LOGINขณะที่พูด สายตาก็ลอบชำเลืองมองเฉียวเนี่ยนแวบหนึ่ง ก่อนจะลดเสียงลงกระซิบถามอย่างใคร่รู้ว่า “อิ๋งชี คุณหนูของข้าใช้ให้ท่านไปทำอะไรมาหรือ ท่าทางลับลมคมในเชียว!”อิ๋งชีปรายตามองหนิงซวงแวบหนึ่ง รับถ้วยยามากระดกดื่มรวดเดียวจนหมด จากนั้นจึงทิ้งมือยืนสงบเสงี่ยมอยู่ด้านข้าง สำรวมกายใจประหนึ่งรูปปั้นหิน ราวกับไม่ได้ยินคำถามของหนิงซวงแม้แต่น้อยหนิงซวงรู้สึกขัดใจยิ่งนัก ทว่าก็รู้อยู่เต็มอกว่าคงง้างปากถามความอันใดไม่ได้ จึงได้แต่เบ้ปากแล้วถือถ้วยยาเปล่าถอยออกไปเวลาล่วงเลยไปทีละน้อย ดวงตะวันเคลื่อนคล้อยขึ้นสูง ยามอู่ใกล้เข้ามาทุกทีทันใดนั้น ด้านนอกเรือนปีกข้างพลันมีเสียงฝีเท้าเร่งรีบสับสนวุ่นวายดังขึ้น เคล้าไปกับเสียงตะโกนและเสียงครวญครางแผ่วเบาประตูเรือนที่ปิดสนิทถูกผลักออกอย่างแรงจนเกิดเสียงดัง “โครม”ผู้ที่ปรากฏกายคือมู่ซ่างเสวี่ย มู่เจิ้นเจียง และพรรคพวกที่ย้อนกลับมา ทว่าบัดนี้บนใบหน้าของพวกเขาหาได้มีความแข็งกร้าวและมืดมนอำมหิตดังก่อนหน้า เหลือไว้เพียงความตื่นตระหนกและหวาดผวาอย่างถึงที่สุด!ใบหน้าของมู่ซ่างเสวี่ยซีดเผือด หน้าผากชุ่มโชกไปด้วยเหงื่อ ฝ่ายมู่เจิ้นเจียงนั้นอาการหนักหนายิ่ง
พี่ห้าแทบอยากจะพุ่งเข้าไปถีบพี่ชายของตนเสียให้รู้แล้วรู้รอด ส่งให้ถลาเข้าไปหาเฉียวเนี่ยนเสียตรงนั้นทว่าสองเท้าของฉู่จืออี้กลับราวกับถูกตรึงไว้ด้วยโซ่ตรวนที่มองไม่เห็น หนักอึ้งเสียจนไม่อาจขยับเขยื้อนได้เลยยิ่งปรารถนาจะกระทำสิ่งใด กลับยิ่งมืดแปดด้านไม่รู้ว่าควรทำสิ่งใดดีความรู้สึกพ่ายแพ้และโทสะที่เกรี้ยวกราดใส่ตนเองอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ถาโถมเข้าเกาะกุมจิตใจราวกับเถาวัลย์ที่รัดพันร่างเขาไว้อย่างแน่นหนาแต่แล้วในยามนั้นเอง เฉียวเนี่ยนกลับเป็นฝ่ายสืบเท้าเดินเข้าไปหาฉู่จืออี้เสียเองแสงตะวันสาดส่องลอดผ่านกิ่งก้านใบไม้ที่โปร่งตา ทาบทอเป็นเงาสลัวรางบนเรือนร่างของนางเมื่อเห็นดังนั้น ผู้คนในลานเรือน ไม่ว่าจะเป็นหนิงซวงที่อยู่ใต้ระเบียงทางเดิน เกอซูอวิ๋น หรือเหล่าองครักษ์พยัคฆ์ ต่างก็รู้ความยิ่งนัก รีบถอยฉากกลับเข้าห้องของตนไปอย่างพร้อมเพรียง ลานเรือนอันกว้างใหญ่พลันว่างเปล่าเงียบสงัด เหลือเพียงคนสองคนที่ยืนตระหง่านเผชิญหน้ากัน และเสียงลมพัดผ่านใบไม้ดังสวบสาบเท่านั้นจนกระทั่งเฉียวเนี่ยนมายืนอยู่ตรงหน้า ใกล้เสียจนมองเห็นไรขนอ่อนบนใบหน้าซีดเผือดและความเหนื่อยล้าที่ซุกซ่อนอยู่ลึกในแว
สีหน้าของฉู่จืออี้ทะมึนถึงขีดสุด เห็นได้ชัดว่าตระกูลมู่ถือดีที่จับจุดอ่อนของพวกเขาได้ ว่ามิปรารถนาให้เกิดสงครามระหว่างแคว้นจนราษฎรผู้บริสุทธิ์ต้องเดือดร้อน จึงได้กำเริบเสิบสานเช่นนี้!ทว่า... ความจริงกลับเป็นเช่นนั้น!ขอเพียงตระกูลมู่เอ่ยปาก ต่อให้ฮ่องเต้ถังมิประสงค์จะเปิดศึก ก็มิอาจทัดทานแรงกดดันที่ถาโถมจากตระกูลมู่ได้ถึงยามนั้น สงครามระหว่างสองแคว้นย่อมไม่อาจหลีกเลี่ยง!สองหมัดของฉู่จืออี้กำแน่นโดยไม่รู้ตัว เพลิงโทสะที่ไร้ชื่อสายหนึ่งพวยพุ่งขึ้นกลางอกทันใดนั้น ปลายแขนเสื้อพลันถูกกระตุกเบา ๆฉู่จืออี้หันขวับกลับมา สบเข้ากับแววตาของเฉียวเนี่ยนภายในแววตาคู่นั้น อัดแน่นไปด้วยความรู้สึกอันลึกล้ำที่ถูกกดข่มไว้นางส่ายหน้าเล็กน้อย เห็นได้ชัดว่ามิใคร่จะให้หน่วยองครักษ์พยัคฆ์ลงมือเช่นกันลูกกระเดือกของฉู่จืออี้ขยับเลื่อนขึ้นลงอย่างรุนแรง สันกรามขบเกร็งประดุจเหล็กกล้าเขาสูดลมหายใจเข้าลึก กดข่มไอสังหารอันเยือกเย็นลงไป ก่อนจะกุมมือที่เย็นเฉียบและสั่นเทาของเฉียวเนี่ยนเอาไว้แน่นเขาไม่ชายตามองคนตระกูลมู่อีกแม้แต่หางตา เพียงตระกองกอดปกป้องเฉียวเนี่ยน แล้วเดินกลับเข้าสู่เรือนรองปร
“ไม่ได้การ! ข้าจะรอช้ากว่านี้มิได้แล้ว!” น้ำเสียงของเฉียวเนี่ยนแหบพร่าเจือแววร้าวรานปานใจจะขาด นางกำจดหมายในมือแน่น ร่างกายโงนเงนถลันจะวิ่งออกไปด้านนอกฉู่จืออี้ซึ่งเฝ้าระวังอยู่หน้าประตูมาโดยตลอด เห็นนางพุ่งตัวออกมาเช่นนั้น จึงรีบสืบเท้าเข้าไปประคองร่างที่โอนเอนคล้ายจะล้มลงได้ทุกเมื่อเอาไว้หนิงซวงและเหล่าองครักษ์พยัคฆ์ได้ยินเสียงความเคลื่อนไหว ต่างก็รีบรุดเข้ามาสมทบ สีหน้าของทุกคนเคร่งเครียด “เนี่ยนเนี่ยน เกิดเรื่องอันใดขึ้นหรือ?”“เป็นเซียวเหิง!” เกอซูอวิ๋นที่ตามหลังเฉียวเนี่ยนออกมาเอ่ยด้วยน้ำเสียงร้อนรน “เซียวเหิงกำลังจะไม่ไหวแล้ว!”เมื่อได้ยินเช่นนั้น ฉู่จืออี้พลันตื่นตระหนก ก้มลงมองแววตาที่เปี่ยมไปด้วยความวิตกกังวลจนแทบสิ้นหวังของเฉียวเนี่ยน หัวใจของเขาพลันบีบรัดรุนแรงเขาออกคำสั่งเสียงขรึมทันที “เตรียมม้า! ไปจวนองค์ชายรอง”คณะเดินทางรีบจัดเตรียมความพร้อม ทว่าเมื่อก้าวเท้ามาถึงหน้าประตูเรือนปีกข้าง กลับต้องชะงักฝีเท้าลงอย่างกะทันหันเมื่อเห็นภาพเบื้องหน้าด้านนอกประตูเรือน บัดนี้รายล้อมไปด้วยองครักษ์ของตระกูลมู่ที่ตรึงกำลังอยู่อย่างเงียบเชียบตั้งแต่เมื่อใดไม่ทราบพวกเขาสวม
นางหวนนึกถึงสายตาของฉู่จืออี้ที่กวาดมองมาเมื่อครู่ ในใจยังคงรู้สึกหวาดหวั่นไม่หายอิ๋งชีหันหลังให้นาง เดินไปที่โต๊ะแล้วรินชาเย็นชืดมาจอกหนึ่ง ปลายนิ้วของเขาเย็นเฉียบเขาเงียบงันไปครู่ใหญ่จึงค่อยหันกลับมา สีหน้ากลับมาเรียบเฉยดังเดิม พลางย้ำคำพูดเดิมซ้ำอีกครั้ง “ไม่มีอะไร ข้าเพียงแต่คิดว่าในเมื่อเหยาวั่งซูผู้นั้นมาจากสำนักราชาโอสถ ของที่ทิ้งไว้ย่อมต้องไม่ธรรมดา อาจเป็นของวิเศษที่หลงเหลืออยู่ของหุบเขา ข้าก็แค่เกิดความสงสัยใคร่รู้ชั่ววูบเท่านั้น”หนิงซวงมองเขาด้วยสายตาคลางแคลงใจ เห็นได้ชัดว่านางไม่ได้เชื่อน้ำคำเขาทั้งหมด แต่ยามนี้นางเป็นห่วงความรู้สึกของเฉียวเนี่ยนมากกว่านางลอบถอนหายใจ เอ่ยเตือนด้วยน้ำเสียงจริงจัง “ไม่ว่าจะยังไง ท่านอย่าเพิ่งพูดถึงมันตอนนี้เลย ตอนนี้... ในใจคุณหนูคงทุกข์ตรมจะแย่อยู่แล้ว หญ้าผลึกหยกม่วงที่เฝ้าคะนึงหาก็สูญหายไป ทางฝั่งแม่ทัพเซียวเองก็... เฮ้อ”นางเว้นจังหวะ น้ำเสียงเข้มขึ้นอีกหลายส่วน “ช่วงนี้ท่านก็ทำตัวให้สงบเสงี่ยมหน่อยเถิดอย่าได้ถามเรื่องสัพเพเหระให้คุณหนูต้องกลัดกลุ้มใจอีกเลย เมื่อครู่ดูสายตาของท่านผู้บัญชาการฉู่สิ หากเจ้ายังขืนมากความอีก ข้าล่ะกลั
ฉู่จืออี้หยุดฝีเท้าลง ส่ายหน้าให้แก่ทุกคน น้ำเสียงทุ้มต่ำเจือแววเหนื่อยล้าและหนักอึ้งราวกับฝุ่นละอองที่ร่วงหล่นสู่พื้นหลังพายุสงบลง “ไม่มีหญ้าผลึกหยกม่วง”ถ้อยคำสั้น ๆ นั้นประดุจคำพิพากษาอันเยือกเย็น ทำให้ใบหน้าของหนิงซวงและเกอซูอวิ๋นซีดเผือดลงในทันที ประกายความหวังสายสุดท้ายในแววตาดับวูบลงไม่มีหญ้าผลึกหยกม่วง นั่นมิเท่ากับยืนยันว่าเซียวเหิงต้องตายแน่แล้วหรือ?ฉู่จืออี้ไม่อยากเอ่ยความใดให้มากความ เขาเพียงต้องการพาเฉียวเนี่ยนกลับห้องไปพักผ่อนโดยเร็วที่สุดร่างสูงเบี่ยงกายเล็กน้อย เตรียมจะเดินเลี่ยงผ่านพวกเขาไป“เช่นนั้น…” เสียงหนึ่งดังแทรกขึ้นอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ยอิ๋งชีก้าวออกมาข้างหน้า สายตาคมกริบกวาดมองฉู่จืออี้และเฉียวเนี่ยน น้ำเสียงเจือความร้อนรนและคาดคั้นผิดวิสัย “ในแดนต้องห้ามมีสิ่งใดอยู่กันแน่ขอรับ?”ฉู่จืออี้และเฉียวเนี่ยนเงยหน้ามองอิ๋งชีขึ้นพร้อมกันคำถามนี้ช่างดูไม่ถูกกาลเทศะอย่างยิ่งในเวลานี้ มิหนำซ้ำยังดูแปลกประหลาดพิกลนัยน์ตาของฉู่จืออี้ฉายแววพินิจพิเคราะห์พาดผ่านเพียงชั่ววูบฝ่ายเฉียวเนี่ยนแม้จะรู้สึกเหนื่อยล้าเจียนขาดใจ แต่ก็ยังฝืนรวบรวมสติ ตอบกลับด้วยน้ำเสียง







