“ขออภัยด้วยที่คนของข้าเสียมารยาท” เสียงนุ่มนวลที่ดังมาจากประตูหลังทำให้ซูหมิ่นจูและซูจิ่นหันไปมอง ก็เห็นหญิงสาวผู้หนึ่งสวมชุดสีกลีบบัวกำลังยืนอยู่ตรงนั้น ใบหน้างดงามสงบนิ่ง ดวงตาที่ดูอ่อนโยนและรอยยิ้มจางๆ บนริมฝีปากชวนให้รู้สึกสบายตาสบายใจยิ่ง
“เจ้าเป็นใคร” ซูจิ่นถามอย่างหยิ่งผยอง
“ข้าคือเจ้าของร้านจื่อชิงแห่งนี้ นามว่ากัวรั่วชิง” น้ำเสียงของนางยังคงความอ่อนโยน แต่แฝงไว้ด้วยพลังไม่ได้อ่อนแอเลยแม้แต่น้อย
“อ่อ เจ้าเองสินะ” ซูหมิ่นจูมองมาด้วยสายตาเย็นชา
‘นางคือสตรีม่ายที่เป็นเจ้าของร้านแห่งนี้ กัวรั่วชิง งั้นเหรอ’
ซูหมิ่นจูเก็บความรู้สึกไม่ยินยอมไว้ภายในใจ นางไม่คาดคิดว่าคู่แข่งความรักของตนจะดูงดงามและสง่าดังดอกโบตั๋นเยี่ยงนี้ นางเดินเข้าไปหากัวรั่วชิงอย่างช้าๆ ราวกับนางพญาที่กำลังประเมินเหยื่อ
“ข้าเคยได้กลิ่นหอมจากร้านใหญ่ๆ ในเมืองหลวงมาแล้ว” ซูหมิ่นจูเริ่มบทสนทนาด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความเย่อหยิ่ง “แต่กลิ่นของที่นี่ช่าง...ธรรมดาเส
“ขออภัยด้วยที่คนของข้าเสียมารยาท” เสียงนุ่มนวลที่ดังมาจากประตูหลังทำให้ซูหมิ่นจูและซูจิ่นหันไปมอง ก็เห็นหญิงสาวผู้หนึ่งสวมชุดสีกลีบบัวกำลังยืนอยู่ตรงนั้น ใบหน้างดงามสงบนิ่ง ดวงตาที่ดูอ่อนโยนและรอยยิ้มจางๆ บนริมฝีปากชวนให้รู้สึกสบายตาสบายใจยิ่ง“เจ้าเป็นใคร” ซูจิ่นถามอย่างหยิ่งผยอง“ข้าคือเจ้าของร้านจื่อชิงแห่งนี้ นามว่ากัวรั่วชิง” น้ำเสียงของนางยังคงความอ่อนโยน แต่แฝงไว้ด้วยพลังไม่ได้อ่อนแอเลยแม้แต่น้อย“อ่อ เจ้าเองสินะ” ซูหมิ่นจูมองมาด้วยสายตาเย็นชา‘นางคือสตรีม่ายที่เป็นเจ้าของร้านแห่งนี้ กัวรั่วชิง งั้นเหรอ’ ซูหมิ่นจูเก็บความรู้สึกไม่ยินยอมไว้ภายในใจ นางไม่คาดคิดว่าคู่แข่งความรักของตนจะดูงดงามและสง่าดังดอกโบตั๋นเยี่ยงนี้ นางเดินเข้าไปหากัวรั่วชิงอย่างช้าๆ ราวกับนางพญาที่กำลังประเมินเหยื่อ“ข้าเคยได้กลิ่นหอมจากร้านใหญ่ๆ ในเมืองหลวงมาแล้ว” ซูหมิ่นจูเริ่มบทสนทนาด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความเย่อหยิ่ง “แต่กลิ่นของที่นี่ช่าง...ธรรมดาเส
หวงเชียนเล่อเดินนำนางไปตามทางเดินที่ปูด้วยหินสีเทาเข้มอย่างเป็นระเบียบ สองข้างทางมีต้นสนสูงใหญ่อายุหลายร้อยปีปลูกเรียงรายอย่างสง่างาม กำแพงสูงใหญ่ของเรือนพักรายล้อมไปด้วยพุ่มไม้ที่ถูกตัดแต่งอย่างประณีต บรรยากาศภายในจวนแม่ทัพแตกต่างจากภายนอกอย่างสิ้นเชิง ที่นี่ไม่มีเสียงอึกทึกของผู้คนในตลาด มีเพียงเสียงของสายลมที่พัดผ่านยอดไม้และเสียงฝีเท้าของทหารยามที่เดินตรวจตราเป็นระยะ ซูหมิ่นจูรู้สึกได้ถึงความสงบและอำนาจที่แฝงอยู่ในทุกย่างก้าว นางเดินตามพลางมองแผ่นหลังกว้าง หัวใจเต้นระรัวด้วยความรู้สึกที่ผสมผสานระหว่างความสุขที่ได้อยู่ใกล้ชิดเขาและความหวังในอนาคตที่นางเพิ่งจะวางแผนไว้เมื่อพวกเขาเดินเข้าไปในเรือนพักรับรอง นางก็รู้สึกตกใจเมื่อเห็นห้องที่ถูกเตรียมไว้ มันถูกประดับประดาอย่างสวยงาม แต่ก็แฝงไปด้วยความรู้สึกอบอุ่น ดูก็รู้ว่าใส่ใจอย่างยิ่ง“พี่เชียนเล่อ ท่านเตรียมสิ่งนี้ให้ข้าหรือ” นางเอ่ยถามด้วยดวงหน้าแดงซ่าน“ใช่แล้ว เจ้าชอบหรือไม่เล่า”“ข้าชอบมากเจ้าค่ะ ขอบคุณท่านมากจริงๆ”“ไม่ต้องเกรงใจ เจ้า
หวงเชียนเล่ออ่านจบก็เก็บจดหมายเข้ากระเป๋าเสื้อ “เป็นอย่างไรบ้างขอรับ”“ไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง” หวงเชียนเล่อกล่าวด้วยรอยยิ้มบางๆ “ท่านแม่แค่จะส่งจูเอ๋อร์มาทำธุระที่เมืองหลวง”“ฮูหยินคงส่งนางมาสอดส่องว่าท่านใช้ชีวิตเหลวไหลอย่างไรที่นี่มากกว่า”หวงเชียนเล่อหัวเราะอย่างขบขัน “เจ้าพูดถูกแล้ว ท่านแม่ของข้าคงจะคิดเช่นนั้น”“แล้วท่านไม่กังวลหรือ” หูจวี๋ถามอย่างเป็นห่วงหวงเชียนเล่อส่ายหน้า “ข้าไม่กังวลหรอก จูเอ๋อร์เป็นคนน่ารัก นางคงไม่ทำอะไรที่ไม่ดีต่อข้าหรอก”หวงเชียนเล่อเอ็นดูซูหมิ่นจูเหมือนน้องสาวแท้ๆ ของตัวเอง ทั้งยังแอบคิดในใจว่า หากญาติผู้น้องได้พบกับกัวรั่วชิงและชื่นชอบในตัวนาง มารดาของเขาอาจจะยอมรับในตัวกัวรั่วชิงได้ง่ายขึ้น“เจ้าช่วยสั่งให้พ่อบ้านไปเตรียมเรือนพักรับรองให้ญาติผู้น้องของข้าที่กำลังจะมาเยี่ยม”“ขอรับ” หูจวี๋โค้งคำนับแล้วเดินไปที่ประตูอย่างรวดเร็ว ก่อนจะหันกลับมา “ท่านแม่ทัพ แล้ว
เมืองหลวงในยามนี้เต็มไปด้วยกระแสลมแห่งข่าวลือที่พัดพาเรื่องราวจากจวนหนึ่งไปสู่อีกจวนหนึ่งอย่างรวดเร็วกว่าสายลมใด ๆ เสียงกระซิบกระซาบในตลาดน้ำชา ร้านอาหาร หรือแม้แต่ในงานเลี้ยงชั้นสูง ล้วนแล้วแต่เต็มไปด้วยเรื่องซุบซิบนินทาที่น่าสนใจจนผู้คนในเมืองต่างหูผึ่ง“เจ้าได้ยินหรือไม่ว่าท่านหญิงกุ้ยอินสะใภ้ใหญ่ของไคกั๋วกงกำลังตั้งครรภ์บุตรคนที่สองแล้ว” ชายผู้หนึ่งเริ่มบทสนทนากลางวงเหล้า“ใครว่านางเป็นแม่ไก่ออกไข่ไม่ได้ เพิ่งจะคลอดคนโตได้ไม่เท่าไร ก็มีอีกคนแล้ว ฮูหยินไคกั๋วกงคงชอบลูกสะใภ้มากขึ้นแล้วกระมัง” ชายอีกคนพูดพลางหัวเราะ“เจ้าคงไม่รู้ข่าวสำคัญอีกเรื่องกระมัง อ๋องเสเพลอย่างเว่ยอ๋องไปมาหาสู่ที่จวนเจิ้นหนิงโหวบ่อยอย่างกับเป็นจวนของตนเอง” ชายคนแรกรินสุราแล้วเล่าข่าวต่อ“เจิ้นหนิงโหวมีบุตรสาวสามคนคน แล้วท่านอ๋องไปหาผู้ใดล่ะ” ชายคนที่สามที่เงียบอยู่นานเกิดสนใจถามขึ้นมาชายผคนที่เปิดประเด็นลดเสียงให้ต่ำลง “บุตรสาวที่เป็นคนเขลาของเจิ้นหนิงโหวน่ะสิ”“จริงหรือ? ไอ้หย๋า...ท่
ครั้นเห็นว่าเด็กหญิงได้พบกับครอบครัวแล้ว หวงเชียนเล่อก็ได้เข้าไปชี้แจงเล็กน้อย “นางหลงไปทางโน้น บังเอิญข้าพบเขาจึงนำมาส่ง”“ขอบใจเจ้ามาก” ชิงผิงโหวรีบควักก้อนเงินเล็กๆ ออกมาหมายจะให้เด็กหนุ่ม“ไม่เป็นไรขอรับ ข้าแค่ช่วยเหลือตามคุณธรรม”ชิงผิงโหวยิ้มบางๆ แล้วเก็บเงินกลับไป เพราะพอมองดูดีๆ เสื้อผ้าอาภรณ์ที่เด็กหนุ่มผู้นี้สวมใส่เขาคงไม่ใช่แค่เด็กเหลือขอทั่วไปแน่ๆ“พี่ชาย” หลังมารดาคลายอ้อมกอด กัวรั่วชิงก็เดินมาตรงหน้าเด็กหนุ่ม แล้วชื่นชมอย่างจริงใจ “ท่านเก่งมากจริงๆ ท่านเป็นคนดี และกล้าหาญมากๆ”หวงเชียนเล่อรู้สึกเหมือนหัวใจเต้นแรงขึ้น เมื่อได้ยินคำชมที่เขาโหยหามาตลอดชีวิตจากเด็กสาวตัวเล็กๆ “เจ้ากล่าวหนักเกินไปแล้ว”กัวรั่วชิงยิ้มอย่างน่ารัก “ข้าพูดเรื่องจริงทั้งนั้น ท่านช่วยข้าเอาไว้ ภายภาคหน้าท่านจะต้องเป็นวีรบุรุษอย่างแน่นอน”การกระทำเล็กน้อยเพียงเท่านี้ กลับดูยิ่งใหญ่ในสายตานางปานนั้น มันทำให้หวงเชียนเล่ออดยิ้มออกมาไม่ได้“
สายลมยามบ่ายพัดผ่านผืนน้ำในทะเลสาบจนเกิดระลอกคลื่นเล็กๆ ส่องประกายระยิบระยับยามต้องแสงอาทิตย์ ห่างไกลจากความวุ่นวายของชุมชนและจวนขุนนาง หวงเชียนเล่อได้พากัวรั่วชิงมายังสถานที่ที่สงบเงียบราวกับอยู่อีกโลกหนึ่ง แต่ในครั้งนี้ เขากลับมีสีหน้าที่ลึกซึ้งและแววตาที่เต็มไปด้วยความทรงจำที่ไม่อาจลืมเลือนได้เขาเช่าเรือส่วนตัวลำเล็กที่ถูกตกแต่งอย่างเรียบง่ายแต่สะอาดตา มีเพียงเบาะรองนั่งสีขาวสะอาดและโต๊ะไม้เล็กๆ ที่ตั้งถ้วยชาหอมกรุ่นกับถาดผลไม้สด“เจ้าชอบที่นี่หรือไม่” หวงเชียนเล่อเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงที่อบอุ่น ก่อนจะยื่นมือมาประคองกัวรั่วชิงเพื่อช่วยนางลงเรือ“ที่นี่งดงามยิ่งนัก” กัวรั่วชิงรับมือของเขาไว้ ก่อนจะก้าวลงเรือด้วยความระมัดระวัง นางสัมผัสได้ว่าวันนี้เขามีบางอย่างที่แตกต่างออกไปจากทุกวัน ซึ่งปกติจะมีกำแพงบางๆ ที่สร้างขึ้นมา แต่วันนี้เขากลับเปิดมันเพื่อให้นางก้าวเข้าไปเขานั่งลงฝั่งตรงข้ามแล้วหยิบถ้วยชาขึ้นรินให้นางก่อน “จู๋ฮวาชา เจ้าชอบหรือไม่”“ชอบเจ้าค่ะ” นางตอบรับด้วยรอยยิ้มเล็กๆ คิดว