Mag-log inวีรตามาอยู่อเมริกาตั้งแต่หล่อนอายุได้เพียงสิบปี มารดาแต่งงานใหม่กับจอห์น ไวท์ ชายชาวอเมริกันซึ่งเป็นเจ้าของผับที่ลาสเวกัส เด็กสาวเรียนอยู่ที่นั่นจนกระทั่งอายุสิบหกปี เมื่อเข้าไฮสกูล มารดาจึงส่งมาเรียนที่เมืองบอสตันแห่งนี้ วีรตาฉลาดพอที่จะรู้เหตุผลที่ซ่อนอยู่ของมารดาที่รักลูกสาวคนเดียวอย่างหล่อนดังแก้วตาดวงใจ ยิ่งหล่อนโตขึ้นคุณแม่ก็ยิ่งเป็นห่วง ท่ามกลางสังคมแสงสีลวงล่อแห่ง มหานครบาป หรือ Sin City ใครมีลูกสาวก็ต้องเป็นห่วงด้วยกันทั้งนั้น
จอห์น บิดาบุญธรรมของหล่อนนั้นเปิดผับหรูสำหรับพวกนักเที่ยวกระเป๋าหนักที่มาเยือนลาสเวกัส รายได้นั้นเหลือเฟือและเกินพอถ้าหากจอห์นไม่เป็นนักพนันตัวยง
การใช้ชีวิตอยู่ในมหานครแห่งนี้ เป็นไปได้ยากที่จะหลีกเลี่ยงอบายมุขที่ยั่วยวนกิเลสฝ่ายต่ำซึ่งมีเต็มเมืองไปหมด คุณแม่วิไลวรรณได้เปิดร้านอาหารไทยที่นั่นเพื่อหาเงินเอง เพราะหากมัวแต่ฝากความหวังและชีวิตไว้กับสามีอย่างจอห์นนั้น เธอคิดว่าตัวเธอและวีรตาคงจะมีชีวิตตกต่ำในอนาคตอันใกล้นี้เป็นแน่
เด็กสาวถอนสายตาจากจอคอมพิวเตอร์พกพาประจำตัว บิดขี้เกียจสองสามที มองนาฬิกาบ่งเวลาสองทุ่มแล้ว เสียงห้องข้างๆ เงียบไปตั้งแต่หลายชั่วโมงก่อน ภาพผู้ชายตัวโตเท่ายักษ์ที่มีผ้าเช็ดตัวผืนเดียวพันท่อนล่างแว้บเข้ามาในหัวอีกครั้ง เด็กสาวสะบัดศีรษะสะบัดตัวทำท่าขยะแขยงกับเรือนกายที่เห็นรอยสักตรงแขนและหน้าอก...บรื๋อออ...ขนลุก!
วีรตาเดินออกไปยังโซนครัว เห็นพิชนียังอยู่ในชุดเสื้อคลุม ร่างกายสาวรุ่นพี่ลูกครึ่งอวบอัดเกินวัยสิบแปด คงเป็นเพราะเลือดผสมตะวันตกทำให้ดูโตเป็นสาวเต็มตัว หากเปรียบเทียบร่างโปร่งบางอรชรของวีรตาวัยสิบหกปี
“ไวน์จะทำข้าวผัดไก่ พี่พีชทานด้วยกันมั้ยคะ” เสียงใสร้องถาม หยิบผ้ากันเปื้อนมาใส่ ร่างเพรียวลมเคลื่อนไหวคล่องแคล่ว
“ทำเผื่อด้วย ทำไข่ดาวเพิ่มให้พี่สองนะ หมดแรงไปเยอะวันนี้”
คำพูดเปิดเผยโผงผางตามลักษณะสาวอเมริกันทำให้วีรตาอดหน้าแดงเรื่อไม่ได้
“เออนี่... ถ้าครั้งต่อไปแฟนพี่เขามาหา ไวน์อย่ากลับเร็วนะ เขาไม่ชอบ” พวกตะวันตกมักพูดอะไรกันตรงไปตรงมา ไม่อ้อมค้อมรักษาน้ำใจเหมือนคนไทย
“เอ่อ...ค่ะ” แล้วหล่อนจะรู้ได้ยังไงว่าอีตานั่นจะมาตอนไหน แต่ก็ไม่ได้พูดออกไป วีรตาจัดการทำอาหารอย่างรวดเร็ว เพราะของทุกอย่างมีพร้อมอยู่เต็มตู้เย็น ด้วยคุณแม่ทำร้านอาหารวีรตาช่วยท่านตั้งแต่ท่านเปิดร้านใหม่ตอนหล่อนอายุสิบสองปีแล้ว เรื่องทำกับข้าวจึงเป็นเรื่องหมูๆ สำหรับเด็กสาว
“ฟานเขาไม่มาบ่อยหรอก เสียดาย เพิ่งกลับไปพี่ก็คิดถึงเขาแล้ว คนอะไรโคตรหล่อโคตรฮ็อตเรื่องบนเตียงสุดยอดเลยเธอเอ๊ย”
เสียงพิชนีพร่ำเพ้อถึงแฟน วีรตาได้แต่ทำเอาหูไปนาเอาตาไปไร่ ฟังบ้างไม่ฟังบ้าง นี่ถ้าไม่ติดว่าอยู่กับพิชนีแล้วหล่อนช่วยคุณแม่ประหยัดค่าใช้จ่ายเรื่องเช่าห้องไปเยอะ วีรตาก็คงจะขอเซย์บ๊าย บายไปนานแล้ว สองเดือนที่อยู่กันมา พิชนีพาเพื่อนมาปาร์ตี้สังสรรค์เต็มห้องแทบทุกอาทิตย์ จนหล่อนอ่านหนังสือแทบไม่รู้เรื่อง แถมยังทิ้งถ้วยโถโอชามไว้ให้ล้างเต็มซิงก์ในรุ่งเช้าถัดมา
แต่คิดในทางบวกก็ถือว่าเป็นการฝึกความอดทน คุณแม่สอนว่า พระเจ้าส่งคนเข้ามาในชีวิตเราอย่างมีจุดประสงค์ พระองค์ต้องการสอนบางสิ่งบางอย่างแก่เรา ไม่มีใครเข้ามาในชีวิตเราโดยบังเอิญคุณแม่เชื่อเช่นนั้น เวลานี้พิชนีก็คงเข้ามาในชีวิตของวีรตาเพื่อสอนเรื่องความอดทน สอนให้เห็นถึงความต่างระหว่างการตั้งใจเรียนกับการสนุกสนานปาร์ตี้ไปวันๆ เพราะพิชนีติดเอฟเป็นพรืดเวลานี้
แต่ดูเหมือนหล่อนจะไม่เดือดร้อนใจอะไรนัก นั่นคงเป็นเพราะเวลานี้ยังเนื้อหอมมีเจ้าพ่อมาเฟียเลี้ยงดูอยู่ เงินทองไม่เคยขาดมือ แต่เจ้าหล่อนไม่คิดบ้างหรือว่าวันหนึ่งในอนาคตหากถูกทิ้งขึ้นมา หล่อนจะทำเช่นไร วันหนึ่งที่ร่างกายหมดความสาวความสวยใช้หากินไม่ได้อีกต่อไปแล้ว
“พี่พีชได้รับจดหมายจากยูอีกแล้วนะคะ ไวน์เอาวางไว้ที่ตะกร้า” วีรตาเอ่ยบอก พิชนีสะบัดหน้าทำเสียงขึ้นจมูก
“โอ๊ย...ช่างเถอะ พี่ไม่สนหรอก เรียนไปก็เท่านั้น แฟนพี่รวย แค่เก่งเรื่องบนเตียงก็พอแล้ว เขาไม่สนใจหรอกว่าพี่จะเรียนจบหรือเปล่า พวกผู้ชายเขาไม่เอาเด็กเรียนขึ้นเตียงหรอกยายไวน์ เขาเอาพวกแซ่บซ่านถึงใจ พี่เอาเวลาไปดูคลิปโป๊ไว้เอาใจแฟนดีกว่า...หึหึ”
พิชนีตอบพลางยักไหล่อย่างไม่แคร์ตามที่ปากว่า วีรตาจึงได้แต่พยักหน้ารับรู้ อุตส่าห์แอบเตือนด้วยความหวังดีแล้ว แต่ช่างเถอะ ถ้าอย่างนั้นก็ตัวใครตัวมันก็แล้วกัน
“เวลาเห็นดอกไม้ก็คิดถึงเขา...แต่ไม่กล้าซื้อให้”เสียงเจ้านายเป็นคนเอ่ยคราวนี้แถมทำตาลอยเคลิ้ม ทำให้ลูกน้องสองคนทำตาเหลือกหันมามองกัน“ทำไมไม่กล้าซื้อให้ล่ะครับ” เบนเอ่ยถาม เจ้านายทำท่ายิ้มกริ่มตาลอยต่อ“กลัวเสียฟอร์ม กลัวเขาหัวเราะเยาะเอาน่ะสิโว้ย” ตอนท้ายเสียงตวาดหน่อยเมื่อรู้สึกตัวว่ากำลังเหม่อลอย“ฟอร์มเยอะก็อาจจะต้องรับประทานแห้วเป็นอาหารจานด่วนนะครับเจ้านาย” เจมส์เอ่ย เห็นเจ้านายกำลังอยู่ในอารมณ์อยากมีเพื่อนระบาย คงปลอดภัยไม่โดนแจกของหนักแน่“แต่เขาไม่งอนกูนะมึง ผู้หญิงรักก็ต้องงอนบ้างอะไรบ้างถูกไหม แต่นี่ไม่งอนเลย... แม่งโคตรเข้าใจโลก... เขาจะใจแข็งไปถึงไหน” ตอนท้ายเหมือนรำพันกับตัวเอง“ผู้หญิงชอบผู้ชายเอาใจ พูดหวานๆ เพราะๆ”“กูเป็นของกูแบบนี้ ถ้ารับกูไม่ได้ก็อยู่กันไม่ได้...จบ คนรักกันจริงก็ต้องยอมรับตัวตนที่แท้จริงของกันและกันได้ จริงมั้ยวะ”เสียงห้าวเอ่ยโต้พร้อมกับใส่อารมณ์เต็มที่เหมือนหงุดหงิดใครบางคนอยู่ในใจ หล่อนชอบว่าเขาพูดไม่เพราะน่ะสิ...“อันนี้ผมเห็นด้วยเต็มที่ครับ นายหญิงเขาก็ไม่ได้ว่าจะรับเจ้านายไม่ได้นี่ครับ ผมเห็นเธออดทนและยังยิ้มได้เวลาเจ้านายตวาดใส่” เบนกล่าว“กู
“กฎอะไร?”“ก็กฎที่ว่า ห้ามคุณมีใครในระหว่างหนึ่งปีนี้ ระหว่างที่คุณมีฉันอยู่ไง” หล่อนขยายความ สเตฟานจ้องมองหน้างามนิ่งๆ“ใจดีจัง” เสียงห้าวเอ่ยประชด“ฉันพูดจริงๆ” วีรตากล่าว ในส่วนลึกอยากลองใจเขาดู“นับเวลารอขนาดนั้นเลยเหรอ เหลืออีกกี่เดือนล่ะ” น้ำเสียงเคร่งขรึมลงไปเอ่ยถาม หันหน้ากลับไปจ้องมองเพดานต่อ“เก้าเดือน” หล่อนตอบแล้วก็เงียบไป ต่างคนต่างนอนนิ่งเงียบครุ่นคิด“หลังจากหนึ่งปีแล้ว เธอคิดจะทำอะไรต่อ”เขาเอ่ยถาม ไม่สนใจเรื่องแหกกฎที่หล่อนใจดีนำเสนอ สเตฟานเห็นใบหน้างามทำท่าคิด หล่อนเป็นคนชอบวางแผน อยากรู้เหมือนกันว่าหล่อนคิดการอะไรไว้หลังจากหนึ่งปี“คิดไว้หลายอย่าง บางทีอาจจะเรียนต่อ หรือไม่ก็เดินทางรอบโลก” หล่อนพูดอย่างนั้นแหละ อันที่จริงไม่ได้วางแผนอะไร แต่ที่แน่ๆ คิดไว้อย่างเดียวว่าจะต้องไปอยู่ห่างไกลจากเขาให้มากที่สุดเท่านั้นเอง รู้สึกใจหายขึ้นมาอย่างประหลาด... หันไปมองโครงหน้าคมสันด้านข้างที่ไร้ที่ติของเขา...รักเขาหรืออย่างไร... รักเข้าไปแล้วหรือยังไงนี่ เสียงหนึ่งเอ่ยถามตัวเองอยู่ในใจรักเข้าไปแล้วเต็มๆเลยล่ะไวน์ เธอโดนศรรักปักอกซ้ายเข้าอย่างจัง... เสียงหนึ่งตอบออกมาอย่างซื่อต
“อะไรคะ”เสียงกังวานใสถามเมื่อเขาใช้มือผลักประตูเข้าไปภายใน ห้องกว้างสว่างโล่งจากแสงที่ส่องเข้ามาจากหน้าต่างทรงฝรั่งเศสยาวจรดพื้น ผ้าม่านยาวถูกรวบเก็บไว้ด้านข้าง ห้องแกลอรี่นั่นเอง... รอบห้องจัดแขวนภาพวาดขนาดต่างๆ ไว้รายรอบ แต่ละภาพสวยงาม เป็นภาพวาดธรรมชาติเป็นส่วนใหญ่“สวยจัง” วีรตาเดินเข้าไปดูตรงมุมของแต่ละภาพมีลายเซ็นต์ของศิลปิน...S.F.M.C หญิงสาวขมวดคิ้วก่อนจะหมุนตัวหันมามองคนที่ยืนซ้อนอยู่ด้านหลัง“อย่าบอกนะว่า...คุณวาดทั้งหมดนี่?”วีรตาเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงแปลกประหลาดใจเต็มที่ สเตฟานแกล้งทำหน้ามุ่ยรวบร่างบางมากอดไว้หลวมๆ“ทำไม คนอย่างฉันนี่เธอคิดว่าไม่มีศิลปะในหัวใจเลยหรือยังไง”“เปล่าค่ะ เพียงแต่แปลกใจเท่านั้นเอง ที่เพนต์เฮาส์ไม่เห็นมีภาพแบบนี้” หล่อนตอบเสียงอ่อน สเตฟานก้มหน้ามาหอมแก้ม“ฉันชอบวาดภาพ พวกนี้วาดนานแล้ว ตั้งแต่สมัยเรียน” เสียงห้าวเอ่ยเล่า ท่าทางสบายอารมณ์“คุณเก่งจัง มันสวยทุกภาพเลย แล้วทำไมคุณถึงไม่วาดต่อละคะ” วีรตาไล้ปลายนิ้วไปตามสันจมูกโด่งของเขา“ฉันเป็นคนเบื่อง่าย...ตอนอยากวาดก็จะวาดอยู่นั่น ไม่ทำอะไรเลย พอเบื่อก็ทิ้งทั้งหมด”เขาตอบ วีรตามองเห็นภาพได้อย่างชัดเจน.
“พามาให้แม่ดูตัวเหรองั้น ไวน์อย่าถือสานะ แม่ชอบพูดอะไรตรงๆ แบบนี้” มารดาของเขาหันมาพูดกับวีรตา หญิงสาวเพียงแต่ยิ้มให้ท่านอย่างเข้าใจ... สเตฟานได้นิสัยส่วนนี้มาจากมารดากระมัง“ไวน์ชินแล้วค่ะ”วีรตากล่าวยิ้มๆ สเตฟานหันมาส่งยิ้มหล่อให้ เวลานี้เขาดูผ่อนคลายและอารมณ์ดีเหมือนหนุ่มน้อย ทำให้วีรตานึกถึงแซมน้องชายของเขา แซมมีมุมนี้เยอะ แต่หล่อนเพิ่งเห็นคนตัวโตเป็นเช่นนี้ ตั้งแต่รู้จักกันดูเหมือนเขาเลือกที่จะแสดงออกแต่ด้านร้ายกาจกับหล่อนอยู่เกือบตลอดเวลาดังคำกล่าวที่ว่า เวลาเป็นเครื่องพิสูจน์อะไรๆ ได้ดีที่สุด ไม่ควรด่วนตัดสินหนังสือจากปกของมัน...เพราะปกหนังสือเล่มที่ชื่อ สเตฟาน แม็คเคนซี่ นั้นเป็นรูปปีศาจในร่างซาตานหน้าถมึงทึงแดงก่ำดวงตาวาวแสง บนหัวสวมเขาควายอีกต่างหาก เห็นแล้วให้ผวาน่าฝันร้าย ต้องรีบโยนเข้ากองไฟเผาอย่างเดียวเท่านั้น...แต่ถ้าหากทนรูปหน้าปกได้และกลั้นใจเปิดอ่าน อาจจะเจออะไรที่...อื่ม... ก็ยังไม่แน่ใจเหมือนกันนะว่าจะเจออะไร ก็คงต้องลองให้โอกาสหนังสือเล่มนั้นต่อไปอีกหน่อยกระมัง“โชคดีไปงั้น ฟานเขาเหมือนพ่อมากในเรื่องความใจร้อนและปากจัด” เสียงมารดาเอ่ยต่อ ท่านเหมือนจะถอนหายใจออกม
สเตฟานใช้เครื่องบินเจ็ทส่วนตัวเดินทางออกจากลาสเวกัสแต่เช้า บ้านตึกหลังใหญ่ของมารดาอยู่นอกเมืองบอสตัน เมื่อไปถึงคนของเขาเอารถมาจอดไว้ให้แล้ว เบนรับหน้าที่พลขับตามเคยรถแล่นมาถึงบริเวณรั้วคอนกรีตยาวโอบรอบบริเวณภายในประมาณห้าเอเคอร์ที่ร่มรื้นเต็มไปด้วยต้นไม้และสวนสวย ประตูรั้วเปิดด้วยระบบอัตโนมัติ รถแล่นไปตามถนนกว้างทอดตัวไปสู่ตึกทรงยุโรปสองชั้นหลังใหญ่ทาสีขาวแจ็คคิวลีน แม็คเคนซี่ยืนมองร่างสูงใหญ่ของบุตรชายคนโตที่กำลังก้าวลงจากรถเก๋งคันยาว ร่างสูงยืนรอใครบางคนที่กำลังก้าวออกมาต่อจากเขา ผู้เป็นแม่เลิกคิ้วขึ้นนิดหนึ่งอย่างแปลกใจ เมื่อเห็นสเตฟานผู้ยะโสและห้าวห้วนไม่เกรงกลัวใครกำลังเอื้อมมือไปรับมือเล็กของสาวน้อยนางหนึ่งอย่างอ่อนโยน หญิงสาวร่างเพรียวระหงใบหน้าสวยหวานอุ้มสุนัขตัวเล็กพันธุ์ยอร์กเชอร์ แทริเออร์ ผู้เป็นแม่คลี่ยิ้มออกมา... ลูกชายพาผู้หญิงมาหาเป็นครั้งแรก... สงสัยโลกกำลังจะแตก แจ็คคิวลีนคิดบอดี้การ์ดสองคนที่เธอคุ้นเคยหันมาโค้งคำนับให้ก่อนจะจัดการนำรถไปเก็บที่โรงจอดรถ ด้านข้างตึกใหญ่มีเรือนพักสำหรับแขกที่ถ้าหากสเตฟานมา เบนกับเจมส์กับจะพักอยู่ที่นั่นทุกครั้งร่างสูงเงยหน้าขึ้นยิ้ม
“สวยจัง”วีรตาพิงร่างไปกับอกกว้าง เขาเหยียดขายาวไปกับพื้นให้หล่อนเหยียดซ้อนอยู่ข้างบน ร่างเปลือยเปล่าแนบสัมผัสกันไปทุกส่วน มือใหญ่อ้อมโอบมาบีบกลึงยอดถันและเนินเนื้ออูมระหว่างขาเล่น“สวยมาก...”เขาก้มมากระซิบฝังจูบตรงซอกคอลากลิ้นเลียหยดน้ำที่เกาะพราวตรงลำคอระหง“ไม่เหนื่อยเหรอคะ...อย่าเริ่มสิ”หล่อนร้องท้วงเบาๆ เพราะมันดึกแล้ว น้ำค้างก็เริ่มลงแรง“ขออีกรอบ แบบเร็ว...นะ นะ นะ”เขาทำเสียงร้องขอ ไม่ใช่เสียงสั่งในคราวนี้...วีรตาหันไปจูบปลายคางบึกบึน มือเล็กเอื้อมไปลูบไล้ลำปืนใหญ่ที่ตั้งชี้โด่ขึ้นมาอีกครั้งโผล่ตรงระหว่างขาของหล่อน หญิงสาวขยับเท้าไปวางบนพื้นข้างๆ จับเจ้าอาวุธร้ายเขี่ยสัมผัสกับดอกกุหลาบฉ่ำน้ำของตัวเอง ได้ยินเสียงครางต่ำในลำคอจากคนตัวโต“อ่าส...ดีมากไวน์...เอาหัวเข้าไปหน่อย...ชอบให้เธอตอดหัวเล่น...สุดเสียวแบบนั้น...ซี้ด”เขากระซิบขอ วีรตาจึงยกสะโพกขึ้นจับเจ้าปืนใหญ่จ่อไปตรงเป้าหมายแล้วค่อยนั่งกดลงจนหัวเห็ดบานใหญ่หลุบเข้าไปในช่องธารร้อน เสียงครางเสียวดังขึ้นพร้อมกัน“โอว พระเจ้า...ตอดรัดแน่นจนฉันเสียวไปทั้งดุ้น...โอว ไม่ไหวแล้วไวน์...ขย่มเลยดีกว่า...ซี้ด”เขาร้องบอกเมื่อทนความเ







