“มันเขียนว่าอะไร”
อิ๋นจื่ออดจะยื่นหน้ามาดูไม่ได้
เก๊ามู่เฉินพับกระดาษเก็บอย่างเรียบร้อย อย่างน้อยนี่ก็คือของทางประวัติศาสตร์ที่เป็นลายมือองค์ชายเก้าในอดีตเขียนขึ้นเอง แต่ของชิ้นนี้เกรงว่าเมื่อว่างเขาจะต้องเอาไปเผาพร้อมพริกเกลืออย่างแน่นอน!
“เจ้าอย่าคิดมากเลย เขาก็เป็นเช่นนั้นแต่ข้าขอเตือนเจ้า อยู่ให้ห่างเถอะ”
“ข้าคงไม่ได้วุ่นวายอะไรพวกท่านหรอก…ข้าคงอยู่เป็นตัวประกอบนั้นแหละ” เพราะในประวัติศาสตร์ไม่มีชื่อเขานี่ ถูกไหมฮ่าฮ่าฮ่า
“เช่นนั้นก็ดี เจ้าเก้าดีร้ายไม่อาจคาดเดาอีกทั้งยังเป็นอีกคนที่ข้าดูไม่ออกพอเช่นเดียวกับเจ้าสี่และเจ้าแปด”
เป็นเช่นนั้นจริงๆ เก๊ามู่เฉินเริ่มชินกับการช่วยอิ๋นจื่อหยิบจับหาหนังสือตำราตอนนี้ ผ่านไปเพียงแค่สามวันเขาก็ทำงานคล่องขึ้นเยอะมาก อาจเพราะเขาเก็บตำราตามหมวดหมู่แล้ว เลยหยิบจับง่ายขึ้นกว่าก่อนหน้านี้
แต่สงบสุขไม่ทันไรเสียงเจื้อยแจ้วของอิ๋นเอ๋อก็ดังขึ้นก่อนที่ตัวเจ้าของเสียงอันร่าเริงจะปรากฏพร้อมอิ๋นถี
“เก๊ามู่เฉินนนนน มาาาเล่นนนกานนน”
เก๊ามู่เฉินกลอกตาอย่างเบื่อหน่าย อิ๋นเอ๋อแวะมาหาเขาทุกวันและเอาแต่ชวนคุยจนอิ๋นจื่อบางครั้งยังต้องถึงขั้นนวดขมับ คำที่ว่าไม่สร้างความเดือดร้อนไม่ทำข้าวของเสียหายก็จริงอยู่แต่เสียงของเขานับเป็นความเดือดร้อนได้ไหม??
“องค์ชายสิบ วันนี้ท่านก็ยังไม่มีธุระอื่นหรือ”
“มี เจ้าไง ข้ามีธุระกับเจ้าแน่นอน”
“เจ้าจะหลอกด่าพี่สิบหรือ เก๊ามู่เฉิน”
อิ๋นถียืนกอดอกและเลิกคิ้ว
“ไหนๆ เจ้าว่ามาน้องสิบสี่เขาจะหลอกด่าข้าว่าอย่างไร”
“ข้าจะกล้าด่าท่านได้อย่างไรกันเล่าองค์ชายสิบ นี่คือถามด้วยความเป็นห่วง ทำไมมองผู้อื่นในแง่ร้ายเช่นนี้องค์ชายสิบสี่”
เก๊ามู่เฉินแทบกัดลิ้นดิ้นตายกับตัวเองคนพวกนี้ทำเขาลำบากใจเก่งจริงๆ ไว้ค่อยหามุกที่พวกเขาจะต้องงุนงงมาพูดทีหลังดีกว่า
“งานเจ้าเสร็จหมดแล้วเจ้าจะออกไปใช่ไหม ดีเลยไปพักบ้างสิ”
อิ๋นจื่อเข็ดหลาบกับการที่เขารั้นอยู่ช่วยงานจนทำให้อิ๋นเอ๋อไม่ไปไหนเอาแต่ชวนคุยอยู่ที่นี้ แต่คราวนี้ท่านจะสละเรือหนีแล้วถีบข้าไปตายคนเดียวไม่ได้สิ พี่ใหญ่!
“ข้า…ข้า”
“ไปเถอะ เก๊ามู่เฉิน เจ้าสิบกับเจ้าสิบสี่ไม่ได้อยู่ภายใต้เงื่อนไขในความขัดแย้งเจ้าสี่คงไม่ว่าอะไรหากเจ้าจะยอมออกไปกับพวกเขา”
“พี่สี่นี่ช่างกฎเกณฑ์เยอะกว่าใครเขา”
เก๊ามู่เฉินยิ้มกว้าง
“ไปกันเถอะข้าเป็นเจ้ามือเองวันนี้เราไปดื่มกินเสียให้หน่ำใจ”
“เจ้ามีเงินหรือ”
อิ๋นถีอดสงสัยไม่ได้ อิ๋นจื่อคว้าถุงเงินบนโต๊ะโยนให้เก๊ามู่เฉิน
“ไม่จำเป็นไม่จำเป็น”
ยิ้มมุมปากเดินนำสององค์ชายออกจากตำหนักไปทันที
จวนองค์ชายเก้า
อิ๋นถังในมือถือกระบี่วาดไปมาบนอากาศท่วงท่างดงามผ่านการฝึกปรือ
“พี่เก้าาาาาา”
อิ๋นเอ๋อโหวกเหวกเข้ามาก่อนอย่างร่าเริงเช่นเคย ส่วนอิ๋นถีเดินตามมาเมื่อเห็นท่วงท่าสง่างามของอิ๋นถังยามจับกระบี่ก็อดจะตบมือชื่นชมไม่ได้
“ข้ามาตามคำเชิญแล้ว”
เก๊ามู่เฉินยิ้มร่า
“ข้าเชิญเจ้าแต่ไม่ได้เชิญเจ้าสองคนนั้นมา”
“พี่เก้า พวกข้ากินไม่เยอะหรอก อย่ารังแครังคัดน้องๆ ที่น่ารักหน่อยเลย”
อิ๋นถีแสร้งทำหน้าเศร้า
“ใช่ๆ พี่เก้า คิดจะเลี้ยงคนก็ไม่ควรทำตัวคิดเล็กคิดน้อย”
“พวกเจ้ากวนประสาทข้าหรือ”
อิ๋นถังขมวดคิ้วเก็บกระบี่คืนฝักและเดินนำไปนั่งที่โต๊ะหินอ่อน
อิ๋นถีเห็นแบบนั้นก็ถือว่านี่คือสัญญาณอนุญาตพวกเขาแล้วจึงรีบหันไปสั่งขันทีที่ยืนใกล้ๆ
“ไก่ตุ๋น ขาหมู กุ้งอบ ไก่อบ เป๋าหื้อตุ๋นน้ำแดง ซาลาเปาไส้หมู ถั่วแดงกวน”
“ช้าก่อน”
“พี่เก้าจะขัดทำไมข้ายิ่งคิดถึงรายการอาหารไม่ออก”
“ขันทีอย่าลืมสุราดอกท้อของเสด็จพ่อด้วย”
อิ๋นถังส่ายหน้าไปมา
“จ๋อๆๆๆ นานๆ จะได้ร่ำสุราลิ้มรสอาหารถูกปากไยต้องทำสีหน่าเคร่งขรึม” อิ๋นถังถอนหายใจ
ทั้งสามรีบนั่งลงแต่อิ๋นถังขมวดคิ้วอดไม่ได้จะพูดขัด
“พวกเจ้าอดยากขนาดนั้นเลยหรือไง”
“ข้าแค่อยากให้เก๊ามู่เฉินของเรากินของดีๆ เยอะๆ หน่อย”
“จริงด้วย ดูเจ้าสิผอมแห้งเหมือนกิ่งไม้”
อิ๋นเอ๋อจับแขนเก๊ามู่เฉินโบกไปมาเหมือนตุ๊กตา เก๊ามู่เฉินรีบดึงแขนกลับพร้อมถลึงตาใส่ กล่าวเสียงเศร้า
“ข้าอดอยากก็เป็นเรื่องปกติ ข้าก็แค่คนเลี้ยงม้าจนๆ ที่ไม่มีครอบครัวและไร้ที่พึ่งพิงไม่เคยคิดเลยจะมีวาสนาถูกซัดฝ่ามือใส่จนตกน้ำเกือบตายและได้ช่วยงานองค์ชายสาม”
เก๊ามู่เฉินแสร้งเช็ดน้ำตา ขอดราม่าสักหน่อยเหอะถ้าจะทำให้เขาได้กินดีๆ
“ดูเจ้าสิ โกหกตอแหลหลอกน้องโง่ๆของข้าได้เพียงนี้เชียว นึกว่าจะหลอกข้าได้หรือ เก็บน้ำตาไว้ใช้ตอนโดนพี่สี่สับคอเจ้าเถอะ”
อิ๋นถังกลอกตาเบ้ปากมองบนในความเสแสร้งนี้ เขาเห็นว่าอีกฝ่ายฝีปากและท่าทางดูร้ายกาจไม่น่าสงสารอย่างเช่นที่พี่แปดกล่าวสักนิด
“น่าๆ ช่างเถอะ เขาก็น่าสงสาร เห็นๆ อยู่ว่าไม่ผิดไม่ได้ทำอะไรแต่พี่สี่ก็ยังเพ่งเล็งเขา” อิ๋นถียิ้ม
“จริงสิ จวนองค์ชายเก้ามีกระดาษปากกาหรือไม่ ข้าขอที”
เก๊ามู่เฉินแบมือ
“หืม?”
ทั้งสามหันมองเก๊ามู่เฉินพร้อมกัน
“กระดาษและพู่กัน”
“ของแค่นั้นย่อมต้องมี”
อิ๋นถังกล่าวพร้อมสั่งคนให้ไปนำมา เก๊ามู่เฉินนำกระดาษโจทย์เลขที่พกติดตัวตลอดออกมาจากอกเสื้อและคลี่กระดาษออก โชคดีที่ยังเห็นโจทย์คณิตศาสตร์ชัดเจน ถ้าเขาจำไม่ผิดนี่คือเรื่องกฎของไซน์เป็นคณิตศาสตร์เรขาคณิตที่เขาเกลียดที่สุด
“มันคืออะไร”
อิ๋นเอ๋อมองอย่างงุนงง
“ข้าเดาว่าเจ้าเอามาจากห้องพี่สาม ตอนข้าเขี่ยขยะของเขา ข้าก็เห็นว่าพี่สามคงพยายามหาคำตอบ”
อิ๋นถีมองอย่างสนใจยื่นหน้าเข้ามาดูใกล้ๆ
“โน้ว โน้ว อย่าเรียกขยะ สิ่งนี้คือเครื่องทรมานคนเรียนเรขาคณิต…”
“อะไรของเจ้า ช่วยงานพี่สามไม่กี่วันเพี้ยนไปแล้วรึ” อิ๋นถังขมวดคิ้ว
“เอาน่า ข้าแค่อยากตอบแทนองค์ชายสามสักนิดหน่อย ไว้เรากินเสร็จข้าจะจัดการมันทีหลัง”
เก๊ามู่เฉินนั่งรออาหารพร้อมองค์ชายทั้งสามที่พูดคุยกันแต่เขาไม่สนใจเพราะพยายามนึกทบทวนวิธีการแก้โจทย์นี้ในหัว เดิมทีมันไม่ยากเท่าไหร่แต่เขาเรียนจบก็ลืมๆ ไปบ้างแล้ว
“ดื่มมมมม”
เสียงอิ๋นเอ๋อที่ยังสนุกสนานองค์ชายเก้าที่เหมือนมีอะไรในใจยิ่งเงียบขรึม องค์ชายสิบสี่เป็นฝ่ายชวนคุยส่วนเก๊ามู่เฉินได้แต่หาทางแก้โจทย์
สุราอาหารหมดไปหลายไห ไหสุรากลิ้งบนพื้นไปมา
ไหนดูสิ โจทย์คือ รูปสามเหลี่ยม…แทนเป็นเอบีซีแล้วกันจะได้ง่าย มุมเอเท่ากับห้าสิบองศา มุมบีเท่ากับหกสิบองศาและซีเล็กเท่ากับสอง จงหาเอเล็กและบีเล็ก ง่ายมากๆ ฮี่ๆ
ปักกิ่ง ปี2023คริสยกเป้สะพายหลังล้วงมือเข้าไปในกระเป๋ากางเกงทั้งสองข้างห่อไหลด้วยความหนาว ริมฝีปากสีแดง ยังแดงได้อีกด้วยอากาศที่เย็นลงเรื่อยๆ สายลมพัดเอาเกล็ดหิมะโปรยปรายเป็นแนวเฉียงตามลม ดอกเหมยสีแดงสดยืนหยัดอยู่บนกิ่งต้นที่ไร้ใบ กี่ปีกันนะที่เขาแวะมาที่นี่หวังบมๆ แล้งๆ ว่าจะได้พบใครข้างหน้านั้นเป็นวัดเสียนเหลียงสื่อวัดที่เป็นอนุสรณ์สถานที่จักรพรรดิหย่งเจิ้งสร้างไว้สำหรับระลึกถึงองค์ชายสิบสาม คริสยืนนิ่งไม่ว่าจะมากี่ครั้งเขาก็อดขำไม่ได้กับรู้วาด จะว่ารูปเหมือนก็ไม่น่าใช่ ไม่มีส่วนเหมือนองค์ชายสิบสามผู้นั้นแม้แต่น้อย หากเจ้าตัวมาเห็นคงหัวเราะท้องแข็งและก็คงจะอยากเปลี่ยนรูปวาดรูปนี้ทิ้งไป ป้ายวิญญาณที่สลักอักษรจีนชัดเจนมองไปหากจำไม่ผิดนั้นมันลายมือของจักรพรรดิหย่งเจิ้ง จุดธูปบูชาเหมือนอย่างที่เคยทำองค์ชายคนอื่นไม่มีสิ่งใดเหลือไว้ให้จดจำมีเพียงบันทึกหรือตำราขององค์ชายสามแต่ก็นั่นแหละไม่ได้ออกมาสู่สายตาสาธารณชน คริสเดินไปทรุดกายลงนั่งที่ม้านั่งตัวยาวสีแดงขัดมันดื่มด่ำกับบรรยากาศ จะว่าฝันไปก็ชัดเจนเขากลับมาอีกครั้งหลังจากที่นอนโคม่านับเดือนมีเพียงศรัทธาเดียวของแม่ของเขาที่ไม่ยอมถอดเค
ชิงหยุนเนีย: เข้าคำถามดีกว่า มีใครในใจไหม ชอบใครเป็นพิเศษไหมในบรรดาองค์ชายทั้งเจ็ดเก๊ามู่เฉิน: ความจริงแล้วชอบพี่แปด เราชอบผู้ชายอบอุ่น แต่อดคิดไม่ได้ว่ามีอะไรซ่อนอยู่รึเปล่า เพราะพี่แปดเหมือนจะมีอะไรอยู่ภายในใจชิงหยุนเนีย: ก็คงเป็นบทขี้โกงของเขานั่นแหละเก๊ามู่เฉิน: องค์ชายสิบสามก็ดูดีเป็นคนที่ไม่อะไร ด้วยประวัติแล้วน่าสงสาร ถ้าเก๊ามู่เฉินจะรู้ประวัติขององค์ชายสิบสามแล้วจะสงสารก็ไม่แปลก องค์ชายสิบสามอยู่ด้วยแล้วไม่ต้องกดดันอะไร ถึงจะเข้าข้างพี่สี่แต่ก็ไม่ได้แย่งชิงอะไรกับเขา ถ้าหากจะคบเป็นเพื่อนก็คงจะดี แต่รู้สึกอบอุ่นใจเมื่อเข้าใกล้เขาชิงหยุนเนีย: แล้วองค์ชายสิบสี่ล่ะคะเก๊ามู่เฉิน: องค์ชายสิบสี่กับองค์ชายสิบ มีส่วนคล้ายกันทำให้เห็นเขาแล้วอดยิ้มไม่ได้ องค์ชายสิบสี่ชอบช่วยเหลือไปไหนไปกัน แต่ก็ไม่ได้ลึกซึ้งถึงกับเข้าใกล้แล้วต้องใจสั่น ส่วนองค์ชายสิบมักจะกระตือรือร้นเสมอเลยทำให้คิดว่ามีเขาอยู่ใกล้ๆ แล้วอุ่นใจชิงหยุนเนีย: คนไหนที่ไม่อยากเข้าใกล้ที่สุดเก๊ามู่เฉิน: ถ้าหากรู้สึกว่ากดดันคงเป็นองค์ชายสี่ ด้วยสายตาเฉยชาทำให้กลัวหัวหดแต่เวลารุกมาแต่ละทีใจสั่นได้เหมือนกัน แค่ตาคมๆ กับท่าที
ชิงหยุนเนีย: ในชิงหยุนเนียยังจะตามหมอหลวงอีกไหมคะอิ๋นเจิ้ง: อันนี้งดสปอยครับ แต่ก็นั่นแหละนะ ไรท์ก็ยังติดภาพจำใช้ให้ตามหมอหลวงเหมือนเดิมชิงหยุนเนีย: ฮ่าฮ่าฮ่า ยอมไปเถอะค่ะเฉิงหยิงน้องสาวคนสวยรับหน้าที่พิธีกร คอยถามคำถามในครั้งนี้เฉิงหยิงนั่งลงประจำตำแหน่ง อิ๋นเอ๋อกับอิ๋นถีแบกลำโพงบลูทูธเปิดทำนองคาราโอเกะเพลงเธอเคยรักฉันจริงๆ หรือเปล่า คลอเบาๆ ด้านหลังเฉิงหยิง: เธอเคยรักฉันจริงๆ รึเปล่า~ อย่างที่ฉันรักเธอหรือเปล่า~อิ๋นจื่อ: เล่นตลกอะไรกันอิ๋นถี: โถ่พี่สามกำลังสนุกเชียวอิ๋นเอ๋อผลักไหล่อิ๋นถี พากันดึงกันออกไปแต่ทิ้งเพลงที่เปิดคลอไว้อิ๋นเอ๋อ: พี่สามเขาเขิน เราไปก่อนดีกว่าอิ๋นจื่อ: เข้าเรื่องสักทีเถอะ เอาแต่เล่นอยู่ได้ เห้อเฉิงหยิง: แบบนี้ประจำเลยพี่สามของเรา เฉิงหยิงไม่ถามแล้ว งอนแล้วอิ๋นจื่อ: เห้ยไม่ได้นะ เดี๋ยวไรท์ไม่จ่ายค่าตัว มู่เฉินนน นายมาช่วยฉันหน่อยสิเก๊ามู่เฉินเดินเข้ามาในฉากมือยังถือพิซซ่าเก๊ามู่เฉิน: ยังไม่ถึงคิวผมนี่ ว่าแต่สองคนทะเลาะอะไรกันอีก ทำไมเฉิงหยิงน่างอเชียว พี่สามเอาใจแฟนหน่อยไม่ได้รึไงอิ๋นจื่อ: เออน่ะ มันหมดช่วงเวลางานของฉันแล้ว กำลังจะได้พักเชียวจะงอ
ชิงหยุนเนีย: ตอนที่เอามีดจี้คอหยุนเนียคิดอะไรอยู่หรอคะอิ๋นถัง: ถ้าเป็นตามบทแล้วก็สงสัยเหมือนกันว่าทำไมต้องเป็นหยุนเนีย ทำไมไม่ไปจี้ชายาเอกหรือพวกชายารอง ทำไมต้องไปจี้แค่เก๋อเก๋อ นี่แสดงว่าคนอื่นเขามองออกกันทั้งหมดว่าพี่สี่มีใจให้เก๋อเก๋อชิงหยุนเนีย: ฮ่าฮ่าฮ่ามองออกกันหรอคะ ทำไมหยุนเนียไม่รู้สึกว่าเขารักหยุนเนียเลย ออกจะรักเจ้าหมาน้อยนั้นมากกว่าอิ๋นถัง: ฮ่าฮ่าฮ่า อันนี้ไหน้ำส้มแตกใช่ไหมครับ พี่สี่น่าจะดีใจนะเนี้ย ช่างเขาเถอะเรามาพูดเรื่องของเราดีกว่าชิงหยุนเนีย: คิดอย่างไรกับเจ้าหมาน้อยเก๊ามู่เฉิน องค์ชายเก้าเป็นคนที่ซึนที่สุดในเรื่องนี้ ก็เลยอยากรู้ว่ารู้สึกยังไงกับนายเอกของเราอิ๋นถัง: ถ้าตามบทที่ไรท์บอกมานะครับ ก็ต้องซึนอะครับแต่ก็แอบมีรักแท้ดูแลไม่ได้ เสียสละเพราะเขาหลายอย่าง ปกป้องเก๊ามู่เฉินแม่แต่ตอนตายก็ยังอยากอยู่ข้างเขาตลอดชิงหยุนเนีย: นี่มันบทพระเอกนี่คะอิ๋นถัง: ฮ่าฮ่าฮ่า ถ้ายกให้ผมก็ยินดีรับไว้ ผมปกป้องเขาอย่างดี แต่สุดท้ายก็ต้องตายถ้าเป็นเรื่องจริงก็คงเจ็บปวดน่าดูเฉิงหยิงน้องสาวคนสวยรับหน้าที่พิธีกร คอยถามคำถามในครั้งนี้เฉิงหยิง: ความละมุนนี้ได้จะได๋มาเฉิงหยิงหุบยิ
“ปิดกองแล้วววว เย้!”อิ๋นจื่อตะโกนดังลั่นโยนพู่กันกระเด็นหายไปพร้อมดึงหนวดปลอมออก อิ๋นถีถอนหายใจยาว อิ๋นสือลุกขึ้นบิดขี้เกียจไปมาวางม้วนกระดาษที่เป็นบทนิยายลงบนโต๊ะ“เห้อ จะว่าไปบทองค์ชายแปดน้อยไปหน่อยจริงๆ”“พี่แปดต้องตำหนิไรท์แล้วแหละ เรื่องหน้าขอแบบจัดเต็ม” อิ๋นเอ๋อพูดไปหัวเราะไป“ในที่สุดก็จบลงเสียที ว่าแต่พี่อิ๋นจื่อเราเสียน้ำตากี่หยดครับ” อิ๋นถีโอบไหล่อิ๋นจื่อ“แหม่ก็พระเอกอะเนอะก็ต้องมีน้ำตากันบ้าง นายเอกว่าไง”เก๊ามู่เฉินอ้าปากงับเอาพิซซ่าชิ้นโตหันมามองค้อนอิ๋นจื่อ อิ๋งถังเบ้ปากไปทางอิ๋นเสีย“ใครจะสู้พี่สิบสามได้ล่ะ นู้นนั่งไขว่ห้างอยู่นั้น ผมได้จุ๊บเขาได้จูบ”“บังเอิญหรอกน่า” เก๊ามู่เฉินพูดยิ้มๆ“หึย ไม่บังเอิญฉันเอาจริง” อิ๋นเสียงยิ้มมุมปาก“ไรท์ก็เหลือเกิน ตอนเขียนบทผมแอบได้ยินว่าจะกระจายบทให้ได้อี๋อ๋อกับนายเอกทุกคน แต่ถึงเวลาไอ้คนที่อดก็อดกันไปเลย” อิ๋นถีกลอกตา“ผมไม่ใช่ผู้ชายโครมเขียวนะคุ๊ณ แหม่จะกระจายตั้งเจ็ดคน ผมดูหลายใจอะ แต่ตอนจบแท้ๆ นายเอกก็ไม่ได้ออกกับเขา อย่างน้อยขอเป็นวิญญาณยืนหลังฉากจางๆ สักวิก็ยังดี”“ก็ดีแล้วไง นายจะได้มานั่งกินพิซซ่าอยู่นี่ไง” อิ๋นเจิ้งถอดแว่
“มันคือของที่ต้ากงเหวินคนนั้นคิดว่ามันจะพาเขากลับบ้านได้”จักรพรรดิหย่งเจิ้งขมวดคิ้ว“มันไม่มีทาง ของชิ้นเล็กแค่นี้จะพาไปไหนได้อย่างไร”“แล้วควรจะทำอย่างไรเล่า” จื่อจวินหวังทอดถอนใจ“เราทำอะไรไม่ได้แล้ว จะคิดอย่างไรจะคิดไปทางไหนก็คือต้ากงเหวินเขาไม่อยู่แล้ว หรือจะคิดแบบเข้าข้างตัวเองเขาก็คงแค่ความทรงจำหายไปจึงจำพวกเราไม่ได้ ก็เพียงแค่ทำใจเสียก็เท่านั้น” เหลียนชินหวังปลอบใจคนทั้งหมด“ไม่แน่นะบางทีความทรงจำเขากลับมา เขาอาจจำเราได้ขึ้นมาสักวันตอนนี้แค่เพียงเก็บเรื่องราวดีๆ ที่เคยมีเขาไว้ในความทรงจำก็พอ”อี๋ชินหวังพูดขึ้นอย่างคนที่มีความหวัง จื่อจวินหวังเงยหน้าขึ้นด้านบนเหมือนกลัวว่าหยาดน้ำตาจะไหลริน“ข้าไม่มีทางยอมแพ้”“ข้าไม่เชื่อว่าเขาจะจำเราไม่ได้ พี่สะใภ้ท่านมีวิธีใดบ้างที่จะทำให้เขาจำเราได้”ชิงหยุนเนียถอนหายใจยาว“หากว่าสวินชินหวังอยากจะลองดูข้าก็ไม่ขัด ท่านก็แค่เพียงแวะเวียนมา บอกเล่าเรื่องราวก่อนหน้าที่เคยมีร่วมกันให้กับองค์ชายใหญ่ต้ากงเหวินฟัง ไม่แน่เขาอาจจะจำได้แต่ข้าไม่คอนเฟิร์มนะ”“ห๊ะ คอนเฟิร์ม? พี่สะใภ้ท่านหมายความว่าอย่างไร คอนเฟิร์ม”“อ๋อ ไม่มีอะไร ข้าก็แค่พลั้งปากไป เอาเ