ระหว่างทาง ร่างสูงก็ได้ยินนักเรียนยืนพูดคุยกันอยู่ไม่ไกลจากนอกอาคารด้วยความบังเอิญ แต่แล้วเนื้อความในนั้นกลับทำให้เขาหูผึ่งเสียอย่างช่วยไม่ได้
“นี่ ได้ยินข่าวลือเรื่องที่ตระกูลฟลอเรนซ์ใกล้จะล้มละลายหรือเปล่า” “ได้ยินมาบ้างเหมือนกัน ข่าวลือดูไม่ค่อยดีเท่าไหร่นัก” ระหว่างที่เงี่ยหูฟังไปด้วย ช่วงก้าวของขาก็สั้นลงจนเรียกว่าแทบจะหยุดนิ่ง และเมื่อรู้ตัวก็ต้องรีบส่ายศีรษะขึ้นอย่างทันควัน มันก็ไม่ใช่เรื่องของเขาสักหน่อย เหตุใดต้องสนใจ! แต่ในขณะที่กำลังเดินผ่านโซนตู้ล็อคเกอร์ อยู่ ๆ ก็มีเสียงฝีเท้าของใครบางคนที่กำลังมุ่งตรงเข้ามาหาเขาจากทางด้านหลัง ด้วยสัญชาตญาณ ใบหน้าหล่อจึงรีบหันกลับไปมองด้วยสายตาคมกริบ ก่อนจะพบกับหญิงสาวที่กำลังวิ่งเข้ามาอย่างเอาเป็นเอาตาย เธอทำราวกับว่าหากช้าไปกว่านี้อีกเพียงนิดเดียว เขาจะหายไปตลอดกาลอย่างนั้นแหละ “เจย์เนส!” เธอหยุดยืนหอบอยู่ตรงหน้าเขา เหมือนวิ่งมาไกลพอสมควรเชียวล่ะ มิหนำซ้ำ ดวงตากลมโตของเธอยังฉายแววหลากหลายอารมณ์อีกต่างหาก ทั้งดูกังวลใจ รู้สึกผิดจนอยากจะเอ่ยปากขอโทษ หรือแม้แต่ความประหม่า ขณะเดียวกันนั้นมือเรียวก็หยิบกล่องเข็มกลัดออกมาถือไว้ในมืออย่างระมัดระวัง “เอ่อ... นี่...ฉันเอามาคืนน่ะ” เธอพูดเสียงเบา แต่แววตาของเธอเต็มไปด้วยความรู้สึก “เมื่อเช้าฉันยืนตั้งนาน แต่ว่าฉันคงมาช้าไปก็เลยคิดว่านายอาจจะเข้าห้องเรียนไปแล้ว” เจย์เนสมองเข็มกลัดในอุ้งมือเรียวเล็กนั้นอย่างเงียบงัน ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมาสบตาเธออีกครั้ง “ขะ...ขอโทษนะ ต่อไปฉันจะไม่ทำแบบนั้นอีก” อาเรียพูดเสียงสั่น น้ำเสียงเต็มไปด้วยความเสียใจ “แล้วก็...ขอบคุณที่ช่วยฉันเมื่อคืนด้วย” เขาไม่ได้ตอบอะไรทันที แต่สายตาคมกลับจับจ้องเธอไว้อย่างไม่ตั้งใจ ในขณะที่ดวงหน้าสวยก็รีบก้มหน้าก้มตาลงงุดมองปลายเท้าราวกับกลัวว่าจะต้องเจอสายตาตำหนิจากเขา เจย์เนสยืนมองเธอที่ทำท่าทีรุกลี้รุกลนก่อนจะแอบกระตุกมุมปากยกยิ้มขึ้นอย่างได้ใจ แต่ก็ทำได้เพียงไม่นานต้องรีบหุบยิ้มลงเสียก่อน เพราะหลังจากก้มหน้าก้มตาอยู่ในความเงียบมาสักพัก อาเรียก็ตัดสินใจค่อย ๆ เงยหน้าขึ้นด้วยท่าทีเก้ ๆ กัง ๆ พร้อมตาแป๋ว เธอทำท่าทีราวกับเป็นแมวน้อยที่ตั้งใจจะถามเจ้าของว่า ‘ยังโกรธอยู่ไหม’ อย่างไรอย่างนั้น เจย์เนสเห็นแบบนั้นก็สูดหายใจเข้าลึก ๆ ก่อนจะตัดสินใจพูดออกไปในที่สุด “ไม่ต้องขอโทษหรอก” ว่าพลางยื่นมือออกไปรับเข็มกลัดคืนมา “แค่จำไว้ว่าอย่าทำอะไรโง่ ๆ แบบนั้นอีกก็พอ” น้ำเสียงยังคงรักษาระดับความเย็นชาได้โดยไม่ขาดตบกพร่อง ได้ยินแบบนั้นหญิงสาวก็รีบพยักหน้าตอบรับ “อื้ม ไม่ต้องห่วง ฉํนจะไม่ทำแบบนี้อีกแล้วล่ะ” ได้ยินแบบนั้น ใบหน้าหล่อจากที่เข้มขรึมก็เปลี่ยนเป็นผ่อนคลายลงอย่างพออกพอใจ มือหนายกขึ้นกระชับสายกระเป๋าเป้ก่อนจะหมุนตัวหันหลังแล้วเดินจากไป แต่ในระหว่างทาง... ขณะที่ดวงตาสีแดงของเขาจับจ้องมองตรงทางข้างหน้า แต่แล้ว...ประสาทสัมผัสอันว่องไวของแวมไพร์ก็ทำให้เขารู้ว่ามีคนเดินตามอยู่ด้านหลัง แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่ได้ใกล้หรือไกลเกินไป นอกจากนี้กลิ่นของเธอยังชัดเจนมากอีกด้วย เสียงฝีเท้าแผ่วเบาในระยะไกล ราวกับตั้งใจให้เงียบที่สุด แต่สำหรับเจย์เนสแล้ว มันชัดเจนเสียจนไม่อาจทำใจให้นิ่งเฉยไดเลย ‘เหอะ ยัยแมวขโมยอีกแล้วสินะ…’ ไม่รู้เหมือนกันว่าเขาจำกลิ่นเอกลักษณ์ของเธอได้ตั้งแต่เมื่อไหร่ อาจจะเป็นเมื่อสักครู่นี้ก็ได้ แต่เอาเป็นว่าหลังจากนี้ก็คงไม่ลืมแล้วล่ะ ถึงแม้ว่าเขาจะไม่ได้หันกลับไปมอง แต่ก็รู้ทุกช่วงการเคลื่อนไหวของเธอ ด้วยการแอบสังเกตผ่านเงาสะท้อนจากกระจกหน้าต่างไปตามทางเดินของโถงปราสาท จึงได้เห็นว่าเธอกำลังก้มหน้าก้มตาเดินตามรอยเท้าของเขาเหมือนเด็กน้อยกำลังเล่นเกมอย่างสนุกสนาน ทุกท่วงท่าการเคลื่อนไหวของเธอถูกจับจ้องอยู่ตลอด ไม่รู้ว่าเธอจะทันสังเกตหรือเปล่า ว่าเขาแอบก้าวให้ช้าลงอีกนิด เพื่อให้เธอได้สังเกตและย่ำรอยเท้าของเขาได้อย่างไม่มีขาดช่วง ว่าแต่...ทำไมต้องทำแบบนั้นด้วยล่ะ เมื่อคนตัวสูงที่เดินนำอยู่ข้างหน้าทราบถึงพฤติกรรมของตัวเองก็ได้แต่ส่ายศีรษะไปมาอย่างนึกสับสน และเมื่อมาถึงทางแยกใกล้ทางขึ้นหอพัก เขาก็เดินเลี้ยวเข้าไปโดยไม่หันกลับมามองเธออีก เฮ้อ หวังว่าจะไม่ต้องข้องเกี่ยวกันอีกนะ ฟลอเรนซ์... อาเรียที่เห็นว่าเขาเดินเข้าเขตแดนหอพักชายไปเป็นที่เรียบร้อย ขาเรียวก็หยุดก้าวลงแทบจะเรียกได้ว่าทันที แล้วเพียงแค่ยืนมองตามแผ่นหลังของเขาที่ค่อย ๆ เรลือนหายไปจนสุดสายตา ไม่มีอะไรหรอก เธอเพียงแค่ต้องการจะเดินมาส่งเพื่อเป็นการขอบคุณก็เท่านั้นเอง แต่อีกฝ่ายดูเข้าหายาก เธอจึงเลือกใช้วิธีเดินตามมาอย่างห่าง ๆ แต่เดินไปเดินมากลับกลายเป็นเล่นไปเสียลืมตัว ‘โชคดีที่เขาไม่เห็นนะเนี่ยอาเรีย ไม่อย่างนั้นคงน่าอายแย่’ ยืนอยู่สักพักเธอก็หันหลังกลับแล้วเดินเข้าไปทางเขตแดนหอพักหญิงเช่นกัน กลับมาถึงหอพักชาย มือหนาก็คว้าสายสะพายกระเป๋าแล้วเหวี่ยงมันลงบนโต๊ะอ่านหนังสือ ก่อนจะเดินไปเปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นชุดลำลองเพื่อลงไปนั่งพูดคุยกับพวกเพื่อน ๆ ของตัวเอง แต่ขณะที่กำลังทำอะไรไปเรื่อยเปื่อย อยู่ ๆ สมองก็ฉายภายของอาเรียที่เดินตามหลังเขาเมื่อสักครู่ขึ้นมาให้หวนนึกถึง ‘ยัยลูกแมวจอมขโมย...’ คำว่าลูกแมวนี้เขาใช้แค่กับเรย์เน่น้องสาวฝาแฝดเพียงเท่านั้น ด้วยเหตุที่ว่าเธอเองก็ชอบทำตัว แมว ๆ เหมือนแม่ของพวกเขา แต่ตอนนี้ดูเหมือนเขาจะมีแมวเพิ่มอีกตัวเข้าแล้วสิ แล้วก็เป็นอีกครั้งที่เขาจะต้องพยายามสลัดความคิดเรือ่งแม่สาวฟลอเรนซ์ หลังจากนั้นก็เดินออกจากห้องนอเพื่อลงไปรวมกลุ่มกับพวกเพื่อน ๆ โซฟาตัวใหญ่กลางห้องนั่งเล่นรวมเป็นที่ประจำสำหรับกลุ่มเพื่อนสนิทของเจย์เนส ซึ่งพวกเขานั้น เรียกได้ว่าก็เป็นที่หมายปองของพวกสาว ๆ ในโรงเรียนอย่างไม่น้อยหน้ากันเลย และจุดร่วมอย่างหนึ่งที่พวกเขามีเหมือน ๆ กันอีกอย่างก็คือ ทุกคนล้วนเป็นลูกหลานจากตระกูลแวมไพร์เก่าแก่... เอเดรียน คาร์เตอร์ ชายหนุ่มผู้มีบุคลิกสดใส เขาเรียกได้ว่าเป็นสิ่งมีชีวิตที่ช่างจ้อกว่าทุกคนในกลุ่ม ส่วนใหญ่จะเป็นเขาเนี่ยแหละ ที่ชอบเปิดประเด็นสนทนาของกหลุ่มแทบทุกครั้ง และครั้งนี้ก็เช่นกัน ระหว่างที่โยนขนมใส่ปาก ประเด็นร้อนมาแรงในช่วงนี้ก็ผุดขึ้นมา “เฮ้ พวกนายได้ยินเรื่องตระกูลฟลอเรนซ์กันหรือเปล่า” คำพูดนั้นทำเอาเซบาสเตียน เกรย์ ถึงกับละความสนใจออกจากการเพ่งสมาธิบังคับสิ่งของให้ลอยเคว้งอยู่กลางอากาศ “ตระกูลฟลอเรนซ์ที่ลือกันว่าบุตรสาวของท่านมาร์ลอนช่างงดงามนัก” เขาเป็นหนุ่มมาดเนี้ยบผู้มีใบหน้าหล่อเหลาที่จงใจหลบซ่อนมันอยู่ภายใต้แว่นตา แต่ดูเหมือนว่าพวกสาว ๆ ก็สายตาดีจนมองเห็นความหล่อเหลาที่พุ่งทะลุแว่นนั้นออกมาเสียจงได้ “เหมือนจะอยู่โรงเรียนเดียวกับพวกเราด้วยหนิ” “ใช่ งดงามมาก แต่ดูเหมือนข่าวลือว่าตระกูลนี้ใกล้จะล้มละลายแล้ว” เอเดรียนตอบกลับ “เอ๊ะ ตระกูลฟลอเรนซ์เป็นตระกูลเก่าแก่ ไม่มีทางจะล้มละลายง่าย ๆ หรอก หรือหากมีพลาดท่าให้คู่ค้าก็ไม่แน่...” ลูคัส สเตอร์ลิง สมาชิกอีกคนในกลุ่มก็เปิดปากเสวนาขึ้นมาบ้างหลังจากเงียบอยู่นาน “เพราะแบบนี้ไง ข่าวลือจึงบอกว่าท่านมาร์ลอนวางแผนจะให้บุตรสาวแต่งเข้าตระกูลสูงศักดิ์เพื่อจุนเจือตระกูลของตัวเอง” คำพูดนั้นทำให้สมาชิกในกลุ่มเริ่มให้ความสนใจและมาเข้าร่วมวงสนทนา เซบาสเตียนทำหน้าฉงนก่อนจะเอ่ยถามสิ่งที่คาใจ “แต่งกับใครล่ะ” เอเดรียนยักไหล่ “ไม่รู้สิ คงเป็นใครสักคนที่ชอบพอลูกสาวท่านมาร์ลอนนั่นแหละ หรือไม่แน่ก็อาจจับคลุมถุงชนไปเลย” “สมัยนี้แล้ว ยังมีใครกล้าทำแบบนั้นอยู่อีกหรือไง” “แต่ถ้าเป็นฉันก็คงไม่ปฏิเสธนะ ถ้าคลุมถุงชนแล้วจะได้อยู่กับสาวสวยแบบนี้ไปตลอดชีวิตน่ะ” “น่าสงสารนะ ฉันว่าเธอดูใสซื่อมาก คงไม่ทันเกมพ่อตัวเองหรอก” “ก็ใช่ แต่อย่างน้อยการลือแบบปากต่อปากจากพวกเราก็คงทำให้เธอไหวตัวทันบ้างแหละนะ” เอเดรียนเสริม “แต่ถ้าได้แต่งกับเธอก็ไม่แย่นะว่าไหมล่ะ สวยจะตายไป” ลูคัสที่ได้ยินแบบนั้นก็หรี่ตามองสหายของตนอย่างเหนื่อยหน่ายใจ “เห็นสาวสวยก็เป็นต้องพูดแบบนี้ทุกทีเลยสิ” “ทำไมล่ะ อยากให้ฉันพูดแบบนั้นกับนายด้วยหรือไง” “พอเลย ขยะแขยง” ทุกคนได้ยินแบบนั้นก็หัวเราะขึ้น ระหว่างที่นั่งฟังพวกเพื่อน ๆ เสวนากัน เจย์เนสที่ไม่ได้มีนิสัยช่างจ้ออยู่แล้วก็ได้แต่นั่งปิดปากทำตัวเงียบเป็นผู้ฟังอย่างเดียว ทุกคนจึงคิดว่าเขาไม่ได้ให้ความสนใจบทสนทนานี้ หารู้ไม่ว่าสิ่งที่คิดภายในใจนั้นสวนทางกับการกระทำอย่างยิ่งยวด ‘เฮ้อ ฟลอเรนซ์อีกแล้ว...’ เจย์เนสที่กำลังนั่งพิงพนักโซฟาด้วยท่าที่สบายก็ลอบถอนหายใจออกมา เขาพยายามจะไม่คิดเรื่องเธออยู่แท้ ๆ แต่รอบตัวก็ยังส่งเรื่องของยัยนี่เข้ามาวนเวียนอยู่นั่นแหละ ว่าแต่...แต่งงานแบบคลุมถุงชนอย่างนั้นเหรอ คนเป็นพ่อจะทำแบบนั้นกับลูกสาวได้ลงคอเชียวหรือไง แต่ดูแนวโน้มแล้ว คนอย่างยัยแมวขโมยคงไม่กล้าปฏิเสธพ่อของเธออย่างแน่นอน ก็ใสซื่อออกเสียขนาดนั้นน่ะ แล้วแบบนี้จะทำอย่างไรดีล่ะเนี่ยนยัยแมวขโมยเอ๊ย เขานั่งคิดเรื่องอขงเธอเสียนิ่งเฉยจนเหมือนสติกำลังหลุดลอย เซบาสเตียนที่นั่งอยู่ข้าง ๆ เห็นแบบนั้นก็ยกมือขึ้นดีดนิ้วเรียกสติเข้าให้ “เหม่ออะไรองค์ชาย” “เปล่าสักหน่อย แค่ใช้ความคิด” “อย่างนั้นเหรอ แล้วนายคิดยังไงเรื่องแม่สาวฟลอเรนซ์นี่ล่ะ” “ไม่คิด...” ว่าจบก็ยกขาขึ้นนั่งไขว่ห้าง ทำหน้าเรียบเฉยตามเคย “ไม่รู้สึกเห็นอกเห็นใจเธอสักหน่อยเหรอ นายนี่สมกับเป็นเจ้าชายน้ำแข็งซะเหลือเกิน” เจย์เนสได้ยินแบบนั้นก็ยักไหล่ขึ้นอย่างไม่ยี่หระต่อสิ่งที่สหายของเขาเอ่ย สำหรับเขาแล้ว การแสดงออกว่าไม่ยุ่งเรื่องของคนอื่นเป็นสิ่งที่ทำให้ชีวิตเป็นไปอย่างเรียบง่าย และนั่นก็เป็นความพึงพอใจส่วนตัวของเขา “เอาเถอะ เดี๋ยวเอาไว้มีสาวสักคนก็คงจะหายแหละ อาการแบบนี้” เอเดรียนพูดพึมพำ แต่ทุกคนต่างก็ได้ยินกันถ้วนหน้า จึงพากันหลุดหัวเราะพรืดออกมา นั่งไปสักพัก เจย์เนสก็ลุกขึ้นยืนเต็มความสูงทำท่าเหมือนจะเดินออกไปนอกหอพักชาย “จะไปไหนน่ะองค์ชาย” “หิว” ช่างเป็นการโต้ตอบที่ประหยัดเสียงพูดได้ดีเสียเหลือเกิน!] เอเดรียนได้ยินแบบนั้นก็ลุกพรวดขึ้นตามพร้อมเสนอความคิดหนึ่งขึ้นมา “เฮ้ ถ้าอย่างนั้นพวกเราไปหาอะไรกินที่เขตสังสรรค์นอกโรงเรียนดีกว่า ฉันอยากไปลองร้านที่เปิดใหม่ตรงข้างโรงน้ำชานั่น!” “เอาสิ” เซบาสเตียนตอบทันทีพร้อมหยิบกระเป๋าของตัวเองขึ้นมาสะพายไว้ ส่วนลูคัสก็พยักหน้าน้อย ๆ เป็นการตอบรับ เจย์เนสได้ยินแบบนั้นก็ลอบถอนหายใจอย่างเหนื่อยหน่าย อุตส่าห์อยากหลบเลี่ยงไปใช้ความคิดของตัวเองเพียงลำพังแท้ ๆ แต่ก็ยังไม่วายมีพวกชอบยุ่งตามมาด้วย แต่การปฏิเสธและไปอยู่ตัวคนเดียวมันจะยิ่งดูมีพิรุธเข้าไปใหญ่ ก็ในเมื่ออ้างว่าหิวไปแล้ว เขาจึงยอมไปกับพวกเขาแต่โดยดีหลายวันต่อมา อาการว้าวุ่นใจของอาเรียยังคงทวีคูณมากขึ้นเรื่อย ๆ ยามเมื่อเห็นเขาเดินคู่ไปกับไอวี่ แต่ถึงอย่างนั้นก็ทำได้แค่เก็บความไม่พอใจเอาไว้ในใจลึก ๆ และปั้นยิ้มส่งออกไปเพื่อไม่ให้ผิดสังเกตมาลองคิดดูแล้ว เรื่องระหว่างเธอกับเขาดูเหมือนจะลงเอยกันได้ยากพอสมควร เพราะอย่างแรก เธอไม่รู้ว่าเขาคิดยังไงกับเธอกันแน่ เพียงแค่แหย่เล่นหรือคิดจริงจัง เขาไม่เคยแสดงอะไรให้ชัดเจนมากกว่าการโผล่มาที่ระเบียงห้อง ซึ่งคิดว่าก็คงทำแบบนั้นกับไอวี่เหมือนกันใช่ไหมล่ะเพราะเมื่อเห็นเขาอยู่กับไอวี่ทีไร เธอก็จะรู้สึกเหมือนว่าตัวเองไม่ใช่คนเดียวที่เขาทำอะไรพิเศษด้วย...และช่วงนี้ เธอก็พยายามเลี่ยงที่จะคุยกับเจย์เนสให้มากที่สุดเท่าเท่าที่จะทำได้ บางที มันอาจช่วยให้เธอตัดใจจากเขาได้ไม่มากก็น้อยล่ะ แล้วอีกอย่าง ช่วงหลายวันมานี้เขาก็ไม่ได้แวะเวียนมาหาเธอแล้วด้วย ซึ่งเป็นแบบนี้ก็ดีเหมือนกัน...‘แต่จะตัดใจแบบไหนกัน มูนไบท์ถึงได้กองเต็มห้องแบบนี้ อาเรีย!’ เธอแอบบ่นตัวเองพร้อมปรายตามองห่อขนมกองโตที่วางอยู่บนชั้นวางขนมทั้งที่ไม่ใช่ของโปรดของตัวเองเลยแท้ ๆ เรียกได้ว่าไม่เคยกินเลยมากกว่า แต่กลับสิ้นเปลืองโดยใช่เหตุแบบนี้เ
หลังจากอาเรียจัดการตัวเองเสร็จเรียบร้อย ก็เตรียมตัวจะลงไปทานมื้อเช้าที่ห้องโถงรวมอย่างที่เคยทำเป็นประจำแต่เมื่อเดินลงมาจากบันไดหอพักหญิง ก็เห็นว่ามีกลุ่มนักเรียนกำลังยืนมุงกันอยู่ตรงบอร์ดประกาศของโรงเรียนด้วยความที่อดสงสัยไม่ได้ เธอจึงเดินเข้าไปสมทบในกลุ่มนั้นพร้อมด้วยลิเลียนที่ตามมาติด ๆป้ายประกาศทางการจากโรงเรียน ระบุเป็นลายลักษณ์อักษรชัดเจนว่า ‘ให้นักเรียนทุกคลาสของชั้นปีที่ห้า (เกรดสิบเอ็ด) เข้าร่วมการเข้าค่ายฝึกทักษะการเอาตัวรอด’“ดูเหมือนว่าปีนี้พวกคลาสเอสก็ต้องไปด้วยสินะ” ลิเลียนที่ยืนอ่านประกาศอยู่ข้างอาเรียพูดเปรยขึ้น” ไม่รู้ว่าพวกนั้นจะโวยกันหรือเปล่าเนอะ”เพราะหลายปีที่ผ่านมา พวกเด็กคลาสเอสจะได้รับอภิสิทธิ์งดเว้นการเข้าค่ายรูปแบบนี้ เนื่องจากทางคณาจารย์เล็งเห็นว่านักเรียนในคลาสนั้นล้วนเป็นแวมไพร์ ซึ่งไม่จำเป็นจะต้องฝึกทักษะอะไรแบบนี้อยู่แล้ว แต่เพราะอะไรกันปีนี้จึงต้องมาเข้าด้วยเสียอย่างนั้น“รุ่นพี่ปีก่อน ๆ เคยเรียกร้องเรื่องนี้น่ะ ไม่ว่าจะมนุษย์หรือแวมไพร์ก็ควรจะไปลำบากให้เหมือนกัน ในเมื่อมันเป็นหนึ่งในหลักสูตรของโรงเรียน” ลิเลียนตอบความสงสัยของอาเรียได้โดยที่เธอไม่ต้อ
อีกด้านหนึ่งในคืนนี้เขาไม่ได้ไปที่ระเบียงของอาเรียเหมือนเคย เป็นเพราะพวกเพื่อนตัวดีลากเขาออกมาสังสรรค์นอกโรงเรียนอย่างไรล่ะและถึงแม้จะอยากรีบกลับแค่ไหน แต่เพื่อไม่ให้มีพิรุธ เขาจึงต้องจำใจยอมนั่งสังสรรค์อยู่กับพวกเขาต่อไปอีกสักพัก“องค์ชาย...นิ่งกว่าทุกครั้งเลยแฮะ ไม่สนใจจะเล่นกับน้องเขาหน่อยเหรอ?”ว่าจบเดรียนก็ผายมือไปทางผู้หญิงที่เขาจ้างมาให้ปรนนิบัติเพื่อนชายของตน แต่เจย์เนสก็นั่งนิ่งเพียงอย่างเดียว“เสียดายของชะมัด” ลูคัวเปรยขึ้นเมื่อเห็นว่าเจย์เนสไม่แม้แต่จะแตะต้องหญิงสาวที่นั่งอยู่ข้าง ๆ เลยแม้แต่น้อย“นายจะเอาไปควบสองเลยก็ได้ ถ้าเสียดายขนาดนั้น” เจย์เนสว่าก่อนจะผายมือให้ผู้หญิงคนนั้นเดินไปทางพวกเอเดรียนกับลูคัส“นี่นายทำตัวแปลกไปนะ หรือว่า...” ลูคสหรี่ตามองอย่างจับผิด “คบใครอยู่”“ไร้สาระ”เจย์เนสตอบกลับไปเพียงเท่านั้น แต่ดูเหมือนว่าคำพูดปิดจบของเขาในวันนี้จะดูไม่ค่อยหนักแน่นพอจะให้พวกนั้นหยุดความสงสัยได้เมื่อทุกคนกลับมาถึงหอพักชาย เจย์เนสก็ยืนลังเลอยู่หน้าประตูห้องของตัวเองอยู่สักพัก ทุกคนต่างเมามายด้วยฤทธิ์ของแอลกอฮอล์โดยปกติแล้ว แวมไพร์ไม่ค่อยเมากันง่าย ๆ หรอก แต่พวกเขาเ
ถึงแม้สถานการณ์จะล่อแหลมถึงขนาดนี้ แต่เจ้าแวมไพร์ก็ยังเอาแต่นั่งนิ่ง มีหรือเขาจะพลาดโอกาสที่จะได้เห็นของดี จึงปล่อยให้เธอทำอะไรต่อมิอะไรไปอย่างไม่รู้ไม่ชี้กระทั่งสายตาของอาเรียเหลือบไปส่องกระจกตรงโต๊ะเครื่องแป้งเขา“เจย์เนส!?” เสียงหวานร้องหลงเมื่อเห็นว่าเขานั่งอยู่ในห้องด้วย ตั้งแต่เมื่อไหร่เนี่ย แล้วนี่...เห็นไปถึงไหนต่อไหนแล้วเนี่ย! แถมยังนั่งเงียบไม่ให้ซุ่มให้เสียงอย่างกับพวกจงใจถ้ำมองอีก!เมื่อรู้ตัวว่ากำลังจะเปลือยเปล่าต่อหน้าเขา อาเรียก็รีบคว้าจับเสื้อตัวเองมาห่อตัวอีกครั้ง อีกแค่นิดเดียวมีหวังเธอได้ล่อนจ้อนต่อหน้าเขาแน่ ๆ“กว่าจะรู้ตัวนะ กำลังคิดอยู่เลยว่าจะได้เห็นเธอถอดเสื้อผ้าจดหมดตัวหรือเปล่า” เขาตอบด้วยน้ำเสียงเรียบ ๆ ราวกับว่าเรื่องที่เกิดขึ้นนี้เป็นเรื่องปกติอย่างนั้นแหละได้ยินแบบนั้นดวงหน้าสวยก็ยิ่งขึ้นสีแดงแจ๋ อยากจะมุดหน้าแทรกแผ่นดินหนีให้เสียรู้แล้วรู้รอด แต่ที่สำคัญกว่านั้นก็คือ “นายมาทำอะไรที่นี่…แล้วเข้ามาได้ยังไง!?”เห็นได้ชัดว่าอีกฝ่ายบุกรุกพื้นที่ส่วนตัวของเธอแท้ ๆ แล้วทำไมเธอจะต้องเป็นฝ่ายเขินอายกันด้วยล่ะ“ก็ทางที่เคยออกไป...” ว่าพลางชี้ไปทางระเบียงห้องอาเ
และแล้ววันเปิดเรียนก็มาพร้อมกับช่วงเทศกาลวันวาเลนไทน์ที่มาถึงพอดี เสียงพูดคุยในโรงเรียนดังเซ็งแซ่ไปทั่วนอกจากนี้ ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าสีสันของวันวาเลนไทน์นั้น ดูเหมือนจะหนีไม่พ้นสติ๊กเกอร์รูปหัวใจและช็อกโกแลตที่ต่างคนต่างมีครอบครองกันเอาไว้ในมืออย่างน้อยคนละหนึ่งอัน เพราะอะไรน่ะเหรอ ก็เพื่อจะนำไปมอบให้คู่หมายหรือคนที่แอบชอบอย่างไรล่ะอีกด้านหนึ่งในหอพักชายดูเหมือนว่าความครื้นเครงของเทศกาลจะขัดกับนิสัยของแวมไพร์หนุ่มเสียเหลือเกิน บอกตามตรงว่าแต่ไหนแต่ไรมาเขาไม่เคยให้ความสนใจเทศกาลอะไรแบบนี้มาก่อนเลย ค่อนข้างจะมองว่าไร้สาระด้วยซ้ำแล้วใครจะไปคิดว่าเขาที่กำลังนั่งอยู่ในห้องนอนกลับมีถุงใส่ช็อกโกแลตขนาดมหึมาตั้งวางอยู่ข้างกาย‘เฮ้อ เลือกว่ายากแล้ว เอาไปให้ยังยากกว่าอีก’ เจย์เนสถอนหายใจยาว ไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าการจะนำช็อกโกแลตไปให้ใครสักคนจะต้องนั่งทำใจนานถึงเพียงนี้แล้วไอ้ความประหม่าที่ไม่เคยเป็นนี่มันหมายความว่ายังไงกันเนี่ย...นั่งอยู่นานจนกระทั่งเห็นว่าสายแล้ว เขาจึงตัดสินใจลุกออกไปเพื่อเตรียมเข้าคลาสเรียน จึงปล่อยกองช็อกโกแลตพวกนั้นเอาไว้ในห้องเสียก่อนระหว่างทาง สายตาคมก็แอบสอดส่องสำร
ในขณะที่เจย์เนสกับไอวี่เดินกลับออกไปจากโซนล็อคเกอร์ อาเรียที่ตอนแรกได้ยินเสียงผู้หญิงตะโกนชื่อเจย์เนสก็รีบหันควับกลับไปมองทันที ซึ่งนั่นเป็นจังหวะเดียวกับตอนที่ชายหนุ่มหันกลับไปเผชิญหน้ากับเพื่อนสาวคนนั้นภาพตรงหน้าทำให้ใจบางกระตุกวูบ เธอไม่รู้ว่าทั้งคู่อยู่ใกล้ตนขนาดนี้ รู้ตัวอีกทีก็หันไปเห็นผู้หญิงคนนั้นสวมกอดเขาอยู่แล้ว ถึงจะดูเหมือนเล่นกัน แต่ท่วงท่าการกอดนั้นก็แนบแน่นใช้ได้คิ้วคู่สวยเริ่มขมวดพันกันยุ่ง แต่เพียงครู่เดียวเท่านั้น เมื่อนึกได้ว่าตัวเองไม่มีสิทธิ์ที่จะโกรธด้วยซ้ำ เธอก็พยายามปรับสีหน้าให้เป็นปกติโดยเร็วที่สุด‘เขามีสิทธิ์เป็นร้อยที่จะกอดกับใครก็ได้...ทำไมฉันจะต้องสนใจด้วย’ คิดแบบนั้นก็รีบเดินออกไปจากตรงบริเวณล็อคเกอร์ เพื่อหลีกเลี่ยงให้ภาพตรงหน้าพ้นตาเมื่อกลับมาถึงห้อง อาเรียก็ทิ้งตัวลงนอนบนเตียง ดวงตาคู่สวยจ้องมองเพดานนิ่ง ต่างจากในใจที่กำลังครุ่นคิดถึงภาพที่เพิ่งเห็นมาไม่นานนัก มอเรียวก้คว้าหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาทำสิ่งที่หญิงสาวทุกคนถนัด นั่นก็คือ...พิมพ์ชื่อของผู้หญิงคนนั้นลงในช่องค้นหาของแอพโซเชียลมีเดีย จากนั้นไม่นาน บนหน้าจอโทรศัพท์ก็ฉายภาพใบหน้าของหญิงสาวเจ้าของ