“นายบินไปค้างคืนเดียว เช้าก็กลับมาไม่เห็นจะยุ่งยากอะไร”
ปัฐวิกรมองน้องชายที่กำลังนั่งหน้าบูดบึ้งอย่างเหนื่อยหน่าย เพราะการขอความช่วยเหลือครั้งนี้ดูไม่จำเป็นสักนิด
“พี่ปัฐทำเหมือนไม่รู้”
กิตติกรถอนหายใจพิงหลังกับโซฟาด้วยความท้อแท้ใจที่พี่ชายไม่ได้ใส่ใจความทุกข์ร้อนของเขาเลย
“พี่รู้ แต่ปรางกับลูกก็ไม่ได้หนีนายไปไหนสักหน่อย เขาก็อยู่นี่ แค่คืนเดียวจะเป็นอะไรไป”
คนเป็นพี่ชายยังหน้าเฉย ดูแฟ้มคอเลกชั่นใหม่ที่ฝ่ายแบบส่งมาอยู่ที่โต๊ะทำงานของตน ก่อนจะเงยหน้าขึ้นถามน้องชายเกี่ยวกับงาน
“สาขาที่โน่นส่งคอเลกชั่นใหม่หรือยัง”
กิตติกรมองพี่ชายอย่างไม่อยากเชื่อว่าอีกฝ่ายจะมองข้ามความเดือดเนื้อร้อนใจของเขา
“พี่ปัฐ”
“ส่งหรือยัง”
คนถูกถามถอนหายใจออกมาเสียงดังอย่างต้องการให้รู้ว่าตนเองขุ่นใจ ทว่าก็ยอมตอบ
“ส่งเมล์มาให้ผมดูแล้ว ถ้าพี่จะดูเดี๋ยวผมส่งไฟล์ให้เลขาพี่ปริ้นต์ให้ครับ”
“นายว่าไงบ้างล่ะ”
สาขาที่เชียงใหม่ค่อนข้างลงตัวแล้ว ปัฐวิกรปล่อยให้น้องชายตัดสินใจได้เลย เพราะงานมีความเป็นเอกลักษณ์เฉพาะ แต่ก็มีคอเลกชั่นหลักของแบรนด์วางขายด้วย หรือมีออเดอร์พิเศษในแบบทางเหนือ สาขาที่กรุงเทพฯ ก็สามารถจัดการให้ลูกค้าได้ ยกเว้นเรื่องที่กิตติกรอยากถามความเห็นของเขา
“ผมให้แก้บางชิ้น”
“ตามที่นายตัดสินใจก็แล้วกัน”
ลูกชายสองคนในบ้านอรรถพันธ์พงศ์เป็นกำลังหลักในการดูแลธุรกิจของที่บ้านอย่างจริงจัง ทั้งแบรนด์เสื้อผ้าและจิวเวลรี่ ส่วนลัลนาเองก็กลับมาช่วยดูแลเรื่องดีไซน์ของเสื้อผ้าเป็นหลัก โดยมีปัฐวิกรเป็นหัวเรือใหญ่ทั้งสองอย่างอยู่เช่นเดิม
“แล้วเรื่องไปเชียงใหม่ล่ะครับ”
น้องชายยังไม่เลิกหวัง
ปัฐวิกรนิ่งคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะบอก
“นายต้องรับปาก ว่าจะไปอยู่ดูแลร้านที่โน่นด้วย เพราะสามเดือนมานี้อาทิตย์หนึ่งนายบินไปวันเดียวแล้วกลับ แบบนี้มันก็เหมือนไม่ใส่ใจ ไม่งั้นพี่ไม่ไป”
“ผมตามงาน เช็กยอด คุยงานตลอดนะครับ”
“นายจะมาเฝ้าปรางอยู่บ้านตลอดแบบนี้ไม่ได้”
“ผมก็ออกมาทำงานกับพี่นี่ครับ”
ทั้งสองคนคุยกันอยู่ในห้องทำงานของปัฐวิกรในออฟฟิศสำนักงานหลัก ซึ่งกิตติกรราวกับย้ายมาทำงานที่นี่ด้วยอีกคน
“นายกลาง”
พี่ชายดุตาคมเข้ม ทำเอากิตติกรถึงกับเซ็ง
“ผมนอนไม่หลับ ถ้าไม่ได้นอนกับปราง”
ชายหนุ่มพูดออกมาเสียงอ่อย
“อย่ามาอ้าง นายไม่อยากนอนคนเดียวมากกว่า”
ถูกรู้ทันแบบนี้ทำเอาใบหน้าขาวคมถึงกับมีสีเรื่อ เพราะเอาเข้าจริงแล้วตั้งแต่พิมพ์ปรางตั้งท้องก็เป็นเขาเองที่ไม่ยอมให้หญิงสาวพักที่โรงเรียน กระทั่งหกเดือนจึงให้เธอย้ายมาฝากท้องที่กรุงเทพฯ เพื่อเตรียมตัวคลอดที่นี่แล้วเขาก็ตามมาอยู่ด้วย
“พี่จะสลับไปดูที่โน่นให้ อาทิตย์หนึ่งนายสี่วัน พี่สามวัน”
ปัฐวิกรเสนอ คิดว่าตนหาทางออกที่ดีให้น้องแล้ว
“ส่วนนายก็ดูแลงานของพี่ที่นี่ ตอนพี่ไม่อยู่”
“ผมสาม พี่ปัฐสี่”
กิตติกรยังต่อรองทำเอาคนเป็นพี่ชักเคืองขึ้นมา นี่เขาช่วยเท่าที่พอจะช่วยได้แล้ว อีกฝ่ายยังได้คืบจะเอาศอก
“นายนี่มัน...”
“น่า นะครับพี่ปัฐ”
น้องชายยกมือไหว้อย่างจริงจัง
“พี่ไม่มีเมีย พี่ไม่เข้าใจหรอก”
อีกฝ่ายพูดมาอย่างนั้น คนเป็นที่ช่วยถึงกับฉุนขึ้นมาเลยทีเดียว
“เออ อย่าให้ฉันมีเมียบ้างก็แล้วกัน ถ้าเป็นอย่างนั้นนายต้องไปอยู่เชียงใหม่สี่วันนะ”
ปัฐวิกรเสียงเข้ม ทว่าน้องชายกลับขำออกมา
“โอเคครับพี่ ถ้าพี่มีเมียเมื่อไรอยากแลกวันก็บอกผมได้ แต่กลัวว่าถึงตอนนั้น ลูกผมคงโตจนปรางไปเชียงใหม่กับผมได้แล้วล่ะมั้ง”
“นายกลาง”
คนเป็นพี่ชายหนุ่มเข่นเขี้ยวดุใส่น้องชาย
ร่างสูงใหญ่ของกิตติกรลุกขึ้น เตรียมตัวเผ่นหลังกวนโมโหพี่ชายและได้ในสิ่งที่ต้องการแล้ว
“เดี๋ยวผมส่งไฟล์งานคอเลกชั่นใหม่ให้เลขาพี่ด้วยดีกว่า เผื่อพี่ดูแล้วมีอะไรจะเสริมจะได้คุยกับทีมที่นั่นเลย ขอบคุณพี่ปัฐครับ ที่เห็นแก่น้องชายตาดำๆ”
กิตติกรทำหน้าทะเล้น แล้วปลีกตัวออกไป พี่ชายจึงอดตะโกนไล่หลังไม่ได้
“ไอ้คนติดเมียเอ๊ย”
“ระวังตัวเองจะเป็นเหมือนกันนะครับ ของแบบนี้มันอาจจะเป็นกรรมพันธุ์ก็ได้”
คนเป็นน้องยื่นหน้ามาพูดก่อนปิดประตู ทำเอาปัฐวิกรคิ้วกระตุกด้วยความขัดใจ ได้แต่ฮึดฮัดอยู่คนเดียวเมื่อไม่มีโอกาสโต้กลับกิตติกร
=====
หลังทำบุญขึ้นบ้านใหม่ของปัฐวิกรกับมาธาวีที่ราวเป็นการรวมญาติเล็กๆ แล้วช่วงเย็นก็มีเลี้ยงภายในครอบครัว ครอบครัวอรรถพันธ์พงศ์มาครบเช่นเคย โดยคืนนี้ก็จะค้างที่บ้านหลังใหญ่ของพ่อเลี้ยงศราเช่นเดิม ซึ่งลัลนาเพียงนั่งเงียบๆ ข้างมารดาหากก็ไม่เย็นชาจนเกินงาม แม้จะมีโจทก์เก่าอยู่ถึงสองคนก็ตาม เพราะอย่างไรก็ต่างคนต่างอยู่กันแล้ว ชีวิตต้องเดินหน้าต่อไปบ้านที่เชียงใหม่เสร็จก่อนเพราะปัฐวิกรเห็นว่ามาธาวีอยู่ที่นี่ ส่วนที่บ้านอรรถพันธ์พงศ์ก็ค่อยเป็นค่อยไป ไว้ใช้ตอนเขาพาหญิงสาวไปเยี่ยมครอบครัว หรือเวลาที่จำเป็นต้องไปทำธุระ ส่วนงานชายหนุ่มให้กิตติกรดูแลทางกรุงเทพฯ เป็นหลักแล้วในตอนนี้ ทว่าทั้งสองคนก็ยังคุยกันทุกวันและปัฐวิกรบินไปมาแต่ไม่ทุกอาทิตย์เหมือนเมื่อก่อนทว่านั่นทำให้ปัญหาเกิดขึ้นกับทางโรงเรียน ‘นาฏช่างฟ้อน’ ของสามสาว“ปรางขอโทษนะคะคุณก้อย สอง”พิมพ์ปรางบอกเพื่อนหน้าละห้อยขณะพาลูกเข้ามากล่อมนอนในห้อง โดยมีสองสาวเพื่อนซี้ตามมาด้วย“ไม่เป็นไร ตอนนี้ก็ช่วยกันไปก่อน แต่ถ้าก้อยคลอด สองก็จัดการได้อยู่ดี”มาธาวียักไหล่ยิ้มๆ รู้ว่าพิมพ์ปรางไม่สบายใจ เพราะจนแล้วจนรอดก็ไม่สามารถกลับมาช่วยเพื่อนที่โรงเร
“มาสิครับ”ปัฐวิกรเอ่ยด้วยเสียงเย้ายวนใจ เมื่อหญิงสาวกล้าที่จะเริ่มต่อจากนั้นเขาก็เป็นคนช่วยเธอ แล้วร่างสองร่างก็แนบสนิทอย่างที่สุดพร้อมเสียงครวญยาวในลำคอของคนตัวเล็กเพราะเธอเกร็งและกลัวจนเขาต้องลูบหลังปลอบใจเธอก้มหน้าลงซบซอกคอแกร่งเมื่อถูกกระแสรัญจวนครอบงำ ตัวสั่นเบาๆ ไม่รู้ว่าต้องทำอย่างไร เพราะเพียงแค่นี้ทั้งร่างของเธอก็แทบจะระเบิดแล้ว แต่แล้วมือหนาก็วางลงบนเอวเธอชักนำพร้อมเอ่ยเสียงทุ้มพร่า“ทำให้ผมละลายเพราะคุณสิสอง”ไม่รู้เพราะเสียงบอกกระตุ้นหรือเพราะแรงรั้งจากมือหนาทำให้สะโพกเธอเริ่มขยับตาม แล้วก็ต้องปล่อยเสียงของความอัดอั้นออกมาเพราะรู้สึกถึงความทรมานแสนหวานที่มากยิ่งกว่า“ดีที่รัก”ปัฐวิกรยังให้กำลังใจขณะที่เขาเองก็เดินหน้าเช่นกันเพราะกำลังของคนตัวเล็กบางเบาเกินกว่าจะนำพาเขาได้ ทว่าก็สร้างความหวามในอกอย่างสุดแสนไม่น้อยเลย แต่เขารู้ว่ามาธาวีอายเกินกว่าจะก้าวไปไกลกว่านี้เขาจึงจัดการทุกอย่างเอง หากร่างทั้งสองก็เป็นท่วงทำนองเดียวกัน จนเขาได้ยินเสียงหอบหนักขึ้นเรื่อยๆ จากหญิงสาว ไม่นานร่างอรชรก็สะดุ้ง แขนเรียวกอดเขาฝังหน้าเล็กร้องในลำคอ นั่นทำให้เขาเร่งร้อนสะโพกแกร่งเพื่อจะตามคนตั
“แป๊บนะครับ”ปัฐวิกรถอนจูบแสนหวามออกมากระซิบเสียงพร่าแล้วถอดเสื้อยืดของตนออกอย่างรวดเร็วหญิงสาวกวาดตามองเรือนร่างกำยำของคนที่ตนนั่งอยู่บนตักเขาเร็วๆ แล้วก็เขินจนหน้าแดง เธอไม่ค่อยสนใจอีกฝ่ายเวลาใกล้ชิดกันก่อนหน้านี้เลยเพราะถูกฝืนใจ แต่เวลานี้ร่างกายและใจสาวกำลังรอคอยทำให้อดอายความรู้สึกของตัวเองไม่ได้อยู่ๆ ชายหนุ่มก็จับเอวเธอยกขึ้นทำให้มาธาวีตกใจนิดๆ จนตัวเกร็ง“อะ...อะไรคะ”แล้วเขาก็จับกางเกงขาสั้นของเธอ คราวนี้มาธาวีรู้ได้ทันทีว่าชายหนุ่มตั้งใจจะถอดท่อนล่างที่เหลืออยู่“อื้อ”หญิงสาวประท้วงอีกฝ่ายพร้อมจับมือเขาอย่างไม่ยินยอม เธอเขินจนทำตัวไม่ถูกแล้ว ตรงนี้เป็นห้องรับแขก แถมไฟสว่างจ้า ประสบการณ์รักของเธอก็น้อยนิด ทุกครั้งแทบจะหลับตาตลอดเพราะไม่พอใจและกลัว แต่เขาจะมาให้เธอถอดโชว์เผยสัดส่วนทั้งตรงนี้ ตอนนี้เลยได้อย่างไรปัฐวิกรสบตาเธอครู่หนึ่ง แววลุ่มลึกในนั้นคมเข้มจนหญิงสาวหวั่นใจ แต่เขาก็ไม่ได้บังคับ เมื่อยอมละมือจากกางเกงของเธอเขาก็เปลี่ยนมาเกาะกุมอกอวบที่ยังมีเสื้อชั้นในโอบรั้งไว้ เคล้าคลึงเบามือ จนคนที่ไม่สามารถป้องกันตัวเองได้ทั้งที่จับมือเขาอยู่ถึงกับแอ่นเข้าหาชายหนุ่ม มือหนา
สามเดือนผ่านไป...ปัฐวิกรพามาธาวีมาทำบุญตามที่คุยกันเอาไว้ ร่างกายของหญิงสาวดีขึ้นมาก ส่วนที่มีปัญหามากที่สุดคือแขนข้างที่กระดูกร้าว แต่ก็ดีขึ้นมากแม้จะยังขยับไม่ค่อยคล่องก็ตาม เขาจึงไม่ให้อีกฝ่ายถือหรือยกอะไรหนักนอกจากทำกายภาพ แต่ปัญหาหลักๆ ก็คือ มาธาวียังรำไม่ได้ และนั่นคือเรื่องใหญ่สำหรับหญิงสาวเขาจำได้ว่าตอนที่รู้สึกตัวได้เต็มที่แล้วพยายามจะขยับแขนแต่ทำไม่ได้มาธาวีร้องไห้ออกมาเงียบๆ เขาต้องคอยถามคอยปลอบอยู่ตั้งนานกว่าจะรู้ว่าอีกฝ่ายกลัวรำไม่ได้อีกตอนนี้โรงเรียนเป็นหน้าที่ของกัญญานันเป็นหลัก นับตั้งแต่เกิดอุบัติเหตุขึ้นกับมาธาวีเลยก็ว่าได้“ไปที่ไหนต่ออีกไหม”หลังออกมาจากวัดแล้วชายหนุ่มก็ถามขึ้น“สองห่วงก้อยค่ะ รีบกลับไปช่วยก้อยดูเด็กๆ ดีกว่า”มาธาวีรู้ว่าเพื่อนท้องก็ดีใจอย่างมาก หลังออกจากโรงพยาบาลก็ไปอยู่กับกัญญานันที่คลาสตลอด แม้จะไม่ได้ช่วยอะไรมากก็ตาม ส่วนตอนไปดูแลเด็กแสดงที่ร้านเป็นเปรมินทร์ไปกับภรรยาของเขา เพราะปัฐวิกรเห็นว่าร่างกายของมาธาวียังไม่เหมาะจะไปไหนมาไหนในเวลากลางคืนและต้องรีบพักผ่อน“หวังว่าคุณแน็ตคงยกโทษให้สอง”หญิงสาวพึมพำเสียงเบาขณะอยู่บนรถ“สองตั้งใจทำบุญให้
ขณะที่คุณากรยืนมองนิ่ง เขาพอมองออกว่าอะไรเป็นอะไร ดูออกตั้งแต่วันที่นันทิยาแอบนัดให้ปัฐวิกรมารับที่ผับตอนอ้างกับเขาว่าจะไปเข้าห้องน้ำ เห็นหายไปนานเขาก็ไปตามแต่กลับไม่เจอตามหาจนออกมาข้างนอก ก็เห็นหญิงสาวเดินไปกับผู้ชายคนอื่น ตอนแรกเขาไม่รู้ว่าเป็นใคร แต่ตอนเห็นปัฐวิกรมาช่วยมาธาวีแล้วพาเดินไปด้วยกันเขาก็จำด้านหลังอีกฝ่ายได้“บังเอิญยังไง”ปัฐวิกรถามออกไป ยังมีความคิดว่า อาจจะเป็นการเข้าใจผิดอยู่เพียงเล็กน้อย“นุ๊ก...พี่สองเขาหึงนุ๊ก เขาเรียกนุ๊กไปคุยด้วย ซักไซ้นุ๊กเรื่องพี่ปัฐนุ๊กบอกว่าไม่มีอะไรก็ไม่เชื่อ เราเลยยื้อยุดกัน แล้วมันก็...”นันทิยาหยุดพูดแล้วร้องไห้ออกมาไม่หยุดคุณากรถึงกับถอนหายใจแล้วส่ายหน้าเพราะไม่มีวันเชื่อ ทว่าก็เพียงยืนมองเงียบๆ อยากรู้ว่าปัฐวิกรจะคิดอย่างไรปัฐวิกรถึงกับไม่รู้จะตีสีหน้าอย่างไรเลยทีเดียว เขาอึ้งกับคำพูดของอีกฝ่าย เป็นไปได้ยากที่มาธาวีจะหึงเขาในเมื่อรู้แล้วว่าเขาดูแลนันทิยากับครอบครัวแทนพี่สาว และหญิงสาวเองก็ยังรู้สึกผิดอยู่ไม่น่าจะทำร้ายน้องสาวของณัฐวราได้ เศษเสี้ยวหนึ่งของใจชายหนุ่มอยากจะเชื่อนันทิยาแต่เพราะการพูดออกมาได้โดยไม่หยุดคิดของอีกฝ่ายทำให้เ
สิ่งที่ได้ยินจากหมอทำให้ปัฐวิกรถึงกับขมวดคิ้วมุ่น ร่างกายของมาธาวีกระแทกหลายจุด แต่ที่หนักคือไหล่กับแขนข้างหนึ่งกระดูกแตกร้าว ยังดีที่ไม่ถึงกับหัก หัวที่แตกไม่ได้รับการกระทบกระเทือนถึงสมอง คนไข้หายใจได้เองปกติ ไม่มีภาวะหยุดหายใจ นั่นทำให้ชายหนุ่มโล่งอกไปส่วนหนึ่ง หากก็ยังเคร่งเครียดอยู่เพราะหญิงสาวยังไม่รู้สึกตัว“สองต้องไม่เป็นอะไรค่ะพี่ปัฐ”กัญญานันเข้ามาเกาะแขนเขาพร้อมน้ำตาคลอแต่ก็เห็นว่าอีกฝ่ายพยายามกะพริบตาและกลั้นน้ำตาของตัวเอง ชายหนุ่มจึงดึงร่างน้องสาวมากอด อีกฝ่ายก็แนบหน้าลงซบอกเขา ได้ยินเสียงสูดน้ำมูกเบาๆระหว่างนั้นเปรมินทร์ที่ออกไปคุยโทรศัพท์กับทางไร่เพราะดิสกลส่งสายให้ก็กลับเข้ามา สีหน้าค่อนข้างเรียบสนิทเดาอารมณ์ไม่ถูก“ตำรวจสอบปากคำทุกคนที่บ้านครบแล้วครับ”พวกเขาที่อยู่โรงพยาบาลได้ให้ปากคำกับตำรวจเรียบร้อยไปก่อนหน้านั้นแล้ว“แล้วก็บอกว่ามีคนที่น่าสงสัย ตอนนี้กักตัวอยู่ครับ รอผลพิสูจน์ลายนิ้วมือจากก้อนหิน ที่คนร้ายอาจจะจับใช้ตีหัวน้องสอง”กัญญานันหน้าเสีย ยกมือปิดปากเพราะในหัวเธอมีภาพนั้นลอยเข้ามาแล้วก็นึกสงสารเพื่อนจับใจ“ดีนะที่ให้ดูคุณากรไว้ตั้งแต่เมื่อคืน”ปัฐวิกรพูดขึ