Masukบทที่ 4ทำความรู้จัก (ช้าไปไหม)ก่อนที่แสงอรุณจะสาดส่อง เสียงไก่ขันดังขึ้นเป็นระยะ ชายหนุ่มตื่นขึ้นมาอย่างงัวเงีย แต่กลับรู้สึกใจหายวาบ เมื่อร่างนุ่มนิ่มที่เคยอยู่ข้างกายกับหายไปเขารีบลุกออกจากที่นอน เดินออกจากห้องด้วยใจที่ร้อนรนกลัวว่านางในฝันเขาจะหายไป เมื่อออกมาถึงนอกชานเรือนแสงจากตะเกียงสาดส่องทำให้เห็นร่างเล็กยืนอยู่ตรงนั้น เพิ่มรีบเดินเข้าไปหาแล้วสวมกอดเธอไว้อย่างหวงแหน จนพริ้มพราวสะดุ้งเล็กน้อย“พี่คิดว่าพริ้มจะหายไป” น้ำเสียงทุ้มเอ่ยบอกเธอพริ้มพราวขืนตัวเอา แล้วหันหน้ากลับมามองชายหนุ่มอย่างเพ่งพินิจ“คุณรู้จักชื่อ…ฉัน” หญิงสาวชี้เข้าหาตนเอง“พี่ได้ยินตอนที่แม่พริ้ม พูดชื่อตนเองตอนนั้นเมื่อคืนนี้….” เขาหมายถึงตอนที่เธอครางเพราะเสียวจนเผลอพูดชื่อตนเองออกมา ซึ่งพริ้มพราวก็เข้าใจที่เขาหมายถึง จึงรู้สึกอายจนแก้มร้อนผ่าว“ฉัน….ชื่อพริ้มพราว คุณ…” เธอบอกชื่อตัวเองกลับเขา และพยายามจะถามชื่อเขากลับ“เพิ่ม พี่ชื่อเพิ่ม” เขาเอ่ยบอกกับเธอ“เอ่อ… คุณเพิ่ม ที่นี่คือที่ไหน”“นี้เรือนพี่”“ไม่ ฉันหมายถึง เอ่อ จังหวัด ตำบล หรืออำเภออะไรแบบนี้ค่ะ“อ๋อ สุพรรณบุรี”“สุพรรณ นี้ฉันเมาขนาดไหนกันแน
สมปรารถนาเช้าวันใหม่ แสงแดดอ่อน ๆ สาดส่องเข้ามาตามร่องหน้าต่าง เสียงไก่ขันดังแข่งสลับกับเสียงนกร้อง เพิ่มสะดุ้งสุดตัวตื่นลืมตาโพลง มองตรงขึ้นไปยังเพดานเรือน ช่วงวินาทีหนึ่งเขาใจหายวาบที่ตนเองเผลอหลับไป แต่ก็ต้องประหลาดใจอีกครั้ง เมื่อสัมผัสได้ถึงร่างเล็กนุ่มนิ่มข้าง ๆ กายยังอยู่ ข้าไม่ได้ฝันไปใช่ไหมเ ขารีบตะแคงข้าง เข้าหาคนตัวเล็ก มองนางอย่างเพ่งพินิจ แล้วหยิกเข้าที่แขนตัวเอง“โอ๊ย.. ไม่ได้ฝัน” ชายหนุ่มรู้สึกดีใจและประหลาดใจในเวลาเดียวกันเ ขาค่อย ๆ จับตัวพริ้มพราวที่นอนคดตัว ใต้ผ้าห่มผืนบางให้หันกลับมา“ใบหน้านี้ เป็นนางที่ข้าฝันถึงอยู่ทุกค่ำคืน แต่ตัวนางร้อนยิ่งนัก” ชายหนุ่มใช้ฝ่ามืออังไปที่คอ และหน้าผากนาง“หรือจะเป็นไข้” คิดได้ดังนั้น เพิ่มจึงรีบลุกขึ้นออกจากห้อง จัดแจงติดไฟต้มน้ำต้มยาให้หญิงสาว ไม่นานเขาก็กลับเข้ามาในห้องอีกครั้ง ใช้ผ้าชุบน้ำเช็ดตัวเพื่อลดไข้ให้ และใส่เสื้อผ้าของเขาให้นางก่อนเมื่อเสร็จเรียบร้อยชายหนุ่มจึงได้สังเกตเห็นหีบเล็กใบนั้นที่เขาเก็บกลับมา เมื่อหลายวันก่อนและยังเปิดไม่ออก มันหล่นอยู่แถมยังมีเครื่องประดับอัญมณีมากมายหล่นอยู่ข้าง ๆ หีบด้วยช ายหนุ่มจึงก้มล
สูญเสีย“คะ คุณพ่อ คุณพ่อ กรี๊ด!!!!” ร่างบอบบางของพริ้มพราวทรุดลงกองกับพื้นอย่างหมดแรง เมื่อภาพปรากฏต่อหน้า คือพ่อของเธอที่ใบหน้าเต็มไปด้วยเลือดสีแดงฉาก มีรอยกระสุนเจาะเข้าที่ขมับด้านขวา เลือดเป็นลิ่ม ๆ ที่กำลังไหลทะลักออกมาไม่ขาดสายประวิทย์เลขาคนสนิท ที่ยังพอตั้งสติได้ รีบเข้ามาประคองพริ้มพราวไว้ มืออีกครั้งจึงรีบกดโทรศัพท์เรียกรถพยาบาลทันที“คุณหนูพริ้ม ใจเย็น ๆ ก่อนนะครับ ตั้งสติก่อน” ประวิทย์พยายามเรียกเตือนสติพริ้มพราวอยู่หลายหน เพราะเธอเอาแต่ร้องไห้ฟูมฟายปานจะขาดใจรถพยาบาลมาถึงภายในไม่กี่นาที แต่ตอนนี้มันไม่มีประโยชน์ พ่อของพริ้มพราวเสียชีวิตคาที่ ตั้งแต่ตอนที่ได้ยินเสียงปืนดังแล้ว“คุณอา เพราะอะไรคะ เพราะอะไรทำไมพ่อถึงคิดสั้นแบบนี้คะ” หญิงสาวพูดไปสะอื้นไห้ไปจนตัวโยน“คุณหนูเดี๋ยวผมจะค่อย ๆ อธิบายทุกอย่างให้คุณหนูฟังนะครับ”“ค่ะ”งานศพพ่อของพริ้มพราวถูกจัดขึ้นอย่างเรียบง่าย เมื่อเสร็จสิ้นพิธีทั้งหมด มีเพียงพริ้มพราวและประวิทย์เท่านั้นที่นำเถ้ากระดูกไปลอยอังคาร เพราะไม่มีญาติที่ไหนอีกเลย“คุณอาจะเล่าให้พริ้มฟังได้หรือยังคะ ว่าเกิดอะไรขึ้นกับคุณพ่อ” หญิงสาวเอ่ยถามด้วยสีหน้าที่ยั
บนบานต้นกรุงรัตนโกสินทร์ ณ เมืองสุพรรณบุรี ตำบลที่ห่างไกลผู้คน ที่ตำบลแห่งนี้ยืดอาชีพทำนาเป็นหลัก เพิ่ม หนุ่มชายวัยสามสิบเอ็ดปี รูปร่างกำยำสูงใหญ่หน้าตาหล่อคมเข้มตามแบบหนุ่มไทยแท้ พ่อแม่ตายจากด้วยไข้ป่า ทิ้งที่ผืนนาแห้งแล้งไว้ให้สี่สิบไร่ เขาอาศัยอยู่ตัวคนเดียว ลูกเมียก็ยังไม่มี ที่ยังไม่มีนั้นเป็นตัวเขาเองที่ไม่คิดอยากจะมีเมีย เพราะว่าเขามีผู้หญิงในฝันอยู่แล้วนั้นเองเมื่อถึงเวลาหลับใหล เพิ่มจะฝันถึงหญิงสาว คนเดิมซ้ำ ๆ ภายในฝันนั้นทั้งสองอยู่ในสถานที่ ที่หนึ่งกำลังคลอเคลียจวนจะได้เสียกัน แต่ทุกครั้งชายหนุ่มจะตื่นก่อนเสมอเพิ่มจำหน้าหญิงสาวที่เขาฝันถึงได้ดี ซึ่งไม่มีหญิงคนใดในตำบลที่เขาอาศัยอยู่นี้เหมือนนางในฝันของเขาสักคน เขาจึงครองตัวเป็นโสดมานานหลายปี แม้จะมีหญิงสาวสุดสวยบ้านรวยระดับตำบล มาชอบเขา คอยเอากับข้าวขนมมาส่งให้ไม่ขาด แต่ชายหนุ่มก็หาจะสนใจไม่ เขายังคงมีหญิงสาวในฝันนั้นอยู่ในใจไม่เปลี่ยนแปลงวันนี้หลังจากยุ่งอยู่กับการถอนหญ้า เปิดน้ำใส่นา ที่อีกไม่กี่เดือนข้างหน้าก็จะเก็บเกี่ยวได้แล้ว เขาเองก็หวังว่าจะได้ผลผลิตที่ดีบ้าง เพราะจำความได้ว่าทำนามาตั้งแต่เกิดมักจะได้ผลผลิตที่ไ







