ประโยคสุดท้ายนั้น ราวกับสายฟ้าฟาดกลางใจ ผ่าเปิดความทรงจำที่หลินเย่ว์จงใจเก็บซ่อนเอาไว้เขาดูเหมือนเพิ่งตระหนักได้ว่าตนไม่มีสิทธิ์จะยกกำปั้นใส่ฉู่จืออี้มือข้างนั้น ในที่สุดก็คลายลงอย่างไร้เรี่ยวแรงหลินเย่ว์ถอยหลังไปหนึ่งก้าวอย่างไม่รู้ตัว ใจราวกับระเบิดออก เจ็บหน่วงรุนแรงถ้อยคำมากมายจุกอยู่ในลำคอเขาอยากบอกฉู่จืออี้ว่า เฉียวเนี่ยนคือแก้วตาดวงใจของตระกูลหลิน เป็นคนที่พวกเขาทะนุถนอมมาตั้งแต่เด็กเขาอยากบอกฉู่จืออี้ว่า ต่อให้ฉู่จืออี้มีฐานันดรสูงส่ง ในสายตาของเขา ก็ยังไม่คู่ควรแม้แต่ปลายนิ้วของเฉียวเนี่ยนเขาอยากจะบอกว่า เขาไม่เห็นด้วยที่ทั้งสองจะคบหากันแต่คำพูดเหล่านี้ ประโยคใดเขามีสิทธิ์จะพูด?บางทีเมื่อสามปีก่อน เขาอาจยังมีสิทธิ์แต่ตลอดสามปีมานี้ เขาได้โยนสิทธินั้นทิ้งไปด้วยมือตนเองแล้วจนกระทั่งบัดนี้ คำพูดเหล่านั้นก็เหมือนคมมีดแหลมคมเฉือนกลางใจและกรีดลำคอครู่ใหญ่ เขาจึงค่อยบีบเอ่ยออกมาจากลำคอที่เจ็บแสบได้เพียงไม่กี่คำ“อย่ารังแกนางนะ”แต่น่าขันหรือไม่?แม้แต่ห้าพยางค์นี้ เขายังไม่มีสิทธิ์จะพูดเพราะคนที่รังแกเฉียวเนี่ยนอย่างหนักที่สุด ก็คือเขา!คือเขาที่เป็นพี่ใ
เห็นทั้งสองเดินจับมือกันมา ก็พากันเบิกตากว้าง หลังจากตกใจเสร็จก็หัวเราะและขอเหล้าดื่มกว่าจะกลับมาถึงนอกกระโจมได้ก็ลำบากไม่น้อยเฉียวเนี่ยนเหลือบมองทหารองครักษ์ที่ยืนเฝ้าอยู่หน้ากระโจม ซึ่งเบิกตากว้างอยู่ก็อดหัวเราะเบาๆ ไม่ได้ “เกรงว่าฟ้ายังไม่สาง เรื่องนี้คงแพร่ไปทั่วแล้ว”ฉู่จืออี้ก็หัวเราะตาม “ข้าก็เตรียมส่งข่าวกลับไปที่เมืองหลวง ทูลเสด็จพี่แล้ว”เฉียวเนี่ยนอดประหลาดใจไม่ได้ “รีบขนาดนี้เชียว?”หางคิ้วของฉู่จืออี้ยกขึ้นเล็กน้อย “แน่นอน ข้าอายุไม่น้อยแล้ว”เฉียวเนี่ยนหัวเราะขำที่เขาพูด “ยังไม่ถึงสามสิบ ไม่ถือว่าแก่หรอก”“แล้วถ้าเลยสามสิบไปแล้ว จะรังเกียจหรือ?”สำหรับฉู่จืออี้แล้ว ความต่างวัยกับเฉียวเนี่ยนถึงแปดปี ก็ยังทำให้ในใจเขามีความไม่มั่นใจอยู่เล็กน้อยเฉียวเนี่ยนแกล้งทำท่าครุ่นคิดจริงจัง เห็นสีหน้าของฉู่จืออี้ค่อยๆ เคร่งเครียดขึ้น จึงอดหัวเราะไม่ได้ “หากพี่ใหญ่ยิ่งแก่ยิ่งแข็งแกร่ง ข้าก็ไม่รังเกียจ”ได้ยินดังนั้น ฉู่จืออี้ก็ชะงักยิ่งแก่ยิ่งแข็งแกร่ง?คำนี้ เขาเคยได้ยินพวกนายทหารในกองพูดอวดกันตอนดื่มเหล้าอยู่บ่อยครั้งมุมปากจึงยกขึ้นเล็กน้อย “โอ้?”เพียงคำเดียวก็ลาก
ชั่วขณะหนึ่ง เฉียวเนี่ยนก็ยังไม่ทันได้ตอบสนองฉู่จืออี้สูดลมหายใจเข้าลึก แววตาเริ่มสั่นไหวไปมา แต่ฝ่ามือที่จับข้อมือเฉียวเนี่ยนไว้กลับไม่ยอมปล่อย“ข้ารู้ดี ว่าข้าอายุมากกว่าเจ้านัก อีกทั้งยังเป็นคนหยาบกระด้าง พูดจาขวานผ่าซาก ทำอะไรก็ตรงไปตรงมา อาจไม่ได้ทำให้เจ้าชอบ แต่ถ้าเจ้ายินดีแต่งงานกับข้า...”เมื่อพูดมาถึงตรงนี้ ดวงตาของฉู่จืออี้จึงค่อยๆ กลับมามั่นคงในที่สุดก็หันมามองเฉียวเนี่ยนอีกครั้ง แววตาลึกล้ำทอความหนักแน่นมั่นคงอย่างที่สุด “ข้าฉู่จืออี้ขอสาบาน ชั่วชีวิตนี้จะมีแต่เจ้าเพียงผู้เดียว จนกว่าชีวิตจะหาไม่”ความรู้สึกเอ่อท้นในใจก็ไม่อาจข่มไว้ได้อีกเฉียวเนี่ยนไม่รอให้ฉู่จืออี้พูดต่อ ก็โผเข้ากอดเขาอย่างแรงแผงอกกว้างใหญ่ที่แผ่ความร้อนผ่าวออกมา หลังจากชะงักไปชั่วขณะก็โอบรัดนางแน่นขึ้นแม้ไม่มีคำตอบ แต่เพียงอ้อมกอดนี้ก็เพียงพอจะบอกทุกสิ่ง...ลานฝึกซ้อมนั้นค่อนข้างกว้างเหล่าองครักษ์พยัคฆ์วิ่งกันต่อเนื่องเกือบแปดรอบก็รู้สึกว่าเริ่มไม่ไหวแล้วแต่ไม่คิดว่าภายใต้แสงจันทร์ จะมีคนสองคนเดินเคียงกันมาพี่ห้าเป็นคนแรกที่เห็น สายตาก็จับจ้องไปยังเงาร่างสองคนนั้นไม่วางตาคนอื่นๆ ก็ทย
ไม่เช่นนั้น ต่อให้เป็นแค่เสียงลมสายใจอันแผ่วเบาที่ดังขึ้นมาในกระโจม เขาก็สามารถรู้สึกได้เมื่อเห็นฉู่จืออี้ไม่พูดอะไร เจ้ารองก็ยั้งรอยยิ้มกลับไปเล็กน้อยเขาก้าวเข้ามา เอ่ยกับฉู่จืออี้ช้าๆ ว่า “วางใจเถิด คนที่ส่งตัวออกไปข้าก็เรียกกลับมาทันทีแล้ว หลินเย่ว์กับเจ้าห้าก็ไม่ได้ไปไหน อยู่ข้างนอกกระโจมนี่แหละ”เมื่อได้ยินเช่นนั้นแววตาของฉู่จืออี้ก็พลันฉายแววดุดัน “เช่นนั้นพวกเขาทุกคนก็รู้แล้วรึ?”เช่นนั้นความวุ่นวายวันนี้หลอกเพียงเขาคนเดียวหรือ?เจ้ารองสัมผัสได้ถึงจิตสังหารที่ฉู่จืออี้กำลังจะแผ่ออกมา จึงถอยไปโดยสัญชาตญาณ “เอ่อ งั้นข้าไปรายงานสถานการณ์ให้พวกเขาฟังก่อนนะ!”ว่าจบก็รีบวิ่งออกไปอย่างรวดเร็วแต่ก็ยังได้ยินเสียงตะโกนอันเกรี้ยวกราดของฉู่จืออี้ “ไปวิ่งรอบลานฝึกสิบรอบ!”“โอ้!”ข้างนอกตอบรับพร้อมกันเสียงดังกึกก้อง ฟังแล้วคล้ายยังแฝงด้วยรอยยิ้มขบขันในกระโจมกลับเงียบสงัดลงบรรยากาศกระอักกระอ่วนค่อยๆ แผ่ขยายและกลืนทั้งสองคนเข้าไปเฉียวเนี่ยนถึงกับรู้สึกว่าตนราวกับตกลงไปในบึงลึก แม้แต่การหายใจก็ยากยิ่งนักฝ่ามือขยี้ไปมา แก้มก็ร้อนผ่าวขึ้นมาอย่างมากเฉียวเนี่ยนพลันตระหนักว่าตนเ
เพียงแค่ชำเลืองมอง ฉู่จืออี้ก็รู้สึกว่าโลหิตทั่วร่างหลั่งพุ่งพล่านขึ้นสู่กระหม่อมเขาก้าวพุ่งไปข้างหน้า ผลักเจ้ารองออกไปเต็มแรง "เจ้าบ้าไปแล้วหรือ?"ขณะเอ่ย ฉู่จืออี้ก็ย่อตัวลง แก้เชือกที่มัดมือเท้าของเฉียวเนี่ยน ใบหน้ามืดหม่นน่ากลัวแรงผลักนั้นรุนแรงมาก เจ้ารองเกือบจะล้มหงายหลัง ดีที่ตั้งตัวได้ทันมองใบหน้าที่บึ้งตึงแข็งกร้าวดุจเหล็กกล้าของฉู่จืออี้ แต่กลับยิ้มหน้าด้าน "เรื่องนี้ข้าผิด แต่ก็จำต้องทำ หากไม่ใช้แผนนี้ให้เจ้าทั้งสองมองให้ชัดว่ามีใจต่อกันเพียงใด พวกเจ้าจะยังวุ่นวายกันไปถึงเมื่อไหร่?"ฉู่จืออี้ไม่ตอบ แต่รัศมีรอบกายกลับมืดมนอย่างรุนแรงเขาดึงผ้าที่ปิดปากเฉียวเนี่ยนออก แล้วจึงลุกขึ้น มองไปยังเจ้ารอง "นี่ไม่ใช่ข้ออ้างให้เจ้าทำเรื่องเหลวไหล! รู้หรือไม่ว่าวันนี้ข้าระดมคนไปเท่าไร? หากเกิดศึกขึ้นกระทันหัน รู้หรือไม่ว่าจะทำให้เสียการไปเพียงใด?!"เพียงแต่ว่า ตั้งแต่ต้นจนจบ เขาไม่เคยมองเฉียวเนี่ยนเลยสักครั้งราวกับว่าหากไม่มอง ก็ไม่ต้องเผชิญหน้ากับมันเจ้ารองรู้ดีว่าวันนี้การกระทำนี้ย่อมทำให้ฉู่จืออี้โกรธเป็นฟืนเป็นไฟ ดังนั้นเขาจึงเตรียมใจรับโทษไว้แล้วกลับพูดว่า "ข้ารู้แน่
ด้านนอกเปิดทางแล้ว เกอซูอวิ๋นก็พุ่งเข้ามา "เนี่ยนเนี่ยนล่ะ? เจอเนี่ยนเนี่ยนหรือยัง?"สีหน้านางเต็มไปด้วยความกังวลจนถึงขนาดลืมสวมผ้าคลุมหน้าที่ปกติเวลาเจอผู้อื่นจะต้องใส่ ใบหน้างามล่มเมืองนั้นก็ปรากฏอยู่ต่อหน้าคนทั้งสองเช่นนี้เจ้ารองชะงักไปเขารู้อยู่ว่าหญิงสาวกลุ่มชนเตอร์กิกล้วนงดงาม แต่สวยดั่งเกอซูอวิ๋นนั้นหาได้ยากนักข้างกายกลับได้ยินเสียงเย็นชาของฉู่จืออี้ดังขึ้น "เจอแล้วจะบอก ออกไป!"ช่างไม่เข้าใจความอ่อนโยนต่อสตรีแม้แต่น้อยเกอซูอวิ๋นชะงักไป ดวงตาก็แดงเรื่อขึ้นมาในทันที "ท่านไม่เหมือนกับที่เนี่ยนเนี่ยนบอกข้าเลย! ท่านไม่ดีเอาเสียเลยสักนิด!"ว่าจบ เกอซูอวิ๋นก็วิ่งออกไปด้วยความน้อยใจเจ้ารองขยับปากเหมือนจะพูดอะไร แต่ก็ได้แค่ถอนหายใจอย่างจนใจ ก่อนจะมองไปยังฉู่จืออี้ "องค์หญิงก็แค่เป็นห่วงเนี่ยนเนี่ยน เจ้าจะต้องทำถึงเพียงนี้เชียวหรือ?"ฉู่จืออี้สีหน้าเย็นชา ไม่เอ่ยตอบเขาเองก็ไม่อยากเป็นแบบนี้แม้จะปวดหัวกับเรื่องการแต่งเชื่อมสัมพันธ์ เขาก็รู้ว่าเกอซูอวิ๋นจำต้องยอมโดนส่งตัวมา ดังนั้นตลอดช่วงที่ผ่านมา เรื่องกินอยู่ใช้สอยของเกอซูอวิ๋นก็ล้วนดีที่สุดในกองทัพ เขาไม่เคยละเลยองค