นางอดไม่ได้จะมองพิจารณาฉู่จืออี้อีกครั้งถึงแม้ตอนนี้เขาจะสวมเพียงเสื้อผ้าฝ้ายหยาบ ๆ แต่เส้นกล้ามเนื้อบนร่างกลับยังคงเด่นชัดแม้จะเห็นแค่ราง ๆสายตาคมกริบดั่งเหยี่ยว รอยแผลบนใบหน้านั้น กลับยิ่งทำให้โฉมหน้าที่หล่อเหลาอยู่เดิมเพิ่มความคมเข้มดุดันขึ้นมาอีกเป็นอย่างมากอีกทั้งเขายังสามารถฆ่าหมีได้ ถ้าจะจัดการกับนาง ก็คงไม่ยากเลยแต่เฉียวเนี่ยนกลับรู้สึกว่าเขาไม่ใช่คนเลวแม้แต่ชาวบ้านในหมู่บ้านเหอวานต่างก็พูดถึงเขาในทางดี เรียกได้ว่าเป็นคนดีคนหนึ่งเลยก็ว่าได้ถ้าเป็นคนดีจริง ย่อมไม่บังคับฝืนใจใครคิดได้ดังนั้น เฉียวเนี่ยนจึงสูดหายใจเข้าลึกก่อนจะตัดสินใจเอ่ยออกไปว่า "พี่ไป๋ ข้าไม่อยากแต่งงาน เงินถุงนี้ ข้ารับไว้ไม่ได้เจ้าค่ะ""..."ฉู่จืออี้เงยหน้าขึ้นมองเฉียวเนี่ยนอย่างตกตะลึง ยามนี้ท้องฟ้าได้มืดสนิท ภายในห้องมีเพียงแสงเทียนริบหรี่ที่ส่องสว่างอยู่เขามองไม่ชัดนักว่าใบหน้าของนางเป็นเช่นไร แต่กลับเห็นชัดถึงดวงตากลมใสคู่นั้น ที่สั่นระริกอย่างตื่นตระหนกฉู่จืออี้จึงรู้ตัวทันทีว่าเป็นเพราะคำพูดของตนเมื่อครู่ทำให้นางเข้าใจผิด จึงเอ่ยอธิบายเบา ๆ "แม้หมู่บ้านเหอวานจะเงียบสงบ แต่ก็ใช่ว่าจะ
แคว้นจิ้ง ยี่สิบแปดเดือนสิบสองมันเป็นวันที่อากาศกำลังหนาวเย็นพอดีเฉียวเนี่ยนซักเสื้อผ้าชุดสุดท้ายในตอนเช้าเสร็จ ยังไม่ทันเช็ดมือที่หนาวจนชาให้แห้งก็ได้ยินนางกำนัลอาวุโสจากกรมซักล้างตะโกนเรียกนางว่า “เฉียวเนี่ยน เร็วเข้า จวนโหวมีคนมารับเจ้าแล้ว!”นางยืนอึ้งอยู่ที่เดิมจวนโหว ช่างเป็นคําที่ทั้งคุ้นเคยและไม่คุ้นเคยยิ่งนักนางเคยเป็นคุณหนูผู้สูงศักดิ์ของจวนโหวมาสิบห้าปี แต่เมื่อสามปีก่อนกลับได้รับแจ้งว่าตนเองเป็นตัวปลอมเป็นนางกำนัลอาวุโสที่ทําคลอดในตอนนั้นที่เห็นแก่ตัว นำลูกของตัวเองกับคุณหนูของจวนโหวแลกเปลี่ยนกัน และก่อนตายก็ค้นพบมโนธรรมและบอกความจริงออกมาเฉียวเนี่ยนจําได้แม่นว่าวันนั้นที่ท่านโหวสองสามีภรรยาได้รู้จักกับหลินยวนลุกสาวแท้ๆ นั้นตื่นเต้นแค่ไหน พวกเขากอดกันทั้งร้องไห้ทั้งหัวเราะ ส่วนนางยืนมองอยู่ข้างๆ อย่างทําอะไรไม่ถูก ไม่เข้าใจว่าพ่อแม่ที่ตัวเองเรียกมาสิบห้าปี ทําไมจู่ๆ ถึงไม่ใช่พ่อแม่ของตัวเองแล้วอาจเป็นเพราะมองเห็นความผิดหวังของนางได้ ท่านโหวหลินจึงสัญญากับนางว่า นางยังคงเป็นคุณหนูของจวนโหว และยังให้หลินยวนเรียกนางว่าพี่สาว แม้แต่ฮูหยินหลินก็ยังบอกว่า พวกเขาย
เฉียวเนี่ยนชะงักงัน หัวใจที่คิดว่าไม่รู้สึกอะไรอีกแล้วยังคงเต้นผิดจังหวะเพราะเสียงที่คุ้นเคยนั้นนางค่อยๆ เงยหน้าขึ้นมองชายหนุ่มในรถม้าเป็นแม่ทัพหนุ่มที่ถูกแต่งตั้งผู้นั้น อดีตคู่หมั้นของนาง เซียวเหิงนางแทบจะคุกเข่าลงทันที “บ่าวคารวะแม่ทัพเซียวเจ้าค่ะ”คิ้วของเซียวเหิงขมวดเข้าหากันเล็กน้อย สายตากวาดมองข้อเท้าของนางแวบหนึ่ง เอ่ยถามเสียงเรียบว่า “แม่นางหลินจะกลับจวนหรือ?”เฉียวเนี่ยนหลุบตามองเข่าทั้งสองข้างของตัวเอง แล้วพยักหน้า “เจ้าค่ะ”สิ้นเสียงก็เงียบไปพักหนึ่งเซียวเหิงรอให้นางพูดต่อเพราะเมื่อก่อน ต่อหน้าเขานางมักมีเรื่องพูดไม่จบตลอดเขาไม่ชอบคนพูดมาก แต่เห็นแก่มิตรภาพของทั้งสองตระกูลจึงไม่ตําหนินางมากเกินไป แต่ก็ไม่เคยปิดบังความเบื่อหน่ายของตัวเองบางครั้งถูกรบกวนจนรําคาญจริงๆ ก็จะหยิบขนมกล่องหนึ่งออกมาอุดปากนาง ทุกครั้งที่ถึงเวลานั้น นางมักจะดีใจเหมือนเด็กๆ แต่ปากที่หนวกหูนั้นอย่างมากก็อุดได้แค่ครึ่งก้านธูปเท่านั้นนึกไม่ถึงว่าไม่ได้เจอกันสามปี นางตอบแค่คําสั้นๆ คําเดียวเซียวเหิงลงจากรถม้า ไม่ได้เข้าไปประคองนาง เพียงกล่าวอย่างเย็นชาว่า “ข้าเข้าวังไปรายงานพอดี แม่นา
เรือนเก่าของเฉียวเนี่ยนมีชื่อว่าเรือนลั่วเหมยในเรือนเต็มไปด้วยดอกเหมยต่างๆ ตั้งแต่ต้นฤดูหนาว ดอกเหมยในเรือนดอกเหมยจะบานสะพรั่งอย่างแข่งกัน จนกระทั่งต้นฤดูใบไม้ผลิก็จะไม่เหี่ยวเฉาดอกเหมยเหล่านั้น ล้วนเป็นท่านโหวหลินส่งคนไปตามหาจากทั่วแคว้นจิ้งด้วยตนเอง เพียงเพราะเฉียวเนี่ยนในวัยเด็กเคยกล่าวไว้ว่า ดอกไม้ที่โปรดปรานที่สุดในชีวิตนี้ก็คือดอกเหมยจวนโหวต้องใช้เงินหลายร้อยตําลึงในการบํารุงรักษาดอกเหมยเหล่านั้นทุกปีแต่หลังจากหลินยวนกลับมาในปีนั้น ก็บอกแค่ว่าดอกเหมยในสวนของพี่หญิงสวยมาก เรือนดอกเหมยนั้นก็กลายเป็นของหลินยวนแล้วเฉียวเนี่ยนในตอนนั้นเต็มไปด้วยความเคียดแค้น ตอนนี้พอนึกขึ้นได้กลับไม่มีอารมณ์ใดๆหลินยวนต่างหากที่เป็นลูกสาวแท้ๆ ของจวนโหว ของในบ้านนี้ก็ดี คนก็ดี ล้วนเป็นของหลินยวนทั้งนั้นและนางก็เป็นเพียงคนนอกที่มาครอบครองก็เท่านั้นสาวใช้ที่นําทางกลับกระตือรือร้น “สาวใช้ที่เคยรับใช้คุณหนูแต่งงานไปแล้ว ฮูหยินให้บ่าวติดตามคุณหนูต่อไป บ่าวชื่อหนิงซวง ต่อไปหากคุณหนูมีเรื่องอะไรก็สั่งบ่าวได้เลย”หนิงซวงมีใบหน้าอ่อนเยาว์ แก้มอวบอิ่ม เฉียวเนี่ยนเห็นนางคุ้นตาจึงถามว่า “เจ้าเป็นคน
เมื่อเห็นเจตนาดีของหลินยวนถูกเฉียวเนี่ยนตอกกลับ หลินเย่ว์ก็เก็บความรู้สึกผิดในใจกลับทันที เอ่ยเสียงเย็นชาว่า “เจ้าไม่ต้องทําตัวประหลาดเช่นนี้ ร่างกายบาดเจ็บทําไมไม่บอกตั้งแต่แรก! ไม่มีปากเหรอ?ถ้านางพูดก่อนหน้านี้ เขาจะไปโรงหมอหลวงเพื่อขอยามาให้นางอย่างแน่นอน!“เมื่อครู่กลับอยากบอกว่า ท่านโหวน้อยไม่ให้โอกาส” เฉียวเนี่ยนพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบ ในที่สุดก็ดึงมือทั้งสองกลับมาจากมือของฮูหยินหลินดวงตาของหลินเย่ว์มืดมนลง นางกลับจวนไปแล้ว ยังไม่ยอมเรียกเขาว่าพี่ชายอีกความโกรธในใจไม่ลดลง เขาตะคอกเสียงต่ำว่า “ข้าก็อยากถามเหมือนกัน ถึงอย่างไรเจ้าก็เป็นคุณหนูสูงศักดิ์ของจวนโหวของข้า ตั้งแต่เด็กก็ฝึกวรยุทธ์กับอาจารย์วรยุทธ์ของจวนนี้ ในกรมซักล้างนั้นมียอดฝีมือคนไหนกันแน่ที่ทําร้ายเจ้าได้ถึงเพียงนี้?”คําพูดเพียงประโยคเดียวทําให้เฉียวเนี่ยนใจหายวาบนางหลุบตาลงดึงแขนเสื้อลง น้ำเสียงอ่อนโยนกลับแฝงไว้ด้วยความหนาวเหน็บที่ทําให้คนตัวสั่นเทิ้ม “ตอนแรกก็เคยต่อต้าน เหมือนที่ท่านโหวน้อยกล่าวไว้ นางบ่าวในวังเหล่านั้นล้วนไม่ใช่คู่ต่อสู้ของข้าจริงๆ แต่พวกนางสู้ข้าไม่ได้ก็จะใช้เล่ห์เหลี่ยมในที่มืด! อย่า
เซียวเหิงหลุบตามองกล่องของขวัญที่ใส่สมุนไพรในมือ ไม่ได้พูดอะไรหลินเย่ว์กลับยิ่งกระวนกระวายใจ “วันนี้เจ้าไม่ได้รับหมายเรียก เจตนาไปรับนางที่หน้าประตูวังหรือ?”เซียวเหิงยังคงไม่พูดอะไรหลินเย่ว์เติบโตมาด้วยกันกับเขา จะไม่รู้ได้อย่างไรว่านี่เป็นการยอมรับโดยปริยายจึงกดเสียงลงต่ำ “เซียวเหิง เจ้าบ้าไปแล้วหรือ? เมื่อก่อนตอนที่เจ้าพึมพําเจ้า เจ้าชอบที่จะไม่สนใจ แต่ตอนนี้เจ้ากลายเป็นคู่หมั้นของยวนเอ๋อร์แล้ว เจ้ากลับสนใจนางขึ้นมาหรือ? ข้าเตือนเจ้านะ ข้ามีแค่น้องสาวสองคนนี้ เจ้าอย่าบังคับให้ข้าเป็นพี่น้องกับเจ้าไม่ได้”ได้ยินดังนั้น เซียวเหิงกลับยิ้มหยัน เงยหน้าขึ้นมองหลินเย่ว์ เต็มไปด้วยการเยาะเย้ย “พี่หลินพูดแบบนี้ กลับทําให้ท่านดูเหมือนกําลังสนใจเนี่ยนเนี่ยนอยู่นะ”แต่เห็นได้ชัดว่าเขาเป็นคนที่ใช้คำพุดทิ่มแทงเนี่ยนเนี่ยนเองแท้ๆเพียงประโยคเดียวก็ทําให้ความโกรธของหลินเย่ว์จุกอยู่ในลําคอเขาจ้องมองเซียวเหิงอย่างเอาเป็นเอาตาย พยายามเค้นสมองคิดแต่พูดออกมาเพียงประโยคเดียวว่า “แล้วเจ้าดีกว่าตรงไหนกัน? อย่าลืมว่าเมื่อสามปีก่อนเจ้าก็อยู่ที่นี่ด้วย นางเกลียดข้าและเกลียดเจ้าเช่นกัน”“ข้ารู้”
คืนนั้นเฉียวเนี่ยนนอนไม่หลับจนถึงรุ่งเช้านางก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทําไมอาจเป็นเพราะเตาอุ่นในห้องนั้นร้อนเกินไป ไม่เหมือนกับบ้านไม้ที่มีลมและฝนรั่วและชื้นที่นางนอนมาสามปีหรือผ้าห่มแห้ง คลุมตัวทั้งนุ่มและอบอุ่นถึงอย่างไรทุกอย่างก็สวยงามจนทําให้เฉียวเนี่ยนรู้สึกเหมือนอยู่คนละโลก ไม่เหมือนความจริงเป็นอย่างยิ่งนางคิดว่านางจะอยู่ในกรมซักล้างตลอดชีวิตจนกระทั่งดวงอาทิตย์ที่อบอุ่นขึ้นในวันรุ่งขึ้นส่องเข้ามาในห้อง นางจึงเข้าใจเหมือนเพิ่งตื่นจากฝันว่านางกลับมาแล้วจริงๆฮูหยินหลินได้เตรียมเสื้อผ้าใหม่ให้กับนาง นางน่าจะซื้อมาจากร้านเสื้อผ้าสําเร็จรูป มันยังคงไม่พอดีตัว แต่อย่างน้อยแขนเสื้อของนางก็สามารถปกปิดบาดแผลที่แขนของนางได้ดังนั้นนางจึงไปที่เรือนของฮูหยินเฒ่าตั้งแต่เช้าเวลานี้ฮูหยินเฒ่ากําลังไหว้พระ เฉียวเนี่ยนจึงยืนอยู่นอกประตูอย่างเรียบร้อย ไม่คิดจะรบกวนแต่ราวกับมีความรู้สึกบางอย่าง ทันใดนั้นฮูหยินเฒ่าก็หันหน้ามา จากนั้นดวงตาทั้งคู่ก็แดงก่ำ“กลับมาแล้วเหรอ?”คําพูดแค่ไม่กี่คำ กลับเผยให้เห็นถึงความเศร้าโศกที่ไม่มีที่สิ้นสุดเฉียวเนี่ยนก็อดตาแดงไม่ได้ พอเข้าไปในห้องก็คุกเข่
หลินเย่ว์มองเฉียวเนี่ยนอย่างไม่เชื่อสายตา เขาอยากจะตําหนิเฉียวเนี่ยนที่โกหกโดยไม่รู้ตัว แต่เมื่อเห็นแม่ของเขานั่งอยู่ข้างๆ ก้มหน้าลงและไม่คิดจะพูดอะไร เขาก็ได้คําตอบในใจแล้วแต่จะเป็นไปได้อย่างไร?ท่านพ่อชอบเนี่ยนเนี่ยนมากที่สุดตั้งแต่เด็กนี่นา!จะให้นางเปลี่ยนแซ่ได้ยังไงล่ะ?ความรู้สึกที่หัวใจถูกบางสิ่งฉีกกระชากอย่างรุนแรงทําให้หลินเย่ว์หายใจติดขัดอีกครั้งเขาเพียงรู้สึกรําคาญมาก มองคนเต็มห้อง แต่กลับไม่มีสักคนที่ถูกตา จึงสะบัดแขนเสื้อเดินจากไปการจากไปของเขาทําให้เซียวเหิงค่อนข้างอึดอัดเขาก้าวเข้าไปทําความเคารพ “เซียวเหิงคารวะฮูหยินเฒ่าหลินขอรับ”สําหรับเขา ฮูหยินเฒ่าหลินกลับใจดีแม่ทัพหนุ่มที่ถูกแต่งตั้ง มีความกล้าหาญและวางแผน ไม่ว่าเวลาไหนก็สุภาพเรียบร้อย สุภาพเรียบร้อยแบบนี้ จะไม่ถูกใจผู้ใหญ่ได้อย่างไรกัน?ฮูหยินเฒ่ารีบยกมือขึ้นทักทาย “แม่ทัพเซียวรีบนั่งลงเถอะ! เมื่อวานเจ้าเพิ่งส่งสมุนไพรล้ำค่ามากมายมา เป็นข้าเองที่ไปขอบคุณถึงจะถูก”เซียวเหิงนั่งลงตรงข้ามหลินยวน มองฮูหยินเฒ่าด้วยสีหน้าอ่อนโยน “พ่อแม่ของข้ากําลังอยู่ในวัยฉกรรจ์ ไม่จําเป็นต้องใช้ของเหล่านั้น โสมเขากวางที
นางอดไม่ได้จะมองพิจารณาฉู่จืออี้อีกครั้งถึงแม้ตอนนี้เขาจะสวมเพียงเสื้อผ้าฝ้ายหยาบ ๆ แต่เส้นกล้ามเนื้อบนร่างกลับยังคงเด่นชัดแม้จะเห็นแค่ราง ๆสายตาคมกริบดั่งเหยี่ยว รอยแผลบนใบหน้านั้น กลับยิ่งทำให้โฉมหน้าที่หล่อเหลาอยู่เดิมเพิ่มความคมเข้มดุดันขึ้นมาอีกเป็นอย่างมากอีกทั้งเขายังสามารถฆ่าหมีได้ ถ้าจะจัดการกับนาง ก็คงไม่ยากเลยแต่เฉียวเนี่ยนกลับรู้สึกว่าเขาไม่ใช่คนเลวแม้แต่ชาวบ้านในหมู่บ้านเหอวานต่างก็พูดถึงเขาในทางดี เรียกได้ว่าเป็นคนดีคนหนึ่งเลยก็ว่าได้ถ้าเป็นคนดีจริง ย่อมไม่บังคับฝืนใจใครคิดได้ดังนั้น เฉียวเนี่ยนจึงสูดหายใจเข้าลึกก่อนจะตัดสินใจเอ่ยออกไปว่า "พี่ไป๋ ข้าไม่อยากแต่งงาน เงินถุงนี้ ข้ารับไว้ไม่ได้เจ้าค่ะ""..."ฉู่จืออี้เงยหน้าขึ้นมองเฉียวเนี่ยนอย่างตกตะลึง ยามนี้ท้องฟ้าได้มืดสนิท ภายในห้องมีเพียงแสงเทียนริบหรี่ที่ส่องสว่างอยู่เขามองไม่ชัดนักว่าใบหน้าของนางเป็นเช่นไร แต่กลับเห็นชัดถึงดวงตากลมใสคู่นั้น ที่สั่นระริกอย่างตื่นตระหนกฉู่จืออี้จึงรู้ตัวทันทีว่าเป็นเพราะคำพูดของตนเมื่อครู่ทำให้นางเข้าใจผิด จึงเอ่ยอธิบายเบา ๆ "แม้หมู่บ้านเหอวานจะเงียบสงบ แต่ก็ใช่ว่าจะ
เขาเองก็ไม่ได้คิดอะไรมากนัก เพียงเอ่ยเสียงทุ้ม "พอดีล่าหมีได้ตัวหนึ่ง จึงต้องรีบลากไปที่ตัวเมืองก่อนที่มันจะตาย"ขณะพูดก็หยิบโสมต้นเล็ก ๆ หนึ่งต้นออกมาจากในอกเสื้อ "พรุ่งนี้รบกวนป้าตุ๋นไก่ใส่โสมให้ทีเถอะนะ"ในหมู่บ้านไม่มีของกินดี ๆ อะไรมากนัก น้ำซุปไก่ก็ถือเป็นของบำรุงชั้นยอดแล้วนางรอดตายมาได้ก็นับว่าโชคดี แต่ร่างกายยังอ่อนแอเกินไป ต้องบำรุงให้มากหน่อยพูดจบก็หยิบเงินตำลึงออกมาสองสามตำลึงและยื่นให้ป้าชุนป้าชุนรีบปฏิเสธ "ไม่เป็นไร ๆ ก่อนหน้านี้ก็ให้มาตั้งห้าตำลึงแล้วไม่ใช่เหรอ?""ก่อนหน้านี้ก็คือก่อนหน้านี้" ฉู่จืออี้แรงเยอะ ป้าชุนไม่อาจฝืนเขาได้ ก็ได้แต่รับมันมาอย่างเลี่ยงไม่ได้"เช่นนั้นรอข้าก่อนนะ เดี๋ยวข้าไปตักข้าวให้เจ้า!"พูดจบก็เดินกลับไปยังบ้านของตัวเองฉู่จืออี้จึงเดินไปที่ครัว ตักน้ำเย็นจากโอ่งมาหนึ่งกระบวยและยกขึ้นดื่มรวดเดียวหมดจากมุมที่เฉียวเนี่ยนนั่งอยู่ สามารถมองเห็นแผ่นหลังของเขาขณะดื่มน้ำพอดีรวมถึงคราบเลือดขนาดใหญ่ที่เปรอะอยู่บนเสื้อเขานางขมวดคิ้วอย่างไม่รู้ตัว เมื่อครู่คำพูดของฉู่จืออี้กับป้าชุนนางก็ได้ยินหมดแล้วล่าหมีงั้นหรือ ต้องอันตรายมากแน่ ๆเ
เฉียวเนี่ยนชะงักไปชั่วขณะยังไม่ทันได้ตั้งสติ ป้าชุนก็รีบพูดขึ้นว่า "อย่าไปฟังป้าตงฮวาพูดเรื่อยเปื่อยเลยนะ ไป๋อวี่กับพรานจากหมู่บ้านใกล้ ๆ อีกหลายคนจะเข้าไปลึกในป่าสักครั้งทุกสองสามเดือนน่ะ ในป่าลึกน่ะ มีของป่าหายากกว่าข้างนอกเยอะ!"ข้างนอกมากสุดก็แค่เจอไก่ป่า กระต่ายป่าแต่ในป่าลึกนั้นไม่เหมือนกันเลยมีทั้งหมูป่า หมี และบางครั้งถึงขั้นเจอเสือก็มีเมื่อหลายปีก่อน ไป๋อวี่เคยขึ้นเขากับกลุ่มพรานพวกนั้นแล้วได้เสือมาหนึ่งตัว พอเอาไปขายที่ในตัวเมือง ก็ได้เงินมาจำนวนมาก พอแบ่งกันแล้ว ไป๋อวี่ก็ไม่ต้องเข้าไปในป่าลึกอีกตลอดทั้งปีแต่ป้าตงฮวากลับแค่นเสียงด้วยความไม่พอใจ "ข้าพูดผิดตรงไหนกัน? ไป๋อวี่เพิ่งเข้าไปในป่าลึกคราวที่แล้ว ยังไม่ถึงเดือนเลยด้วยซ้ำ!"ในเดือนเดียวเข้าไปในป่าลึกถึงสองครั้ง ไม่ใช่เพราะต้องใช้เงินรักษาคนหรือไง?ป้าชุนกลัวว่าเฉียวเนี่ยนจะคิดมากจึงอดไม่ได้ที่จะถลึงตาใส่ป้าตงฮวา "โอ๊ย พูดให้น้อย ๆ หน่อย!"ดูเหมือนป้าตงฮวาเพิ่งรู้ตัว นางจึงหันมายิ้มแห้ง ๆ ให้เฉียวเนี่ยน "อะ… แม่หนูอย่าคิดมากนะ ไป๋อวี่น่ะเก่งจะตาย ไม่มีทางเป็นอะไรแน่นอน!"เฉียวเนี่ยนยกมุมปากขึ้นเล็กน้อยและพย
อย่างไรเสีย เขาก็เคยเป็นแม่ทัพที่นำทัพมาหลายปี หากแม้แต่เล่ห์กลตื้น ๆ ของซุนเซี่ยนเขายังดูไม่ออก ก็เท่ากับเสียชาติเกิดแล้วใบหน้าของซุนเซี่ยนแดงบ้างซีดบ้างสลับกันไปมา"แต่ข้าก็ช่วยเจ้ามาไม่น้อยเลยนะ! อย่าลืมล่ะ ตอนที่เจ้าส่งคนไปตามหาที่แม่น้ำฉางหยาง ข้าก็ให้เจ้ายืมคนให้เจ้าตั้งเยอะ!""พูดถึงเรื่องนั้น…" เสียงของเซียวเหอเย็นเฉียบ สายตาที่มองซุนเซี่ยนก็ปกคลุมด้วยไอสังหาร "หากมิใช่เพราะใต้เท้าซุนตั้งใจแพร่ข่าวให้กระจายไปทั่ว เนี่ยนเนี่ยนคงไม่ตกอยู่ในกำมือโจรภูเขา และคงไม่ตกลงไปในแม่น้ำฉางหยางหรอก!"ได้ยินดังนั้น ซุนเซี่ยนก็สะดุ้งเฮือกในที่สุดเขาก็เข้าใจว่าทำไมเซียวเหอถึงแทงเขาจากด้านหลังทันใดนั้นก็ร้องออกมาด้วยความตกใจ "เจ้าคนแซ่เซียว! เรื่องนี้เจ้าจะโยนมาให้ข้าไม่ได้! ตอนแรกมันก็เป็นเจ้าต่างหากที่ให้คนปล่อยข่าว ข้าแค่ช่วยนิดหน่อยเอง อีกอย่าง บางทีตอนที่ข้ายังไม่ทันแพร่ข่าวออกไป โจรภูเขาพวกนั้นก็อาจรู้เรื่องอยู่แล้วก็ได้!"ก็ใช่ มันมีความเป็นไปได้นั้นอยู่แต่ตอนนั้นเขาเดาแผนของเนี่ยนเนี่ยนออกแล้ว จึงให้จี้เยว่ไปปิดข่าวไว้ แต่เป็นซุนเซี่ยนนั่นแหละ ที่เอาแต่โหมไฟให้เรื่องใหญ่โต!
หลังจากท่านโหวหลินแสดงความขอบคุณเสร็จแล้วก็ออกไปภายในห้องทรงอักษรจึงเหลือเพียงเซียวเหอกับฮ่องเต้เมื่อเห็นสีหน้าหม่นหมองของเซียวเหอ ฮ่องเต้ก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะ "เป็นอะไรไปหรือ? ไม่พอใจรึ? หรือเจ้าคิดจะกวาดล้างจวนโหวจนหมดสิ้นกันเล่า?"เซียวเหอรีบประสานมือคำนับ กล่าวเสียงเบา "กระหม่อมมิกล้าพ่ะย่ะค่ะ"ฝ่าบาทถอนพระทัยเบา ๆ "ตระกูลหลินก็เป็นขุนนางที่บุกเบิกแผ่นดินนี้ หากว่าข้าสามารถไม่ใยดีทุกสิ่งและกวาดล้างตระกูลหลินได้ ป่านนี้ตระกูลหลินก็คงไม่หลงเหลืออยู่แล้ว"หลังความวุ่นวายของกษัตริย์ทั้งห้า ตระกูลหลินก็ควรจะสิ้นชื่อไปแล้วเซียวเหอไม่ได้ตอบอะไร ฝ่าบาทเหลือบตามองเขาอีกครั้ง พลางยิ้มบาง ๆ "ยิ่งไปกว่านั้น นั่นก็คือบ้านเกิดของเนี่ยนเนี่ยน หากเจ้าอยากทำเพื่อเนี่ยนเนี่ยนจริง ๆ เจ้าก็ควรจะเก็บตระกูลหลินไว้"จะให้เฉียวเนี่ยน ไม่สิ หลินเนี่ยนต้องมีความแค้นลึกฝังใจกับบ้านเกิดของตนเองกระนั้นหรือ?สีหน้าเซียวเหอเรียบเฉย แต่ก็พยักหน้าเล็กน้อย "ฝ่าบาทตรัสถูกแล้ว"แต่ในใจเขากลับคิดว่า หากเนี่ยนเนี่ยนยังอยู่ นางจะจัดการเรื่องนี้อย่างไร?นางคงไม่สนใจหรอกนางยังอยากจะตัดขาดกับจวนโหวเสียด้วยซ
มองแผ่นหลังของเซียวเหิงลับตาไป เซียวเหอก็จึงหรี่ตาลงด้วยแววตาลึกล้ำ ก่อนจะหันกายมุ่งหน้าสู่ห้องทรงอักษรภายในห้องทรงอักษร นอกจากเซียวเหอแล้ว ยังมีท่านโหวหลินอยู่ด้วยเรื่องราวผ่านพ้นมานานเพียงนี้แล้ว แต่ท่านโหวหลินกลับดูชราลงไปถนัดตา เดิมทีเพียงขมับขาวซีดเล็กน้อย บัดนี้กลับกลายเป็นศีรษะขาวโพลนทั้งหัวฮ่องเต้ทอดพระเนตรเห็นท่านโหวหลินเป็นเช่นนั้น ก็รู้สึกสะท้อนพระทัยอยู่ไม่น้อย จึงตรัสขึ้นอย่างอดมิได้ว่า "พูดมาเถอะ เรื่องทั้งหมดเป็นอย่างไรกันแน่?"ท่านโหวหลินไม่กล่าวสิ่งใดเซียวเหอจึงก้าวขึ้นข้างหน้า คารวะหนึ่งครั้งแล้วกล่าวขึ้นว่า "ขอพระราชทานกราบทูล ฝ่าบาท สามปีก่อน ท่านโหวหลินตาถั่ว มองคนผิด เอาสตรีที่แอบอ้างว่าเป็นบุตรสาวสายตรงแห่งจวนโหว หรือก็คือหลินยวนนั้น มารับไว้เป็นลูกสาว ส่วนบุตรสาวแท้ ๆ กลับถูกนับว่าเป็นบุตรสาวบุญธรรม เท่ากับเป็นการลวงเบื้องบน ก่อให้บุตรสาวที่แท้แห่งจวนโหวต้องทนทุกข์ทรมานถึงสามปี บัดนี้ยังไม่ทราบชะตากรรมเป็นตาย ขอฝ่าบาททรงโปรดสอบสวนให้ถึงที่สุดด้วยเถิด"คำว่าลวงเบื้องบนเปรียบดั่งศิลาก้อนใหญ่กระแทกลงมา ท่านโหวหลินทรุดตัวคุกเข่าลงในทันทีแต่กลับหาได้กล่าว
ในเมืองหลวง ภายในพระราชวังเซียวเหอเข้าวังครั้งนี้ตามพระราชโองการท้องพระโรงอันกว้างใหญ่ ขุนนางฝ่ายบุ๋นและฝ่ายบู๊ต่างยืนเรียงรายอยู่สองฟาก ซ้ำเซียวเหอเองแม้จะมาในคราบชาวบ้านธรรมดา ทว่ากลับก้าวเดินอย่างมั่นคง ไม่รีบร้อน ไม่ช้าเกินไปเพียงไม่นาน เซียวเหอก็เดินไปถึงกลางท้องพระโรง พลางสะบัดชายเสื้อเบา ๆ คุกเข่าลงข้างหนึ่ง “ข้าน้อยเซียวเหอ ขอถวายบังคมฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ”ขณะนั้นเอง ข้างกายเขายังมีอีกผู้หนึ่งที่คุกเข่าอยู่เช่นกันซุนเซี่ยนเมื่อเห็นเซียวเหอ เหงื่อเม็ดโตบนหน้าผากของซุนเซี่ยนก็ไหลลงมาอย่างไม่อาจควบคุมได้ ความโกรธแค้นลุกลามอยู่ในอก แต่ต่อหน้าฮ่องเต้ แม้แต่จะชำเลืองมองเซียวเหอสักนิดก็ยังไม่กล้าแล้วเสียงของฮ่องเต้ก็ดังขึ้น "ซุนเซี่ยนไร้ความสามารถ ปลดออกจากตำแหน่งขุนนางทันที ถอดเบี้ยหวัดทั้งหมด! นับแต่วันนี้เป็นต้นไป ตำแหน่งผู้บัญชาการกองทหารรักษาพระองค์ ให้เซียวเหอรับหน้าที่แทน!"เมื่อได้ยินดังนั้น เซียวเหอก็โค้งตัวทำความเคารพช้า ๆ "ข้าน้อยน้อมรับพระราชโองการพ่ะย่ะค่ะ"ซุนเซี่ยนย่อมไม่เต็มใจแต่เมื่อวานนี้ที่ท้องพระโรง ราชครูชิวเป็นหัวเรือใหญ่ ร่วมกับบรรดาขุนนางอีกนับสิบคน
ในขณะนั้นเอง ก็มีเสียงบางอย่างดังกรอบแกรบมาจากในเรือน"เพล้ง!"ฉู่จืออี้ชะงักไปครู่หนึ่ง ก่อนจะวางขวานในมือลง ลุกเดินไปยังหน้าประตูร่างของเขานั้นสูงใหญ่เกินไปเพียงแค่ยืนตรงประตู ก็สามารถบดบังแสงจากด้านนอกไว้ได้เกือบหมด ทำให้บรรยากาศในห้องพลันมืดลงอย่างเห็นได้ชัดเฉียวเนี่ยนเงยหน้าขึ้นมองฉู่จืออี้ แววตาเต็มไปด้วยความรู้สึกผิด "ขออภัยเจ้าค่ะ ข้าต้องการจะดื่มน้ำ แต่จับไม่มั่น…"ถ้วยจึงร่วงตกแตกกระจายเศษถ้วยกระจายเต็มพื้นฉู่จืออี้มองไปยังเศษถ้วยข้างเท้าของนาง ก่อนจะยกเท้าก้าวเข้าไป ดึงแขนเสื้อที่ม้วนขึ้นขณะฟืนลง แล้วยื่นแขนขวาออกไปให้นาง "เจ้าไปนั่งก่อน ข้าจะเก็บเอง"ขาซ้ายของเฉียวเนี่ยนไม่สามารถแตะพื้นได้ ขณะนี้เท้าขวาของนางก็ล้อมรอบด้วยเศษถ้วย หากเผลอเหยียบเข้าไปล่ะก็คงแย่แน่เฉียวเนี่ยนจึงไม่เกรงใจนัก ยื่นมือขึ้นจับแขนเขาไว้เเขนนั้นแน่นแข็งราวกับเหล็กกล้าเฉียวเนี่ยนอดตกใจไม่ได้ ก็แค่พรานป่า เหตุใดร่างกายถึงได้กำยำยิ่งกว่าทหารในกองทัพเสียอีก?แต่บนใบหน้ากลับไม่เผยอารมณ์ใดออกมา นางกลับไปนั่งที่ข้างเตียง ก่อนจะเห็นเขาเดินไปที่ประตู หยิบไม้กวาดมากวาดเศษถ้วยทั้งหมดลงกระด้ง
ในเวลาเดียวกัน ที่หมู่บ้านเหอวานห่างออกไปถึงสามร้อยลี้ เฉียวเนี่ยนยังคงเหม่อมองกำไลหยกที่แตกเป็นเสี่ยง ๆ นั้นนางไม่ใช่คนที่ชอบคิดวกวนไปมา เมื่อเห็นกำไลหยกแตก นางย่อมรู้สึกเศร้าและเจ็บปวดแต่เมื่อนางลองคิดกลับกัน การที่นางลอยมาตั้งไกลจากเมืองหลวงถึงที่นี่แล้วยังรอดชีวิตมาได้ อาจเป็นเพราะกำไลหยกที่แม่ของจิ่งเหยียนให้มานั้นช่วยปัดเป่าเคราะห์ภัยก็เป็นได้ความคิดเช่นนี้ แม้จะทำให้นางยิ่งรู้สึกเสียใจ แต่ในใจก็พลันมีไออุ่นลอยแทรกขึ้นมานางมักจะรู้สึกว่า ในความลี้ลับเหนือธรรมชาติ จิ่งเหยียนได้ปกป้องนางไว้ครั้งแล้วครั้งเล่าฉู่จืออี้นั่งลงหน้ากองฟืนอีกครั้งหยิบขวานขึ้น วางฟืนให้มั่น เสียง 'ผั่บ' ดังขึ้น ฟืนก็แยกออกเป็นสองท่อนเรียบร้อยเขาเงยหน้าขึ้นโดยไม่รู้ตัว มองเข้าไปในเรือนหน้าต่างไม้เปิดแง้มอยู่ เห็นเลือนลางถึงมือของนางที่กำลังประคองกำไลหยกไว้ฉู่จืออี้รู้ว่าจิ่งเหยียนมีน้องสาวคนหนึ่งเมื่อหลายปีก่อน ตอนที่เขากับจิ่งเหยียนถูกล้อมอยู่ในหุบเขา เขาเคยถามจิ่งเหยียนว่าในครอบครัวยังมีใครเหลืออยู่บ้างจิ่งเหยียนบอกว่า เขามีน้องสาวคนหนึ่ง ความปรารถนาสูงสุดของเขาตลอดชีวิต คืออยากให้น้