Share

บทที่ 666

Author: โม่เสียวชี่
"แม่นางหลิน ไม่เจอกันเสียนานเชียว"

เฉียวเนี่ยนเอ่ยเสียงเย็น หลินยวนกลับเผลอถอยไปอยู่ข้างหลินเย่ว์อย่างไม่รู้ตัว “พี่ใหญ่…”

แม้จะเคียดแค้นเฉียวเนี่ยน แต่เวลานี้ เมื่อเห็นเฉียวเนี่ยนปรากฏตัว หลินยวนก็ยังอดหวาดกลัวขึ้นมาไม่ได้

หลินเย่ว์ขมวดคิ้วเล็กน้อย มิได้ปลอบหลินยวนดังเช่นทุกครั้ง เพียงหันไปมองเฉียวเนี่ยนอีกรอบ

ในฐานะพี่น้องที่ร่วมทุกข์ร่วมสุขกันมาสิบห้าปี พวกเขายังคงสามารถเข้าใจกันได้ แม้ไม่ต้องสื่อสารออกมาเป็นคำพูดอยู่

เฉียวเนี่ยนก้าวเข้าห้องอย่างรวดเร็ว เดินอ้อมไปด้านหลังฉากกั้น ก็เห็นสาวใช้คนหนึ่งกำลังลนลานช่วยฮูหยินหลินแต่งตัว

สาวใช้ไม่รู้จักเฉียวเนี่ยน แต่เห็นว่านางแต่งกายหรูหรา ก็พอรู้ว่าไม่ใช่คนที่ตนจะไปล่วงเกินได้ จึงฝืนยิ้มอย่างเกร็ง ๆ “ฮูหยินกำลังจะแต่งตัวเสร็จแล้วเจ้าค่ะ”

เฉียวเนี่ยนไม่ใส่ใจ เพียงมองไปยังฮูหยินหลิน

ก็เห็นฮูหยินหลินก้มหน้าต่ำ ปลายผมยังเปียกน้ำ ดวงตาคู่นั้นเต็มไปด้วยความหวาดหวั่น เป็นสายตาที่เฉียวเนี่ยนไม่เคยเห็นมาก่อน

แม้แต่วันที่พบกันตรงประตูหลังจวนโหว ฮูหยินหลินในตอนนั้นแม้จดจำใครมิได้แล้ว ก็ยังไม่เคยแสดงสีหน้าเช่นนี้ออกมาเลย

เฉียวเนี่ยนขมวดคิ้วเ
Continue to read this book for free
Scan code to download App
Locked Chapter

Latest chapter

  • พลิกชะตาชีวิตหลังเป็นทาสมาสามปี   บทที่ 912

    เฉียวเนี่ยนอยากจะบอกฉู่จืออี้ว่านางไม่มีความคิดที่ไม่ควรใดๆ กับเขา หวังเพียงว่าฉู่จืออี้จะไม่เข้าใจผิด ไม่หลบหนีจากนาง ไม่เมินเฉยนางแต่กลับไม่เห็นว่าภายนอกรถม้า เมื่อฉู่จืออี้ได้ยินถ้อยคำนั้น สายตาของเขาก็พลันหม่นลงทันใดจากนั้นจึงแค่นหัวเราะเยาะตนเองเบาๆ แล้วจึงเอ่ยตอบ “อืม”แน่นอนว่าเป็นพี่ใหญ่ที่ดีตลอดไปด้วยรูปลักษณ์ที่อัปลักษณ์เพียงนี้ อายุที่มากเพียงนี้ เขาจะเหมาะสมยืนอยู่เคียงข้างนางได้อย่างไร?ไม่ใช่พี่ใหญ่ที่แสนดี แล้วจะเป็นอะไรได้อีกเล่า?ราตรีเงียบงันลงแสงจันทร์ส่องทอดลงบนถนน มีเพียงรถม้าคันหนึ่งที่เคลื่อนไปอย่างช้าๆ ล้อไม้บดทับก้อนหิน ส่งเสียงดังก๊อกแก๊ก คล้ายตอกย้ำลงบนใจของคนทั้งสองเย็นวันถัดมา เฉียวเนี่ยนกับฉู่จืออี้ก็กลับมาถึงค่ายทหารในที่สุดรถม้าค่อยๆ หยุดลง เฉียวเนี่ยนยกม่านรถขึ้นแล้วจะก้าวลงไปแต่ในสายตากลับปรากฏฝ่ามือใหญ่ๆ ยื่นมาฉู่จืออี้ยืนอยู่ข้างรถม้า สีหน้าไร้อารมณ์ กล่าวเพียงเบาๆ ว่า “มา ระวังด้วย”รถม้าของตระกูลมู่มีขนาดใหญ่กว่าปกติ จึงสูงกว่ารถม้าทั่วไป เขากลัวว่าเฉียวเนี่ยนจะลื่นแม้หลังจากคืนวาน ทั้งสองจะยังพูดคุยกันตามปกติ แต่เฉียวเนี่ยนก็

  • พลิกชะตาชีวิตหลังเป็นทาสมาสามปี   บทที่ 911

    รถม้าของตระกูลมู่แม้จะใหญ่ ทว่ากลับมั่นคงเป็นอย่างมาก แทบไม่มีการสั่นคลอนเลยแม้แต่น้อยภายในรถม้าปูด้วยเบาะนุ่มหอมละมุน เคล้ากลิ่นหอมของสมุนไพรที่ลอยออกมาจากกล่องไม้ข้างๆ ยิ่งทำให้เฉียวเนี่ยนรู้สึกสบายเป็นพิเศษเฉียวเนี่ยนขยับไปนั่งข้างประตูรถม้าราวกับนึกอะไรขึ้นได้ นางยกม่านขึ้น มองไปทางฉู่จืออี้ เอ่ยถามว่า “พี่ใหญ่คิดว่า พี่ใหญ่ทั้งสองของตระกูลมู่เป็นอย่างไรบ้าง?”“ดูเหมือนไม่มีเล่ห์กลในใจอะไร” ฉู่จืออี้ตอบตามความจริง เฉียวเนี่ยนก็เห็นด้วยกับข้อนี้ จึงพยักหน้าแต่แล้วก็ได้ยินฉู่จืออี้กล่าวต่อ “แต่ตระกูลมู่มีสมบัติมากมายถึงเพียงนี้ คนของตระกูลมู่จะไม่มีเล่ห์เหลี่ยมเลยได้อย่างไร?”ดังนั้น ไม่ว่าจะเป็นมู่ซ่างเสวี่ยหรือมู่หงเสวี่ย ความอ่อนโยนและพูดคุยด้วยง่ายในวันนี้ เกรงว่าจะเป็นการแสดงทั้งนั้นเฉียวเนี่ยนย่อมเห็นว่าความคิดของฉู่จืออี้มีเหตุผลนางพิงเบาะรถม้า สายตาเหม่อมองออกไปในรัตติกาล “แต่พวกเขาก็ยอมมอบสมุนไพรให้เราง่ายๆ ทั้งยังรู้อยู่แล้วว่าวิชาแพทย์ของข้าไม่ธรรมดา ไม่น่าจะกล้าลงมือทำอะไรตุกติกกับสมุนไพร”ถึงอย่างไร หากคิดจะลงมือ ก็ต้องถูกนางจับได้แน่“จากที่เห็นวันนี้ พวกเ

  • พลิกชะตาชีวิตหลังเป็นทาสมาสามปี   บทที่ 910

    เฉียวเนี่ยนไม่คิดว่ามู่ซ่างเสวี่ยจะพูดถึงสำนักราชาโอสถ จึงแอบตกใจเล็กน้อย จำต้องตอบว่า “ก็ไม่ใช่ว่ารู้วิธีถอนพิษทุกชนิดหรอกเจ้าค่ะ”แต่มู่ซ่างเสวี่ยกลับส่ายหน้าไม่หยุด “ไม่สิ พิษของสำนักราชาโอสถนั้นแตกต่างจากพิษทั่วไป วิธีถอนก็ไม่เหมือนกัน เว้นแต่จะได้เรียนวิชาแพทย์จากสำนักราชาโอสถ มิเช่นนั้นไม่มีทางถอนพิษพวกนั้นได้หรอก”มู่หงเสวี่ยก็อดไม่ได้ที่จะถามว่า “วิชาแพทย์ของเจ้า สรุปแล้วเรียนจากผู้ใดกันแน่?”เฉียวเนี่ยนไม่คิดเลยว่าการยอมรับว่าเป็นคนถอนพิษ จะทำให้ทั้งสองคนสงสัยมากขนาดนี้นางย่อมไม่อาจเปิดเผยตัวตนของอาจารย์ได้ จึงกล่าวว่า “เป็นหมอเทวดาท่านหนึ่ง ข้าก็ไม่รู้ว่าท่านชื่ออะไร ท่านสอนข้าไม่กี่ครั้ง แล้วก็มอบตำราแพทย์ให้ข้าสองสามเล่ม จากนั้นก็ไม่ได้เจอกันอีกเลย”ตอนพูดถ้อยคำเหล่านี้ น้ำเสียงของนางสงบนิ่งมากรู้สึกว่าน่าจะไม่มีช่องโหว่ใดๆแต่มู่ซ่างเสวี่ยกับมู่หงเสวี่ยที่มองนางกลับยังคงมีแววเคลือบแคลงเล็กน้อยในสายตาอย่างชัดเจนแต่ทั้งสองคนก็ไม่ได้ถามต่อ เพียงกล่าวว่า “อย่างนี้นี่เอง ก็นับว่าเป็นวาสนาอย่างหนึ่งแล้วกัน!”เฉียวเนี่ยนฝืนยิ้มเล็กน้อย ไม่ได้พูดอะไรอีกฉู่จืออี้มองดู

  • พลิกชะตาชีวิตหลังเป็นทาสมาสามปี   บทที่ 909

    เฉียวเนี่ยนมองสีหน้าไม่แยแสของมู่ซ่างเสวี่ยกับมู่หงเสวี่ย จึงอดไม่ได้ที่จะถามว่า “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ หากจักรพรรดิแห่งแคว้นถังทราบว่าพวกท่านมอบสมุนไพรทั้งหมดให้ข้า แล้วพาลตำหนิตระกูลมู่ พวกท่านจะทำอย่างไร?”ได้ยินเช่นนั้น มู่ซ่างเสวี่ยกับมู่หงเสวี่ยก็หันมามองกันแล้วยิ้มเหมือนจะพูดว่า แม่หนูผู้นี้ยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตระกูลมู่มีอำนาจมากเพียงใดในแคว้นถังแล้วก็ได้ยินมู่หงเสวี่ยกล่าวว่า “เรื่องแค่นี้จะต้องโทษอะไรกันเล่า น้องเขยน่าจะรู้ดีที่สุดว่า การอยู่นอกเมือง ก็ใช่ว่าจะต้องรับพระบัญชาทุกอย่าง”คำว่า ‘น้องเขย’ ทำให้ฉู่จืออี้ตัวชะงัก รู้สึกขนลุกซู่ขึ้นมาทั่วทั้งตัวทันทีโดยไม่ทราบสาเหตุเฉียวเนี่ยนก็รู้สึกกระอักกระอ่วนใจมู่ซ่างเสวี่ยกลับหัวเราะแล้วว่า “ฟ้าอยู่สูง จักรพรรดิอยู่ไกล อย่าว่าแต่ฝ่าบาทจะรู้เรื่องที่นี่เลย ต่อให้รู้ขึ้นมา พวกเราก็มีข้ออ้างมากมายที่จะกลบเกลื่อนเรื่องนี้ได้”ว่ากันตามตรงแล้ว กิจการของตระกูลมู่แผ่ขยายไปทั่วทั้งแคว้นถังและแคว้นจิ้งมานานแล้ว ดังนั้นพวกเขาจึงไม่สนใจทรัพย์สินส่วนแบ่งเล็กน้อยจากการแยกแคว้นจิ้งเลยได้ยินดังนี้ เฉียวเนี่ยนก็พยักหน้าเบาๆ มองมู่ซ่างเ

  • พลิกชะตาชีวิตหลังเป็นทาสมาสามปี   บทที่ 908

    มู่ซ่างเสวี่ยกับมู่หงเสวี่ยต่างก็รู้ดีว่าเฉียวเนี่ยนตั้งใจนำจี้หยกนี้มาปรากฏตัวในวันนี้เห็นได้ชัดว่าสองคนนี้เริ่มสงสัยแล้ว เฉียวเนี่ยนจึงไม่ปิดบังอีกต่อไป เอ่ยตรงๆ ว่า “ข้าอยากขอเรียนถามพี่ใหญ่ทั้งสอง ใบงาขี้ม้อน ถูกตระกูลมู่กว้านซื้อไปใช่หรือไม่?”ได้ยินเช่นนั้น สีหน้าของมู่ซ่างเสวี่ยกับมู่หงเสวี่ยก็เปลี่ยนไปทันทีพวกเขาเริ่มพิจารณาเฉียวเนี่ยนกับฉู่จืออี้อีกครั้งสุดท้าย สายตาทั้งสองก็หยุดลงที่ฉู่จืออี้ราวกับเข้าใจบางอย่าง แล้วกล่าวอย่างมั่นใจว่า “ที่แท้ก็อ๋องผิงหยางนี่เอง”เห็นทั้งสองสามารถคาดเดาตัวตนของตนได้ในเวลาอันสั้น ฉู่จืออี้ก็เผยสีหน้าแสดงความชื่นชมเล็กน้อย พลางพยักหน้า “ใช่ ข้าเอง”อาจเป็นเพราะตระกูลมู่มีสถานะพิเศษในแคว้นถัง แม้รู้ว่าเบื้องหน้าคือท่านอ๋องซึ่งเป็นเชื้อพระวงศ์ของแคว้นจิ้ง ทั้งสองกลับไม่มีทีท่าจะคารวะแต่อย่างใดเพียงแต่มองเฉียวเนี่ยนอย่างไม่เข้าใจเล็กน้อย เอ่ยถามว่า “ในเมื่อเจ้าเป็นคุณหนูแห่งจวนโหว ไยถึงได้เดินทางมาไกลถึงชายแดน และยังอยู่กับอ๋องผิงหยาง?”ในสายตาของมู่ซ่างเสวี่ย คุณหนูเช่นนั้นควรจะเติบโตในเรือนของสตรีชั้นสูงราวไข่ในหิน แม้ไม่ถึงกับห้ามออ

  • พลิกชะตาชีวิตหลังเป็นทาสมาสามปี   บทที่ 907

    ในตอนนั้นนางก็เอ่ยเสียงอ่อน “ท่านย่าข้าเป็นฮูหยินเฒ่าของจวนโหวแห่งแคว้นจิ้ง ข้าไม่รู้ชื่อของท่านย่า เพียงจำได้ว่าเมื่อยังเล็ก ข้าเคยได้ยินท่านปู่เรียกท่านว่าเสวี่ยเอ๋อร์”“อะไรนะ?!” มู่หงเสวี่ยตกใจจนสีหน้าซีดเผือดอีกคนหนึ่งซึ่งอยู่ใกล้ๆ ก็พุ่งเข้ามาทันที ดูจากอายุแล้วดูจะมากกว่ามู่หงเสวี่ยเล็กน้อย “ท่านย่าของเจ้าชื่อเสวี่ยเอ๋อร์จริงๆ หรือ?”เฉียวเนี่ยนมองอีกฝ่ายอย่างไม่เข้าใจ ถอยไปด้านหลังของฉู่จืออี้ด้วยความระแวดระวังชายผู้นั้นดูเหมือนจะรู้ตัวว่าเสียมารยาท รีบถอยหลังหนึ่งก้าวแล้วคารวะ “ข้าชื่อมู่ซ่างเสวี่ย เป็นพี่ใหญ่คนโตสุดในหมู่คนรุ่นเยาว์ของตระกูลมู่”มู่หงเสวี่ย มู่ซ่างเสวี่ย...เฉียวเนี่ยนขมวดคิ้วมองทั้งสองคน “พวกท่านเกี่ยวข้องอย่างไรกับท่านย่าของข้าหรือเจ้าคะ?”สีหน้าของมู่ซ่างเสวี่ยดูตื่นเต้นยิ่งนัก ริมฝีปากยังแฝงรอยยิ้มบางๆ “หากท่านย่าของเจ้ามีนามเดิมก่อนออกเรือนว่าเสวี่ยเอ๋อร์จริง เช่นนั้นเจ้าน่าจะต้องเรียกพวกเราว่าพี่ใหญ่”พี่ใหญ่?คนของตระกูลมู่น่ะหรือ?เฉียวเนี่ยนหยิบจี้หยกในมือตนเองขึ้นมาอีกครั้ง มองมู่ซ่างเสวี่ยแล้วกล่าวว่า “ท่านย่าเคยบอกว่า จี้หยกชิ้นนี้มีคว

More Chapters
Explore and read good novels for free
Free access to a vast number of good novels on GoodNovel app. Download the books you like and read anywhere & anytime.
Read books for free on the app
SCAN CODE TO READ ON APP
DMCA.com Protection Status