“....” ผมนั่งมองยัยผู้หญิงอวดดีที่มันกำลังนำอาหารมาวางไว้บนโต๊ะตรงหน้าผม เธอเอาแต่หลบสายตาเหมือนว่ากลัวผมนักหนา ทั้งที่ความเป็นจริงแม่งพยศใส่ผมอยู่ตลอดเวลา เห็นมิลินกลัวผมแบบนั้นแต่ก็มีบางมุมที่เธอก็ดื้อใส่ผมเหมือนกัน บางครั้งก็เหมือนจะรู้จักเธอดีแต่ก็ไม่ใช่ เธอเป็นคนที่ค่อนข้างคาดเดาอารมณ์ได้ยากเหมือนกัน
“วันนี้ลินทำเมนูที่คุณนำทัพอยากทานค่ะ”
“แล้วไหนของเธอ”
“ลินยังไม่หิวค่ะ”
"ทำไม"
"คือว่า.."
"นั่งลง"
"ลินไม่รบกวนดีกว่าค่ะ" เธอว่าก่อนจะหมุนตัวกลับเข้าไปในครัว แล้วคิดว่าคนอย่างผมจะยอมไหม?
"อย่าคิดว่ามีคนอยู่ฉันจะไม่กล้าทำอะไร" ถ้าขืนเธอยังไม่หยุดพยศผมคงไม่ใจดีด้วยอีกต่อไป อย่าทำให้บรรยากาศเช้านี้ต้องมาเสียเพราะเธอสิ
"มิลินอิ่มแล้วค่ะ" เธออิ่มอะไร ก็ในเมื่อเธอเองก็ยังไม่ได้ทานข้าวเช้าเหมือนกันกับผม
"หรืออิ่มน้ำที่ฉันป้อนไปทั้งคืน" พูดถึงเรื่องเมื่อคืนเธอก็เอาแต่ก้มหน้าหลบสายตา จะอายอะไรนักหนาวะเห็นจนไม่รู้จะเห็นยังไงแล้ว
"คะ คุณนำทัพ" เธอมีสีหน้าตกใจ ขยับมองเหล่าแม่บ้านและลูกน้องของผมที่ยืนอยู่บริเวณใกล้เคียง แล้วยังไงล่ะ? มันเป็นเรื่องปกติไหม อีกอย่างพวกมันก็ไม่กล้าเอาไปพูดที่ไหนอยู่แล้ว ลองพูดดูสิถ้ายังอยากมีลมหายใจอยู่
"มานั่ง" ผมออกคำสั่งกับเธออีกครั้ง
"ลินว่า..."
"งั้นตอบมา..ระหว่างฉันกับข้าวเธอจะกินอะไร"
"ลินขอทานข้าวค่ะ" พูดจบเธอก็เดินเข้าครัวไปหยิบจานข้าวตัวเองออกมา แล้วบอกว่าอิ่มแล้ว ที่ถืออยู่นั่นคืออะไร ทำไมผมจะไม่รู้ว่าเธอชอบแอบไปนั่งกินคนเดียวเงียบ ๆ อยู่หลังบ้าน
"พอเธอพูดง่ายมันก็ดูน่ารักดีนะ"
"....." เธอเมินคำพูดแล้วนั่งลงที่นั่งใกล้ ๆ กับผม เมื่อนั่งได้เธอก็ตั้งหน้าตั้งตาตักข้าวเข้าปากเหมือนต้องการรีบกินรีบเสร็จจะออกไปจากตรงนี้
"นายครับ" ซึ่งในขณะนั้นเอง..
"อะไร" ผมตวัดสายตาไปมองไอ้ไบค์ที่มันพรวดพราดเข้ามาอย่างไร้มารยาท ผมไม่เคยสอนมันหรือไงว่าเวลาส่วนตัวห้ามเข้ามายุ่ง
"คุณพายมาแล้วครับ"
"ให้ไปรอกูบนห้องทำงาน"
"รับทราบครับ"
หลังจากที่มันเดินออกไปผมก็กลับมาจ้องที่ผู้หญิงตรงหน้าต่อ แต่เหมือนว่าเธอ จะไม่ค่อยสนใจผมสักเท่าไหร่ เพราะเธอเอาแต่ก้มหน้าก้มตารีบตักข้าวยัดใส่ปากเหมือนว่าพรุ่งนี้จะไม่ได้กินมันอีก
"ฉันเลี้ยงเธอให้อดอยากขนาดนั้น?"
"เปล่าค่ะ" ทำไมเธอต้องทำเหมือนกลัวผมขนาดนั้นวะ เวลาพูดด้วยก็ไม่ยอมสบตา ทำเหมือนกับว่าผมเป็นผีอย่างนั้นแหละ
"พูดกับฉันก็ต้องมองหน้าฉันสิ"
"ลินกำลังทานข้าวค่ะ"
"แล้วยังไง ทีตอนอมยังสบตากับฉันได้เลย"
"คะ คุณนำทัพช่วยหยุดพูดอะไรแบบนี้ได้ไหมคะ"
"ทำไม? เขิน กลัว หรือว่าสมเพชตัวเอง"
"...." แล้วเธอก็เงียบไป ผมมองท่าทีของอีกคนที่นิ่งผิดปกติไปจากเดิม
"โกรธฉัน?"
"ลินอิ่มแล้ว ขอตัวนะคะ"
"เดี๋ยว! ฉันอนุญาตหรือยัง"
"คุณนำทัพทานข้าวเถอะค่ะ ลินขอเอาจานไปเก็บก่อน"
"ฉันจะกินก็ต่อเมื่อเธอกลับมานั่งที่เดิม"
"ลินไม่อยากรบกวนคุณ"
"เพราะอะไรถึงคิดว่ารบกวนฉันล่ะมิลิน"
"คุณนำทัพมีงานต้องไปทำต่อไม่ใช่เหรอคะ" ดูเธอจะปีกกล้าขาแข็งกับผมมากขึ้นนะ
"สงสัยช่วงนี้ฉันคงจะใจดีกับเธอไป ดูเธอจะไม่กลัวฉันแล้ว"
"ไม่ใช่แบบนั้นนะคะ ลินแค่..."
"ฉันทำงานเสร็จ หวังว่าเข้าห้องไปจะเจอเธอนอนรออยู่บนเตียงนะ"
"วันนี้ลินขอพักได้ไหมคะ"
"หึหึ" ผมยิ้มให้เธอก่อนจะดันตัวลุกขึ้นแล้วเดินล้วงกระเป๋าขึ้นไปยังชั้นสองทันที
จนเวลาล่วงเลยไปเกือบนับชั่วโมงได้ มิลินเดินกลับเข้ามาในบ้านหลังจากที่ออกไปดูแลสวนหลังบ้านกับเหล่าแม่บ้านคนอื่น ๆ เธอเดินเข้ามาก็พบกับคาเรนที่ยืนดื่มน้ำอยู่ในครัว พอมองไปทางบันไดก็เห็นหญิงสาวคนหนึ่งเดินลงมาจากชั้นสอง ใบหน้าของเธอประดับไปด้วยรอยยิ้มหวานชวนหลงใหล ด้วยความสงสัยว่าผู้หญิงคนนั้นเป็นใครเธอจึงหันไปถามคาเรนที่กำลังดื่มน้ำอยู่
"เขาเป็นใครเหรอคะพี่คาเรน"
"เป็น.."
"ไม่ยักรู้ว่ามีพี่ชาย" ทว่าคาเรนยังไม่ทันได้ตอบ เสียงทุ้มของใครบางคนก็แทรกขึ้นมาเสียก่อน ก่อนที่ร่างนั้นจะปรากฏตัวมายืนอยู่ด้านหลังเธอ
"คะ คุณนำทัพ"
"ฉันนึกว่าเธอมีแค่พี่สาว ไอ้คาเรนพ่อแม่เดียวกับเธอ?" เขาเลิกคิ้วถามไปอย่างกวนประสาท แม้ใบหน้าของเขาจะนิ่งแต่มันก็เต็มไปด้วยความกวน
"ไม่ใช่แบบนั้นนะคะ!" เธอแค่เรียกตามมารยาทเท่านั้น เพราะยังไงคาเรนและไบค์หรือแม้กระทั่งเหล่าแม่บ้านก็อายุเยอะกว่าเธอ จะให้เรียกชื่อเฉย ๆ มันก็คงจะไม่ได้หรือเปล่า อย่างน้อยเราก็ควรจะให้เกียรติคู่สนทนาตัวเองสิ
"ออกไป" คาเรนมองเจ้านายตัวเองก่อนจะส่ายหัวเล็กน้อย ยืนกินน้ำอยู่ดี ๆ มาไล่กันเฉย หลังจากที่คาเรนออกไปแล้วเขาก็กลับมาสบตากับหญิงสาวตรงหน้าอีกครั้ง
"ฉันสั่งเธอว่ายังไง" เขาจำได้ว่าก่อนไปคุยงาน เขาได้สั่งให้เธอขึ้นไปรออยู่บนห้อง ไหงเธอถึงมายืนอยู่ตรงนี้ได้ล่ะ คิดจะขัดคำสั่งเขางั้นเหรอ เริ่มต่อต้านแล้วสินะ
"ลินไปปลูกต้นไม้มาค่ะ"
"หน้าที่ของเธอคือนอนรอฉันอยู่บนเตียง หรือว่าเธออยากลองกลางสวนงั้นเหรอ ฉันจัดให้ได้นะ มันคงตื่นเต้นน่าดู"
"ลินขอโทษค่ะ ต่อไปไม่จะไม่ทำอีกแล้ว"
"เลิกทำเหมือนกลัวฉันสักทีถ้าคิดจะพยศใส่ฉัน" เขาเริ่มหงุดหงิดที่เธอเอาแต่ขอโทษอยู่นั่นแหละ เอะอะก็ยกมือไหว้ขอโทษ เห็นเขาเป็นพระหรือไงไหว้ทั้งวัน
"ลินไม่ได้พยศ"
"งั้นเหรอ? เธอรู้ตัวหรือเปล่าว่าตั้งแต่เช้าจนตอนนี้ฉันหงุดหงิดกับเธอไปแล้วกี่รอบ เธอจะรับผิดชอบยังไงดี"
"ลินยังไม่ได้ทำอะไรสักหน่อย"
"แน่ใจว่าไม่ได้ทำ"
"ขอโทษค่ะ" อีกแล้วคำนี้..
"เอาเถอะฉันเหนื่อยจะพูดกับเธอแล้ว พรุ่งนี้ฉันต้องไปงานเลี้ยง เธอต้องไปกับฉันด้วย"
"ลินต้องไปด้วยเหรอคะ"
"ถ้าหูไม่หนวกก็ตามนั้น" จะบอกว่าเพื่อนก็คงพูดได้ไม่เต็มปาก ให้เรียกว่าคู่ค้าก็แล้วกัน เนื่องจากคู่ค้าของเขาจะเปิดผับใหม่นั่นเลยทำให้เขาต้องไปแสดงความยินดี แต่ถ้าจะให้ไปคนเดียวก็กลัวว่าจะมีเด็กบางคนแอบซนเหมือนครั้งก่อน เขาจึงจำเป็นต้องให้เธอติดสอยห้อยตามไปด้วย ช่วงนี้จะปล่อยให้คลาดสายตาไปไม่ได้เด็ดขาด นับวันเธอก็ยิ่งดื้อและต่อต้านเขาขึ้นเรื่อย ๆ
"พี่คาเรนไปด้วยไหมคะ"
"ถามถึงมันทำไม มันจะไปไม่ไปแล้วเกี่ยวอะไรกับเธอ" หรือว่าสองคนนี้.. เขาคิด แล้วมองหน้าเธออย่างตั้งคำถาม
"ลินกลัวไม่มีเพื่อนค่ะ" ที่เธอถามออกไปแบบนั้นก็เพราะว่าคาเรนและไบค์เปรียบเสมือนพี่ชายทั้งสองของเธอ พวกเขาชอบแกล้งหรือแม้กระทั่งชวนคุยในตอนที่หญิงสาวเศร้า เลยกลายเป็นว่าตลอดระยะเวลาที่อยู่ที่นี่จะมีแค่คาเรนกับไบค์สองคนที่กล้าคุยกับเธอ จะบอกว่ายังไงดีล่ะ ถ้าให้พูดตรง ๆ ทุกครั้งที่อยู่ใกล้พวกเขาเธอรู้สึกปลอดภัยยังไงไม่รู้
"นอกจากมันจะเป็นพี่ชายแล้วมันยังเป็นเพื่อนกับเธอ ต่อไปก็คงเป็นผัวสินะ"
"ลินไม่อาจคิดไปถึงขั้นนั้นหรอกค่ะ"
"ใครจะรู้.. แม่เล้าแบบเธออาจจะชอบก็ได้ หึ~"
"....." เธอสะอึกกับคำพูดของเขาไปชั่วขณะ หญิงสาวฝืนยิ้มให้คนตรงหน้า ต่อให้เธอจะเถียงหรือพูดอะไรกลับไปเธอก็ไม่สามารถเอาชนะเขาได้หรอกนอกจากยิ้มสู้เท่านั้น เธอมันก็แค่ผู้หญิงที่อาศัยอยู่กับเขาแล้วตอบแทนเขาด้วยร่างกาย เธอเองก็หวังว่า สักวันจะหลุดไปจากตรงนี้ได้ โดยที่ไม่ต้องรู้สึกผิดกับใครเลย..
ปากดีจริง ๆ นะแกอิทัพ ถึงวันเขาทิ้งไปแล้วให้มันดีแบบนี้ตลอดนะ!!
“ว่าแต่พี่ไบค์เป็นยังไงบ้างคะ” หญิงสาวถามคนตัวโตขณะนั่งทานข้าวอยู่ในห้องอาหาร“มันไม่เป็นอะไรมาก” เขาโกหกเพื่อไม่ให้เธอคิดมาก ความจริงแล้วไบค์ยังอยู่ในอาการโคม่าเนื่องจากเสียเลือดมาก เขาได้แต่ภาวนาให้ลูกน้องปลอดภัย แคล้วคลาดจากสิ่งร้าย ๆ สักที“หนูอยากไปหาพี่ไบค์” เธออยากไปขอบคุณที่อีกคนเอาตัวมารับมีดแทน หากไม่ได้ไบค์ปานนี้คงไม่ได้มานั่งอยู่ตรงนี้หรอก คงได้ไปอยู่วัดที่ไหนสักแห่ง“ใจเย็นที่รัก เราต้องพักผ่อนก่อน” ขืนปล่อยให้เธอไปตอนนี้มีหวังเธอได้รู้ความจริงน่ะสิว่ามันยังไม่ฟื้น“หนูไม่เป็นอะไรแล้ว”“ไม่ได้ครับหมอบอกต้องดูแลตัวเอง” ถึงแม้ว่าเธอจะไม่เป็นอะไรก็จริง แต่หมอได้สั่งเด็ดขาดห้ามเธอเดินหรือขึ้นลงบันไดบ่อย ๆ ไม่อย่างนั้นเธอมีโอกาสแท้งได้ เนื่องจากแรงกระแทกที่เธอได้รับมันส่งผลต่อเด็กในท้องอยู่ไม่น้อย“ก็ได้ค่ะ” คนตัวเล็กทำหน้าสลดพร้อมกับยอมเชื่อฟังอย่างว่าง่าย“หายแล้วเฮียจะพาไปเยี่ยมมัน”“....” ยิ้มอ่อน“ทานต่อเถอะ” ทว่า..“เฮียรู้ไหม.. ตอนนั้นหนูกลัวมากเลย กลัวว่าตัวเองกับลูกจะไม่ได้กลับมาหาเฮียอีกแล้ว” หญิงสาวเอ่ยทั้งน้ำตา เธอกลัวว่าจะไม่ได้กลับมาเจอหน้าพ่อของลูกอีก ใครจะคิดว่
เช้าวันใหม่“หนูไม่เป็นอะไรแล้ว” หญิงสาวบอกกับพ่อของลูก ก็นำทัพเล่นประกบเธอไม่ห่างจนอีกคนรู้สึกอึดอัด เข้าใจว่าเขาห่วง แต่อารมณ์เธอยิ่งแปรปรวน กลัวว่าจะเผลอใส่อารมณ์แล้วเขาจะเสียใจ อีกอย่างเธอก็อยู่แต่ในห้องไม่ได้ออกไปไหนเลย ข้างล่างก็ยังไม่ได้ลงไป“เฮียต้องอยู่ใกล้หนูกับลูก” เขาตอบหน้าตาย นำทัพกลับมาสนใจที่การเลือกชุดให้คนตัวเล็กต่อ“เฮียนี่นะ” ส่ายหน้าเนือย ๆ ขณะนั่นเอง..ครืน ครืน“มีคนโทรมาค่ะ” ในขณะที่เธอกำลังเดินดูเครื่องประดับในตู้ มือถือนำทัพที่วางอยู่ก็มีสายเรียกเข้า คนตัวโตเห็นดังนั้นจึงบอกให้เธอรับสายแทน“หนูรับให้เฮียหน่อย” เขาพูดโดยที่ไม่หันไปมอง“คะ?” มิลินแทบไม่เชื่อหูตัวเอง เขาขอให้เธอรับสายให้อย่างนั้นเหรอ ทั้งที่เมื่อก่อนเธอแตะต้องของส่วนตัวเขาไม่ได้เลย อยู่ ๆ คนตัวเล็กก็รู้สึกดีอย่างบอกไม่ถูก จริงที่นำทัพไม่เหมือนเมื่อก่อนแล้ว เอาเข้าจริงมันก็อดดีใจไม่ได้อยู่ดีนั่นแหละ หญิงสาวเผลอยิ้มจนลืมรับสาย“หนู”“ฮะ? อะ..อ๋อค่ะ” มือเล็กลุกลี้ลุกลนหยิบเอามือถือขึ้นมากดรับติ๊ด!“สวัสดีค่ะ”(คุณนำทัพอยู่ไหม) ทว่าคนตัวเล็กต้องนิ่งไปเมื่อคนที่โทรเข้ามาดันเป็นผู้หญิง ใบหน้าสวยหันไป
ตึกตึกเสียงฝีเท้าวิ่งหาที่หลบ ก่อนจะเห็นซอกหนึ่งที่น่าจะพอซ่อนตัวได้ ไม่รอช้ารีบพาตัวเองเข้าไปหลบทันทีตึกตึกกึก!“จะออกมาดี ๆ หรือให้กูไปลากคอออกมา" น้ำเสียงเย็นยะเยือกของร่างสูงผู้มาใหม่เอ่ยขึ้น เขาถอดแมสก์ที่ปิดใบหน้าออก ก่อนจะหยิบบุหรี่ขึ้นมาจุดสูบพลางเงยหน้าพ่นควัน“.....” มีเพียงความเงียบที่ตอบกลับมา แววตาเฉียบคมขยับมองไปรอบ ๆ บริเวณ เท้าหนักก้าวไปหยุดที่รถยนต์คันหนึ่ง ก่อนจะย่อนก้นลงไปนั่งกับกระโปรงรถแล้วเอ่ยอีกครั้ง“กูมีทางเลือกให้มึงสองทาง” “.....”"ระหว่างพูดความจริง กับ.. ตายตรงนี้ มึงอยากได้แบบไหน" “.....”“กูมีเวลาเล่นกับมึงไม่มาก รีบออกมาซะ” แล้วคนที่ไซลอน กำลังคุยด้วยอยู่ตอนนี้ เป็นคนเดียวกับที่แทงไบค์จนต้องหามส่งโรงพยาบาล และทีมพวกมันถูกคนของเขาจัดการจนสิ้นซากหมดแล้ว จะเหลือก็แค่มันคนเดียวที่เขาต้องการจับเป็น ทว่ายังไร้เสียงตอบกลับจากอีกฝ่าย ไซลอนดันตัวขึ้นยืนแล้วมองไปรอบกายตัวเองอีกครั้ง "หึ~"ราวเกือบสิบนาทีได้ที่อีกคนไม่ยอมออกมาจากที่ซ่อน เมื่อมั่นใจว่าคนที่ตามล่าตนได้หายไปแล้วเขาจึงพาตัวเองออกมาจากตรงนั้น เขาถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอกเมื่อคิดว่าตัวเองนั้นรอดแล
“ผมเห็นด้วยกับคุณศิธาครับ” นำทัพนั่งประชุมด้วยใบหน้าเคร่งเครียด เพราะตอนนี้บริษัทที่คาเรนดูแลอยู่มีปัญหาอย่างหนัก พรุ่งเขาต้องกลับไปจัดการให้จบก่อนที่มันจะบานปลายไปมากกว่านี้ คาเรนไม่อยู่แล้วก็ต้องเป็นเขาที่เข้าไปจัดการด้วยตัวเอง เพราะไบค์ยังมีงานอีกที่ที่ต้องไปทำเหมือนกัน จะให้เขาโยนทุกอย่างให้ไบค์หมดก็คงไม่ได้ แค่ทุกวันนี้ที่ทำก็หนักมากแล้ว“แล้วคุณนำทัพจะเข้ามาเมื่อไหร่ครับ” หุ้นส่วนวัยกลางคนถามประธานหนุ่มที่นั่งทำหน้าเครียดอยู่ พวกเขาทุกคนต่างก็เครียดที่อยู่ ๆ หุ้นของบริษัทก็ตกฮวบ ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ทั้งการเงินยังคลาดเคลื่อน พวกเขาต้องหาตัวต้นเหตุของเรื่องให้ได้“เร็วสุดคืนนี้” ถ้าช้าก็คงเป็นพรุ่งนี้เช้า เขาต้องดูก่อนว่ามิลินจะไหวเดินทางหรือเปล่า แม้มันจะไม่ไกลมากแต่วันนี้เธอก็ไปเที่ยวมาทั้งวัน หากต้องเดินทางต่ออีกเขากลัวว่าเธอจะไม่ไหว ต่อให้นอนบนรถได้ก็เถอะ ถึงยังไงซะมันก็ยังไม่สบายตัวเท่าเรานอนบนเตียงหรอกนะ“พวกเราจะรอ” “ส่วนระ..” ซึ่งในขณะนั้นเอง..ติ๊ด ๆขวับ! ใบหน้าดูดีหลุบมองหน้าจอมือถือด้วยความรวดเร็วเมื่อได้ยินเสียงสัญญาณที่ถูกส่งมาจากคนตัวเล็ก เขาไม่รอช้ารีบหยิบมือถือ
“ดูแลมิลินให้ดี” มาเฟียใหญ่กำชับลูกน้องตัวเอง วันก่อนนำทัพรับปากคนตัวเล็กว่าจะพาไปเที่ยวในเมือง ทว่าวันนี้กลับมีงานเร่งด่วนเข้ามา เขาต้องอยู่ประชุมกับหุ้นส่วนทุกคน จึงไม่สามารถไปกับคนตัวเล็กได้ มิลินเมื่อรู้ว่าตัวเองจะไม่ได้ไปก็ซึมไปทันที คงเป็นอารมณ์น้อยใจของคุณแม่ที่ไม่ได้เที่ยว นำทัพเห็นดังนั้นจึงสั่งให้ไบค์พาไปแทน แล้วตัวเองจะตามไปทีหลัง เพราะการประชุมอย่างน้อยต้องใช้เวลานานอยู่พอสมควร“ครับ”“เฝ้าอย่าให้ห่าง เธออยากได้อะไรซื้อให้เลยอย่าขัดใจ” เขาส่งบัตรเครดิตให้ลูกน้องตัวเอง เผื่อเธออยากได้เสื้อผ้าหรืออะไรก็ให้ไบค์จัดการได้เลย ถ้าให้มิลินพกไว้เองเธอคงไม่ใช้แน่นอน ให้ไบค์นั่นแหละดีแล้ว“มาแล้วค่ะ” คนตัวเล็กเดินตรงมายังจุดที่พวกเขายืนอยู่ นำทัพทิ้งบุหรี่ในมือลงพื้นพร้อมกับใช้เท้าบี้จนแหลกละเอียด ผ้าเช็ดหน้าถูกดึงออกมาจากกระเป๋าเพื่อนำมาเช็ดมือให้สะอาด ไม่ให้มีกลิ่นบุหรี่ติดมือ“หมวกล่ะ” เขาถามหาหมวก วันนี้อากาศค่อนข้างร้อน ใส่หมวกไว้จะได้ไม่โดนแดดมาก“นี่ค่ะ” มิลินเอาหมวกที่เก็บไว้ในกระเป๋าออกมาให้คนตัวโตดู ไว้ไปถึงที่เที่ยวค่อยเอาออกมาใส่ ยังไงตอนไปเธอก็อยู่บนรถอยู่แล้ว“อย่าห่างไ
"จริงสิผมลืมไปเลย" เขานึกได้ว่ามีอีกเรื่องที่ยังไม่ได้รายงานเจ้านาย"เรื่องไอ้คาเรนสินะ""ใช่ครับ""...." เงียบเพื่อรอฟัง"ไอ้คาเรนกลับญี่ปุ่นจริง ๆ ครับ""เพราะอะไรมันถึงไปโดยไม่บอก""ผมเองก็สงสัย มันเพิ่งถึงญี่ปุ่นเมื่อเช้านี้เอง" เขาตรวจไฟท์บินพบว่าคาเรนเดินทางถึงญี่ปุ่นในช่วงเช้าของวันนี้"งั้นก็ปล่อยมันไปก่อน" สงสัยจะเหนื่อยแล้วอยากพัก ก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดีว่าถ้ามันอยากกลับบ้านทำไมไม่เดินมาบอกเขาดี ๆ ทำไมมันต้องเก็บข้าวของออกไปจากบ้านโดยไม่มีแม้แต่คำร่ำลา ตอนนี้ทั้งนำทัพและไบค์ต่างก็กำลังหาสาเหตุว่าเพราะอะไรคาเรนถึงทำแบบนี้ แล้วหวังว่าเหตุผลนั้นมันจะมากพออีกคนถึงยอมทิ้งทุกอย่างแล้วกลับบ้านตัวเองไป"ครับ""แล้วมึงล่ะ..อยากกลับไหม" ในเมื่อไบค์กับคาเรนมาด้วยกัน เป็นแบบนี้แล้วไบค์ไม่คิดอยากตามเพื่อนตัวเองไปหรือยังไง เขาไม่คิดห้ามถ้าไบค์จะกลับไปจริง ๆ ถามว่าเสียดายไหมแน่นอนมันต้องเสียดายอยู่แล้วเพราะไบค์เป็นคนที่ทำงานเก่งคนหนึ่งเลยก็ว่าได้ ไม่ใช่แค่คาเรนหรอกที่เป็นน้องชาย ยังมีไบค์อีกคนที่เขารักเปรียบเสมือนน้องชายคนหนึ่ง แม้จะมีด่ามีดุบ้างในบางครั้งแต่ก็ไม่เคยคิดที่จะไล่อีกคนออก ไม่ใช่