกิดขึ้นในอีกไม่กี่วันข้างหน้า โดยเฉพาะนายผู้หญิงของบ้านอย่างปุริมาและนางรื่นรมย์ซึ่งถือเป็นพี่เลี้ยงคนสนิทของว่าที่เจ้าสาวกลายเป็นหัวเรือใหญ่ที่คอยเป็นธุระช่วยเหลือในการจัดการเรื่องต่างๆ อย่างเต็มใจท่ามกลางความดีใจเหล่านั้น ทุกคนกลับไม่ทันสังเกตเห็นว่ามีใครบางคนมองภาพเหล่านั้นด้วยความรู้สึกที่แตกต่างออกไป เด็กหญิงอลิศทำหน้าหม่นหมอง ในมือกอดตุ๊กตาหมีที่แม่ของเธอให้เป็นของขวัญวันเกิดเมื่อปีก่อนแน่นราวกับมันกลายเป็นเพื่อนเพียงคนเดียวในโลกที่เหลืออยู่ ก่อนค่อยๆ เดินแยกห่างออกมาเงียบๆ หลังจากเห็นทุกคนกำลังวุ่นวายจนลืมไปว่าวันนี้ยังมีความสำคัญกับใครอีกคน ไม่ทันไรทุกคนก็ลืมวันเกิดของเธอไปเสียแล้ว“พี่หมีจ๋า ทุกคนลืมวันเกิดอลิศหมดเลย ไม่มีใครรักอลิศแล้ว ไม่มีเลย...” เด็กน้อยขมุบขมิบงึมงำด้วยความรู้สึกว้า
คิดเพลินๆ จู่ๆ ก็มีเสียงสัญญาณโทรศัพท์เรียกเข้ามา หญิงสาวยิ้มบางๆ เมื่อเห็นชื่อที่ขึ้นตรงหน้าจอ...อลัน เลวิธ!“คุณต้องเป็นญาติกับพ่อมดแน่ๆ” ปลายสายส่งเสียงหัวเราะกลับมา “รู้ได้ยังไงคะว่าคนแถวนี้กำลังคิดถึงคุณอยู่”“รู้ด้วยหัวใจไงครับ ใจของคนที่รักกันมักเชื่อมถึงกันเสมอ” เสียงทุ้มนุ่มหูตอบกลับมาอย่างอ่อนหวาน พาให้หัวใจคนฟังเต้นผิดจังหวะด้วยความเขิน“คุณทำอะไรอยู่คะ วันนี้งานยุ่งไหม”“ก็ยุ่งเหมือนทุกวัน แต่พอได้ยินเสียงคุณก็หายเหนื่อย”“ปากหวานจังนะคะบอส”“อย่างอื่นก็หวานนะ ถ้าคุณอยากชิมเมื่อไหร่ก็บอกได้เสมอ ถ้าเป็นคุณ ผมยินดีให้ชิมทั้งตัวทั้งใจเลย”วิศราหน้าแดงก่ำ ดีที่อีกฝ่ายอยู่ไกลถึงอีกซีกโลก หากเขายืนอยู่ตรงนี้ เธอคงไม่กล้าสู้หน้า ตั้งแต่ผ่านเรื่องเฉียดเป็นเฉียดตายมา ดูเหมือนจะทำให้ชายหนุ่มกลายเป็นคนที่กล้าพูดกล้าแสดงความรักออกมาอย่างเปิดเผยมากกว่าเดิม“ทำไมนิ่งไปครับ คิดอะไรอยู่”“ฉันคิดถึงคุณ ถ้าตอนนี้คุณอยู่ตรงนี้ด้วยกันก็คงดีสิคะ”“อย่ามาทำให้ผมเคลิ้มเชียวนะวีวี่ คุณยังไม่รู้สินะว่าตอนนี้ผมแทบจะกลายเป็นหุ้นส่วนใหญ่ของสายการบินระหว่างประเทศอยู่แล้ว นี่เพื่อนสนิทผมมันก็ร่ำๆ อยู่