องครักษ์ได้ยินดังนั้น ก็รีบไปหามนักรบพลีชีพที่บาดเจ็บสาหัสคนนั้นออกมานักรบพลีชีพคนนั้นเดิมยังคิดว่าตนเองได้รับการช่วยเหลือจากตระกูลเมิ่ง คงไม่ถึงตายใครจะรู้ว่ากลับถูกหามมาอยู่ต่อหน้าฉู่จืออี้เขาลืมตาขึ้น ก็เห็นฉู่จืออี้กำลังเหลือบมองตน แววตานั้นประหนึ่งพาเขาย้อนกลับไปเมื่อชั่วยามก่อนเขาถึงได้รู้ ว่าตนเองรอดไม่ได้แล้วฉู่จืออี้หันไปมองเจ้ารองหนึ่งครั้งเจ้ารองเข้าใจทันที รีบก้าวออกไปพร้อมเจ้าสาม พานักรบพลีชีพคนนั้นออกไปเสียงจากในห้องหนังสือของเมิ่งซ่างซูดังมา “ฉู่จืออี้! คนที่ท่านต้องการก็ส่งให้แล้ว! ข้า... ข้าได้ส่งคนไปแจ้งฮ่องเต้แล้ว ทหารรักษาพระองค์จะมาในไม่ช้า! หากท่านไม่รีบไปละก็ คงไปไม่ได้อีกตลอดกาล!”ยังไม่ทันขาดคำ ประตูห้องหนังสือกลับถูกถีบเปิดออกอย่างง่ายดายฉู่จืออี้เดินเข้ามาอย่างองอาจ ทำเอาเมิ่งซ่างซูที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ตกใจจนรีบลุกขึ้น ร่างกายสั่นเทา มององครักษ์ที่ถอยไปยืนอย่างเรียบร้อยด้านนอกด้วยสายตาไม่อยากเชื่อแต่ก็โทษพวกเขาไม่ได้องครักษ์พยัคฆ์พูดชัดเจนตั้งแต่เมื่อครู่แล้ว หากไม่ยอมหลีกทาง ก็ต้องตายยิ่งกว่านั้น จะกลายเป็นตายเพราะถูกใส่ร้ายว่าเป็นนักลอ
ฉู่จืออี้สั่งการออกมาโดยไม่ให้โอกาสเขาได้เอ่ยปากอีก “ฆ่าซะ”สิ้นเสียงคำสั่ง พ่อบ้านก็เพียงรู้สึกว่ามีแสงเย็นวาบผ่านตรงหน้า แล้วก็รู้สึกเจ็บแปลบที่ลำคอเขายกมือไปกดลำคอตัวเอง ก็พบว่ามีเลือดพุ่งทะลักออกมาอย่างไม่อาจห้ามไว้ได้…เขาเบิกตากว้าง ล้มลงบนพื้นทั้งที่ใจไม่ยินยอม จ้องมององครักษ์พยัคฆ์ที่เดินข้ามร่างเขาไปทีละคนไม่ควรจะเป็นแบบนี้…พ่อบ้านคิดในใจเขาเพิ่งจะปรึกษากับนายของตนอยู่ว่าจะใส่ร้ายเฉียวเนี่ยนอย่างไร ให้เฉียวเนี่ยนสิ้นหนทางแก้ต่างแล้วเหตุใด เพียงชั่วพริบตา ผู้ที่ตายก่อนกลับกลายเป็นตนเอง?เขาพยายามอ้าปาก แต่ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าควรจะร้องขอชีวิตหรือร้องเรียกให้ช่วยแต่สุดท้ายกลับไม่มีเสียงใดเล็ดลอดออกมาเลยในตอนนั้น เมิ่งซ่างซูได้ขังตัวเองไว้ในห้องหนังสือประตูหน้าต่างถูกลงกลอนไว้หมด ด้านนอกยังมีองครักษ์จำนวนไม่น้อยคอยเฝ้าอยู่ถึงจะรู้ว่าพวกนี้ไม่อาจขวางฉู่จืออี้ได้ แต่เขาคิดว่าอย่างน้อยก็สามารถถ่วงเวลาไปได้บ้างในขณะที่ฉู่จืออี้กำลังต่อสู้กับนักรบพลีชีพที่เขาเลี้ยงดูไว้ในจวน เขาก็ได้ส่งคนเข้าไปในวังเพื่อขอความช่วยเหลือแล้วฮ่องเต้ต้องรีบส่งทหารรักษาพระองค์มาแน่!เข
ฉู่จืออี้แท้จริงแล้วคาดเดาได้ว่าตระกูลเมิ่งไม่มีทางส่งตัวคนมาอย่างไรเสีย แปดปีนั้นมันนานเกินไปนานเสียจนผู้คนในท้องพระโรงต่างก็ลืมไปแล้วว่า ในปีนั้นเป็นผู้ใดกันที่อาศัยเพียงกำลังของตน สงบเหตุการณ์ความวุ่นวายของกษัตริย์ทั้งห้า ทำให้บัลลังก์ของฮ่องเต้มั่นคงได้ดังนั้น ครบหนึ่งชั่วยาม ฉู่จืออี้ก็กลับมาที่จวนเมิ่งอีกครั้งองครักษ์หน้าจวนเมิ่งได้รับคำสั่งไว้นานแล้ว พอเห็นฉู่จืออี้ก็เพียงทำความเคารพเล็กน้อย แล้วกางแขนกั้นทางไว้ “ท่านอ๋อง ใต้เท้าเมิ่ง...อ้าก!”องครักษ์ยังพูดไม่ทันจบ ก็มีเสียงกรีดร้องโหยหวนดังขึ้นแสงเย็นวาบหนึ่งไม่รู้มาจากที่ใด ตัดแขนขององครักษ์คนนั้นขาดสะบั้นโดยง่ายดายฉู่จืออี้สวมอาภรณ์ยาวสีดำ ยืนไขว้มืออยู่ด้านหลัง ไม่ไหวติงแม้แต่น้อยแต่องครักษ์พยัคฆ์สิบคนกลับทะยานลงมาจากฟ้า เกราะเหล็กดำเต็มยศ พร้อมกันบุกเข้าไปยังจวนเมิ่งองครักษ์ของจวนเมิ่งไม่เคยเห็นเหตุการณ์น่าหวาดกลัวเช่นนี้มาก่อน ต่างพากันขวัญเสียจนขยับไม่ได้แม้แต่นิดเดียวประตูใหญ่ของจวนเมิ่งกลับถูกเปิดออกในยามนี้พ่อบ้านจวนเมิ่งก้าวออกมา พอเห็นภาพตรงหน้าก็ตกตะลึงจนพูดไม่ออก แต่ยังฝืนเอ่ยออกมาด้วยเสียงสั่
ฉู่จืออี้ยังรู้สึกไม่วางใจนัก แต่เห็นสีหน้าจริงจังของท่านหมอประจำจวน ท้ายที่สุดก็ถอยออกไปก็เพราะเชื่อว่าท่านหมอประจำจวนสามารถช่วยเฉียวเนี่ยนได้จึงถึงได้มาไม่ใช่หรือ?จะไม่วางใจได้อย่างไร?ประตูห้องถูกปิดลง ฉู่จืออี้จึงมองไปยังหนิงซวงที่อยู่ข้างๆ “บอกสิ่งที่เกิดขึ้นหลังจากเข้าไปในจวนเมิ่งมาให้หมด”หนิงซวงที่เดิมทีเป็นกังวลต่อเฉียวเนี่ยนจนใจลอย พอได้ยินเสียงทุ้มต่ำของฉู่จืออี้ก็มีสติขึ้นมา แม้น้ำเสียงยังคงตื่นตระหนก แต่ก็เล่าสิ่งที่เกิดขึ้นหลังจากเข้าจวนเมิ่งมาอย่างครบถ้วนระหว่างนั้น ท่านโหวหลินกับหลินเย่ว์ที่ได้ยินข่าวก็รีบร้อนมาถึงเมื่อฟังคำบรรยายของหนิงซวงจบ หลินเย่ว์ก็อุทานออกมา “ตระกูลเมิ่งนี่ เห็นได้ชัดเจนว่าต้องการจะใส่ร้ายเนี่ยนเนี่ยนเลยมิใช่หรือ?”น้ำตาของหนิงซวงหยุดไม่อยู่ “คุณชายใหญ่พูดถูกเจ้าค่ะ! คุณหนูไม่หลงกล พวกเขาก็ไม่ยอมให้คุณหนูกลับ! ไม่เพียงแค่ส่งองครักษ์ในจวนมา ยังให้นักลอบสังหารสองคนนั้น...”พูดมาถึงตรงนี้ หนิงซวงก็เหมือนนึกขึ้นได้ รีบหันไปพูดกับหลินเย่ว์ว่า “คุณชายใหญ่! คุณหนูได้รับบาดเจ็บจากนักลอบสังหารที่จำได้ว่าคุณหนูเป็นสตรีในวัดร้างนั่นแหละเจ้าค่ะ!”
ฉู่จืออี้ในสนามรบเป็นเช่นไร แคว้นจิ้งล้วนรู้กันทั่วกลุ่มชนเตอร์กิกได้ยินชื่อก็ขวัญผวา แม้แต่แคว้นถังที่ไม่เคยประมือกับเขาก็ยังยำเกรงอยู่มากแต่ฉู่จืออี้นอกสนามรบเล่า เป็นเช่นไร?ไม่ถนัดการเจรจา?ซื่อตรง?นั่นคือคำกล่าวจากผู้ที่สนิทกับเขาเท่านั้นส่วนคนที่ล่วงเกินเขาจะลงเอยอย่างไร ไม่เคยมีใครได้เห็นมาก่อนฉู่จืออี้คิดว่าวันนี้ควรให้พวกเขาได้ประจักษ์กับตาตนเองแล้วชายที่ถูกเหยียบอยู่ใต้เท้าเจ็บจนหน้าเขียว เพียงอ้าปากก็มีเลือดทะลักออกมา ไม่อาจพูดสิ่งใดได้นัยน์ตาเขาเบิกกว้าง มองฉู่จืออี้ที่ยืนอยู่สูงกว่ากำลังมองเขาด้วยแววเหยียดหยาม ใบหน้าดุดันเย็นชาราวกับกำลังมองศพอยู่หนึ่งร่างว่าตามเหตุผล เขาไม่ควรจะกลัวในฐานะมือสังหารที่ถูกฝึกให้เป็นนักรบพลีชีพมาตั้งแต่เด็ก เขาเคยรับโทษทัณฑ์สารพัด เคยลิ้มชิมความเจ็บปวดมากมายแม้ในยามที่กระดูกอกแตก เขาก็ยังทนได้ทว่าดวงตาคู่นี้ กลับทำให้เขารู้สึกดั่งกำลังประจันหน้ากับพญายม ความหวาดกลัวที่ผุดขึ้นมาจากก้นบึ้งหัวใจทำให้ทั้งร่างสั่นสะท้านไม่อาจหยุดยั้งราวกับว่า แม้ตายไปแล้ว ก็ยังไม่อาจหลุดพ้นจากกำมือของเขา!“คุณหนูเจ้าขา!”ด้านข้าง เสียงร
หนิงซวงยังคงไม่ยอม “คุณหนู! บ่าวไม่ไปเจ้าค่ะ!”แต่เฉียวเนี่ยนกลับหันหลังมา จับมือหนิงซวงแล้วยิ้มเล็กน้อยกล่าวว่า “เด็กดี เชื่อฟังหน่อย ไปที่จวนอ๋องหาท่านอ๋องซะ”วันนี้ แม้ว่าใต้เท้าเมิ่งจะวางกลอุบายอันเงอะงะไว้มากนัก ดูท่าแล้วคงไม่กลัวฉู่จืออี้ แต่ประโยคนี้กลับทำให้หนิงซวงมีความหวังขึ้นมาบ้าง ว่าหากนางกลับไปหาฉู่จืออี้ คุณหนูก็จะรอดแล้ว!ดังนั้นหนิงซวงถึงพยักหน้าเล็กน้อย “ถ้าเช่นนั้นคุณหนูโปรดระวังตัว บ่าวจะรีบกลับมาช่วยคุณหนูอย่างเร็วที่สุด!”"ได้สิ!"เฉียวเนี่ยนยิ้ม หนิงซวงจึงรีบก้าวออกไปเพียงแต่ก่อนจากไป นางยังไม่ลืมจะหันไปขู่ใส่ชายผู้นั้น “ทางที่ดี เจ้าอย่าได้แตะต้องคุณหนูของข้า มิฉะนั้นท่านอ๋องจะต้องถลกหนังแล้วหักกระดูกเจ้าแน่! ฮึ!”แต่เห็นได้ชัดว่าชายผู้นั้นไม่ได้ใส่ใจกับคำพูดของหนิงซวงเลยแม้แต่น้อยเขาก้าวเข้ามาอย่างช้าๆ เดินตรงมาหาเฉียวเนี่ยน“คุณหนูเฉียวช่างเก่งกาจนัก ทำให้ข้าสูญเสียคนไปมากมายถึงเพียงนี้”พูดพลาง มือของเขาก็วางลงบนลำคอของเฉียวเนี่ยน ห้านิ้วบีบรัดแน่นขึ้นมา คล้ายจะบีบคอนางให้หักในทันที!เฉียวเนี่ยนแทบจะตาเหลือกเพียงได้ยินพ่อบ้านร้องออกมาด้วยความตก