ร่างสูงใหญ่ของคนที่เพิ่งก้าวเข้ามาในงานทำให้มาลินีแปลกใจ หากไม่นานก็ยิ้มออกมาเพราะคิดว่าเป็นโอกาสดีที่ตนเองจะได้พูดคุยทำความรู้จักกับอีกฝ่ายให้มากขึ้น สาวร่างโปร่งระหงตรงไปทักทายชายหนุ่มพร้อมรอยยิ้มในทันใด ด้วยรู้สึกว่าเขาเริ่มตกเป็นเป้าสายตาของสาวหลายคนในงาน
“สวัสดีค่ะคุณปัฐ ไม่คิดว่าคุณจะมางานนี้”
“สวัสดีครับคุณหนึ่ง”
ชายหนุ่มไม่ได้ยิ้มตอบคนที่ส่งยิ้มหวานมาให้ หากเขาก็ตอบรับอย่างมีมารยาท
“พอดีนายกลางงอแงผมก็เลยต้องมาแทนน่ะครับ”
ปัฐวิกรไม่ได้อยากดิสเครดิตน้องชายตัวเองหรอก แต่อีกฝ่ายทำตัวอย่างนั้นจริงๆ อีกอย่างแม้สาวสวยตรงหน้าจะเคยสนใจน้องชายของเขาหากก็เธอเองก็มีส่วนช่วยให้กิตติกรสมหวัง ชายหนุ่มจึงคิดว่าไม่มีประโยชน์อะไรต้องรักษาภาพลักษณ์ของน้องชายกับเธอ
งานนี้เป็นงานเลี้ยงครบรอบหกสิบปีของอดีตผู้ว่าราชการจังหวัดที่ผู้ใหญ่ในเชียงใหม่ต่างก็นับหน้าถือตา ตระกูลเขาเพิ่งมาลงหลักปักฐานธุรกิจที่นี่จำเป็นต้องให้เกียติผู้หลักผู้ใหญ่ รวมทั้งออกงานสังคมทำความรู้จักผู้คนให้มาก ก่อนหน้านี้กิตติกรค่อนข้างออกงานบ่อยและวางรากฐานเอาไว้อย่างดี ทำให้งานใหญ่ครั้งนี้ไม่อาจพลาดได้
“แหม ถ้าบอกว่าเพราะต้องดูแลลูกหนึ่งยังพอนึกภาพออกนะคะ”
อีกฝ่ายพูดขำๆ
ปัฐวิกรยิ้มบาง คิดในใจว่าไม่ใช่เพราะลูกแต่เป็นเพราะเมียต่างหาก
“เดินเข้ามาก็เกร็งๆ เหมือนกันครับ มาเจอคนรู้จักอย่างคุณหนึ่งแล้วค่อยโล่งขึ้นมาหน่อย”
ถึงจะบอกอย่างนั้น แต่เขาเองก็ไม่เกร็งเท่าช่วงแรกๆ ที่ต้องออกงานคนเดียวแล้ว เพราะนับแต่มารดาเขายึดเอาหลานเป็นหลักท่านก็แทบไม่ออกงานสังคมที่เคยชื่นชอบเลย ทำให้หน้าที่ตกมาอยู่ที่เขาเต็มๆ
“หนึ่งยินดีอยู่เป็นเพื่อนคุณปัฐทั้งคืนเลยค่ะ”
พูดออกไปแล้วก็เพิ่งนึกขึ้นมาได้ว่าตัวเองออกตัวแรงเกินไปหน่อยจึงยิ้มแหย
“หมายถึงในงานนี้น่ะค่ะ”
ปัฐวิกรเพียงยิ้มรับเพราะเขาไม่ได้คิดเลยเถิดอะไร
“คุณพ่อคุณแม่ของหนึ่งมาด้วยนะคะ เชิญทางนี้ค่ะ”
มาลินีผายมือเชิญชวน บิดามารดาของเธอนั่งอยู่ที่โต๊ะโซนด้านหน้าใกล้เจ้าของงานเพราะเป็นผู้ใหญ่ของจังหวัด
ปัฐวิกรเดินตามอย่างยินดีเพราะคิดว่าเป็นมารยาทที่ควรทำความรู้จักทักทายกับบิดามารดาของหญิงสาว
พ่อเลี้ยงศรากับแม่เลี้ยง ภูมิฐานสมวัยของท่าน ทั้งสองท่านใจดีร่าเริง มาลินีดูคล้ายกับแม่เลี้ยงมารตี ส่วนเจ้าของดวงหน้าสวยน่ารักในความทรงจำของเขาที่พอได้เห็นพ่อเลี้ยงก็นึกถึงทันทีนั้นทำให้เขารู้ว่าอีกฝ่ายได้โครงหน้ามาจากใคร ทว่าดวงตาของมาธาวีกลับคล้ายมารดา ส่วนมาลินีนั้นตาคมมีแววมุ่งมั่นคล้ายบิดา
“จำได้ว่าเคยเจอกันในงานแต่งของคุณมิทร์กับหนูก้อย แล้วก็งานศพของเจ้า ใช่ไหมคะ”
แม่เลี้ยงมารตีนึกทวนความจำอยู่ไม่นาน
“ครับ”
ปัฐวิกรรับคำอย่างนอบน้อม เขานั่งข้างพ่อเลี้ยงศรา แต่ด้วยความที่โต๊ะกลมทำให้แม่เลี้ยงสามารถคุยกับเขาได้อย่างไม่มีปัญหา
“นั่งเสียด้วยกันนี่แหละคุณปัฐ”
พ่อเลี้ยงเอ่ยขึ้นพร้อมกับตบไหล่เขาเบาๆ
“ขอบคุณครับ”
“หนึ่งก็ว่าจะชวนคุณปัฐพอดีเหมือนกันค่ะ”
มาลินีบอกพร้อมยิ้มหวาน นั่นทำให้ผู้เป็นมารดาจับสังเกตได้ ท่านสบตาลูกสาวคนโตอย่างมีความนัย ซึ่งคนถูกถามด้วยสายตาก็พยักหน้าลงนิดๆ พร้อมกับยิ้มขัดเขิน แม่เลี้ยงมารตียิ้มกว้างทันทีอย่างเป็นที่รู้กันว่าคนนี้คือคนที่ลูกสาวของท่านหมายตาเอาไว้
ปัฐวิกรมาดเนี้ยบ สมาร์ต ดูดีทุกมุมมอง วางตัวพอเหมาะพอควรอย่างรู้กาลเทศะ ที่สำคัญชาติตระกูลดีมาก ท่านเคยเจอน้องชายอีกฝ่ายมาแล้ว ฝ่ายนั้นก็ดูดีถูกตาไม่น้อย แม้จะออกแพรวพราวไม่สุขุมเหมือนพี่ชายแต่ก็น่าสนใจ ทว่ากิตติกรเพิ่งเป็นฝั่งเป็นฝาไปไม่นานมานี้ ท่านก็แอบเสียดายเล็กน้อยหลังรู้จากลูกสาวคนเล็กว่าลงเอยกับพิมพ์ปรางเพื่อนของมาธาวีไป
คุยกันไม่นานอาหารก็เริ่มมาเสิร์ฟพร้อมกับบนเวลาทีเริ่มมีการแสดง
“เห็นว่าอยู่กรุงเทพฯ นี่คะ มาเชียงใหม่บ่อยไหมคะ”
แม่เลี้ยงเอ่ยถามแทนลูกสาว
“ช่วงนี้คงมาบ่อยขึ้นครับ เพราะปรางภรรยานายกลางเพิ่งคลอดไม่นาน คุณพ่อคุณแม่อยากช่วยเลี้ยงหลาน นายกลางคงขึ้นมาเชียงใหม่น้อยลง”
คำตอบนี้ทำให้มาลินีตาวาว ขณะที่แม่เลี้ยงถึงกับยิ้มกว้าง
“มาเมื่อไร ก็แวะมาเยี่ยมที่บ้านบ้างนะคะ ป้าจะให้แม่บ้านทำอาหารพื้นเมืองอร่อยๆ ให้ได้ชิม”
“คุณปัฐคงทานมาบ่อยแล้วล่ะมั้ง”
พ่อเลี้ยงศราอดแย้งไม่ได้จนได้รับค้อนจากภรรยา
“แหมพ่อเลี้ยงก็ ยังไงก็ต้องให้ได้ลองชิมฝีมือแม่บ้านเราด้วยสิคะ”
“ป้าแม่บ้านฝีมือดี อร่อยไม่แพ้ร้านอาหารพื้นเมืองดังเลยค่ะ หนึ่งรับรอง”
มาลินีรีบเสริมมารดา
ปัฐวิกรกำลังจะตอบรับเพราะเกรงใจผู้ใหญ่ แต่เพราะคำร้องที่คุ้นหูทำให้เขาหันมอง เพราะเพียงดนตรีก่อนหน้านี้ยังไม่สะดุดใจจนนึกได้ ตอนแรกชายหนุ่มไม่ได้สนใจบนเวทีนัก ได้ยินแว่วๆ ว่าหลังรำอวยพรมีรายการแสดงพิเศษแต่ไม่ได้บอกว่าอะไร บอกเพียงว่าภรรยาอดีตท่านผู้ว่าชอบการแสดงนี้ จึงอยากให้ทุกคนได้ชมไปพร้อมกัน
“ฉุยฉายพราหมณ์”
ชายหนุ่มพึมพำกับตัวเอง และร่างอรชรที่เยื้องย่างกรีดกรายบนเวทีก็เป็นร่างที่เขาคุ้นตาในระยะหลังมานี้
คนบนโต๊ะทุกคนได้ยินที่เขาพูด และไม่คิดว่าชายหนุ่มจะรู้จัก พ่อเลี้ยงกับแม่เลี้ยงหันไปมองบนเวทีด้วยความภาคภูมิใจ มีเพียงมาลินีที่หน้างอแม้จะมองตามทุกคน
“นั่นสอง ลูกสาวคนเล็กของผมครับ พักหลังมานี้ให้เด็กๆ โชว์เสียเป็นส่วนใหญ่ ผมเองก็ไม่ได้ดูลูกสาวรำนานแล้ว”
พ่อเลี้ยงศราเอ่ยขึ้นทำให้ชายหนุ่มต้องละสายตากลับมามองท่าน
“ครับ”
“ยายสองเขาเก่ง ผู้ใหญ่ในจังหวัดชอบทั้งนั้นค่ะ มีงานไหนก็เรียกหาตลอด นี่รีเควสเลยนะคะ ว่าต้องเป็นยายสอง”
แม่เลี้ยงหันมาพูดบ้าง นั่นทำให้ลูกสาวคนโตของบ้านกอดอกข่มความขุ่นใจเอาไว้
“คุณก็เลยพลอยได้หน้าไปด้วย”
พ่อเลี้ยงแซวภรรยา จึงได้ค้อนกลับไปอีกครั้ง
จากนั้นผู้ใหญ่ทั้งสองก็หันไปดูการแสดงต่อ ปัฐวิกรมองเห็นความอิ่มอกอิ่มใจจากพวกท่าน แม้แต่เขาเองยังดูการร่ายรำจนเพลินทั้งที่เคยดูมาแล้ว
มาลินีมองบิดามารดาของตัวเองอย่างเซ็งๆ ทว่าเมื่อสายตากวาดไปยังหนุ่มหล่อที่นั่งฝั่งตรงข้าม ตาคมคู่สวยก็ต้องชะงัก ความรู้สึกสะดุดใจบางอย่างทำให้เธอขมวดคิ้ว แม้จะบอกตัวเองให้ใจเย็นอย่าเพิ่งคิดมาก แต่ในใจลึกๆ ก็อดหงุดหงิดไม่ได้
=====
หลังทำบุญขึ้นบ้านใหม่ของปัฐวิกรกับมาธาวีที่ราวเป็นการรวมญาติเล็กๆ แล้วช่วงเย็นก็มีเลี้ยงภายในครอบครัว ครอบครัวอรรถพันธ์พงศ์มาครบเช่นเคย โดยคืนนี้ก็จะค้างที่บ้านหลังใหญ่ของพ่อเลี้ยงศราเช่นเดิม ซึ่งลัลนาเพียงนั่งเงียบๆ ข้างมารดาหากก็ไม่เย็นชาจนเกินงาม แม้จะมีโจทก์เก่าอยู่ถึงสองคนก็ตาม เพราะอย่างไรก็ต่างคนต่างอยู่กันแล้ว ชีวิตต้องเดินหน้าต่อไปบ้านที่เชียงใหม่เสร็จก่อนเพราะปัฐวิกรเห็นว่ามาธาวีอยู่ที่นี่ ส่วนที่บ้านอรรถพันธ์พงศ์ก็ค่อยเป็นค่อยไป ไว้ใช้ตอนเขาพาหญิงสาวไปเยี่ยมครอบครัว หรือเวลาที่จำเป็นต้องไปทำธุระ ส่วนงานชายหนุ่มให้กิตติกรดูแลทางกรุงเทพฯ เป็นหลักแล้วในตอนนี้ ทว่าทั้งสองคนก็ยังคุยกันทุกวันและปัฐวิกรบินไปมาแต่ไม่ทุกอาทิตย์เหมือนเมื่อก่อนทว่านั่นทำให้ปัญหาเกิดขึ้นกับทางโรงเรียน ‘นาฏช่างฟ้อน’ ของสามสาว“ปรางขอโทษนะคะคุณก้อย สอง”พิมพ์ปรางบอกเพื่อนหน้าละห้อยขณะพาลูกเข้ามากล่อมนอนในห้อง โดยมีสองสาวเพื่อนซี้ตามมาด้วย“ไม่เป็นไร ตอนนี้ก็ช่วยกันไปก่อน แต่ถ้าก้อยคลอด สองก็จัดการได้อยู่ดี”มาธาวียักไหล่ยิ้มๆ รู้ว่าพิมพ์ปรางไม่สบายใจ เพราะจนแล้วจนรอดก็ไม่สามารถกลับมาช่วยเพื่อนที่โรงเร
“มาสิครับ”ปัฐวิกรเอ่ยด้วยเสียงเย้ายวนใจ เมื่อหญิงสาวกล้าที่จะเริ่มต่อจากนั้นเขาก็เป็นคนช่วยเธอ แล้วร่างสองร่างก็แนบสนิทอย่างที่สุดพร้อมเสียงครวญยาวในลำคอของคนตัวเล็กเพราะเธอเกร็งและกลัวจนเขาต้องลูบหลังปลอบใจเธอก้มหน้าลงซบซอกคอแกร่งเมื่อถูกกระแสรัญจวนครอบงำ ตัวสั่นเบาๆ ไม่รู้ว่าต้องทำอย่างไร เพราะเพียงแค่นี้ทั้งร่างของเธอก็แทบจะระเบิดแล้ว แต่แล้วมือหนาก็วางลงบนเอวเธอชักนำพร้อมเอ่ยเสียงทุ้มพร่า“ทำให้ผมละลายเพราะคุณสิสอง”ไม่รู้เพราะเสียงบอกกระตุ้นหรือเพราะแรงรั้งจากมือหนาทำให้สะโพกเธอเริ่มขยับตาม แล้วก็ต้องปล่อยเสียงของความอัดอั้นออกมาเพราะรู้สึกถึงความทรมานแสนหวานที่มากยิ่งกว่า“ดีที่รัก”ปัฐวิกรยังให้กำลังใจขณะที่เขาเองก็เดินหน้าเช่นกันเพราะกำลังของคนตัวเล็กบางเบาเกินกว่าจะนำพาเขาได้ ทว่าก็สร้างความหวามในอกอย่างสุดแสนไม่น้อยเลย แต่เขารู้ว่ามาธาวีอายเกินกว่าจะก้าวไปไกลกว่านี้เขาจึงจัดการทุกอย่างเอง หากร่างทั้งสองก็เป็นท่วงทำนองเดียวกัน จนเขาได้ยินเสียงหอบหนักขึ้นเรื่อยๆ จากหญิงสาว ไม่นานร่างอรชรก็สะดุ้ง แขนเรียวกอดเขาฝังหน้าเล็กร้องในลำคอ นั่นทำให้เขาเร่งร้อนสะโพกแกร่งเพื่อจะตามคนตั
“แป๊บนะครับ”ปัฐวิกรถอนจูบแสนหวามออกมากระซิบเสียงพร่าแล้วถอดเสื้อยืดของตนออกอย่างรวดเร็วหญิงสาวกวาดตามองเรือนร่างกำยำของคนที่ตนนั่งอยู่บนตักเขาเร็วๆ แล้วก็เขินจนหน้าแดง เธอไม่ค่อยสนใจอีกฝ่ายเวลาใกล้ชิดกันก่อนหน้านี้เลยเพราะถูกฝืนใจ แต่เวลานี้ร่างกายและใจสาวกำลังรอคอยทำให้อดอายความรู้สึกของตัวเองไม่ได้อยู่ๆ ชายหนุ่มก็จับเอวเธอยกขึ้นทำให้มาธาวีตกใจนิดๆ จนตัวเกร็ง“อะ...อะไรคะ”แล้วเขาก็จับกางเกงขาสั้นของเธอ คราวนี้มาธาวีรู้ได้ทันทีว่าชายหนุ่มตั้งใจจะถอดท่อนล่างที่เหลืออยู่“อื้อ”หญิงสาวประท้วงอีกฝ่ายพร้อมจับมือเขาอย่างไม่ยินยอม เธอเขินจนทำตัวไม่ถูกแล้ว ตรงนี้เป็นห้องรับแขก แถมไฟสว่างจ้า ประสบการณ์รักของเธอก็น้อยนิด ทุกครั้งแทบจะหลับตาตลอดเพราะไม่พอใจและกลัว แต่เขาจะมาให้เธอถอดโชว์เผยสัดส่วนทั้งตรงนี้ ตอนนี้เลยได้อย่างไรปัฐวิกรสบตาเธอครู่หนึ่ง แววลุ่มลึกในนั้นคมเข้มจนหญิงสาวหวั่นใจ แต่เขาก็ไม่ได้บังคับ เมื่อยอมละมือจากกางเกงของเธอเขาก็เปลี่ยนมาเกาะกุมอกอวบที่ยังมีเสื้อชั้นในโอบรั้งไว้ เคล้าคลึงเบามือ จนคนที่ไม่สามารถป้องกันตัวเองได้ทั้งที่จับมือเขาอยู่ถึงกับแอ่นเข้าหาชายหนุ่ม มือหนา
สามเดือนผ่านไป...ปัฐวิกรพามาธาวีมาทำบุญตามที่คุยกันเอาไว้ ร่างกายของหญิงสาวดีขึ้นมาก ส่วนที่มีปัญหามากที่สุดคือแขนข้างที่กระดูกร้าว แต่ก็ดีขึ้นมากแม้จะยังขยับไม่ค่อยคล่องก็ตาม เขาจึงไม่ให้อีกฝ่ายถือหรือยกอะไรหนักนอกจากทำกายภาพ แต่ปัญหาหลักๆ ก็คือ มาธาวียังรำไม่ได้ และนั่นคือเรื่องใหญ่สำหรับหญิงสาวเขาจำได้ว่าตอนที่รู้สึกตัวได้เต็มที่แล้วพยายามจะขยับแขนแต่ทำไม่ได้มาธาวีร้องไห้ออกมาเงียบๆ เขาต้องคอยถามคอยปลอบอยู่ตั้งนานกว่าจะรู้ว่าอีกฝ่ายกลัวรำไม่ได้อีกตอนนี้โรงเรียนเป็นหน้าที่ของกัญญานันเป็นหลัก นับตั้งแต่เกิดอุบัติเหตุขึ้นกับมาธาวีเลยก็ว่าได้“ไปที่ไหนต่ออีกไหม”หลังออกมาจากวัดแล้วชายหนุ่มก็ถามขึ้น“สองห่วงก้อยค่ะ รีบกลับไปช่วยก้อยดูเด็กๆ ดีกว่า”มาธาวีรู้ว่าเพื่อนท้องก็ดีใจอย่างมาก หลังออกจากโรงพยาบาลก็ไปอยู่กับกัญญานันที่คลาสตลอด แม้จะไม่ได้ช่วยอะไรมากก็ตาม ส่วนตอนไปดูแลเด็กแสดงที่ร้านเป็นเปรมินทร์ไปกับภรรยาของเขา เพราะปัฐวิกรเห็นว่าร่างกายของมาธาวียังไม่เหมาะจะไปไหนมาไหนในเวลากลางคืนและต้องรีบพักผ่อน“หวังว่าคุณแน็ตคงยกโทษให้สอง”หญิงสาวพึมพำเสียงเบาขณะอยู่บนรถ“สองตั้งใจทำบุญให้
ขณะที่คุณากรยืนมองนิ่ง เขาพอมองออกว่าอะไรเป็นอะไร ดูออกตั้งแต่วันที่นันทิยาแอบนัดให้ปัฐวิกรมารับที่ผับตอนอ้างกับเขาว่าจะไปเข้าห้องน้ำ เห็นหายไปนานเขาก็ไปตามแต่กลับไม่เจอตามหาจนออกมาข้างนอก ก็เห็นหญิงสาวเดินไปกับผู้ชายคนอื่น ตอนแรกเขาไม่รู้ว่าเป็นใคร แต่ตอนเห็นปัฐวิกรมาช่วยมาธาวีแล้วพาเดินไปด้วยกันเขาก็จำด้านหลังอีกฝ่ายได้“บังเอิญยังไง”ปัฐวิกรถามออกไป ยังมีความคิดว่า อาจจะเป็นการเข้าใจผิดอยู่เพียงเล็กน้อย“นุ๊ก...พี่สองเขาหึงนุ๊ก เขาเรียกนุ๊กไปคุยด้วย ซักไซ้นุ๊กเรื่องพี่ปัฐนุ๊กบอกว่าไม่มีอะไรก็ไม่เชื่อ เราเลยยื้อยุดกัน แล้วมันก็...”นันทิยาหยุดพูดแล้วร้องไห้ออกมาไม่หยุดคุณากรถึงกับถอนหายใจแล้วส่ายหน้าเพราะไม่มีวันเชื่อ ทว่าก็เพียงยืนมองเงียบๆ อยากรู้ว่าปัฐวิกรจะคิดอย่างไรปัฐวิกรถึงกับไม่รู้จะตีสีหน้าอย่างไรเลยทีเดียว เขาอึ้งกับคำพูดของอีกฝ่าย เป็นไปได้ยากที่มาธาวีจะหึงเขาในเมื่อรู้แล้วว่าเขาดูแลนันทิยากับครอบครัวแทนพี่สาว และหญิงสาวเองก็ยังรู้สึกผิดอยู่ไม่น่าจะทำร้ายน้องสาวของณัฐวราได้ เศษเสี้ยวหนึ่งของใจชายหนุ่มอยากจะเชื่อนันทิยาแต่เพราะการพูดออกมาได้โดยไม่หยุดคิดของอีกฝ่ายทำให้เ
สิ่งที่ได้ยินจากหมอทำให้ปัฐวิกรถึงกับขมวดคิ้วมุ่น ร่างกายของมาธาวีกระแทกหลายจุด แต่ที่หนักคือไหล่กับแขนข้างหนึ่งกระดูกแตกร้าว ยังดีที่ไม่ถึงกับหัก หัวที่แตกไม่ได้รับการกระทบกระเทือนถึงสมอง คนไข้หายใจได้เองปกติ ไม่มีภาวะหยุดหายใจ นั่นทำให้ชายหนุ่มโล่งอกไปส่วนหนึ่ง หากก็ยังเคร่งเครียดอยู่เพราะหญิงสาวยังไม่รู้สึกตัว“สองต้องไม่เป็นอะไรค่ะพี่ปัฐ”กัญญานันเข้ามาเกาะแขนเขาพร้อมน้ำตาคลอแต่ก็เห็นว่าอีกฝ่ายพยายามกะพริบตาและกลั้นน้ำตาของตัวเอง ชายหนุ่มจึงดึงร่างน้องสาวมากอด อีกฝ่ายก็แนบหน้าลงซบอกเขา ได้ยินเสียงสูดน้ำมูกเบาๆระหว่างนั้นเปรมินทร์ที่ออกไปคุยโทรศัพท์กับทางไร่เพราะดิสกลส่งสายให้ก็กลับเข้ามา สีหน้าค่อนข้างเรียบสนิทเดาอารมณ์ไม่ถูก“ตำรวจสอบปากคำทุกคนที่บ้านครบแล้วครับ”พวกเขาที่อยู่โรงพยาบาลได้ให้ปากคำกับตำรวจเรียบร้อยไปก่อนหน้านั้นแล้ว“แล้วก็บอกว่ามีคนที่น่าสงสัย ตอนนี้กักตัวอยู่ครับ รอผลพิสูจน์ลายนิ้วมือจากก้อนหิน ที่คนร้ายอาจจะจับใช้ตีหัวน้องสอง”กัญญานันหน้าเสีย ยกมือปิดปากเพราะในหัวเธอมีภาพนั้นลอยเข้ามาแล้วก็นึกสงสารเพื่อนจับใจ“ดีนะที่ให้ดูคุณากรไว้ตั้งแต่เมื่อคืน”ปัฐวิกรพูดขึ