LOGINเมื่อกัวรั่วชิงก้าวขึ้นไปนั่งในรถม้าที่ดูหรูหรานั้น นางรับรู้ได้ถึงกลิ่นอายที่คุ้นเคย กลิ่นหอมกรุ่นของกำยานไม้จันทน์ที่เป็นเอกลักษณ์ของหวงเชียนเล่อ นางรู้สึกใจเต้นระรัวอย่างควบคุมไม่ได้
ทันทีที่รถม้าเริ่มเคลื่อนตัวออกไปตามถนนสายหลักของเมืองหลวง รถม้าก็ไม่ได้มุ่งหน้าไปยังทิศทางของหอชาชิงเยว่ แต่มันกลับเลี้ยวเข้าสู่ตรอกเล็กๆ อย่างรวดเร็ว แล้วควบมุ่งหน้าออกไปยังประตูเมืองทางทิศตะวันออก
กัวรั่วชิงเผยสีหน้าประหลาดใจ นางยังไม่ทันได้เอ่ยถามอะไร ก็ได้ยินเสียงม้าควบมาหยุดอยู่เคียงข้างรถม้า ก่อนที่ผ้าคลุมม้าจะถูกเปิดออกอย่างรวดเร็ว เผยให้เห็นดวงตาคู่คมที่เต็มไปด้วยความเร่าร้อนและเสน่หา
“ข้าขออภัยที่ต้องใช้อุบายอันล่อแหลมอย่างนี้ รั่วชิง” หวงเชียนเล่อที่สวมอาภรณ์สีเข้มกล่าวด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำ “แต่ข้าไม่สามารถทนให้เจ้าต้องไปนั่งดูตัวในวันนี้ได้อีกแล้ว”
“ที่แห่งนี้มิได้สงบพอสำหรับเรื่องสำคัญที่เราต้องคุยกัน ข้ามีสถานที่ที่เหมาะสมกว่า เจ้ายินดีจะไปดื่มชาสนทนากับข้า แทนการไปดูตัวกับเหรินหมิงหลงหรือไม่” เขาลดตัวล
ซุนจิ่งอี้ก้าวไปนั่งลงที่เก้าอี้อย่างสบายอารมณ์ แล้วกล่าวต่อคล้ายไม่ได้ยินสิ่งที่หวงเชียนเล่อถามก่อนหน้า“จะให้ข้าเดาไหม ว่าเจ้าจะใช้กลวิธีใดในการกำจัดข้าออกไปจากเส้นทางของเจ้า?” ซุนจิ่งอี้ถามด้วยน้ำเสียงที่รื่นหูราวกับกำลังชวนสนทนาเรื่องธรรมดา“ซุนจิ่งอี้ ข้าอุตส่าห์เห็นว่าเจ้าไม่ใช่คนเลวร้าย จึงหมายจะมาเตือนตามตรงแบบลูกผู้ชาย แต่เจ้ากลับยียวนไม่เลิกรา” หวงเชียนเล่อกล่าวเสียงเย็น“ก็เรื่องของเจ้ามันน่าสนใจดีนี่ ข้าอุตส่าห์รอชมเลยนะว่าเจ้าจะเล่นกับข้าแบบไหน” ซุนจิ่งอี้เลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อยอย่างยียวน “เจ้าจะไล่ข้าไปเฝ้าค่ายที่ชายแดน หรือจะหานักแสดงงิ้วมารับบทโศก เพื่อทำให้ข้าเสียชื่อเสียงจนต้องหนีออกจากเมืองหลวงไปดีเล่า”หวงเชียนเล่อถึงกับนิ่งอึ้งทันที เพราะคำถามนั้นแทงเข้ากลางใจเขาอย่างจังแต่เพียงชั่วพริบตา เขาก็สามารถดึงสติกลับมาได้อย่างรวดเร็ว“เจ้าสืบเรื่องของข้าหรือ” หวงเชียนเล่อจ้องเขาเขม็งซุนจิ่งอี้กลับดูไม่เป็นเดือดเป็นร้อนกับสายตานั้น “เจ้าคิดว
หวงเชียนเล่อหันหลังเดินออกจากสวนหินอย่างเงียบเชียบ เขากลับไปยังเรือนรับรองฝั่งบุรุษที่ตนเองได้จัดการเข้าพักไว้ตั้งแต่แรกแล้ว ด้วยการใช้เทียบเชิญพิเศษในฐานะแม่ทัพฉีหลิง ซึ่งย่อมได้รับความสะดวกในการเข้าพักแม้จะแจ้งทางอารามอย่างกะทันหันก็ตามผู้ติดตามของหวงเชียนเล่อที่นั่งรออยู่ในห้องถึงกับสะดุ้ง เมื่อเห็นแววตาที่เต็มไปด้วยเพลิงโทสะของผู้บังคับบัญชา “ท่านแม่ทัพ ท่านจะออกไปไหนอีกหรือ” ผู้ติดตามถามอย่างระมัดระวัง ทำท่าจะลุกตามไป“ไม่ต้องตามมา” หวงเชียนเล่อออกคำสั่งเสียงเข้ม “ข้าไปจัดการเรื่องส่วนตัวที่ต้องจบลงในคืนนี้” พูดจบเขาก็ก้าวอาดๆ ออกไปอีกครั้งยามวิกาล อารามเขาฉงซานเงียบสงบยิ่งกว่าที่ใด มีเพียงเสียงลมพัดใบไม้และแสงสลัวจากโคมไฟกระดาษที่ยังคงส่องทางตามทางเดินหวงเชียนเล่อรู้ดีว่าเรือนพักของซุนจิ่งอี้อยู่ส่วนไหนของอาราม เพราะเขาได้สอบถามอย่างละเอียดตั้งแต่ตอนที่มาถึงแล้ว แม่ทัพหนุ่มเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วและไร้เสียงราวกับพยัคฆ์มุ่งหน้าไปยังจุดหมายเขาไม่ได้สนใจที่จะแอบดู หรือเข้าไปขอพบอีกฝ่ายตามมา
เรือนพักรับรองสำหรับสตรีเรียงรายอย่างเป็นระเบียบ เป็นเรือนไม้หลังเล็กที่ตั้งอยู่ห่างกันพอประมาณ แต่ละหลังมีพุ่มไม้และไม้ประดับโอบล้อมไว้เพื่อความเป็นส่วนตัว เรือนเหล่านี้ถูกจัดเตรียมไว้ให้สามารถพักอาศัยได้อย่างสะดวกสบายราวสี่ถึงห้าคน บรรยากาศโดยรอบล้วนชวนให้รู้สึกสงบเย็นกัวรั่วชิงเหลือบมองเห็นว่า ห้องพักหลายแห่งมีผู้มาแสวงบุญจับจองอยู่แล้ว แม้จะเห็นสาวใช้ หรือคนเดินเข้าออกอยู่บ้าง แต่ทุกเรือนล้วนเงียบสงบ ซึ่งแสดงให้เห็นว่าผู้มาเยือนล้วนแต่สำรวมกายวาจาตามหลักของอารามหลังจากการพักผ่อนในเรือนชิงเหอได้ไม่นาน กัวรั่วชิงและกัวลี่ลี่ก็ออกมายังบริเวณพระอุโบสถหลักตามนัดหมาย ซุนจิ่งอี้ยืนรออยู่ก่อนแล้วในท่าทางที่สงบและสำรวมทั้งสองเข้าไปไหว้พระพุทธรูปปางสมาธิองค์ใหญ่ในโถงพระอุโบสถ จากนั้นจึงเดินไปยังส่วนรับบริจาค เพื่อบริจาคทานเป็นจำนวนเงินที่พอเหมาะสำหรับการทำบุญใหญ่ของอาราม“ตอนนี้ยังพอมีเวลาเหลืออยู่ก่อนทำวัตรเย็น” ซุนจิ่งอี้กล่าว “ข้าจะพาเจ้าไปเดินเล่นที่สวนไผ่ของที่นี่ก่อนสักครู่ แล้วค่อยกลับมาทำวัตรเย็น”&ldqu
หลายวันต่อมา ในเช้าที่อากาศเย็นเยียบ ซุนจิ่งอี้ได้เดินทางมาถึงจวนชิงผิงโหวอย่างตรงเวลา เขาอยู่ในชุดลำลองผ้าไหมสีน้ำเงินเข้มที่ดูสุภาพและสง่างาม รถม้าของเขาจอดรออยู่หน้าประตูใหญ่ ซึ่งมีนายประตูต้อนรับและให้คนเข้าไปแจ้งข่าวไม่นานนักกัวรั่วชิงก็เดินออกมาจากโถงต้อนรับพร้อมกับ กัวไห่เจินและเฉินเหยียนเฟยที่ตั้งใจมาส่งนางถึงรถม้าซุนจิ่งอี้ซึ่งยืนรออยู่ก่อนแล้ว รีบโค้งคำนับต่อชิงผิงโหวอย่างนอบน้อม “ท่านโหว ฮูหยิน”“ตามสบายเถิด” ชิงผิงโหวตอบอย่างผ่อนคลาย แต่ยังคงแฝงไว้ด้วยอำนาจ “การเดินทางไปถือศีลบนเขาถือเป็นเรื่องดี แต่ถนนหนทางก็ยากลำบาก ชิงเอ๋อร์เป็นลูกสาวที่พวกเราทะนุถนอม ข้าขอฝากให้ท่าน ดูแลนางให้ดี ตลอดการเดินทางและในอารามด้วย”เฉินเหยียนเฟย ยื่นห่อผ้าห่มขนสัตว์บางเบาให้กับกัวลี่ลี่ แล้วกล่าวกับบุตรสาวด้วยความเป็นห่วง “ไปถือศีลก็อย่าลืมดูแลสุขภาพ อากาศบนเขาย่อมหนาวเย็นกว่าในเมือง เจ้าต้องดูแลตัวเองให้ดี”“ท่านพ่อท่านแม่วางใจเถิดเจ้าค่ะ” กัวรั่วชิงรับปาก แล้วหันไปทักท
“สหายเจ้า?” ซุนจิ่งอี้ทำท่าครุ่นคิด “คงหมายถึงคุณหนูเล็กสกุลเหยาใช่หรือไม่”กัวรั่วชิงพยักหน้า “ใช่แล้ว”“ความจริงเรื่องนี้ข้าก็นึกชื่นชมเจ้าอยู่เหมือนกัน” ซุนจิ้งอี้มองนางด้วยสายตาชื่นชม “ไม่ว่าคุณหนูเหยาจะเป็นเยี่ยงไร หรือจะถูกใครเหยียดหยามว่าเป็นคนเขลา แต่เจ้าก็ยังให้ความสำคัญกับมิตรภาพ อยู่เคียงข้างนางเสมอ คุณหนูเหยาช่างโชคดีที่มีสหายอย่างเจ้าจริงๆ”“ท่านกล่าวเกินไปแล้ว ข้าคิดว่าไม่ว่าผู้ใด หากสหายเกิดเรื่องหรือเจ็บป่วย ก็คงไม่ทอดทิ้ง”“เจ้าถ่อมตัวอีกแล้ว เจ้าก็รู้คนมีคุณธรรมเยี่ยงนั้นไม่ได้มีมากนักหรอก” ซุนจิ่งอี้ยิ้มบางๆ “วันนี้ไม่เสียเปล่าจริง ที่ได้เจอกับคนดีๆ อย่างคุณหนูกัว”“ท่านรองเสนาบดีเองก็เป็นบุรุษที่เปี่ยมด้วยความรู้และคุณธรรม ข้าเองก็รู้สึกเป็นเกียรติที่ได้พบกับท่านเช่นกัน” กัวรั่วชิงตอบอย่างอ่อนโยน ในใจของนางยอมรับว่าบุรุษผู้นี้ดีเกินกว่าจะปฏิเสธได้ด้วยเหตุผลตื้นๆ และนางก็ไม่มีความจำเป็นต้องเสแสร้งแสดง
กัวรั่วชิงยิ้มตอบอย่างกระตือรือร้น“ความคิดของอาจารย์มู่หานนั้นเฉียบคมมาก โดยเฉพาะเรื่องการกระจายอำนาจของขุนนางท้องถิ่นไปยังกลุ่มชนชั้นกลาง ข้าเห็นด้วยว่ามันคือรากฐานของความมั่นคงในระยะยาว” ครั้นเห็นเขามองมาด้วยสีหน้าแสดงความสนใจ นางก็ยิ่งยากจะพูดต่อ “แต่ข้าก็ยังคิดว่าการเมืองในยุคสมัยนั้นมีความยืดหยุ่นมากกว่า การตัดสินใจไม่ได้ขึ้นอยู่กับความชอบส่วนพระองค์ของฮ่องเต้ หรือของขุนนางบางคนอย่างเช่นทุกวันนี้”“โอ้ ข้าก็มีความคิดคลายกันกับคุณหนูกัว” ซุนจิ่งอี้ยิ้มด้วยความพอใจ ดวงตาของเขาเป็นประกายราวกับเจอเพื่อนที่เข้าใจกัน“แต่ใช่ว่าข้าจะไม่ชอบรัชมัยนี้หรอกนะ นับตั้งแต่ฮ่องเต้ทรงขึ้นครองราชย์บัลลังก์ ก็ทรงปกครองแว่นแคว้นหลังการเปลี่ยนรัชสมัยได้อย่างราบรื่น แสดงให้เห็นถึงพระปรีชาสามารถ” ช่วงเปลี่ยนถ่ายอำนาจเป็นช่วงที่เปราะบางยิ่ง แต่มู่เหวินหลงกลับควบคุมดูแลทุกสิ่งได้อย่างดี แม้จะมีการก่อกบฏอยู่สองสามครั้ง แต่ราชสำนักก็จัดการได้อย่างหมดจด ถอนรากทอนโคนคนเหล่านั้นจนสิ้น นั่นย่อมหมายความว่าฮ่องเต้พระองค์นี้ทั้งเด็ดขาดและเต็มไปด้วยพระราชอำนาจที่แข็งแกร่งยิ่งยากยิ่งนักที่สตรีจะพูดเรื่องการเมืองก







