LOGINเช้าวันต่อมา
แสงแดดที่ลอดผ่านหน้าต่างตรงโซนตู้ล็อคเกอร์เข้ามาบ่งบอกว่าอีกไม่นานก็ใกล้จะถึงเวลาเข้าเรียนแล้ว แต่ถึงอย่างนั้นอาเรียก็ยังยืนอยู่ตรงหน้าล็อคเกอร์ของใครบางคนอยู่ไม่ห่าง ใช่แล้ว...เธอตั้งใจจะนำเข็มกลัดที่ใช้การไปเรียบร้อยแล้วมาส่งคืนให้เจ้าของ หญิงสาวยืนอยู่ตรงหน้าล็อคเกอร์พลางมือก็กอบกุมกล่องใส่เข็มกลัดเอาไว้แน่น ระหว่างที่เขายังไม่โผล่มาก็ดูเหมือนจะซื้อเวลาให้เธอได้รวบรวมความกล้าที่จะไปสู้หน้าเขาต่ออีกสักเล็กน้อยล่ะ ไม่รู้ว่าทำไมถึงต้องมาคืนด้วยตัวเอง ทั้งที่ขอร้องให้คนอื่นมาส่งคืนแทนให้ก็ได้ แต่รู้ตัวอีกทีเธอก็มาหยุดยืนอยู่ตรงหน้าตู้ล็อคเกอร์ของเขาเป็นที่เรียบร้อยแล้วเนี่ยสิ แต่ก็เอาเถอะ การมาส่งคืนตัวเองก็นับว่าเป็นมารยาทรูปแบบหนึ่งที่พึงกระทำ อย่างน้อยเขาจะได้ไม่เสียน้ำใจที่หวังดีช่วยเธออย่างไรล่ะ อาเรียคิดให้เหตุผลกับตัวเองทั้งที่ในใจตอนนี้ยังสั่นไหวอยู่ตลอดเวลา เวลาผ่านไปหลายสิบนาที แต่ล็อคเกอร์ตรงหน้าก็ยังไร้วี่แววเจ้าของ แต่ถึงอย่างนั้นเธอก็ยังรอคอยอย่างอดทน เป็นเวลาเดียวกับจำนวนคนเริ่มบางตาลง ‘เขาคงไม่มาแล้วล่ะ…’ เธอคิดในใจก่อนจะถอนหายด้วยความรู้สึกผิดหวังอย่างช่วยไม่ได้ และเมื่อเห็นว่าใกล้ถึงเวลาเข้าเรียนแล้ว มือเรียวจึงตัดสินใจเก็บเข็มกลัดใส่ลงในกระเป๋าพร้อมทั้งเดินกลับเข้าห้องเรียนไป แอบผิดหวังอย่างไรก็ไม่รู้ ด้วยคิดว่าจะคืนให้เสร็จสรรพ แต่กลับต้องผลัดวันไปเสียได้ แต่หารู้ไม่ว่าทุกการเคลื่อนไหวของเธอนั้นอยู่ในสายตาเจ้าของล็อคเกอร์ที่เธอมายืนพิงแทบทุกระเบียดนิ้ว เพราะสำหรับแวมไพร์อย่างเจย์เนส ถึงแม้ว่าระยะทางระหว่างเขาและเธอจะอยู่ห่างไกลกันมาก แต่เขาก็ยังสามารถมองเห็นเธอได้อย่างชัดเจน ไม่ว่าจะเป็นตอนที่เธอยืนพิงตัวเข้ากับตู้ล็อคเกอร์ของเขาเหมือนกำลังเฝ้ารอ หรือเดินไปเดินมาอยู่ข้างหน้าก็ตาม เขายืนมองเธออย่างเงียบงันพร้อมแววตาเย็นชาอย่างที่เคยเป็น แต่ไม่รู้ว่าทำไมการกระทำของเธอจึงทำให้ใจของเขาวูบไหวไปเสียอย่างนั้น เฮ้อ ก็ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันว่าเหตุใดจึงไม่ยอมเดินเข้าไปหาเธอให้รู้แล้วรู้รอด บอกตามตรง แค่ไปรับเข็มกลัดคืนมามันง่ายราวกับปลอกกล้วยเข้าปากเลยล่ะ แต่เขากลับไม่ทำเสียอย่างนั้น หรือเป็นเพราะยังรู้สึกหงุดหงิดไม่หายนะ ใช่แล้ว ยังร็สึกหงุดหงิดไม่หาย หากเผชิญหน้าตอนนี้คงต้องเผลอไผลจนเกิดเป็นเรือ่งเป็นราวแน่เลย เจย์เนสพูดกับตัวเองในใจ ก่อนจะยืนกอดอกเฝ้ามองการกระทำของเธอต่อไป ‘จะยืนรออะไรหนักหนา’ ไม่รู้ว่าทำไม ยิ่งมองก็เหมือนจะยิ่งหงุดหงิดมากขึ้นเรื่อย ๆ เสียอย่างนั้น และเมื่อเห็นว่าเธอเดินออกจากโซนตู้ล็อคเกอร์เพื่อไปเข้าเรียนแล้ว เขาจึงเริ่มขยับขาก้าวเดินต่อเพื่อไปเข้าห้องเรียนเช่นกัน ระหว่างที่กำลังนั่งเรียน ภาพเหล่านั้นก็พรั่งพรูเข้ามาอย่างไม่ขาดสาย และแล้วสิ่งที่ไม่คิดว่าจะเกิดขึ้นกับเขาก็เกิดขึ้นจนได้ เมื่ออยู่ ๆ ระหว่างคาบเรียน เขากลับหลุดโฟกัสไป ‘ออกไปจากหัวฉันสักทีแม่สาวฟลอเรนซ์’ แต่ไม่ใช่เพียงแค่เรื่องของแม่สาวฟลอเรนซ์เท่านั้นที่ทำให้เขาประหม่า แต่ยังมีอีกสิ่งที่ทำให้น่าอึดอัดใจเพิ่มเข้ามาด้วย นั่นก็คือ...สายตาของหญิงสาวผู้คลั่งไคล้เขาจนแทบบ้าอย่างโซเฟีย กำลังจับจ้องมาชนิดที่ว่าตาไม่กระพริบ ‘น่ารำคาญจริง…’ เขาคิดในใจพลางพยายามเบือนหน้าหลบเลี่ยงความสนใจของเธอ จนกระทั่งเสียงระฆังบอกเวลาเลิกเรียน โซเฟียก็รีบลุกขึ้นพรวด และก้าวเดินเข้ามาหยุดอยู่ตรงหน้าโต๊ะเรียนของเขาแทบจะทันที “ยัยนั่นขโมยเข็มกลัดของนายไปใช่ไหม” เธอถามเสียงดัง สายตาดูคาดหวังยิ่งนัก แต่กลับไร้ซึ่งความสนใจตอบกลับจากคนตรงหน้า เจย์เนสไม่ตอบอะไรแม้แต่น้อย เขาเพียงแค่ก้มหน้าก้มตาเก็บของบนโต๊ะ จนเส้นความอดทนของโซเฟียขาดสะบั้น “ฉันถามว่ายัยนั่นขโมยเข็มกลัดของนายหรือเปล่า!” ความฉุนเฉียวทำให้เธอวางกระแทกหนังสือลงบนโต๊ะของเจย์เนสดังปัง! เสียงนั้นทำให้ทุกคนในห้องหันมามองทันที รวมถึง เรย์เน่ น้องสาวฝาแฝดของเขา ที่เงยหน้าขึ้นจากหนังสือด้วยสีหน้าประหลาดใจ “เกิดอะไรขึ้นน่ะ?” เรย์เน่รีบหันไปหาต้นเสียง ก่อนจะเห็นว่าโซเฟียกำลังตะล่อมพี่ชายฝาแฝดของตัวเองอยู่ คิ้วสวยก็พลันขมวดมุ่นด้วยความไม่พอใจ หล่อนกล้าดียังไงมาแสดงพฤตกรรมก้าวร้าวใส่พี่ชายของเธอเช่นนั้น เจย์เนสยังคงนิ่ง เขาเงยหน้าขึ้นมองโซเฟียด้วยสายตาเย็นชา ราวกับคำตอบของเขาชัดเจนอยู่แล้ว “เรื่องส่วนตัว” เขาตอบเรียบ ๆ ก่อนจะสะพายกระเป๋าแล้วเดินออกจากห้องไป ทิ้งให้โซเฟียร็สึกขัดใจกับคำถามที่ไม่ว่าอย่างไรเธอก็คงไม่ได้คำตอบ แต่คำว่า ‘เรื่องส่วนตัว’ นั่นมันก็ชัดเจนพออยู่แล้วล่ะ เมื่อคิดได้เช่นนั้น โซเฟียก็เริ่มฉุนเฉียวขึ้นมาอีกครั้ง ยัยฟลอเรนซ์นั่น กลายเป็นเรื่องส่วนตัวของเจย์เนสไปได้ยังไงกัน ไม่มีทาง เธอไม่วันยอมหรอก ก็เธอชอบของเธอมาตั้งนาน อยู่ ๆ ยัยฟลอเรนซ์นั่นจะมาแย่งไปหน้าตาเฉยได้อย่างไรกัน! เจย์เนสเดินล้วงกระเป๋าออกจากอาคารเรียน มุ่งหน้าไปยังโรงอาหารด้วยท่าทีสงบนิ่งเหมือนทุกครั้ง ทว่าภายในใจกลับไม่ได้สงบเช่นนั้น สถานการณ์เมื่อครู่ในห้องเรียนที่โซเฟียตั้งคำถามอย่างไม่ลดละยังคงวนเวียนอยู่ในหัว เสียงฝีเท้าเบา ๆ และกระโปรงที่พลิ้วสะบัดไปมา ทำให้เขาไม่ต้องหันไปดูก็รู้ว่าใครกำลังเดินตามเขา “พี่เจย์เนส! เดี๋ยวก่อนสิ” เรย์เน่ วิ่งตามเขามาพร้อมกับดวงตาที่เปล่งประกายด้วยความอยากรู้อยากเห็น เจย์เนสถอนหายใจเบา ๆ แต่ไม่ได้หยุดเดิน น้องสาวฝาแฝดของเขามักจะซักไซ้เรื่องที่อยากรู้จนกว่าจะได้คำตอบเสมอ และเขาก็รู้ว่าอีกฝ่ายจะไม่หยุดง่าย ๆ “ว่าไง?” เขาถามเสียงเรียบ “เรื่องเข็มกลัดนั่นน่ะ” เรย์เน่พูดพลางวิ่งไปเดินขนาบข้างเขา ดวงตากลมโตฉายแววความสงสัย ท่าทีเช่นนี้เหมือนแม่ของเธอไม่มีผิด “พี่ให้เข็มกลัดใครไปเหรอ?” คำถามจากน้องสาวทำให้เจย์เนสชะงักไป แต่เขาก็ยังคงดึงสีหน้าเรียบเฉย ก่อนจะตอบด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูเหมือนไม่ใส่ใจนัก “ไม่มีอะไรหรอก อย่าไปสนใจเลย” “โหย พี่อ่ะ” เรย์เน่ทำเสียงงอนก่อนจะกระโดดเหยง ๆ ตามขนาบข้างเขาไปตลอดทาง “บอกหน่อยสิ พี่ให้เข็มกลัดใครไปอ่ะ หรือว่า... พี่มีแฟนแล้ว!?” เจย์เนสเลิกคิ้วพลางถอนหายใจยาว “พูดอะไรไร้สาระ ไปกินข้าวได้แล้ว” เขาพยายามเปลี่ยนเรื่อง แต่เรย์เน่ไม่ยอมลดละ “โธ่ พี่เจย์เนสบอกหน่อยสิ ก็น้องอยากรู้อ่ะ” เธอเดินไปขวางหน้าเขา มือสองข้างกางออกเหมือนจะหยุดเขาให้ได้ เจย์เนสมองมองท่าทางของน้องสาวด้วยสายตาเอ็นดูก่อนจะส่ายศีรษะไปมา “มันก็แค่ของทั่วไป ไม่ได้สำคัญอะไรสักหน่อย เธออย่าไปใส่ใจมันเลย” ว่าจบก็เดินหลบเลี่ยงไปอีกทางเพื่อให้พ้นจากเรย์เน่ที่ยืนขวางทางอยู่ แต่สาวน้อยก็ยังคงตามตื๊อเหมือนแมวที่เดินวนไปวนมารอบเจ้าของ “ไม่จริงอ่ะ ถ้าไม่สำคัญทำไมโซเฟียถึงโวยวายขนาดนั้น เราต่างก็รู้ดีว่าโซเฟียชอบพี่มาก บอกมาเถอะ ฉันสัญญาว่าจะไม่บอกใคร” “อย่าหวังเลย เธอรู้ก็โลกรู้นั่นแหละ” “นั่นไง แสดงว่ามีซัมติงจริง ๆ ใช่ไหมล่ะ” ยังคงเดินตามตื๊อต่อไป ร่างสูงเดินทิ้งห่างออกจากน้องสาวไปไกลเรื่อย ๆ พร้อมทั้งคิดว่า โชคยังเข้าข้างที่เคย์ลิสกับไลเอนน์ สองแฝดชายตัวป่วนประจำบ้านยังไม่มาเข้าเรียนที่นี่ด้วยกัน ไม่อย่างนั้นมีหวังได้เจอพวกนั้นรุมถามทั้งวันทั้งคืนแน่ หลังจากแยกย้ายกับเรย์เน่แล้ว ขายาวก็สาวเร็วขึ้นเพื่อไปนั่งรวมกับกลุ่มเพื่อนสนิทที่ห้องนั่งเล่นรวมในหอพักชายชีวิตหลังแต่งงานของเจย์เนสเริ่มเต็มไปด้วยความบันเทิง แต่เหนือสิ่งอื่นใด สองแฝดดูจะเป็นเรื่องที่รับมือได้ยากที่สุด(รองจากแม่ของพวกเขา)กลางดึก สองหนุ่มน้อย เรเวียน ไวน์อัส ก็แอบย่องออกจากห้องนอนลงมา ก่อนจะเริ่มหากิจกรรมเล่นกัน นับว่าดีมากที่พวกเขาได้นอนอแยกห้องกับท่านพ่อท่านแม่ จึงสะดวกแก่การย่องออกมาที่สุดอันที่จริงของพวกนี้ก็เป็นเรื่องปกตินี่นา พวกเขาเป็นแวมไพร์ก็ต้องใช้ชีวิตตอนกลางคืนมากกว่าตอนกลางวันสิถึงจะถูก!“ดูนี่สิไวน์อัส!” เรเวียนพุ่งขึ้นไปอยู่บนตู้เก็บหนังสือในห้องสมุด ก่อนจะกระโดดข้ามชั้นไปมาอย่างช่ำชอง“รอฉันด้วยสิ!” ไวน์อัสเห็นแฝดตัวเองทำแบบนั้นได้ก็ไม่อยากน้อยหน้า รีบกระโดดตามข้นไปก่อนจะวิ่งโลดโผนกันอยู่บนนั้นเสียงตึงตังข้างล่างทำเอาแวมไพร์หนุ่มอย่างเจย์เนสที่กำลังนอนอยู่ข้างอาเรียเริ่มขมวดคิ้ว ‘โจรขึ้นบ้านหรือไงนะ’นั่นเป็นความคิดแรกที่ผุดขึ้นมา ก่อนจะนึกขึ้นได้ว่าที่นี่เป็นบ้านแวมไพร์นะ จะมีโจรหน้าไหนกล้าบุกเข้ามากัน!แต่ด้วยความสงสัย เจย์เนสจึงยอมลุกออกจากเตียงแล้วลงไปสังเกตการณ์ดูว่ามีอะไรผิดปกติหรือเปล่า และเมื่อไปถึงข้างล่างปึง! ปัง! ตึง! ตัง!เสียงปึงปังเหมือนม
อาเรียเริ่มปรับตัวกับร่างกายใหม่ในฐานะแวมไพร์ได้แล้ว แต่ก็ยังมีอีกหนึ่งบทบาทที่เธอยังต้องเรียนรู้ไม่แพ้กันนั่นก็คือ “การเป็นแม่” ของลูกชายฝาแฝดที่เพิ่งลืมตาดูโลกได้ไม่นาน แเต่อย่างที่บอกว่าลูกแวมไพร์โตเร็วมาก นอกจากนี้ยังแข็งแรงเกินกว่าที่ทุกคนคาดเอาไว้ด้วยแม้ว่าจะคลอดก่อนกำหนด แต่พละกำลังของพวกเขากลับไม่ต่างจากเด็กแวมไพร์ทั่วไปเลย บอกตามตรงว่าตอนแรกเธอเป็นกังวลมาก ว่าการเลี้ยงลูกแวมไพร์จะเหมือนกับการเลี้ยงเด็กทั่วไปหรือเปล่าแต่โชคยังดีที่ ลินิน แม่สามีของเธอคอยช่วยให้คำปรึกษาอยู่ตลอด“เลี้ยงลูกแวมไพร์ก็เหมือนเลี้ยงลูกมนุษย์นั่นแหละอาเรีย แต่ก็ยังมีเรื่องที่ต้องดูแลเป็นพิเศษด้วย” ลินินเอ่ยพลางอุ้มหลานชายคนหนึ่งไว้ในอ้อมแขน“ค่ะแม่...” อาเรียพยักหน้า ขณะที่มองดูลูกอีกคนนอนหลับตาพริ้มอยู่ในอ้อมแขน“เด็กแวมไพร์จะมีสัญชาตญาณนักล่าตั้งแต่ยังเล็ก เพราะฉะนั้นต้องคอยควบคุมพวกเขาให้ดี ไม่อย่างนั้นบ้านจะเละเอาได้”ระหว่างที่กำลังให้คำปรึกษา ลินินก็เล่าถึงลูกแวมไพร์ทั้งสี่ของเธอให้ฟัง“เจ้าสี่คนนี้เนี่ยนะ ตอนนั้นทำคฤหาสน์แทบจะถล่ม” ซึ่งสี่คนที่ลินินกำลังพูดถึง ก็รวมพ่อของทั้งสองแฝดนี้ด้วยนั่น
สามวันผ่านไป ร่างบางของอาเรียยังนอนแน่นิ่งอยู่ในโรงแก้วเย็นที่ช่วยรักษาสภาพร่างกายของเธอเอาไว้ เจย์เนสคอยนั่งเฝ้าอยู่ไม่ห่าง แต่ในใจก็เริ่มหวั่น ด้วยเพราะไม่รู้ว่าจะยังพอมีหวังกับปาฏิหาริย์ได้อยู่หรือเปล่า“เจ้าต้องพักผ่อนบ้าง” เจย์เดนเดินเข้ามาบอกลูกชาย“อาเรียไม่ฟื้น ผมเสียเธอไปตลอดกาลแล้วใช่ไหม” น้ำเสียงเว้าวอน เหมือนอยากจะยอมแพ้แต่ก็ยังไม่อยากปล่อยวาง ถ้าหากว่าเขายอมแพ้ตอนนี้อาเรียรู้เข้าคงเสียใจแน่“ข้าตอบเจ้าไม่ได้หรอก แต่เจ้าต้องพักบ้าง ถ้าอาเรียตื่นขึ้นมาเห็นสภาพเจ้าตอนนี้ นางคงปวดใจหนักแน่”เจย์เนสหันมองภาพตัวเองที่สะท้อนอยู่ในกระจกเงาบานใหญ่กลางห้อง ก็จริงอย่างที่ท่านพ่อว่า เขาควรจะไปแต่งตัวหล่อ ๆ รอต้อนรับเธอกลับมาสิร่างสูงพยักหน้า ก่อนจะยอมเดินออกจากห้องโถงที่ตั้งวางโลงแก้วเย็นอย่างไม่ค่อยเต็มใจเท่าไหร่เพียงลับตาจากห้องโถง ร่างบางในโลงแก้วก้เริ่มมีปฏิกิริยา ร่างกายเริ่มฟูฟ่อง บาดแผลฉกรรจ์ที่ได้รับตอนผ่าคลอดเริ่มสมาน เชิงกรานที่เคยแตกหักเชิ่มต่อกันอีกครั้ง เส้นผมที่เคยแห้งกร้านจากการที่เลือดไม่ไปหล่อเลี้ยงเริ่มกลับมาเงาสลวยอีกครั้ง ไม่เพียงเท่านั้น ผิวพรรณยังเริ่มเปล่งประ
หลังจากนั้น เจย์เนสก็แทบไม่ปล่อยให้เธอคลาดสายตาไปแม้แต่วินาทีเดียว เขาคอยดูแลเธอทุกอย่าง ตั้งแต่เรื่องอาหาร การพักผ่อน แม้กระทั่งการเดินเพียงไม่กี่ก้าว เขาก็ต้องคอยประคอง ทำอย่างกับว่าอาเรียเหมือนแก้วที่เปราะบางมากแต่ถึงอย่างนั้น ความกังวลก็ยังไม่ลดลง เมื่อเห็นว่าภรรยายังซูบผอมอยู่ตลอดทั้งที่ทานเยอะกว่าแต่ก่อนหลายเท่าตัว“ลองให้นางดื่มเลือดดูดีไหม” เจย์เดนเสนอความเห็น เมื่อเห็นว่าอาเรียทานไปเยอะเท่าไหร่ก็ยังไม่มีน้ำมีนวลขึ้นมาเลย แถบยังซุบจนเกือบจะเหลือแต่กระดูกแล้ว“ลองดูก็ไม่เสียหายครับ” เจย์เนสสั่งให้คนไปเตรียมเลือดมนุษย์มา ก่อนจะบรรจุลงในแก้วน้ำเพื่อให้เธอลองดื่มตอนแรกทุกคนต่างกังวลว่าเธอจะสะอืดสะเอียนแล้วดื่มไม่ได้ แต่กลับกลายเป็นว่าดื่มเก่งกว่าแวมไพร์เสียอีก โดยเฉพาะช่วงที่กระหาย บอกตามตรงว่าบางครั้งอาเรียก็นึกกลัวตัวเองเหมือนกันแล้วมันก็ได้ผล หลังจากที่เธอดื่มเลือดมนุษย์ควบคู่กับการทานเนื้อเสต็กติดต่อกันเป็นเวลาหนึ่งสัปดาห์ หน้าตาก็เริ่มสดใสขึ้น เจย์เนสเห็นแบบนั้นก็แทบจะรีบไปสรรหาเลือดจากทุกแหล่งมาถวายให้เธอเลยทีเดียวไม่เพียงเท่านั้น ทุกสิ่งอย่างที่อาเรียร้องบอกว่าอยากทาน ไ
ไม่นานหมอประจำตระกูลก็ถูกเรียกตัวมา หลังจากตรวจร่างกายด้วยเครื่องมือทันสมัยแล้ว เขาก็บอกเล่าอาการของท่านหญิงคนใหม่แห่งตระกูลแบรดฟอร์ดด้วยน้ำเสียงหนักใจ“ท่านหญิงตั้งครรภ์ขอรับ”อาเรียเบิกตากว้างก่อนจะรีบหันไปมองเจย์เนส ที่เป็นแบบนี้ไม่ใช่ว่าเพราะเหนื่อยล้าจากการเดินทาง แต่เป็นเพราะ…ลูก เธอกำลังจะมีลูก...มือเรียวลูบไล้หน้าท้องตัวเอง ใจหนึ่งก็ตกใจจนแทบคลั่ง แต่ลึก ๆ ก็รู้สึกมีความสุขจนเหลือล้นแต่ฝ่ายที่นิ่งเงียบไปราวกับวิญญาณหลุดออกจากร่างก็คือสามีของเธอ ดวงตาสีแดงเข้มของเขาสั่นไหว ก่อนจะหันรีบถามหมอทันที“แต่เธอเป็นมนุษย์ แล้วแบบนี้เด็กก็เป็น…” เขาหยุดพูดไปครู่หนึ่ง รู้ดีว่าไม่ต้องพูดให้จบประโยค ทุกคนในห้องก็เข้าใจดีว่าทารกในครรภ์ของอาเรียเป็นอะไรท่านหมอพยักหน้ายืนยันคำตอบ “ใช่ขอรับ เป็นลูกครึ่งแวมไพร์”“มันเกิดขึ้นได้เหรอครับ ไม่ใช่ว่าต้องเป็นแวมไพร์ด้วยกันเหรอ” น้ำเสียงของเจย์เนสดูร้อนรนมาก แต่ไหนแต่ไรมาเขาไม่เคยได้ยินเรื่องที่มนุษย์ตั้งท้องกับแวมไพร์เลย เพราะส่วนใหญ่แล้วไข่ที่ปฏิสนธินั้นไม่ได้แข็งแรงพอจะหล่อเลี้ยงลูกแวมไพร์ได้“จริง ๆ แล้วมันเกิดขึ้นได้ แต่ปกติแล้วโอกาสน้อยมาก ท่
แดดยามเช้าส่องผ่านม่านสีขาวพร้อมเสียงคลื่นที่ กระทบฝั่งเบา ๆ เป็นจังหวะสม่ำเสมอสัมผัสเย็นไล้ผ่านแผ่นหลังบางอย่างแผ่วเบา ก่อนจะตามมาด้วยเสียงทุ้มของเจย์เนสที่ทำให้อาเรียลืมตาตื่นขึ้นมาด้วยความงัวเงีย“เธอเจ็บหรือเปล่า”ได้ยินคำถามนั้นหัวใจของอาเรียก็เต้นวูบ ทำไมอยู่ดี ๆ เจย์เนสถึงถามแบบนั้นล่ะ หรือว่า...เขาเปลี่ยนเธอแล้วอย่างนั้นเหรอแต่ยังไม่ทันที่เธอจะได้สำรวจตัวเอง มือหนาของเขาก็ยื่นออกมาสัมผัสผิวบริเวณต้นแขน ข้อมือ และต้นขาบางส่วนของเธอ นั่นทำให้อาเรียเห็นรอยจ้ำสีจางที่ประปรายอยู่บนนั้นดวงตาคู่สวยปรายมองเจย์เนสที่กำลังใช้นิ้วเกลี่ยรอยเหล่านั้นบนผิวของเธออย่างแผ่วเบา ดวงตาสีแดงเข้มของเขาฉายแววเจือความกังวล"เมื่อคืนฉันเผลอแรงไปหรือเปล่า"แบบี้นี่เอง เขาไม่ได้เปลี่ยนเธอเป็นแวมไพร์แต่อย่างใด แต่กำลังหมายถึงร่องรอยที่เขาเผลอทำเอาไว้เมื่อคืนบนตัวเธอต่างหากอาเรียแอบถอนหายใจเฮือกใหญ่ รุ้สึกผิดหวังยังไงก็ไม่รู้ ถึงแม้ว่าเขาจะบอกแล้วว่ามันจะทำให้เธอทรมานมากหากไม่ใช้พิษที่สกัดบริสุทธิ์ แต่เธอก็ยังอยากเปลี่ยนเลยอยู่ดี เพราะอย่างน้อยก็จะได้ก้าวเข้าสู่โลกของเขา...เธอพร้อมแล้ว เตรียมใจมาตลอด







