ในตอนนี้เอง ต้วนหลิงเวยรีบวิ่งมาที่ภูเขาด้านหลัง ก่อนจะมาหาฉู่เฉินแล้วพูดว่า “นายท่าน เซียวจี้หงกับเซียวเฟิงมาขอพบค่ะ คุณคิดว่า...”ฉู่เฉินครุ่นคิดเล็กน้อยแล้วพยักหน้ากล่าวว่า “ให้พวกเขาเข้ามาเถอะ”ไม่นานนัก ต้วนหลิงเวยก็พาเซียวจี้หงกับเซียวเฟิงสองอาหลานมาที่ภูเขาด้านหลังเมื่อเซียวจี้หงเห็นเจ้าทึ่มที่มีเลือดเปื้อนเต็มปาก รวมถึงโครงกระดูกเต็มพื้น เขาก็อึ้งไปก่อน แล้วรีบเบือนหน้าหนีไปอีกทาง ไม่กล้ามองตรง ๆ“ฉู่เฉิน ขอร้องละ ช่วยน้องสาวของฉันด้วยเถอะ กะ...เกรงว่าเธอจะไม่ไหวแล้วจริง ๆ”เซียวเฟิงก้าวมาข้างหน้า แล้วประสานมืออ้อนวอนฉู่เฉิน เซียวจี้หงก็รีบเดินเข้ามาแล้วเอ่ยด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความจริงใจว่า “คุณฉู่ ทั้งหมดเป็นเพราะเสวี่ยอิ๋งยังเยาว์วัยไม่รู้ความ ถึงได้ล่วงเกินคุณฉู่ ขอให้คุณใจกว้าง อย่าลดตัวไปทะเลาะกับเธอเลยครับ”เซียวจี้หงกล่าวจบก็โค้งคำนับให้ฉู่เฉินสามครั้งต่อหน้าทุกคนฉู่เฉินส่ายหน้าติดต่อกันแล้วเอ่ยว่า “ขอโทษด้วยครับ ผมช่วยเรื่องนี้ไม่ได้แล้วจริง ๆ เชิญพวกคุณกลับไปเถอะครับ”เมื่อได้ยินคำพูดนี้ เซียวเฟิงกับเซียวจี้หงก็ร้อนใจทันที คุกเข่าต่อหน้าฉู่เฉินดังตุบกัน
ฉู่เฉินกล่าวจบก็ปล่อยให้เซียงเฟิงกับเซียวจี้หงอึ้งอยู่ที่เดิม แล้วพาเจ้าทึ่มเดินไปทางประตูหน้าเมื่อเห็นว่าฉู่เฉินไม่ยอมช่วยเหลือ เซียวจี้หงก็เอ่ยด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความสิ้นหวังว่า “เสี่ยวเฟิง จะทำยังไงดี คุณฉู่เขา...”เซียวเฟิงสูดลมหายใจลึกแล้วพูดว่า “ขอร้องคนอื่น”พูดจบก็ล้วงโทรศัพท์ออกมา แล้วโทรศัพท์ไปหาถานเฟยกับโฮ่วเจี้ยนอิงในสายโทรศัพท์ เซียวเฟิงเล่าสั้น ๆ ถึงความร้ายแรง พอโฮ่วเจี้ยนอิงกับถานเฟยฟังจบก็รีบมาที่วิลล่าเฟิ่งหมิงทันทีเมื่อได้ยินว่าเซียวเฟิงเชิญถานเฟยกับโฮ่วเจี้ยนอิงมา ฉู่เฉินก็รู้สึกจนใจอยู่พักใหญ่ ได้แต่เชิญทั้งสี่คนเข้าไปในห้องรับแขกหลังจากนั่งลงแล้ว ถานเฟยก็เอ่ยปากพูดก่อน “คุณฉู่ คุณเองก็รู้ว่าผู้บังคับบัญชาสูงสุดโฮ่วทุ่มเทไปไม่น้อยเพื่อที่จะอบรมฝึกฝนเซียวเสวี่ยอิ๋ง เดิมทีอยากให้เธอได้ฝึกฝนประสบการณ์ แต่ไม่คิดว่า...”พูดถึงตรงนี้ ถานเฟยก็ทอดสายตาไปที่โฮ่วเจี้ยนอิงฝ่ายหลังรีบลุกขึ้นมากล่าวว่า “คุณฉู่ ตลอดมาผมโฮ่วเจี้ยนอิงไม่เคยขอร้องใครมาก่อน แต่ครั้งนี้ผมขอร้องคุณฉู่จากใจจริง ช่วยชีวิตเสวี่ยอิ๋งด้วยเถอะครับ”โฮ่วเจี้ยนอิงพูดจบก็โค้งคำนับฉู่เฉินติดกัน
เมื่อฉู่เฉินลงมือ เซียวเสวี่ยอิ๋งที่ยังคงหมดสติอยู่ก็ส่งเสียงครางเบา ๆ ด้วยความเจ็บปวด คิ้วเรียวทั้งสองข้างขมวดเข้าหากันแน่นฉู่เฉินจับชีพจรของเซียวเสวี่ยอิ๋งอีกครั้ง ตอนนี้เลือดลมภายในร่างของเซียวเสวี่ยอิ๋งเริ่มปั่นป่วนอย่างหนักภายใต้การออกฤทธิ์ของผงร้อยบุปผาสาเหตุที่เธอหมดสติอยู่ตอนนี้เป็นเพราะพิษของผงร้อยบุปผากำลังออกฤทธิ์แต่ผ่านไปไม่นานมากนัก เธอก็จะฟื้นขึ้นมา แต่เซียวเสวี่ยอิ๋งที่ฟื้นขึ้นมาแล้ว เกรงว่ามีแต่จะคลุ้มคลั่งยิ่งว่าหญิงหม้ายที่อยู่ในบ้านว่าง ๆ เพียงลำพังมาหลายสิบปีด้วยเหตุนี้เอง ฉู่เฉินไม่กล้าเสียเวลาเลย เขาถอดเสื้อผ้าของเซียวเสวี่ยอิ๋งอย่างรวดเร็ววินาทีถัดมา ทิวทัศน์อันวาบหวามที่ไร้ขีดจำกัดก็ลอดเข้าสู่สายตา เรือนร่างที่แทบจะสมบูรณ์แบบปรากฏขึ้นต่อหน้าฉู่เฉิน จำเป็นต้องพูดว่ากายาหงส์หยกเพลิงที่หาได้ยากยิ่งมีผิวพรรณเหนือกว่าผู้หญิงทั่วไปอย่างมาก โดยเฉพาะยอดอกอันงดงามนั้นยิ่งอวบอิ่มงดงามเป็นเรือนร่างที่สมบูรณ์แบบจริง ๆ ด้วย สมแล้วที่เป็นคุณสมบัติร่างกายที่สมบูรณ์แบบจริง ๆ ด้วยขณะที่ฉู่เฉินลอบถอนหายใจอยู่ในใจ เขาก็อุ้มเซียวเสวี่ยอิ๋งขึ้นแล้วมาที่ถังอาบน้ำเ
เมื่อได้ยินคำพูดนี้เข้า คนในตระกูลเซียวต่างรู้สึกกระอักกระอ่วนใจอยู่พักใหญ่“น้องฉู่ นั่งลงดื่มชาเถอะ นะ...นายคงเหนื่อยแล้ว”ไม่ว่าอย่างไรเซียวเฟิงก็รู้สึกว่าคำพูดนี้ของตัวเองฟังดูแปลกนิดหน่อยฉู่เฉินโบกมือให้เซียวเฟิงแล้วกล่าวว่า “ไม่ละครับ ผมกลับไปแล้วยังมีเรื่องสำคัญอีกหลายเรื่องต้องจัดการ พวกคุณคอยดูแลอารมณ์ของเธอให้มาก ๆ เถอะครับ ผมคิดว่าเธออาจจะยอมรับความจริงไม่ได้ในช่วงเวลาสั้น ๆ”“อย่าเห็นว่าพิษของเธอถูกถอนแล้ว แต่ว่ายังเกิดความผันผวนทางอารมณ์ได้ ถ้าเกิดปั่นป่วนมากเกินไปก็อาจจะกำเริบซ้ำอีกก็ได้นะครับ”หลังจากกล่าวจบแล้ว ฉู่เฉินก็กำชับอีกไม่กี่ประโยคถึงค่อยกล่าวอำลาแล้วจากไป......อีกทางด้านหนึ่ง ตรงส่วนลึกของภูเขาหลางจีซวีศาลาไป๋อวิ๋นเจี้ยนบนยอดเขาหลักของวังเทียนเจี้ยน ชายชราสามคนนั่งล้อมวงอยู่ในศาลาพักร้อน ปรมาจารย์ว่านเจี้ยนเจ้าสำนักวังเทียนเจี้ยน ท่านธรรมาจารย์สำนักชิงอวิ๋นอาจารย์ของคุณชายเซียวเหยา รวมไปถึงหัวหน้าไป๋เหมยจากจวนเทียนเยว่ แต่ละคนต่างทำหน้าหนักอึ้ง หลายวันที่ผ่านมานี้ ไม่เพียงแต่หอการค้ากิเลนที่วังเทียนเจี้ยนให้การสนับสนุนประสบกับความเสียหายอย่างหน
ภายใต้ม่านรัตติกาล ท่านธรรมาจารย์สำนักชิงอวิ๋นและพวกไป๋เหมยค่อย ๆ ร่อนลงจากท้องฟ้า ลงมาบนเนินเขาลูกเล็กที่อยู่ห่างจากวิลล่าเฟิ่งหมิงหลายร้อยเมตร หลังจากมองวิลล่าเฟิ่งหมิงที่มีหมอกขาวพวยพุ่งอยู่ไกล ๆ ดวงตาของไป๋เหมยกับปรมาจารย์ว่านเจี้ยนต่างก็ส่องประกายขึ้นมาพร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมาย เป็นแดนมงคลถ้ำสวรรค์จริง ๆ ด้วย นอกจากนี้ยังเป็นน้ำพุสวรรค์เนตรมังกรที่เทียบเคียงได้กับแดนมงคลยิ่งใหญ่ทั้งสี่ของภูเขาหลางจีซวี“โลกมนุษย์ธรรมดามีแดนมงคลถ้ำสวรรค์ระดับนี้ได้ด้วยเหรอเนี่ย?” นัยน์ตาของปรมาจารย์ว่านเจี๋ยฉายแววละโมบขึ้นมา“ตอนนี้พวกคุณเชื่อแล้วใช่ไหม ฆ่าฉู่เฉินทิ้งแล้วแบ่งแดนมงคลถ้ำสวรรค์กันดีไหม?”ท่านธรรมาจารย์สำนักชิงอวิ๋นเอ่ยอย่างเรียบนิ่ง“สมควรฆ่าหมอนี่!” “ถ้าไม่ฆ่าหมอนี่ โลกแห่งการหยั่งรู้ของเรายังมีหน้าอยู่อีกเหรอ” ไป๋เหมยกับปรมาจารย์ว่นเจี้ยนที่ไม่เห็นด้วยกับการฆ่าฉู่เฉินมาโดยตลอด เวลานี้ก็พากันพยักหน้า“การแข่งขันศิลปะการต่อสู้ต้องให้พี่ว่านเจี๋ยสิ้นเปลืองสมองแล้ว พอถึงตอนนั้นผมจะส่งลูกศิษย์มาฆ่าหมอนี่เอง” ท่านธรรมาจารย์สำนักชิงอวิ๋นเอ่ยพลางหัวเราะหยัน.....คืนนั้น
“ลั่วเทียนเต๋อ นายไม่ต้องกังวล ที่ให้ฉู่เฉินมาไม่ใช่เพื่อสนับสนุนเขา แต่เพื่อฆ่าเขา”หลิงเสวี่ยคล้ายกับดูออกถึงความกังวลใจของคนตระกูลลั่วเลยพูดเสริมขึ้นมาอีกหนึ่งประโยคเมื่อได้ยินคำพูดนี้ ลั่วเทียนเต๋อกับคนตระกูลลั่วถึงได้พรูลมหายใจยาว ๆ “ศิษย์พี่หลิงเสวี่ยกล่าวหนักไปแล้วครับ ทุกสิ่งทุกอย่างของตระกูลลั่วเราล้วนเป็นสิ่งที่วังเทียนเจี่ยนมอบให้ ไม่ว่าจะให้ตระกูลลั่วของเราทำอย่างไร แค่วังเทียนเจี่ยนพูดมาประโยคเดียวก็พอครับ”ลั่วเทียนเต๋อพูดจบถึงค่อยลุกขึ้นมาด้วยความโล่งใจ จากนั้นก็หยิบบัตรเชิญว่างเปล่าใบหนึ่งจากในลิ้นชัก พอเขียนชื่อของฉู่เฉินอย่างรวดเร็วแล้วค่อยหันตัวไปส่งให้ถึงมือลั่วเสี่ยวเทียน“แกส่งบัตรเชิญใบนี้ไปให้จินเจิ้นหลงคืนนี้เลย บอกเขาว่าจะต้องพาฉู่เฉินมาเข้าร่วมการแข่งขันศิลปะการต่อสู้ให้ได้” ลั่วเสี่ยวเทียนพยักหน้าอย่างหนักแน่นแล้วพูดว่า “ครับ”หลังจากรับบัตรเชิญมาแล้ว ลั่วเสี่ยวเทียนมุ่งหน้าไปยังเจียงจงด้วยความเร่งรีบ.....เช้าวันรุ่งขึ้น ฉู่เฉินกำลังรับประทานอาหารเช้าอยู่ เจ้าทึ่มก็พาจินเจิ้นหลงเดินเข้ามาในห้องโถง “นายท่าน มีคนมาหาครับ”เสียงของเจ้าทึ่มแหบแห
“คุณฉู่ เท่าที่ผมรู้มา ในครั้งนี้ไม่เพียงคนจากวงการต่อสู้ที่เข้าร่วมเท่านั้น ยังมีคนจากโลกแห่งการบำเพ็ญพรตไม่น้อยก็เข้าร่วมเช่นกัน คุณต้องระวังตัวไว้หน่อยนะครับ”จินเจิ้นหลงกล่าวด้วยสีหน้ากังวลใจเป็นอย่างมากฉู่เฉินพยักหน้าเล็กน้อยแล้วเอาบุหรี่หนึ่งม้วนขึ้นมาจุดสูบ พ่นควันเป็นวงแหวนออกมาหลายวง จากนั้นเอ่ยถาม “นอกจากตระกูลจินของพวกคุณ คนจากเจียงจงของเราที่เข้าร่วมการแข่งขันศิลปะการต่อสู้ในครั้งนี้มีเยอะไหม?”ได้ยินคำถามของฉู่เฉินแล้ว จินเจิ้นหลงฝืนยิ้มพร้อมส่ายหน้าตอบ “นอกจากตระกูลจินของพวกผมแล้ว ก็มีแต่คุณฉู่คนเดียวแล้วครับ ศิลปะการต่อสู้แห่งเจียงจงตกต่ำลง และไม่มียอดฝีมือระดับมหาปรมาจารย์ยุทธ์มาเป็นเวลาหลายทศวรรษแล้ว ยิ่งไม่ต้องพูดถึงระดับฝึกปราณชั้นหกหรือระดับพลังที่สูงกว่านั้นเลยครับ”“เฮ้อ ที่จริงตระกูลจินของผมก็เป็นได้แค่คนชมอยู่ข้างเวทีเท่านั้น ไม่มีคุณสมบัติขึ้นเวทีประลองแม้แต่น้อยเลยครับ”ฉู่เฉินพยักหน้าอย่างไม่ใส่ใจและกล่าวต่อ “ความจริงแล้วหมัดพิชิตมังกรตระกูลจินของคุณก็เรียกได้ว่าเป็นวิชาที่ไร้การสืบทอดสู่รุ่นต่อไป ช่างน่าเสียดาย”จินเจิ้นหลงได้ยินดังนั้น ก็กล่าวด้วยสีห
ว่ากันตามหลักแล้วพวกเขาเป็นผู้บำเพ็ญพรตไปแล้ว ไม่สมควรมาเข้าร่วมการแข่งขันศิลปะการต่อสู้ในครั้งนี้อยู่แล้วช่วงเวลาที่จินเจิ้นหลงกำลังสงสัยอยู่นั่นเอง ก็ได้เห็นกลุ่มคนแยกเป็นสองฝั่ง เปิดทางให้ชายชราที่มีท่าทางแห่งเทพเซียน และได้ก้าวเข้ามาในโรงยิมโดยมือสองข้างไพล่หลัง “ผู้อาวุโสฉินก็มาด้วยหรือนี่”จินเจิ้นหลงถึงกับไม่เชื่อสายตาตัวเองแล้วจริง ๆชายชราผู้นี้มีชื่อว่าฉินเหว่ย เป็นผู้ที่มีชื่อเสียงเลื่องลือในสามมณฑล ได้ยินว่าเขาบรรลุถึงขั้นสูงสุดของศิลปะการต่อสู้แล้ว และห่างจากระดับสร้างรากฐานเพียงก้าวเดียวเท่านั้นด้วยเหตุนี้ฉินเหว่ยทุ่มเทศึกษาเรียนรู้ด้านศิลปะการต่อสู้จึงไม่ได้ออกมาโลดแล่นเกือบยี่สิบปีแล้วแต่คิดไม่ถึงว่าเขาจะมาปรากฏตัวที่นี่ในครั้งนี้กล่าวได้ว่าคนที่อยู่ในโรงยิมเหล่านี้ แค่คนใดคนหนึ่งก็เป็นตัวตนที่สามารถจัดการตระกูลจินให้พ่ายแพ้ได้อย่างง่ายดายทั้งนั้นต่อให้มีฉู่เฉินอยู่ที่นี่ ในใจของจินเจิ้นหลงก็ยังคงยากที่จะสงบจิตสงบใจได้“จินเจิ้นหลงแห่งเจียงจง”ขณะกล่าวจินเจิ้นหลงก็เอาบัตรเชิญออกมาแล้วยื่นส่งให้ชายฉกรรจ์สองคนที่หน้าประตู“ฉู่เฉินแห่งเจียงจง”ฉู่เฉินก็เอ
ชายหนุ่มหญิงสาวเหล่านี้แต่ละคนล้วนมีกลิ่นอายของผู้บำเพ็ญเพียร ต่อให้เป็นคนที่มีพลังฝึกปรืออ่อนด้อยที่สุดก็มีพลังฝึกปรือราว ๆ ระดับหลอมปราณชั้นแปดต่อให้เป็นปรมาจารย์ที่สามารถสั่นคลอนทั้งเมือง เมื่ออยู่ต่อหน้าพวกเขาก็ไม่มีค่าพอให้เอ่ยถึงเลย และตู้หรงเฉิงก็เป็นตัวตนที่อยู่จุดสูงสุดในกลุ่มพวกเขา ด่าตู้หรงเฉิงก็เท่ากับด่าพวกเขาทุกคน!สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ พวกเขาดูไม่ออกจริง ๆ ว่าฉู่เฉินมีอะไรโดดเด่นเหนือคนอื่น ราวกับว่าไม่มีแม้กระทั่งคลื่นพลังลมปราณเลยสักนิดดัยว คนธรรมดาคนหนึ่งถึงกับกล้าสบประมาทผู้บำเพ็ญเพียรเนี่ยนะ? “ไอ้หนู คุณบ้าดีเดือดมากเลยนะ”ตู้หรงเฉิงหรี่ตา ลมปราณระดับสร้างรากฐานชั้นหนึ่งรอบกายพลันระเบิดออกมา พรืด!หลิงเสวี่ยที่นั่งอยู่ข้างฉู่เฉินเห็นแบบนั้นก็แทบจะหลุดหัวเราะออกมาทันทีระดับสร้างฐานชั้นหนึ่งก็ไม่เลวจริง ๆ แต่นั่นต้องดูด้วยว่าเทียบกับใคร อย่าว่าแต่ฉู่เฉินเลย แค่เธอก็สามารถตบตู้หรงเฉิงให้ตายได้ในฝ่ามือเดียว! เพียงแต่ว่า ตอนที่ออกจากโลกแห่งการหยั่งรู้ ฉู่เฉินใช้ยันต์ซ่อนวิญญาณเก็บซ่อนลมปราณของพวกเธอสองคนไว้ ดังนั้นดูแล้วถึงไม่ต่างอะไรจากคนธรรมดาต้องพูดว
เมื่อคำพูดนี้หลุดออกมา หลินซานก็อึ้งไปด้านหนึ่งคือหลินเยว่หรูกับลั่วหัวเอ๋อร์เข้าพักแล้ว อีกด้านหนึ่ง ฉู่เฉินก็เป็นแขกผู้มีเกียรติที่หลินเยว่หรูเชิญมาจะปล่อยให้ฉู่เฉินถูกเมินตรงนี้ไม่ได้หรอกใช่ไหม?แต่ตู้หรงเฉิงคนนี้ หลินซานเองก็ล่วงเกินไม่ไหวเช่นกันต่อให้เป็นตระกูลหลินก็ต้องไว้หน้าตระกูลตู้เล็กน้อย ถึงอย่างไรคนหนุนหลังของตระกูลตู้ก็แข็งแกร่งไม่ธรรมดาพอเห็นหลินซานอึ้งอยู่กับที่ ตู้หรงเฉิงก็เอ่ยด้วยสีหน้าไม่พอใจเล็กน้อยว่า “ว่ายังไง ลูกน้องตระกูลหลินอย่างคุณกล้าไม่ไว้หน้าผมด้วยเหรอ?” เมื่อคำพูดนี้ออกมา กลุ่มชายหนุ่มหญิงสาวที่อยู่รอบ ๆ ก็พากันมองไปทางหลินซานด้วยสายตาไม่เป็นมิตร ในขณะเดียวกัน ชายร่างกำยำที่แต่งกายทะ มัดทะแมงไว้ผมเกรียนคนหนึ่งก็มองหลินซานอย่างพิจารณาด้วยสายตาเย็นชาหลังจากสิ้นเสียงของตู้หรงเฉิง“คุณชายตู้เข้าใจผิดแล้วครับ ผะ...ผมแค่...”ในตอนนี้เอง ชายร่างท้วมวัยกลางคนผู้หนึ่งเดินลงมาจากชั้นสอง ก่อนจะเอ่ยตัดบทหลินซานว่า “ท่านทั้งหลาย เกิดเรื่องอะไรขึ้นเหรอครับ?”ตู้หรงเฉิงหันหน้าไปมองชายวัยกลางคนแวบหนึ่ง แล้วเอ่ยด้วยสีหน้าเย่อหยิ่งเล็กน้อยว่า “คุณเป็นเจ้าของ
หลินเยว่หรูพูดจบก็รูดคีย์การ์ดห้องทันที ก่อนจะเดินเข้าไปในห้องเพรสซิเดนเชียลสวีทลั่วหัวเอ๋อร์อึ้งไปพักหนึ่ง จากนั้นถึงค่อยเข้าใจจุดประสงค์ของหลินเยว่หรูว่าต้องการโยนเคราะห์ให้คนอื่น ลั่วหัวเอ๋อร์พยักหน้าเล็กน้อยแล้วค่อยเดินเข้าไปในห้องของตัวเอง .....อีกทางด้านหนึ่ง เมื่อหลินซานมาถึงเจียงจง ฉู่เฉินกับหลิงเสวี่ยก็เดินออกมาจากทางออกของเมืองชิงหลงที่อยู่ในเจียงจงพอดี เมื่อเห็นฉู่เฉิน หลินซานก็รีบเข้าไปต้อนรับแล้วเอ่ยด้วยใบหน้าที่เปี่ยมไปด้วยรอยยิ้มว่า “คุณฉู่ ผมได้รับคำสั่งจากคุณนายให้มารับคุณครับ” ฉู่เฉินมองหลินซานแวบหนึ่งแล้วขมวดคิ้วกล่าวว่า “คุณนาย? คุณนายไหน?”“คุณนายของบ้านชื่อหลินเยว่หรูครับ!”หลินซานรีบแนะนำตัวเองฉู่เฉินถึงค่อยพยักหน้า แล้วจูงมือหลิงเสวี่ยเดินไปยังรถเอสยูวีที่จอดอยู่ทางด้านข้าง“ไปกันเถอะ”ฉู่เฉินจูงหลิงเสวี่ยมานั่งที่เบาะหลัง แล้วออกคำสั่งอย่างเฉยชา หลินซานสตาร์ตรถทันที ก่อนจะมุ่งหน้าไปยังโรงแรมในชานเมืองปินเฉิน หลายชั่วโมงต่อมา รถก็จอดอยู่ที่หน้าประตูโรงแรม“คุณฉู่ครับ เนื่องจากโรงแรมนี้อยู่ใกล้กับตระกูลลั่วมากที่สุด ดังนั้นเลยจัดเตรียมห้องเพ
เมื่อลั่วเทียนเต๋อเอ่ยคำพูดนี้ออกมา ลั่วหัวเอ๋อร์ก็อดรู้สึกหนักอึ้งในใจไม่ได้!เธอเคยเจอเจ้าสำนักน้อยคนนั้นแค่ครั้งเดียว แต่ว่าต่อให้เห็นผ่าน ๆ แค่แวบเดียวเท่านั้น เธอก็ดูออกได้ไม่ยากว่า นั่นเป็นคนไร้ประโยชน์ที่ดูดีแค่ภายนอกตามมาตรฐานเลย ถ้าต้องแต่งกับผู้ชายแบบนั้นจริง ๆ ชีวิตนี้ของเธอมีหวังได้จบสิ้นแล้วไม่ใช่หรือไง?และถ้าครั้งนี้กัวเฟิงช่วยตระกูลลั่วให้ผ่านพ้นวิกฤติได้จริง ๆ เธออยากปฏิเสธการแต่งงานก็คงไม่ได้แล้ว“เจ้าสำนักน้อย? ไอ้กัวเฟิงนั่นมันตัวอะไรกัน! ลูกสาวฉันจะไปแต่งงานกับเขาได้ยังไง!”หลินเยว่หรูกัดฟันกรอด ดึงลั่วหัวเอ๋อร์ให้มาอยู่ด้านหลังตัวเอง ก่อนจะเอามือชี้หน้าลั่วเทียนเต๋อแล้วพูดว่า “ไอ้คนแซ่ลั่ว คุณเป็นคนหาเรื่องเอง เลิกลากพวกเราแม่ลูกเข้าไปเกี่ยวข้องได้แล้ว” พอลั่วเทียนเต๋อได้ยินคำพูดนี้ โทสะก็พุ่งพล่านขึ้นมาเช่นกัน ตะโกนอย่างโกรธเกรี้ยวด้วยใบหน้าแดงก่ำว่า “ดี! คุณมันแพศยาไร้ยางอาย รีบไสหัวออกไปจากบ้านตระกูลลั่วเดี๋ยวนี้เลยนะ!”“ไม่ต้องพึ่งตระกูลหลินของพวกคุณ ฉันก็จัดการเรื่องนี้ได้อยู่ดี!” อะไรนะ?หลินเยว่หรูถลึงตาใส่ลั่วเทียนเต๋อ กัดฟันกรอแล้วกล่าวว่า “คุณ
“ได้ค่ะ ขอบคุณมากนะคะคุณฉู่”หลินเยว่หรูขอบคุณเป็นล้นพ้นแล้ววางสายไปแต่หลินเจิ้งไท่ที่อยู่ทางด้านข้างกลับมองไปยังฉู่เฉินด้วยความสงสัยเขาอยู่ระดับสร้างรากฐานชั้นเจ็ด แต่หลินเยว่หรูกลับให้ฉู่เฉินช่วยต่อกรกับยอดฝีมือระดับสร้างรากฐานชั้นเก้าเหรอ?ลูกสาวของเขาคงไม่ได้โดนฉู่เฉินเอาจนโง่งมไปแล้วใช่ไหม?แต่พอขบคิดให้ละเอียด ด้วยสถานะของฉู่เฉินในตอนนี้ ระดับสร้างรากฐานชั้นเก้ายังไม่อยู่ในสายตาเขาจริง ๆ ต่อให้ฉู่เฉินเป็นแค่คนธรรมดา แต่ใครจะกล้าแตะต้องเขาแม้กระทั่งปลายนิ้ว? “หัวหน้าจ้าว เมื่อกี้คุณบอกว่าจะพาผมไปส่งที่เจียงจงเหรอครับ?” ฉู่เฉินวางโทรศัพท์ลง จิบชาแล้วเอ่ยอย่างเรียบนิ่ง “แน่นอนสิครับ ไม่ว่าเมื่อไหร่ที่คุณฉู่มาที่เมืองชิงหลง ผมกับผู้เฒ่าหลินจะต้องออกมาต้อนรับสิบลี้ ไปส่งสิบลี้อย่างแน่นอน” จ้าวเต๋อฉวนพรูลมหายใจยาวออกมา ในที่สุดก็จะได้ส่งไอ้ตัวซวยคนนี้ออกไปสักทีเมื่อเห็นฉู่เฉินกับหลิงเสวี่ยลุกขึ้น หลินเจิ้งไท่ก็รีบตามไป คนทั้งกลุ่มมุ่งหน้าตรงไปทางทางออกฝั่งตะวันตกเฉียงเหนือของเจียงจงทันที ......อีกทางด้านหนึ่ง หลินเยว่หรูเพิ่งจะวางโทรศัพท์ลง ลั่วเทียนเต๋อก็ตบโต๊ะด้วย
“คุณฉู่ ตอนนี้ลูกชายของฉันฟื้นแล้ว หมอบอกว่าพักอีกหน่อยก็ไม่เป็นอะไรแล้ว ที่ฉันโทรหาคุณครั้งนี้ ไม่ใช่เพราะเรื่องนี้ แต่...”เมื่อกล่าวถึงตรงนี้ หลินเยว่หรูลังเลอยู่นาน ก่อนจะกล่าวต่อ “ไม่ทราบว่าช่วงนี้คุณฉู่พอจะมีเวลาว่างไหมคะ?”“ช่วงนี้... คงไม่มีเวลาไปไปเยี่ยมเยียนเส้นทางที่ร่มรื่นของคุณหรอกครับ”ขณะที่ฉู่เฉินกล่าว ก็หันศีรษะไปมองหลิงเสวี่ยที่อยู่ข้างๆเมื่อเทียบกับหลิงเสวี่ยแล้ว สุดท้ายหลินเยว่หรูก็ยังด้อยกว่าอยู่ระดับหนึ่งไม่ต้องพูดถึงอย่างอื่น แค่ในแง่ของความอดทน แม้ว่าหลิงเสวี่ยจะเป็นมือใหม่ แต่ความอดทนของเธอก็ดีกว่าหลินเยว่หรูไม่น้อยหลังจากศึกหนักเมื่อคืนนี้ หลิงเสวี่ยไม่เพียงแต่ไม่อ่อนเปลี้ยเพลียแรง แต่กลับได้รับการพัฒนาอย่างลึกซึ้ง ยิ่งกว่านั้น หลิงเสวี่ยยังมีร่างกายพิเศษซึ่งมีคุณสมบัติในการบำรุงฉู่เฉินไม่น้อยเมื่อเปรียบเทียบกันแล้ว หลินเยว่หรูยังคงมีร่างกายเป็นกระถางรับซึ่งเป็นเพียงการเล่นสนุกเท่านั้นและฉู่เฉินก็ไม่ได้รับผลประโยชน์ใดๆหลินเยว่หรูที่ปลายสายเงียบไปชั่วขณะ ก่อนจะสูดลมหายใจเข้าลึกๆ แล้วกล่าวว่า “คุณฉู่คะ ฉัน... ฉันมีเรื่องอยากจะขอความช่วยเหลือจากคุณค่ะ
แม้แต่ฉู่เฉินเองก็รู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย เมืองเล็กๆ ในโลกแห่งการหยั่งรู้ใหญ่โตขนาดนี้เลยเหรอ?งั้นจะยังเดินเที่ยวทำไม มันเดินให้ทั่วไม่ได้อยู่แล้ว“หัวหน้าจ้าว ศูนย์กระจายวัตถุดิบยาของเมืองชิงหลงอยู่ที่ไหนครับ พาผมไปดูหน่อย”ฉู่เฉินกล่าวเสียงเรียบแม้จะค้นหาในคลังวัตถุดิบยาของสำนักชิงอวิ๋นและคลังยาของวังเทียนเจี้ยนแล้ว ฉู่เฉินก็ยังคงไม่พบหญ้าเทียนเซียง สถานการณ์ของอวี้ลู่เริ่มไม่มั่นคงขึ้นเรื่อยๆ แล้ว จำเป็นต้องหาวิธีโดยเร็วที่สุดและเอาหญ้าเทียนเซียงอีกสองต้นมาให้ได้“ไม่ทราบว่าคุณฉู่ต้องการซื้อวัตถุดิบยาอะไรครับ ถ้าเป็นไปได้ ผมอยากจะมอบมันให้กับคุณฉู่ครับ”จ้าวเต๋อฉวนกล่าวด้วยสีหน้าประจบสอพลอตราบใดที่ฉู่เฉินพอใจ บางทีอาจจะไล่เขาออกไปได้เร็วขึ้น“หญ้าเทียนเซียง”ฉู่เฉินกล่าวเสียงเรียบออกมาสามคำ ทั้งจ้าวเต๋อฉวนและหลินเจิ้งไท่ต่างก็ชะงักไป แต่ในวินาทีต่อมา สีหน้าของทั้งสองก็กลับมาเป็นปกติในทันที“คุณฉู่ครับ วัตถุดิบยาแบบนี้ ในเมืองชิงหลงเราก็ไม่มีเช่นกัน ถ้าไม่เชื่อ คุณสามารถตามผมไปที่ตรวจสอบที่ถนนขายวัตถุดิบยาด้วยตนเองได้เลยครับ!”เมื่อฉู่เฉินได้ยินก็หรี่ตาลง สายตาพิจารณาของ
“กลับเหรอ? ไม่ต้องรีบ ผมกำลังอยากไปเดินเล่นในเมืองพอดี”ฉู่เฉินเอามือข้างหนึ่งไพล่หลังและชี้ไปที่เมืองชิงหลงซึ่งอยู่ไม่ไกลอะไรนะ?หยาดเหงื่อเม็ดเล็กผุดขึ้นที่ขมับของจ้าวเต๋อฉวนทันที มองไปทางฉู่เฉินแล้วกล่าวว่า “คุณฉู่ครับ เมืองชิงหลงทรุดโทรมมาก เกรงว่ามันจะไม่เข้าตาของคุณฉู่หรอกครับ”ฉู่เฉินแค่นเสียงเย็น มองสำรวจจ้าวเต๋อฉวนและกล่าวว่า “นี่เป็นครั้งที่สองแล้วที่สำนักชิงอวิ๋นของคุณเป็นฝ่ายยั่วยุผม คุณคิดว่าผมฉู่เฉินเป็นคนยังไง? ที่พวกคุณเรียกมาก็มา ไล่ไปก็ไปงั้นเหรอ?”หลังจากที่กล่าวคำนี้ออกมา แม้แต่จ้าวเต๋อฉวนก็ยังยืนตะลึงอยู่กับที่“ฉู่เฉิน แกอย่ารังแกคนอื่นมากเกินไปนัก”หลินฮ่าวกัดฟันจ้องฉู่เฉินด้วยความโกรธฉู่เฉินคนนี้ไม่ใช่แค่คำว่าเกินไปสองคำจะมาอธิบายได้แล้ว แทบจะไม่เห็นใครอยู่ในสายตาเลยในเมืองชิงหลง ไม่ต้องพูดถึงการตบคนตระกูลหลินของพวกเขา และยังข่มขู่ครั้งแล้วครั้งเล่า นี่มันอวดดีเกินไปแล้วในขณะนี้ จู่ๆ จ้าวเต๋อฉวนก็สัมผัสได้ถึงกลิ่นอายอันน่าสะพรึงกลัวหลายสายกำลังสอดส่องมาทางนี้ ในใจพลันหนักอึ้ง ก่อนจะยกเท้าเตะหลินฮ่าวลงไปกองกับพื้น“นี่แกมีสิทธิ์อะไรมาพูด?”ตอนนี้ใน
สิ้นเสียงของฉู่เฉิน ก็ตบใบหน้าอีกด้านของหลินฮ่าว ตบซ้ำไปสองครั้งเสียงดังสนั่น“ไอ้คนแซ่ฉู่!”หลินฮ่าวโกรธจัดจนแทบคลั่ง!เห็นชัดว่าเขาพาคนมาดักฆ่าฉู่เฉิน แต่ผลลัพธ์ล่ะ?ฉู่เฉินไม่ได้รับบาดเจ็บแม้แต่น้อย แต่เขากลับโดนตบหน้าไปหกเจ็ดครั้งติดต่อกันจนแก้มบวมเป่งแล้วเขาจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน?“ฉู่เฉิน ฉันแนะนำให้แกทำแต่พอดี ไม่งั้น...”เมื่อหลินเจิ้งไท่กล่าวไปได้เพียงครึ่งประโยค ฉู่เฉินก็หันขวับมามองหลินเจิ้งไท่และกล่าวแทรกด้วยรอยยิ้มเยาะ “ถ้าคุณไม่พูด ผมคงเกือบลืมคุณไปแล้ว”“เมื่อกี้คุณเพิ่งพูดว่าอะไรนะ? ฆ่าผม?”เพียะ เพียะ!ตบที่รวดเร็วราวกับสายฟ้าฟาดลงบนใบหน้าชราของหลินเจิ้งไท่อย่างจังเสียงตบดังสนั่นสองครั้งติดต่อกัน หลินเจิ้งไท่ตกตะลึง และทุกคนในตระกูลหลินต่างก็ตกตะลึงเช่นกันหลินเจิ้งไท่ลูบใบหน้าชราที่ถูกตบจนแดงก่ำด้วยความไม่เชื่อ ราวกับตกอยู่ในภวังค์ไปชั่วขณะเขาเป็นใคร?เขาอยู่ไหน?นี่คือในเมืองชิงหลง และตระกูลหลินก็เป็นหนึ่งในสามตระกูลใหญ่ของเมืองชิงหลง ยิ่งไปกว่านั้นเขายังเป็นผู้นำตระกูลหลินไม่ต้องพูดถึงการโดนตบเลย ปกติแล้วใครจะกล้าแม้แต่มาขึ้นเสียงกับเขา?แล้ววันนี้