ร่างสูงใหญ่ของคนที่เพิ่งก้าวเข้ามาในงานทำให้มาลินีแปลกใจ หากไม่นานก็ยิ้มออกมาเพราะคิดว่าเป็นโอกาสดีที่ตนเองจะได้พูดคุยทำความรู้จักกับอีกฝ่ายให้มากขึ้น สาวร่างโปร่งระหงตรงไปทักทายชายหนุ่มพร้อมรอยยิ้มในทันใด ด้วยรู้สึกว่าเขาเริ่มตกเป็นเป้าสายตาของสาวหลายคนในงาน
“สวัสดีค่ะคุณปัฐ ไม่คิดว่าคุณจะมางานนี้”
“สวัสดีครับคุณหนึ่ง”
ชายหนุ่มไม่ได้ยิ้มตอบคนที่ส่งยิ้มหวานมาให้ หากเขาก็ตอบรับอย่างมีมารยาท
“พอดีนายกลางงอแงผมก็เลยต้องมาแทนน่ะครับ”
ปัฐวิกรไม่ได้อยากดิสเครดิตน้องชายตัวเองหรอก แต่อีกฝ่ายทำตัวอย่างนั้นจริงๆ อีกอย่างแม้สาวสวยตรงหน้าจะเคยสนใจน้องชายของเขาหากก็เธอเองก็มีส่วนช่วยให้กิตติกรสมหวัง ชายหนุ่มจึงคิดว่าไม่มีประโยชน์อะไรต้องรักษาภาพลักษณ์ของน้องชายกับเธอ
งานนี้เป็นงานเลี้ยงครบรอบหกสิบปีของอดีตผู้ว่าราชการจังหวัดที่ผู้ใหญ่ในเชียงใหม่ต่างก็นับหน้าถือตา ตระกูลเขาเพิ่งมาลงหลักปักฐานธุรกิจที่นี่จำเป็นต้องให้เกียติผู้หลักผู้ใหญ่ รวมทั้งออกงานสังคมทำความรู้จักผู้คนให้มาก ก่อนหน้านี้กิตติกรค่อนข้างออกงานบ่อยและวางรากฐานเอาไว้อย่างดี ทำให้งานใหญ่ครั้งนี้ไม่อาจพลาดได้
“แหม ถ้าบอกว่าเพราะต้องดูแลลูกหนึ่งยังพอนึกภาพออกนะคะ”
อีกฝ่ายพูดขำๆ
ปัฐวิกรยิ้มบาง คิดในใจว่าไม่ใช่เพราะลูกแต่เป็นเพราะเมียต่างหาก
“เดินเข้ามาก็เกร็งๆ เหมือนกันครับ มาเจอคนรู้จักอย่างคุณหนึ่งแล้วค่อยโล่งขึ้นมาหน่อย”
ถึงจะบอกอย่างนั้น แต่เขาเองก็ไม่เกร็งเท่าช่วงแรกๆ ที่ต้องออกงานคนเดียวแล้ว เพราะนับแต่มารดาเขายึดเอาหลานเป็นหลักท่านก็แทบไม่ออกงานสังคมที่เคยชื่นชอบเลย ทำให้หน้าที่ตกมาอยู่ที่เขาเต็มๆ
“หนึ่งยินดีอยู่เป็นเพื่อนคุณปัฐทั้งคืนเลยค่ะ”
พูดออกไปแล้วก็เพิ่งนึกขึ้นมาได้ว่าตัวเองออกตัวแรงเกินไปหน่อยจึงยิ้มแหย
“หมายถึงในงานนี้น่ะค่ะ”
ปัฐวิกรเพียงยิ้มรับเพราะเขาไม่ได้คิดเลยเถิดอะไร
“คุณพ่อคุณแม่ของหนึ่งมาด้วยนะคะ เชิญทางนี้ค่ะ”
มาลินีผายมือเชิญชวน บิดามารดาของเธอนั่งอยู่ที่โต๊ะโซนด้านหน้าใกล้เจ้าของงานเพราะเป็นผู้ใหญ่ของจังหวัด
ปัฐวิกรเดินตามอย่างยินดีเพราะคิดว่าเป็นมารยาทที่ควรทำความรู้จักทักทายกับบิดามารดาของหญิงสาว
พ่อเลี้ยงศรากับแม่เลี้ยง ภูมิฐานสมวัยของท่าน ทั้งสองท่านใจดีร่าเริง มาลินีดูคล้ายกับแม่เลี้ยงมารตี ส่วนเจ้าของดวงหน้าสวยน่ารักในความทรงจำของเขาที่พอได้เห็นพ่อเลี้ยงก็นึกถึงทันทีนั้นทำให้เขารู้ว่าอีกฝ่ายได้โครงหน้ามาจากใคร ทว่าดวงตาของมาธาวีกลับคล้ายมารดา ส่วนมาลินีนั้นตาคมมีแววมุ่งมั่นคล้ายบิดา
“จำได้ว่าเคยเจอกันในงานแต่งของคุณมิทร์กับหนูก้อย แล้วก็งานศพของเจ้า ใช่ไหมคะ”
แม่เลี้ยงมารตีนึกทวนความจำอยู่ไม่นาน
“ครับ”
ปัฐวิกรรับคำอย่างนอบน้อม เขานั่งข้างพ่อเลี้ยงศรา แต่ด้วยความที่โต๊ะกลมทำให้แม่เลี้ยงสามารถคุยกับเขาได้อย่างไม่มีปัญหา
“นั่งเสียด้วยกันนี่แหละคุณปัฐ”
พ่อเลี้ยงเอ่ยขึ้นพร้อมกับตบไหล่เขาเบาๆ
“ขอบคุณครับ”
“หนึ่งก็ว่าจะชวนคุณปัฐพอดีเหมือนกันค่ะ”
มาลินีบอกพร้อมยิ้มหวาน นั่นทำให้ผู้เป็นมารดาจับสังเกตได้ ท่านสบตาลูกสาวคนโตอย่างมีความนัย ซึ่งคนถูกถามด้วยสายตาก็พยักหน้าลงนิดๆ พร้อมกับยิ้มขัดเขิน แม่เลี้ยงมารตียิ้มกว้างทันทีอย่างเป็นที่รู้กันว่าคนนี้คือคนที่ลูกสาวของท่านหมายตาเอาไว้
ปัฐวิกรมาดเนี้ยบ สมาร์ต ดูดีทุกมุมมอง วางตัวพอเหมาะพอควรอย่างรู้กาลเทศะ ที่สำคัญชาติตระกูลดีมาก ท่านเคยเจอน้องชายอีกฝ่ายมาแล้ว ฝ่ายนั้นก็ดูดีถูกตาไม่น้อย แม้จะออกแพรวพราวไม่สุขุมเหมือนพี่ชายแต่ก็น่าสนใจ ทว่ากิตติกรเพิ่งเป็นฝั่งเป็นฝาไปไม่นานมานี้ ท่านก็แอบเสียดายเล็กน้อยหลังรู้จากลูกสาวคนเล็กว่าลงเอยกับพิมพ์ปรางเพื่อนของมาธาวีไป
คุยกันไม่นานอาหารก็เริ่มมาเสิร์ฟพร้อมกับบนเวลาทีเริ่มมีการแสดง
“เห็นว่าอยู่กรุงเทพฯ นี่คะ มาเชียงใหม่บ่อยไหมคะ”
แม่เลี้ยงเอ่ยถามแทนลูกสาว
“ช่วงนี้คงมาบ่อยขึ้นครับ เพราะปรางภรรยานายกลางเพิ่งคลอดไม่นาน คุณพ่อคุณแม่อยากช่วยเลี้ยงหลาน นายกลางคงขึ้นมาเชียงใหม่น้อยลง”
คำตอบนี้ทำให้มาลินีตาวาว ขณะที่แม่เลี้ยงถึงกับยิ้มกว้าง
“มาเมื่อไร ก็แวะมาเยี่ยมที่บ้านบ้างนะคะ ป้าจะให้แม่บ้านทำอาหารพื้นเมืองอร่อยๆ ให้ได้ชิม”
“คุณปัฐคงทานมาบ่อยแล้วล่ะมั้ง”
พ่อเลี้ยงศราอดแย้งไม่ได้จนได้รับค้อนจากภรรยา
“แหมพ่อเลี้ยงก็ ยังไงก็ต้องให้ได้ลองชิมฝีมือแม่บ้านเราด้วยสิคะ”
“ป้าแม่บ้านฝีมือดี อร่อยไม่แพ้ร้านอาหารพื้นเมืองดังเลยค่ะ หนึ่งรับรอง”
มาลินีรีบเสริมมารดา
ปัฐวิกรกำลังจะตอบรับเพราะเกรงใจผู้ใหญ่ แต่เพราะคำร้องที่คุ้นหูทำให้เขาหันมอง เพราะเพียงดนตรีก่อนหน้านี้ยังไม่สะดุดใจจนนึกได้ ตอนแรกชายหนุ่มไม่ได้สนใจบนเวทีนัก ได้ยินแว่วๆ ว่าหลังรำอวยพรมีรายการแสดงพิเศษแต่ไม่ได้บอกว่าอะไร บอกเพียงว่าภรรยาอดีตท่านผู้ว่าชอบการแสดงนี้ จึงอยากให้ทุกคนได้ชมไปพร้อมกัน
“ฉุยฉายพราหมณ์”
ชายหนุ่มพึมพำกับตัวเอง และร่างอรชรที่เยื้องย่างกรีดกรายบนเวทีก็เป็นร่างที่เขาคุ้นตาในระยะหลังมานี้
คนบนโต๊ะทุกคนได้ยินที่เขาพูด และไม่คิดว่าชายหนุ่มจะรู้จัก พ่อเลี้ยงกับแม่เลี้ยงหันไปมองบนเวทีด้วยความภาคภูมิใจ มีเพียงมาลินีที่หน้างอแม้จะมองตามทุกคน
“นั่นสอง ลูกสาวคนเล็กของผมครับ พักหลังมานี้ให้เด็กๆ โชว์เสียเป็นส่วนใหญ่ ผมเองก็ไม่ได้ดูลูกสาวรำนานแล้ว”
พ่อเลี้ยงศราเอ่ยขึ้นทำให้ชายหนุ่มต้องละสายตากลับมามองท่าน
“ครับ”
“ยายสองเขาเก่ง ผู้ใหญ่ในจังหวัดชอบทั้งนั้นค่ะ มีงานไหนก็เรียกหาตลอด นี่รีเควสเลยนะคะ ว่าต้องเป็นยายสอง”
แม่เลี้ยงหันมาพูดบ้าง นั่นทำให้ลูกสาวคนโตของบ้านกอดอกข่มความขุ่นใจเอาไว้
“คุณก็เลยพลอยได้หน้าไปด้วย”
พ่อเลี้ยงแซวภรรยา จึงได้ค้อนกลับไปอีกครั้ง
จากนั้นผู้ใหญ่ทั้งสองก็หันไปดูการแสดงต่อ ปัฐวิกรมองเห็นความอิ่มอกอิ่มใจจากพวกท่าน แม้แต่เขาเองยังดูการร่ายรำจนเพลินทั้งที่เคยดูมาแล้ว
มาลินีมองบิดามารดาของตัวเองอย่างเซ็งๆ ทว่าเมื่อสายตากวาดไปยังหนุ่มหล่อที่นั่งฝั่งตรงข้าม ตาคมคู่สวยก็ต้องชะงัก ความรู้สึกสะดุดใจบางอย่างทำให้เธอขมวดคิ้ว แม้จะบอกตัวเองให้ใจเย็นอย่าเพิ่งคิดมาก แต่ในใจลึกๆ ก็อดหงุดหงิดไม่ได้
=====
มาธาวีให้อธิปมารับตนเองเพราะเขายังไม่เคยไปบ้านของเธอ แต่แล้วก็ต้องชะงักเมื่อยืนส่งนักเรียนกลับบ้านอยู่หน้าโรงเรียนแล้วเห็นรถของกิตติกรมาจอด ซึ่งปัฐวิกรใช้รถของน้องชายเขา หญิงสาวหน้าซีดทันที ขณะที่กัญญานันทักพี่ชายเสียงใส“พี่ปัฐ”ร่างสูงใหญ่ของปัฐวิกรเข้ามากอดน้องสาวที่ไม่ได้เจอกันนาน ส่วนมาธาวีก็จำต้องยกมือไหว้อีกฝ่าย ก่อนที่เขาจะกระซิบบอกว่าไปรอข้างในเพราะน้องสาวกับเพื่อนยังส่งนักเรียนอยู่กับพนักงานต้อนรับรอไม่นานสองสาวก็กลับเข้ามาด้านในเพราะเหลือนักเรียนคนเดียวพนักงานสามารถดูแลได้ ส่งนักเรียนเรียบร้อยอีกฝ่ายก็กลับบ้านได้เลย“มารับสองไปบ้านเหรอคะ”กัญญานันเอ่ยถามพี่ชายทันที เธอรู้ว่าวันนี้พี่ชายจะไปบ้านเพื่อนตามคำชวนของพ่อเลี้ยงแม่เลี้ยงเพราะเขาเคลียร์งานเรียบร้อยแล้ว ตั้งแต่ชายหนุ่มมาก็ทำงานที่คั่งค้างของกิตติกรเพิ่งจะมาหาเธอก็วันนี้“ครับ”มาธาวีกัดริมฝีปากล่างด้วยความลำบากใจ เหลือบมองนาฬิกาที่ผนังก็เห็นว่าเวลานี้อธิปเองก็คงเลิกงานแล้ว แต่ไม่รู้ว่าชายหนุ่มออกมาหรือยัง“เดี๋ยวฉันไปเอาน้ำให้นะคะ”เธอพูดขึ้นพยายามจะเลี่ยงออกไปเพื่อโทรหาอธิป“ไม่เป็นไร ผมเอามาแล้วนี่ไง”ตาคู่กลมโตเหล
เป็นเช้าที่มาธาวีตื่นขึ้นมาอย่างไม่สดชื่นเอาเสียเลย ทั้งที่บ้านเธออยู่ท่ามกลางธรรมชาติ อากาศสดชื่นเย็นสบาย ปกติมานอนที่บ้านเมื่อไรหญิงสาวจะลุกขึ้นไปยืนมองพระอาทิตย์ขึ้นหน้าระเบียงห้องนอนตอนเช้า ทว่าวันนี้แม้แสงแดดส่องผ่านกระจกที่ผ้าม่านเปิดแง้มเอาไว้เจ้าของร่างอรชรก็ไม่มีอารมณ์จะลุกขึ้นแต่อย่างใด ได้แต่นอนพลิกไปพลิกมาอยู่อย่างนั้น กระทั่งได้ยินเสียงข้อความเข้ามาในมือถือจึงหยิบขึ้นมาดู‘พี่ปัฐบอกให้ส่งเบอร์เขาให้สองน่ะ แล้วเขาก็ขอเบอร์สองไปด้วย เห็นว่ารับปากพ่อเลี้ยงกับแม่เลี้ยงเอาไว้ตอนท่านชวนไปทานข้าวที่บ้าน เลยขอเบอร์สอง’เห็นข้อความของกัญญานันแล้วก็ได้แต่ทิ้งมือถือลงอย่างอ่อนแรง ไม่นึกอยากให้ปัฐวิกรมาที่บ้านของเธอเลยสักนิด สังหรณ์ในใจบอกเธอว่าเรื่องราวคู่หมั้นจอมปลอมจะไม่จบลงแค่ที่พี่สาวของเธอแม้แทบไม่อยากลุกจากเตียงนอนไปเผชิญหน้ากับมาลินีในเวลาอาหารเช้า แต่มาธาวีก็ต้องขยับตัวเพราะไม่อยากทำตัวให้ผิดปกติจนอีกฝ่ายหาเรื่องค่อนขอดได้อีก จึงลุกขึ้นเดินไปเข้าห้องน้ำด้วยท่าทางเหนื่อยหน่ายใจร่างโปร่งระหงในชุดข้าราชการเรียบร้อยเดินลงจากบันไดไปก่อน มาธาวีที่ก้าวออกมาเห็นอีกฝ่ายหยุดกึกรอให้
‘จะเอาให้ครางเอาอีกๆ ไม่หยุดเลย คอยดูสิ’‘ไอ้บ้าเอ๊ย!’มาธาวีตะโกนด่าเสียงดังอย่างรังเกียจสุดจิตสุดใจ ทั้งยังวาดมือใส่หน้าที่ซุกไซ้แก้มกับลำคอไม่หยุดสุดกำลังเท่าที่มือจะใช้แรงได้‘โอ๊ะ...’ได้ยินเสียงเข้มดังก่อนชายหนุ่มจะเข่นเขี้ยว‘ตบเหรอหา!’เพี้ยะ!!แรงกระทบหน้าหนักหน่วงทำเอามาธาวีถึงกับชาไปทั้งข้างแก้ม รู้สึกได้ถึงความเจ็บจี๊ดตรงมุมปาก เธอชะงักไปอึดใจหนึ่งเลยเดียว‘ไง หมดฤทธิ์แล้วสินะ’น้ำเสียงเยาะหยันอย่างพอใจก่อนคุณากรจะถอยออกไปถอดเสื้อของตัวเอง คงเพราะเห็นว่าเธอไม่กล้าแผลงฤทธิ์แล้ว นั่นทำให้มาธาวีรีบปัดป่ายมือควานหาของใกล้มือตรงโต๊ะหัวเตียงแล้วก็เจอไอแพดกับมือถือของตัวเอง เมื่อไม่มีทางเลือก เธอจึงหยิบมือถือปาใส่อีกฝ่าย‘โอ๊ย!’คุณากรสะดุ้ง มาธาวีรีบถอยกรูดให้ห่างอีกฝ่ายมากที่สุดทั้งยังถีบเขาไม่ยั้ง มือหนาคว้าขาเธอเอาไว้ คราวนี้หญิงสาวจึงเอาไอแพดปาใส่ซ้ำไปอีก‘โธ้เว้ย!’อีกฝ่ายสบถเสียงดังอย่างหงุดหงิด ขณะที่ร่างอรชรรีบเผ่นลงจากเตียงวิ่งไปยังประตูห้องด้วยความรวดเร็ว ร่างสูงกำยำก้าวตามมา ทว่าเธอก็เปิดประตูได้พอดี กำลังจะพุ่งตัวออกไปอีกฝ่ายก็ดึงกลับมา แต่เธอทันได้สบตากับคนที่อยู่ห้
น้ำร้อนๆ เอ่อขึ้นมาในดวงตาคู่กลมโต ความอึดอัดขัดใจแน่นอยู่ในอก มาธาวีรู้ว่าที่พี่สาวโวยวายเพราะกำลังเจ็บ ไม่ใช่เจ็บเพราะโกรธ แต่เจ็บที่โดนน้องอย่างเธอหักหลังมาลินีเป็นคนขี้บ่นจู้จี้จุกจิกอยู่แล้ว เธอโดนตำหนิบ่อยจนเคยชินแต่รู้ว่าที่พี่สาวมักจะเคือง ไม่พอใจ หรือบ่นเธอก็เพราะหวังดี พอมารู้ว่าถูกหลอกเรื่องผู้ชายก็ไม่แปลกที่อีกฝ่ายจะปรี๊ดขึ้นมาเธอรู้ว่าพี่สาวเสียใจกับความแห้วของตัวเองมาตั้งแต่ครั้งเปรมินทร์แล้ว แถมยังมีกิตติกรอีก แต่เพราะเป็นคนสวย เริด เชิด การศึกษาหน้าที่การงานดี มาลินีจึงมั่นใจในตัวเองว่าต้องมีคนที่ดีเหมาะสมเข้ามาในชีวิต การได้เจอปัฐวิกรในเวลาใกล้เคียงกับที่ต้องถอยห่างจากกิตติกร มาธาวีจึงไม่แปลกใจว่าหนุ่มมาดเนี้ยบหล่อโปรไฟล์หรูย่อมต้องเป็นเป้าหมายใหม่ของพี่สาวเธออย่างไม่ต้องสงสัยอีกฝ่ายหมายมั่นปั้นมือกับปัฐวิกรพอสมควร เพียงแค่ยังไม่มีเวลาได้ทำความรู้จักเพราะชายหนุ่มไม่ได้อยู่เชียงใหม่เท่านั้น นั่นทำให้คนเป็นน้องสะเทือนใจเมื่อได้ยินเสียงตัดพ้อสั่นเครือของพี่สาว จนสุดท้ายก็ต้องเอ่ยออกไปโดยไม่ได้หันไปมองด้วยไม่อาจฝืนทนเห็นอีกฝ่ายเสียใจได้ ทว่าน้ำเสียงก็เจือความสั่นไม่แพ้
“นี่หมายความว่า...”มาลินีพึมพำเสียงเบา แววตาและสีหน้ามองเขาอย่างว่างเปล่า“ใช่ครับ ผมกับสองคบกัน”ปัฐวิกรยืนยันซ้ำอีก เขาไม่อยากให้ความหวังกับมาลินีเพราะดูออกว่าหญิงสาวสนใจเขาเหมือนกับเพื่อนของเธอ“หนึ่งไม่เห็นรู้เลย”เธอถามออกไปอย่างอ่อนล้าราวกับคนพ่ายแพ้ หากน้องสาวตนเองเป็นคนพูด เธอยังเชื่อน้อยกว่าผู้ชายตรงหน้า เพราะไม่มีเหตุผลที่เขาต้องโกหกเธอ แต่ที่น่าแปลกใจคือทำไมเธอไม่เคยระแคะระคายมาก่อน ช่วงที่ชายหนุ่มมาในตอนมีปัญหาของกิตติกรครั้งก่อน น้องสาวของเธอกับปัฐวิกรก็แทบจะไม่คุยกันเลยแล้วทั้งสองคนไปคบหากันตอนไหน“ตั้งแต่สองไปงานแต่งนายกลางเราก็คุยกันมาเรื่อยๆ ครับ ถึงจะไม่ค่อยได้เจอกันก็เถอะ สองเขายังไม่กล้าจริงจัง ก็เลยยังไม่ได้บอกใคร แต่ผมจริงจังเพราะอายุมากแล้ว”คำพูดของปัฐวิกรดูน่าเชื่อถือจนแม้แต่มาธาวีเองก็คงหลงเชื่อไปด้วย หากคนที่เขาเอามาอ้างไม่ใช่เธอเอง“เหรอคะ”มาลินีเหมือนจะถามแต่กลับพยักหน้าเบาๆ ราวกับยอมรับส่วนปัฐวิกรเหลือบไปยังหญิงสาวอีกคนที่ยืนนิ่งเงียบ แต่แววตาคู่กลมโตกลับมองเขาอย่างไม่พอใจ ริมฝีปากได้รูปสวยยกยิ้มเล็กน้อยพร้อมกับก้าวเข้าไปหาเจ้าของร่างอรชรแบบบาง“อย่าม
‘ตาถูกชะตาคุณจังเลย อยากลองคบคุณ ได้ไหมคะ’สาวร่างอิ่มขยับขึ้นไปพูดใกล้ๆ ร่างสูงใหญ่โดยการเกาะไหล่เขาทั้งสองข้าง แล้วเขย่งตัวขึ้นนี่คือภาพที่มาลินีแอบตามเพื่อนที่ดึงปัฐวิกรออกมาแล้วเห็นเข้า เธอบอกอธิปว่าจะไปเข้าห้องน้ำ ส่วนชายหนุ่มมีสายโทรศัพท์เข้ามาพอดีเขาจึงออกไปคุยด้านหน้า เพราะข้างในค่อนข้างเสียงดังแต่ถึงจะดังยังไง พรชิตาก็ไม่เห็นต้องขยับไปพูดใกล้ๆ ชายหนุ่มขนาดนั้น เพราะเธอยืนอยู่ตรงนี้ยังได้ยินเลย หญิงสาวค่อนขอดเพื่อนตัวเองในใจ‘เราเพิ่งเจอกันเองนะครับ’ปัฐวิกรแย้ง แต่ก็ไม่ได้ผลักพรชิตาออก คิดว่าเขาคงไม่อยากเสียมารยาท เพราะแขนกำยำแนบข้างลำตัว ไม่โอบหรือกอดอีกฝ่ายแต่อย่างใด‘นั่นสิคะ ตาถึงได้บอกว่าถูกชะตา’พรชิตาถอยออกมาเงยหน้ามองชายหนุ่มไม่ห่างนัก ตาคู่สวยพราวหยาดเยิ้ม‘ผม...’‘อย่าบอกนะคะ ว่าคุณไม่ถูกใจตา ของแบบนี้ต้องลองก่อนสิคะ ถึงจะรู้’สาวสวยยิ้มอย่างขี้เล่นขณะพูดคนแอบฟังอย่างมาลินีได้ยินคำนี้ของเพื่อนยังถึงกับอึ้ง เธอไม่ค่อยแปลกใจหรอก เพราะรู้จักนิสัยกันดีอยู่ แต่พรชิตาเพิ่งเจอปัฐวิกรวันนี้เอง อ่อยหนักขนาดนี้หมายความว่าอยากให้เขากลับไปด้วยคืนนี้แน่ๆคิดมาถึงตรงนี้มาลินีก