ซีรีย์ภาคต่อรุ่นลูก จากเรื่อง ท่านชายแวมไพร์ หากใครอยากติดตามสามารถไปย้อนอ่านได้นะคะ แต่!!! สำหรับใครที่อยากจะเริ่มอ่านภาคนี้เลยก็ได้นะคะ เนื้อหาไม่ได้เป็นเส้นเรื่องต่อกันค่ะ แต่ก็จะแอบมีพูดถึงรุ่นพ่อรุ่นแม่บ้าง😂 ขอต้อนรับเข้าสู่โรงเรียนเซนต์โยเซีย โรงเรียนสุดแฟนตาซีที่มีนักเรียนแวมไพร์และมนุษย์ปะปนอยู่ด้วยกันได้อย่างเปิดเผย พร้อมรักวุ่นวายที่จะเกิดขึ้นระหว่างพวกเขา [รู้ทั้งรู้ว่าเขาเป็นหนุ่ฮ็อตแสนอันตราย แต่มนุษย์สาวธรรมดาอย่างเธอก็ยังไปหลงชอบเขาเข้าจนได้ แบบบนี้มันใช้ไม่ได้เลยนะอาเรีย...] . . . "ท่องเอาไว้ อย่าไปหลงกลมาดนิ่งสุขุมนุ่มลึกของเขาเชียว อันตรายต่อหัวใจอย่างยิ่งยวดเลย"👀 แต่รู้ว่าเสี่ยงก็ยิ่งอยากลองเล่นของสูงซะเหลือเกินเนี่ยสิ!
view moreฤดูใบไม้ร่วงหวนกลับมาอีกครั้ง ตามมาด้วยลมหนาวที่คืนสู่เมืองใหญ่ซึ่งเคลื่อนผ่านสนามหญ้าอันกว้างขวางของ เซนต์โยเซีย อะเคเดมี
ปราสาทสูงใหญ่ที่ถูกออกแบบมาในรูปแบบสถาปัตยกรรมกอทิค ตั้งสูงตระหง่านอยู่บนเนินเขา ตัวปราสาทล้อมรอบไปด้วยรั้วสูงเกือบเท่าตัว หอคอยหลายชั้นตั้งเรียงตัวต่อกันจนสูงชะลูด เป็นสถานที่ซึ่งปราศจากการมองเห็นจากคนนอกที่ไม่ได้ถูกต้อนรับเข้าสู่โลกแห่งความพิศวง นอกจากนี้เถาวัลย์ที่เลื้อยปกคลุมตัวอาคารนั้นยังเผยให้เห็นถึงความเก่าแก่ของโรงเรียนแห่งนี้อีกด้วย
ซึ่งหากมองจากภายนอกแล้ว ดูเหมือนจะเงียบร้างอย่างไรอย่างนั้น แต่มันก็เป็นเพียงฉากหน้าเท่านั้นแหละ เพราะอันที่จริงแล้ว ภายใต้อาคารใหญ่ต่างมีผู้คนต่างพลุกพล่านไปทั่ว โดยเฉพาะในห้องโถงประชุม เนื่องด้วยวันนี้เป็นวันมอบตัวเพื่อส่งนักเรียนเข้าศึกษา ณ อะคาเดมีแห่งนี้
มีทั้งลูกหลานตระกูลแวมไพร์ และด้วยความที่ที่อะคาเดมีแห่งนี้ถูกก่อตั้งมามากกว่าหนึ่งร้อยปีแล้ว จึงมีตระกูลมนุษย์ผู้ดีเก่าแก่ที่ได้อภิสิทธืในการส่งลูกหลานของตระกูลตัวเองเข้ามาเรียนในสถานที่แห่งนี้เช่นกัน
การมีโรงเรียนแห่งนี้กำเนิดขึ้นก็นับเป็นอุบัติการณ์ของโลกแวมไพร์ที่สามารถเรียนร่วมกับมนุษย์ได้โดยไม่ต้องปิดบังตัวตน
เนื่องจากตระกูลเก่าแก่พวกนี้ย่อมทราบถึงการมีอยู่ของพวกแวมไพร์มาตั้งแต่สมัยบรรพกาลแล้วล่ะ แต่หากนำไปเล่าให้โลกภายนอกที่สมัยนี้วิทยาศาสตร์เจริญก้าวหน้าแล้ว คงมีแต่จะโดนกล่าวหาว่าบ้าพอสมควรเลย
แต่ส่วนใหญ่แล้วลูกหลานตระกูลแวมไพร์จะได้เรียนในคลาสเดียวกันเสียมากกว่าได้ไปเรียนปะปนกับพวกเด็กมนุษย์อยู่แล้วล่ะ
เพราะบางจำพวกก็ไม่สามารถอยู่รวมกับมนุษย์ได้นานพอจะระงับความกระหาย นอกจากนี้พวกแวมไพร์ยังมีความสามารถในการใช้พลังพิเศษอย่างเช่นการร่ายเวทย์ได้อีกด้วย เพราะฉะนั้นการแยกคลาสให้เป็นกิจลักษณะก็นับว่าดีแล้วล่ะ
“ดีเหลือเกินที่พวกเจ้าจะได้เข้าเรียนร่วมกับพวกมนุษย์ สมัยพ่อไม่ได้มีโรงเรียนที่ยอมรับตัวตนของพวกเราได้อย่างเปิดเผยเช่นนี้” เจย์เดนยืนมองลูก ๆ ด้วยสายตาภาคภูมิ
เป็นเรื่องจริงที่ว่าสมัยก่อนไม่มีโรงเรียนรวมเช่นนี้ เจย์เดนจึงรู้สึกว่าสมัยลูกนั้นโชคดีนัก เพราะหากมองตามความเป็นจริงแล้ว มนุษย์คือประชากรส่วนใหญ่บนโลก หากลูกได้เรียนร่วมกับพวกเขาก็จะสามารถปรับตัวกับโลกภายนอกและอยู่ได้ง่ายขึ้นกว่าเขามากนัก
ระหว่างที่เจย์เดนกำลังยืนเล่าเรื่องสมัยก่อนที่ผ่านมาหลายร้อยปีแล้วให้ลูกชายฟังนั้น ลินินก็กำลังยืนกำชับอาจารย์ถึงเรื่องอาการแพ้แสงของลูกสาวเธอ
“เธออยู่กลางแดดได้ค่ะ แต่ระยะยเวลาค่อนข้างจำกัด อาการเริ่มแรกก็จะเหมือนเป็นลมแดด ยังไงฝากอาจารย์ช่วยดูแลด้วยนะคะ”
“ไม่ต้องห่วงค่ะท่านหญิงแบรดฟอร์ด” อาจารย์ใหญ่เซเวลออกปากรับคำต่อตระกูลผู้นำของเหล่าแวมไพร์ทั้งปวง ตอนแรกก็น่าฉงน เมื่อเห็นว่าหญิงสาวตรงหน้าที่มีฐานะเป็นแม่ รูปร่างหน้าตายังเหมือนสาวแรกแย้มวัยยี่สิบใกล้เคียงกับลูก ๆ ของเธออยู่เลย
แต่เมื่อนึกไปถึงว่าพวกเขาเป็นตระกูลแวมไพร์ เธอจึงคลายข้อสงสัยนั้นไปโดยปริยาย
“ไม่เป็นไรหรอกค่ะท่านแม่ หนูไม่ไปวิ่งเล่นกลางแดดหรอก” เรย์เน่เอ่ยเสริมเพื่อให้แม่ของเธอคลายความกังวล
“แม่รู้ว่าลูกไม่ออกไปวิ่งกลางแดดหรอก แต่ก็ต้องกำชับอาจารย์เอาไว้เผื่อมีกิจกรรมอะไรในโรงเรียนที่ลูกต้องอยู่กลางแจ้งนาน ๆ” ไม่รู้ว่าความจุกจิกแบบนี้เกิดขึ้นมาตั้งแต่ตอนไหน อาจเป็นระหว่างทางที่เธอคอยฟูมฟักพวกเขาขึ้นมาอย่างทะนุถนอมก็เป็นได้
แต่ถึงอย่างนั้นพวกลูก ๆ กลับไม่ได้รำคาญเธอเลยสักนิด ดีเสียอีกที่ท่านแม่เป็นห่วงพวกเขา แต่ก็พยายามอย่างที่สุดที่จะไม่ต้องทำให้ท่านห่วงมากเกินไป
เจย์เดนที่ยืนพูดคุยกับลูกชายได้ยินภรรยาร่ายยาวเช่นนั้นก็รีบเดินมารวบเอวเธอไว้ด้วยท่าทีหวงแหน
“ไม่เป็นไรหรอกลินิน เจ้าก็รู้ว่าที่นี่ให้ความสำคัญกับนักเรียนมากแค่ไหน”
“ฉันรู้ แต่ก็อดห่วงไม่ได้หนิ...”
“บางที พวกเราก็ต้องปล่อยให้พวกเขาได้เติบโตกันเองบ้างนะ” เจย์เดนว่าก่อนจะใช้มือหนาจับศีรษะของภรรยาแล้วเอนเอียงให้พักพิงลงบนแผงอกตัวเอง
โรงเรียนนี้จะแบ่งเป็นคลาสตามความสามารถของนักเรียนแต่ละคนได้ดังนี้
คลาส S สำหรับนักเรียนที่มีความสามารถโดดเด่น ชนิดที่ว่าเป็นระดับหัวกะทิและได้รับอภิสิทธิ์มากกว่านักเรียนในคลาสอื่น จากสถิติแล้วในชั้นนี้ล้วนมีเชื้อสายของตระกูลแวมไพร์กันทั้งสิ้น ด้วยความสามารถที่เรียนรู้ได้อย่างเร็วกว่ามนุษย์ทั่วไปหลายเท่าตัว
คลาส A สำหรับนักเรียนผู้มีความสามารถ แต่ยังไม่ได้โดดเด่นพอที่จะเข้าคลาส S ส่วนใหญ่จะมีทั้งมนุษย์และแวมไพร์ปะปนกัน ซึ่งเป็นคลาสที่อาจารย์จะต้องคอยเฝ้าระวังเป็นพิเศษด้วย เนื่องจากเป็นคลาสเรียนรวม ความกระหายของนักเรียนแวมไพร์จึงอาจรุนแรงจนเผลอทำร้ายพวกนักเรียนมนุษย์ได้
ในส่วนคลาส B นั้น คือห้องรวมเด็กที่มีความสามารถปานกลาง ไม่ได้โดเด่นมาก แต่ก็ไม่ได้แย่ไปเสียทีเดียว ส่วนใหญ่จะมีเพียงลูกหลานมนุษย์เท่านั้น
และสุดท้าย คลาส C ถือเป็นกลุ่มนักเรียนที่ศักยภาพยังไม่ชัดเจนนัก นักเรียนจากคลาสนี้มีจำนวนค่อนข้างน้อย เพราะหากพบศักยภาพของตัวเองแล้วจะถูกจำแนกไปคลาสอื่นในทีหลังนั่นเอง
แต่จุดร่วมของทุกคลาสก็คือ ทุกคนล้วนเป็นลูกหลานจากตระกูลเก่าแก่ พูดง่าย ๆ ก็คือพวกบ้านรวยนั่นแหละ
และแต่ละคลาสจะสามารถจำแนกนักเรียนได้ตามเข็มกลัดที่โรงเรียนมอบหมายให้ในพิธีมอบตัวที่จัดขึ้นภายในวันนี้นั่นเอง
“เจย์เนสและเรย์เน่ แบรดฟอร์ด คลาส S ค่ะ”
“ดูแลตัวเองนะ แล้วก็อย่าลืมดูแลกันและกันด้วยล่ะ” ลินินยังคงมองด้วยสายตาเป็นห่วง ไม่ต่างจากเวลามนุษย์มาส่งลูกน้อยอนุบาลเข้าเรียนเลย
เพียงแต่ พวกเขาอายุเกือบยี่สิบแล้วนะ!!!
“ไม่ต้องห่วงค่ะแม่ หนูจะดูแลตัวเอง และหวังว่าพี่เจย์เนสจะไม่แกล้งหนู” ว่าจบก็หันไปย่นจมูกใส่เด็กชายที่ยืนสีหน้านิ่งเรียบอยู่ข้าง ๆ กัน
“จะพยายามแล้วกัน...” เขาตอบเสียงเอื่อยเหมือนไม่ได้ใส่ใจอะไรนัก แต่เมื่อเห็นสายตากังวลจากผู้เป็นแม่ฉายชัดขึ้น รวมถึงสายตาคาดคั้นจากผู้เป็นพ่อที่ต้องการจะให้เขาทำเพื่อความสบายใจของภรรยาตัวเอง สุดท้ายเจย์เนสจึงต้องพยักหน้าหงึก ๆ แล้วตอบรับในที่สุด “ไม่ต้องห่วงครับ ผมจะดูแลน้อง อย่างดีเลย”
อีกด้านหนึ่ง
"อาเรียน่า ฟลอเรนซ์ คลาส B ค่ะ" เสียงเอ่ยชื่อเรียกให้หญิงสาวก้าวไปข้างหน้าพร้อมรับเข็มกลัดประจำคลาสและชุดเครื่องแบบของโรงเรียนไปพลาง
"ไม่จำเป็นต้องส่งหนูมาเรียนที่นี่เลยนะ"
"เอาเถอะอาเรีย พ่อยังส่งลูกไหว" คำพูดนั้นดูเหมือนจะเป็นคุณพ่อที่แสนดียิ่งนัก ที่แม้ว่าตระกูลฟลอเรนซ์ซึ่งจวนจะล้มละลายแล้วก็ยังหอบหาเงินมาทุ่มให้ลูกได้เรียนในสถานที่ดี ๆ
และตัวอาเรียเองก็ปักใจเชื่อในความหวังดีของผู้เป็นพ่อโดยไร้ข้อกังขา โดยหารู้ไม่ว่าทุกอย่างนั้น เป็นการวางแผนที่จะให้ลูกสาวได้เรียนอยู่ในสภาพแวดล้อมที่เต็มไปด้วยพวกนายน้อยชนชั้นราชนิกูลอย่างไรล่ะ
อันที่จริงเขาก็ไม่ได้อยากทำเช่นนี้หรอก แต่ตระกูลกำลังมีปัญหาอย่างหนักหน่วง และหากชื่อเสียงของตระกูลต้องสูญสิ้นไปในยุคสมัยที่เขาเป็นผู้นำตระกูล เขาคงไม่มีหน้าไปสู้บรรพบุรุษแน่
“ดูแลตัวเองด้วยนะอาเรีย” ว่าจบก็สวมกอดลูกสาวอันเป็นสมบัติล้ำค่าของตนไว้อย่างหวงแหน
หลายวันต่อมา อาการว้าวุ่นใจของอาเรียยังคงทวีคูณมากขึ้นเรื่อย ๆ ยามเมื่อเห็นเขาเดินคู่ไปกับไอวี่ แต่ถึงอย่างนั้นก็ทำได้แค่เก็บความไม่พอใจเอาไว้ในใจลึก ๆ และปั้นยิ้มส่งออกไปเพื่อไม่ให้ผิดสังเกตมาลองคิดดูแล้ว เรื่องระหว่างเธอกับเขาดูเหมือนจะลงเอยกันได้ยากพอสมควร เพราะอย่างแรก เธอไม่รู้ว่าเขาคิดยังไงกับเธอกันแน่ เพียงแค่แหย่เล่นหรือคิดจริงจัง เขาไม่เคยแสดงอะไรให้ชัดเจนมากกว่าการโผล่มาที่ระเบียงห้อง ซึ่งคิดว่าก็คงทำแบบนั้นกับไอวี่เหมือนกันใช่ไหมล่ะเพราะเมื่อเห็นเขาอยู่กับไอวี่ทีไร เธอก็จะรู้สึกเหมือนว่าตัวเองไม่ใช่คนเดียวที่เขาทำอะไรพิเศษด้วย...และช่วงนี้ เธอก็พยายามเลี่ยงที่จะคุยกับเจย์เนสให้มากที่สุดเท่าเท่าที่จะทำได้ บางที มันอาจช่วยให้เธอตัดใจจากเขาได้ไม่มากก็น้อยล่ะ แล้วอีกอย่าง ช่วงหลายวันมานี้เขาก็ไม่ได้แวะเวียนมาหาเธอแล้วด้วย ซึ่งเป็นแบบนี้ก็ดีเหมือนกัน...‘แต่จะตัดใจแบบไหนกัน มูนไบท์ถึงได้กองเต็มห้องแบบนี้ อาเรีย!’ เธอแอบบ่นตัวเองพร้อมปรายตามองห่อขนมกองโตที่วางอยู่บนชั้นวางขนมทั้งที่ไม่ใช่ของโปรดของตัวเองเลยแท้ ๆ เรียกได้ว่าไม่เคยกินเลยมากกว่า แต่กลับสิ้นเปลืองโดยใช่เหตุแบบนี้เ
หลังจากอาเรียจัดการตัวเองเสร็จเรียบร้อย ก็เตรียมตัวจะลงไปทานมื้อเช้าที่ห้องโถงรวมอย่างที่เคยทำเป็นประจำแต่เมื่อเดินลงมาจากบันไดหอพักหญิง ก็เห็นว่ามีกลุ่มนักเรียนกำลังยืนมุงกันอยู่ตรงบอร์ดประกาศของโรงเรียนด้วยความที่อดสงสัยไม่ได้ เธอจึงเดินเข้าไปสมทบในกลุ่มนั้นพร้อมด้วยลิเลียนที่ตามมาติด ๆป้ายประกาศทางการจากโรงเรียน ระบุเป็นลายลักษณ์อักษรชัดเจนว่า ‘ให้นักเรียนทุกคลาสของชั้นปีที่ห้า (เกรดสิบเอ็ด) เข้าร่วมการเข้าค่ายฝึกทักษะการเอาตัวรอด’“ดูเหมือนว่าปีนี้พวกคลาสเอสก็ต้องไปด้วยสินะ” ลิเลียนที่ยืนอ่านประกาศอยู่ข้างอาเรียพูดเปรยขึ้น” ไม่รู้ว่าพวกนั้นจะโวยกันหรือเปล่าเนอะ”เพราะหลายปีที่ผ่านมา พวกเด็กคลาสเอสจะได้รับอภิสิทธิ์งดเว้นการเข้าค่ายรูปแบบนี้ เนื่องจากทางคณาจารย์เล็งเห็นว่านักเรียนในคลาสนั้นล้วนเป็นแวมไพร์ ซึ่งไม่จำเป็นจะต้องฝึกทักษะอะไรแบบนี้อยู่แล้ว แต่เพราะอะไรกันปีนี้จึงต้องมาเข้าด้วยเสียอย่างนั้น“รุ่นพี่ปีก่อน ๆ เคยเรียกร้องเรื่องนี้น่ะ ไม่ว่าจะมนุษย์หรือแวมไพร์ก็ควรจะไปลำบากให้เหมือนกัน ในเมื่อมันเป็นหนึ่งในหลักสูตรของโรงเรียน” ลิเลียนตอบความสงสัยของอาเรียได้โดยที่เธอไม่ต้อ
อีกด้านหนึ่งในคืนนี้เขาไม่ได้ไปที่ระเบียงของอาเรียเหมือนเคย เป็นเพราะพวกเพื่อนตัวดีลากเขาออกมาสังสรรค์นอกโรงเรียนอย่างไรล่ะและถึงแม้จะอยากรีบกลับแค่ไหน แต่เพื่อไม่ให้มีพิรุธ เขาจึงต้องจำใจยอมนั่งสังสรรค์อยู่กับพวกเขาต่อไปอีกสักพัก“องค์ชาย...นิ่งกว่าทุกครั้งเลยแฮะ ไม่สนใจจะเล่นกับน้องเขาหน่อยเหรอ?”ว่าจบเดรียนก็ผายมือไปทางผู้หญิงที่เขาจ้างมาให้ปรนนิบัติเพื่อนชายของตน แต่เจย์เนสก็นั่งนิ่งเพียงอย่างเดียว“เสียดายของชะมัด” ลูคัวเปรยขึ้นเมื่อเห็นว่าเจย์เนสไม่แม้แต่จะแตะต้องหญิงสาวที่นั่งอยู่ข้าง ๆ เลยแม้แต่น้อย“นายจะเอาไปควบสองเลยก็ได้ ถ้าเสียดายขนาดนั้น” เจย์เนสว่าก่อนจะผายมือให้ผู้หญิงคนนั้นเดินไปทางพวกเอเดรียนกับลูคัส“นี่นายทำตัวแปลกไปนะ หรือว่า...” ลูคสหรี่ตามองอย่างจับผิด “คบใครอยู่”“ไร้สาระ”เจย์เนสตอบกลับไปเพียงเท่านั้น แต่ดูเหมือนว่าคำพูดปิดจบของเขาในวันนี้จะดูไม่ค่อยหนักแน่นพอจะให้พวกนั้นหยุดความสงสัยได้เมื่อทุกคนกลับมาถึงหอพักชาย เจย์เนสก็ยืนลังเลอยู่หน้าประตูห้องของตัวเองอยู่สักพัก ทุกคนต่างเมามายด้วยฤทธิ์ของแอลกอฮอล์โดยปกติแล้ว แวมไพร์ไม่ค่อยเมากันง่าย ๆ หรอก แต่พวกเขาเ
ถึงแม้สถานการณ์จะล่อแหลมถึงขนาดนี้ แต่เจ้าแวมไพร์ก็ยังเอาแต่นั่งนิ่ง มีหรือเขาจะพลาดโอกาสที่จะได้เห็นของดี จึงปล่อยให้เธอทำอะไรต่อมิอะไรไปอย่างไม่รู้ไม่ชี้กระทั่งสายตาของอาเรียเหลือบไปส่องกระจกตรงโต๊ะเครื่องแป้งเขา“เจย์เนส!?” เสียงหวานร้องหลงเมื่อเห็นว่าเขานั่งอยู่ในห้องด้วย ตั้งแต่เมื่อไหร่เนี่ย แล้วนี่...เห็นไปถึงไหนต่อไหนแล้วเนี่ย! แถมยังนั่งเงียบไม่ให้ซุ่มให้เสียงอย่างกับพวกจงใจถ้ำมองอีก!เมื่อรู้ตัวว่ากำลังจะเปลือยเปล่าต่อหน้าเขา อาเรียก็รีบคว้าจับเสื้อตัวเองมาห่อตัวอีกครั้ง อีกแค่นิดเดียวมีหวังเธอได้ล่อนจ้อนต่อหน้าเขาแน่ ๆ“กว่าจะรู้ตัวนะ กำลังคิดอยู่เลยว่าจะได้เห็นเธอถอดเสื้อผ้าจดหมดตัวหรือเปล่า” เขาตอบด้วยน้ำเสียงเรียบ ๆ ราวกับว่าเรื่องที่เกิดขึ้นนี้เป็นเรื่องปกติอย่างนั้นแหละได้ยินแบบนั้นดวงหน้าสวยก็ยิ่งขึ้นสีแดงแจ๋ อยากจะมุดหน้าแทรกแผ่นดินหนีให้เสียรู้แล้วรู้รอด แต่ที่สำคัญกว่านั้นก็คือ “นายมาทำอะไรที่นี่…แล้วเข้ามาได้ยังไง!?”เห็นได้ชัดว่าอีกฝ่ายบุกรุกพื้นที่ส่วนตัวของเธอแท้ ๆ แล้วทำไมเธอจะต้องเป็นฝ่ายเขินอายกันด้วยล่ะ“ก็ทางที่เคยออกไป...” ว่าพลางชี้ไปทางระเบียงห้องอาเ
และแล้ววันเปิดเรียนก็มาพร้อมกับช่วงเทศกาลวันวาเลนไทน์ที่มาถึงพอดี เสียงพูดคุยในโรงเรียนดังเซ็งแซ่ไปทั่วนอกจากนี้ ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าสีสันของวันวาเลนไทน์นั้น ดูเหมือนจะหนีไม่พ้นสติ๊กเกอร์รูปหัวใจและช็อกโกแลตที่ต่างคนต่างมีครอบครองกันเอาไว้ในมืออย่างน้อยคนละหนึ่งอัน เพราะอะไรน่ะเหรอ ก็เพื่อจะนำไปมอบให้คู่หมายหรือคนที่แอบชอบอย่างไรล่ะอีกด้านหนึ่งในหอพักชายดูเหมือนว่าความครื้นเครงของเทศกาลจะขัดกับนิสัยของแวมไพร์หนุ่มเสียเหลือเกิน บอกตามตรงว่าแต่ไหนแต่ไรมาเขาไม่เคยให้ความสนใจเทศกาลอะไรแบบนี้มาก่อนเลย ค่อนข้างจะมองว่าไร้สาระด้วยซ้ำแล้วใครจะไปคิดว่าเขาที่กำลังนั่งอยู่ในห้องนอนกลับมีถุงใส่ช็อกโกแลตขนาดมหึมาตั้งวางอยู่ข้างกาย‘เฮ้อ เลือกว่ายากแล้ว เอาไปให้ยังยากกว่าอีก’ เจย์เนสถอนหายใจยาว ไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าการจะนำช็อกโกแลตไปให้ใครสักคนจะต้องนั่งทำใจนานถึงเพียงนี้แล้วไอ้ความประหม่าที่ไม่เคยเป็นนี่มันหมายความว่ายังไงกันเนี่ย...นั่งอยู่นานจนกระทั่งเห็นว่าสายแล้ว เขาจึงตัดสินใจลุกออกไปเพื่อเตรียมเข้าคลาสเรียน จึงปล่อยกองช็อกโกแลตพวกนั้นเอาไว้ในห้องเสียก่อนระหว่างทาง สายตาคมก็แอบสอดส่องสำร
ในขณะที่เจย์เนสกับไอวี่เดินกลับออกไปจากโซนล็อคเกอร์ อาเรียที่ตอนแรกได้ยินเสียงผู้หญิงตะโกนชื่อเจย์เนสก็รีบหันควับกลับไปมองทันที ซึ่งนั่นเป็นจังหวะเดียวกับตอนที่ชายหนุ่มหันกลับไปเผชิญหน้ากับเพื่อนสาวคนนั้นภาพตรงหน้าทำให้ใจบางกระตุกวูบ เธอไม่รู้ว่าทั้งคู่อยู่ใกล้ตนขนาดนี้ รู้ตัวอีกทีก็หันไปเห็นผู้หญิงคนนั้นสวมกอดเขาอยู่แล้ว ถึงจะดูเหมือนเล่นกัน แต่ท่วงท่าการกอดนั้นก็แนบแน่นใช้ได้คิ้วคู่สวยเริ่มขมวดพันกันยุ่ง แต่เพียงครู่เดียวเท่านั้น เมื่อนึกได้ว่าตัวเองไม่มีสิทธิ์ที่จะโกรธด้วยซ้ำ เธอก็พยายามปรับสีหน้าให้เป็นปกติโดยเร็วที่สุด‘เขามีสิทธิ์เป็นร้อยที่จะกอดกับใครก็ได้...ทำไมฉันจะต้องสนใจด้วย’ คิดแบบนั้นก็รีบเดินออกไปจากตรงบริเวณล็อคเกอร์ เพื่อหลีกเลี่ยงให้ภาพตรงหน้าพ้นตาเมื่อกลับมาถึงห้อง อาเรียก็ทิ้งตัวลงนอนบนเตียง ดวงตาคู่สวยจ้องมองเพดานนิ่ง ต่างจากในใจที่กำลังครุ่นคิดถึงภาพที่เพิ่งเห็นมาไม่นานนัก มอเรียวก้คว้าหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาทำสิ่งที่หญิงสาวทุกคนถนัด นั่นก็คือ...พิมพ์ชื่อของผู้หญิงคนนั้นลงในช่องค้นหาของแอพโซเชียลมีเดีย จากนั้นไม่นาน บนหน้าจอโทรศัพท์ก็ฉายภาพใบหน้าของหญิงสาวเจ้าของ
Mga Comments