เพียะ! ฝ่ามือหนาตวัดไปที่แก้มนวลของหญิงสาวอย่างลืมตัว ทุกคนยืนตกตะลึง วิศราชาวาบไปทั้งร่าง มือสั่นระริกกุมแก้มใสๆ ของตัวเองที่มีรอยนิ้วมือบิดาแต้มชัด ไม่เคยเลย...ตั้งแต่เด็กจนโตพ่อของเธอไม่เคยตีหรือว่าให้เจ็บช้ำน้ำใจสักครั้ง แต่พอคนพวกนี้ก้าวเข้ามาเพียงวันแรก เธอก็ถูกพ่อตบจนหน้าหัน
“ส้ม! พ่อ...พ่อไม่ได้ตั้งใจ...” ผู้เป็นพ่อเพิ่งได้สติ เมื่อเห็นรอยนิ้วมือตนบนใบหน้าสวยสดใสของลูกรัก หัวใจก็กระตุกวาบด้วยความรู้สึกผิดที่พลั้งมือไปเพราะอารมณ์ชั่ววูบ “พ่อขอโทษ...”
“ในที่สุดคุณพ่อก็เห็นคนอื่นดีกว่าลูก คุณพ่อไม่รักส้มแล้ว คุณพ่อใจร้าย” ดวงตากลมโตมีน้ำตาคลอเบ้า แต่เจ้าตัวไม่ยอมให้หยดจากตา ไม่ได้เจ็บที่แก้ม แต่ปวดร้าวที่หัวใจต่างหาก
“ส้มเกลียดคุณพ่อแล้ว เกลียดที่สุด!” หญิงสาวตะโกนใส่ก่อนวิ่งพรวดพราดออกไปจากห้องอย่างรวดเร็ว
“ยายส้ม!” ประมุขของบ้านถึงกับกุมขมับ มองฝ่ามือตัวเองอย่างเสียใจที่สุด เขาผิดเองที่ตามใจลูกมาตลอด คำน้อยก็ไม่เคยว่า ซ้ำยังเลี้ยงอย่างทะนุถนอมมาตลอด เพราะต้องการชดเชยการสูญเสียมารดาของบุตรสาว แต่เขาไม่เคยคิดเลยว่าสิ่งเหล่านั้นจะทำให้ลูกสาวของเขากลายเป็นเด็กก้าวร้าวอย่างนี้
“ผมผิดใช่ไหมคุณปูที่ตามใจลูกจนเสียคนแบบนี้” ชายกลางคนหันไปถามเสียงอ่อนระโหย สิ่งเดียวที่เขาพลาดคือการพาภรรยาใหม่เข้าบ้านโดยไม่ได้บอกกล่าวหรือให้เวลาเตรียมใจกับลูกสาวสุดที่รัก เพียงเพราะมั่นใจว่าวิศราโตพอที่จะเข้าใจอะไรๆ อีกทั้งคิดว่าความอ่อนโยนใจดีของปุริมาจะมาเติมเต็มความอบอุ่นของมารดาที่ลูกสาวของเขาโหยหามาตลอดชีวิตได้ แต่เขาชะล่าใจเกินไป ผลเลยออกมาเป็นด้านลบแบบนี้
“ผมควรเชื่อสิ่งที่คุณเคยเตือนว่าลูกจะรับเรื่องนี้ไม่ได้ ผมมั่นใจในตัวแกมากไป ทุกอย่างเป็นความผิดของผมเอง...”
“คุณคะ” ปุริมาก้าวเข้ามาปลอบโยนผู้เป็นสามีอย่างเห็นใจ หากเธอไม่มีปัญหาเรื่องบ้านที่เคยอยู่ติดจำนองจนถูกยึดกะทันหันเสียก่อน วิศรุตก็คงไม่ต้องเจอปัญหาเรื่องลูกสาวแบบนี้ ที่จริงเขาจะให้พวกเธอไปอยู่ที่อื่นก่อนก็ได้ แต่คนตรงหน้ากลับคิดว่าวันหนึ่งเขาก็ต้องพาเธอเข้ามาอยู่ที่บ้านด้วยอยู่ดี สู้พามาตอนนี้เสียเลยจะได้ทำความรู้จักกับลูกสาวของเขา โดยไม่คิดว่าจะมีปัญหาเช่นนี้ตามมา
“ไม่ใช่ความผิดของคุณหรอกค่ะ เราต้องให้เวลาหนูส้มเธอหน่อยนะคะ ปูคิดว่าเธอคงไม่มีเจตนาจะทำแบบนี้ เพียงแต่น้อยใจไปตามประสา และที่ต่อต้านก็เพราะคิดว่าจะถูกใครมาแย่งความรักจากคุณไป เธอรักคุณมากนะคะ รอให้อารมณ์เธอสงบลงอีกสักนิดดีกว่า แล้วเราค่อยๆ อธิบายให้แกเข้าใจทีหลัง ใจเย็นๆ นะคะ ปราบจ๊ะ พี่วานตามไปดูน้องที วิ่งเตลิดหายไปไหนแล้วไม่รู้”
“ครับพี่ปู” ปราบดารับคำ ก่อนผละไปตามร่างแน่งน้อยที่วิ่งเตลิดลงไปทางหลังบ้าน พลางนึกเข่นเขี้ยวในใจ
คอยดูเถอะ ยายตัวยุ่ง ดื้อมากนักพ่อจะจับหักคอให้หายซ่าเลยทีเดียว
ร่างสูงใหญ่แข็งแรงสาวเท้าตามมาจนได้พบกับเด็กดื้อที่วิ่งหนีลงมาแอบนั่งกอดเข่าร้องไห้เงียบๆ ข้างๆ กองดิน ที่โคนต้นไม้ในสวนหลังบ้านนั่นเอง ชายหนุ่มไม่ได้เข้าไปปลอบโยน เพียงยืนดูอยู่ห่างๆ ในใจยังขุ่นเคืองกับสิ่งที่เธอทำกับพี่สาวของเขา ทั้งต่อต้าน ก้าวร้าว ไม่มีมารยาท
โธ่เอ๊ย นึกว่าจะแน่ ฮึ!
ใช่ว่าเขาจะไม่เคยเตือนพี่สาวเกี่ยวกับปัญหาเรื่องแม่เลี้ยงลูกเลี้ยงมาก่อน ตั้งแต่รู้ว่าพี่เขยซึ่งเป็นเจ้านายของพี่สาวมีลูกติด ปราบดาก็คอยกีดกันมาตลอด จนเมื่อเห็นความดีและความรักที่จริงใจแบบเสมอต้นเสมอปลายของวิศรุตที่มีต่อพี่สาวคนเดียวมานานหลายปี หลายครั้งที่วิศรุตเคยยื่นมือมาช่วยเหลือพี่สาวเขา รวมถึงคอยจุนเจือครอบครัวของเขา แม้กระทั่งยามที่ขาดเสาหลักอย่างพ่อกับแม่ไป ก็เป็นบุรุษผู้นี้ที่เข้ามาประคับประคองเขาและพี่สาว นานวันเข้าเขาก็เริ่มมั่นใจว่าหากปุริมามีผู้ชายคนนี้เป็นคู่ชีวิต กอปรกับความรักที่ปุริมามีต่อบุรุษผู้นี้มีมากล้น เขาจึงยอมถอยให้เพื่อความสุขของพี่สาว แต่กระนั้นก็ยังอดห่วงจนต้องติดตามมาอยู่ด้วยไม่ได้ แล้วเขาก็คิดไม่ผิดจริงๆ วิศรา แม่หนูส้มตัวแสบนั่นตั้งป้อมรังเกียจพี่สาวแสนดีของเขาตั้งแต่แรกพบทีเดียว ยังดีที่พี่เขยเขามีความยุติธรรมอยู่บ้าง หาไม่ชีวิตของปุริมาคงหาความสงบไม่ได้
เขาคงต้องทำอะไรสักอย่างเพื่อปกป้องพี่สาวของเขา และเพื่อกำราบความร้ายกาจและเอาแต่ใจของยายเด็กดื้อผู้นี้ไม่ให้ล้ำเส้นทำให้พี่สาวของเขาต้องเสียใจ ต่อให้ต้องใช้มาตรการขั้นเด็ดขาดเขาก็จะทำ!
สถานที่จัดงานแต่งงานของคู่รักดีไซเนอร์คือสวนดอกไม้ที่ถูกจัดแต่งอย่างเรียบง่ายตามเจตนารมย์ของเจ้าสาวที่ไม่ต้องการงานเอิกเกริกแต่กระนั้นก็แอบมีกิมมิคเล็กๆ น้อยๆ สำหรับคู่รักดีไซเนอร์คนดังโดยเวทีถูกออกแบบให้เป็นรันเวย์สำหรับบ่าวสาวเดินไปทำพิธีอย่างมีสไตล์ แขกที่มาร่วมงานนอกจากครอบครัวแล้วก็มีแค่เพื่อนสนิทของสองฝ่ายเท่านั้น และทันทีที่เจ้าสาวปรากฏตัวขึ้น แขกทุกคนก็พร้อมใจยืนขึ้นต้อนรับด้วยบรรยากาศที่อบอุ่นวิศรุตในชุดสูทลุกขึ้นช้าๆ โดยมีภรรยาสาวช่วยประคองและส่งไม้เท้าให้สามีทำหน้าที่ส่งตัวเจ้าสาว เขายื่นมือไปรับมือลูกรักด้วยใบหน้าที่เป็นปลื้มจนน้ำตาคลอ“คุณพ่อ” เจ้าสาวสวมกอดบิดาสุดที่รักอย่างตื้นตัน ไม่คิดเลยว่าเธอจะได้มีวันนี้“ไปเถอะลูก”วิศรุตจับมือเจ้าสาวคนสวยพาเดินตรงไปยังแท่นทำพิธี โดยด้านหน้ามีเด็กหญิงตัวน้อยนำขบวนสองคนคือเด็กหญิงลูกปลาที่ทำหน้าที่คอยโปรยดอกไม้ให้ และอีกคนคืออลิศลูกสาวของเธอที่ทำหน้าที่ถือแหวน วันนี้หนูน้อยอลิศสวมชุดสีชมพูฟูฟ่องน่ารัก ที่ลำคอของเด็กน้อยสวมสร้อยแปลกตาที่มีแหวนวงหนึ่งห้อยเป็นจี้ แหวนเพชรสีชมพูสวยทอประกายสวยสดใส เป็นภาพที่น่ารักน่าเอ็นดูสำหรับทุกคนวิ
‘และเธอเพิ่งตอบตกลงยอมแต่งงานกับผมเมื่อไม่นานมานี้’แวบหนึ่งเหมือนชายหนุ่มหันมองตรงมาด้วยแววตาอ่อนหวานทำให้วิศราหน้าร้อนผ่าว หัวใจเต้นโครมคราม นี่เขากำลังประกาศแต่งงานออกสื่อ อลัน เลวิธ หนุ่มโสดเนื้อหอมคนนั้นเนี่ยนะ‘โอ...พระเจ้า’ พิธีกรสาวรุ่นเดอะยกมือทาบอก ทำตาโตเท่าไข่ห่าน เชื่อว่าหากเทปนี้ออกอากาศไป จะต้องเรียกเรตติงได้ถล่มทลายเลยทีเดียว ‘คุณพอจะบอกได้ไหมคะอลันว่าใครคือผู้หญิงที่โชคดีคนนั้น’คำถามนั้นทำให้ใบหน้าคนถูกถามแต้มสีแดง นัยน์ตาสีเทาทอประกายพราวระยับ‘เธอเป็นดีไซเนอร์สาวชาวไทยครับ และเธอเป็นรักแรกพบของผม’วิศราแว่วได้ยินเสียงหวีดผ่านฝ่ามือที่ปิดปากของยุทธนา คำว่ารักแรกพบของเขาทำให้เพื่อนของเธอถึงกับเสียอาการไปไม่น้อยเลยทีเดียว“รักแรกพบ...”วิศราพึมพำเบาๆ สมองนึกย้อนไปถึงตอนที่เธอและเขาได้พบกันครั้งแรก จำได้ว่าเป็นตอนที่เธอใจลอยเดินตัดหน้ารถเขาเพราะกำลังช็อกที่เพิ่งรู้ว่าตัวเองกำลังตั้งครรภ์ นี่เขาตกหลุมรักเธอตั้งแต่ตอนนั้นเนี่ยนะมันใช่เหรอ‘ว้าววว ฟังดูโรแมนติกจัง คุณพอจะเล่าเหตุการณ์นั้นให้พวกเราฟังได้ไหมคะ’‘อืม...ตอนนั้นเธอยังเป็นนักศึกษาทุนที่วิทยาลัยแฟชั่น และผมได้ร
“ว้าววว...สวยที่สุดเลย สวยอย่างกับเจ้าหญิงแน่ะค่ะ ลองส่องกระจกดูสิคะ”ประโยคนั้นของช่างแต่งหน้าทำให้หญิงสาวเจ้าของเรือนร่างระหงในชุดเจ้าสาวที่ออกแบบและตัดเย็บจากผ้าไหมและผ้าลูกไม้ที่สั่งทอมาเป็นพิเศษเพื่อเธอโดยเฉพาะและเป็นชุดเดียวในโลกจากการออกแบบของดีไซเนอร์หนุ่มชื่อดังของแบรนด์ระดับโลกอย่าง Lewis โดยใช้โทนสีครีมอ่อนปนด้วยสีชมพูพาสเทลหวานละมุนไปทั้งตัวขับให้ผิวเนียนละเอียดของเธอเปล่งปลั่งงดงามเฉิดฉายราวกับเป็นเจ้าหญิงที่หลุดออกมาจากเทพนิยายก็ไม่ปานวิศรามองภาพสะท้อนของตัวเองในกระจกด้วยความรู้สึกตื้นตันในหัวใจปนประหม่า เธอเป็นคนขอร้องให้เขาเลือกสีอื่นที่ไม่ใช่สีขาว เพราะเธอไม่ใช่เจ้าสาวที่แสนบริสุทธิ์ผุดผ่อง แล้วเขาก็เลือกสีนี้มาให้ด้วยเหตุผลว่าเขาอยากเห็นเจ้าสาวของตัวเองสวยหวานที่สุดในวันที่แสนพิเศษของเราคนเป็นเจ้าสาวยิ้มบางๆ เมื่อนึกถึงตอนที่เขาอาสาออกแบบตัดเย็บชุดนี้ให้เธอด้วยมือตัวเอง ทุกขั้นตอนทุกรายละเอียดที่เขาใส่ลงไปล้วนมีความหมายลึกซึ้งซ่อนอยู่ และมันทำให้เธอรู้สึกอบอุ่นในหัวใจอย่างบอกไม่ถูกตั้งแต่ครั้งที่ยังเป็นเด็กน้อยช่างฝันตามประสาเด็กผู้หญิงทั่วๆ ไป เธอเคยจินตนาการถึงง
จริงอย่างที่อลันว่า พอได้ล้างหน้าล้างตาด้วยน้ำเย็นๆ หญิงสาวก็รู้สึกสดชื่นขึ้นทันตา แต่ตอนที่กำลังจะลงไปด้านล่างเพื่อช่วยคนอื่นๆ ตามหาลูกสาว จู่ๆ สายตาก็เหลือบไปเห็นกล่องแหวนที่วางอยู่บนหัวเตียง แหวนที่ได้จากปุริมาวันนั้นแหวนของนายปราบดา!อะไรบางอย่างทำให้ร่างระหงเดินย้อนกลับไปหยิบแหวนนั้นขึ้นมาเปิดดู ประกายจากเพชรสีชมพูสะท้อนวูบเข้านัยน์ตาจนแสบพร่า“นายยังอยู่แถวนี้หรือเปล่า...” วิศรามองแหวนวงงามราวกับมันมีชีวิต “ถ้ายังอยู่แถวนี้ ช่วยให้ฉันตามหาลูกของเราให้พบด้วยนะคะ ขออย่าให้ลูกต้องเป็นอะไร อย่าให้อลิศเป็นอะไร ช่วยฉันด้วยนะคะ”ทันใดนั้น ลมเย็นวูบหนึ่งก็พัดผ่านร่างเธอไปทั้งๆ ที่หน้าต่างไม่ได้เปิด ราวกับใครบางคนได้ตอบรับคำขอนั้น หญิงสาวยิ้มกับตัวเองเศร้าๆ หากปราบดายังอยู่ตรงหน้า เธอคงไม่กล้าเอ่ยปากขอร้องเขาเช่นนี้ คงชวนทะเลาะมากกว่า แต่เพื่อลูกสุดที่รัก สิ่งไหนที่พอจะยึดเหนี่ยวหรือช่วยทำให้สบายใจได้บ้าง เธอก็ยอมทำทั้งนั้นวิศราปิดกล่องแหวนนั้นแล้ววางมันไว้ที่เดิม ทว่าตอนที่เธอกำลังจะก้าวเท้าออกจากห้องนั้นเอง จู่ๆ หูก็พลันได้ยินเสียงอะไรบางอย่างแว่วมา“ฮือๆ...” วิศราหันขวับอย่างตกใจ ก
งานแต่งงานของวิศราและอลันถูกตระเตรียมขึ้นท่ามกลางความดีใจของทุกคน แม้เจ้าสาวจะบอกว่าไม่ต้องการให้จัดงานใหญ่โตเอิกเกริก และอยากให้เป็นงานเล็กๆ ที่อบอุ่นมากกว่า ถึงกระนั้นทุกคนในบ้านอาภาพิพัฒน์ที่เพิ่งผ่านความเศร้าจากการสูญเสียไปเมื่อไม่นานมานี้ก็เริ่มยิ้มออกและกระตือรือร้นกับงานมงคลที่กำลังจะเกิดขึ้นในอีกไม่กี่วันข้างหน้า โดยเฉพาะนายผู้หญิงของบ้านอย่างปุริมาและนางรื่นรมย์ซึ่งถือเป็นพี่เลี้ยงคนสนิทของว่าที่เจ้าสาวกลายเป็นหัวเรือใหญ่ที่คอยเป็นธุระช่วยเหลือในการจัดการเรื่องต่างๆ อย่างเต็มใจท่ามกลางความดีใจเหล่านั้น ทุกคนกลับไม่ทันสังเกตเห็นว่ามีใครบางคนมองภาพเหล่านั้นด้วยความรู้สึกที่แตกต่างออกไป เด็กหญิงอลิศทำหน้าหม่นหมอง ในมือกอดตุ๊กตาหมีที่แม่ของเธอให้เป็นของขวัญวันเกิดเมื่อปีก่อนแน่นราวกับมันกลายเป็นเพื่อนเพียงคนเดียวในโลกที่เหลืออยู่ ก่อนค่อยๆ เดินแยกห่างออกมาเงียบๆ หลังจากเห็นทุกคนกำลังวุ่นวายจนลืมไปว่าวันนี้ยังมีความสำคัญกับใครอีกคน ไม่ทันไรทุกคนก็ลืมวันเกิดของเธอไปเสียแล้ว“พี่หมีจ๋า ทุกคนลืมวันเกิดอลิศหมดเลย ไม่มีใครรักอลิศแล้ว ไม่มีเลย...” เด็กน้อยขมุบขมิบงึมงำด้วยความรู้สึกว้า
คิดเพลินๆ จู่ๆ ก็มีเสียงสัญญาณโทรศัพท์เรียกเข้ามา หญิงสาวยิ้มบางๆ เมื่อเห็นชื่อที่ขึ้นตรงหน้าจอ...อลัน เลวิธ!“คุณต้องเป็นญาติกับพ่อมดแน่ๆ” ปลายสายส่งเสียงหัวเราะกลับมา “รู้ได้ยังไงคะว่าคนแถวนี้กำลังคิดถึงคุณอยู่”“รู้ด้วยหัวใจไงครับ ใจของคนที่รักกันมักเชื่อมถึงกันเสมอ” เสียงทุ้มนุ่มหูตอบกลับมาอย่างอ่อนหวาน พาให้หัวใจคนฟังเต้นผิดจังหวะด้วยความเขิน“คุณทำอะไรอยู่คะ วันนี้งานยุ่งไหม”“ก็ยุ่งเหมือนทุกวัน แต่พอได้ยินเสียงคุณก็หายเหนื่อย”“ปากหวานจังนะคะบอส”“อย่างอื่นก็หวานนะ ถ้าคุณอยากชิมเมื่อไหร่ก็บอกได้เสมอ ถ้าเป็นคุณ ผมยินดีให้ชิมทั้งตัวทั้งใจเลย”วิศราหน้าแดงก่ำ ดีที่อีกฝ่ายอยู่ไกลถึงอีกซีกโลก หากเขายืนอยู่ตรงนี้ เธอคงไม่กล้าสู้หน้า ตั้งแต่ผ่านเรื่องเฉียดเป็นเฉียดตายมา ดูเหมือนจะทำให้ชายหนุ่มกลายเป็นคนที่กล้าพูดกล้าแสดงความรักออกมาอย่างเปิดเผยมากกว่าเดิม“ทำไมนิ่งไปครับ คิดอะไรอยู่”“ฉันคิดถึงคุณ ถ้าตอนนี้คุณอยู่ตรงนี้ด้วยกันก็คงดีสิคะ”“อย่ามาทำให้ผมเคลิ้มเชียวนะวีวี่ คุณยังไม่รู้สินะว่าตอนนี้ผมแทบจะกลายเป็นหุ้นส่วนใหญ่ของสายการบินระหว่างประเทศอยู่แล้ว นี่เพื่อนสนิทผมมันก็ร่ำๆ อยู่