นางคิดว่าเขาเคยชินกับที่นอนแข็งๆ ที่มีเพียงเตียงไม้ไผ่ปูทับด้วยผ้าบางๆ
“ไม่ใช่” เลี่ยงรุ่ยได้ทีก็ขยับไปจนชิดกับนาง
“ที่นอนกว้างขวาง ท่านจะมานอนเบียดข้าเพื่ออันใด” นางลุกขึ้นไปมองที่นอนฝั่งของเลี่ยงรุ่ยที่กว้างจนคนอีกคนมานอนได้อย่างสบาย
“ข้าอยากนอนใกล้เจ้า” หลินเยว่เบิกตากว้างมองเลี่ยงรุ่ย
คืนนี้ที่ทั้งคู่นอนด้วยกัน เป็นเพียงคืนที่สามเท่านั้น เขาก็ทำหน้าหนาอยากนอนใกล้นางเสียแล้ว
“เอ่อ นอนนิ่งๆ เล่า ห้ามขยับอีก ข้าจะนอนแล้ว” นางพลิกตัวหันหนีไปอีกข้าง เพราะไม่อยากให้เขาเห็นว่านางกำลังหน้าแดง
เลี่ยงรุ่ยมิได้ขยับตัวอีก จนเมื่อหลินเยว่นางหลับสนิท เขาก็ลืมตาขึ้น พร้อมทั้งดึงนางเข้ามาอยู่ในอ้อมกอดแทน
รุ่งเช้าเมื่อหลินเยว่นางตื่นขึ้น นางจึงได้รู้ว่าตัวนางอยู่ในอ้อมกอดของเลี่ยงรุ่ย นางจึงนอนนิ่งไม่ยอมขยับ เลี่ยงรุ่ยที่รู้ว่านางตื่นแล้วแต่ไม่ยอมที่จะขยับตัวก็รู้สึกขบขันไม่น้อย เขาจึงกระซิบข้างหูของนาง
“ตื่นแล้วเหตุใดถึงไม่ลุกเล่า” เสียงทุ้มต่ำยามตื่นนอนของเขา ทำให้นางอดจะขนลุกไม่ได้
หลินเยว่รีบพลิกตัวหนีไปอีกด้านทันที นางยกผ้าห่มขึ้นมาคลุมจนมิด เพราะตัวนางคิดว่าเป็นตัวเองที่เผลอเข้าไปกอดเขาตอนที่นอนหลับไม่รู้สึกตัว
“หึหึ” เสียงหัวเราะในลำคอของเลี่ยงรุ่ย ยิ่งทำให้หลินเยว่นางอับอายจนไม่กล้าจะเปิดผ้าห่มออก
“ประเดี๋ยวก็หายใจไม่ออก” เขาดึงผ้าห่มให้ออกจากตัวของนาง
“ข้า ข้า ไม่คิดว่าตนเองจะนอนดิ้นเพียงนี้” นางโผล่หน้าออกมา พร้อมทั้งเอ่ยบอกเขา
เลี่ยงรุ่ยเพียงแค่อมยิ้มมองนาง เขาไม่ได้บอกว่าเป็นเขาที่ดึงนางเข้ามาสวมกอดไว้ทั้งคืน ในเมื่อนางเข้าใจเช่นนี้ ก็ดีแล้ว จะได้ไม่คิดว่าเขาฉวยโอกาสกินเต้าหู้นาง
“ลุกเถิด เจ้าเป็นภรรยาข้า จะเป็นอันใดไปเล่า ประเดี๋ยวจะไม่ทันเกวียนวัวเข้าเมือง” เขามองนางด้วยสายตาที่เร่าร้อน จนหลินเยว่นางทำตัวไม่ถูกไม่รู้ว่าควรลุกออกจากผ้าห่มดีหรือไม่
เป็นเลี่ยงรุ่ยที่ดึงตัวนางให้ลุกขึ้น ก่อนจะพากันเข้าไปล้างหน้าล้างตาในมิติ แล้วกินอาหารรองท้อง ก่อนจะพากันเดินออกจากเรือนไปที่หน้าหมู่บ้าน
หมู่บ้านที่หลินเยว่นางมาอยู่ นางก็เพิ่งจะรู้ว่าเรียกว่า หมู่บ้านจิ่วหาน อยู่ที่เมืองหานตง ทิศตะวันออกของแคว้นต้าเยี่ยน หากจากเมืองหลวงถึงสองพันลี้ (1ลี้=500เมตร)
ทั้งสองจ่ายค่าเกวียนวัวเพื่อเดินทางเข้าเมืองคนละสามอิแปะ ต้องนั่งเกวียนไปถึงหนึ่งชั่วยาม (1ชั่วยาม=2ชั่วโมง) กว่าจะเดินทางถึงตัวเมืองหานตง หากเดินเท้าเลี่ยงรุ่ยบอกว่าต้องมีถึงสองชั่วยามกว่าจะถึง
หลินเยว่สีหน้าของนางหมองลง นางต้องนั่งอยู่ในเกวียนวัวที่โขยกเขยกเช่นนี้ไปตลอดทางเลยหรือ
เพราะความที่นางไม่เคยนั่งมาก่อน จึงทำให้การทรงตัวของนางไม่ค่อยจะมั่นคงนัก ยังดีที่เลี่ยงรุ่ยช่วยโอบประคองนางไว้ มิเช่นนั้นนางคงได้หน้าทิ่มลงพื้นเกวียนตั้งแต่เดินทางออกจากหมู่บ้านแล้ว
พอมาถึงที่ประตูเมือง ลุงถังคนขับเกวียนก็นัดแนะเวลาเดินทางกลับหมู่บ้านกับพวกเขา ก่อนที่เลี่ยงรุ่ยจะเดินพาหลินเยว่นางไปจ่ายค่าผ่านทางเข้าเมืองแล้วพากันเดินเข้าไปด้านใน
หลินเยว่มองผู้คนที่เดินสัญจรไปมา พร้อมกับร้านค้าที่ละลานตาไปหมด ชาวบ้านส่วนมากที่นำผักป่าหรือเนื้อสัตว์เข้ามาขาย หากไม่ไปส่งที่เหลาอาหารก็จะนำมาวางขายแบกับดินอยู่ที่ใกล้ประตูเมือง
“ทางด้านทิศใต้ก็ยังมีตลาดเช่นนี้อีก หากเจ้าอยากเที่ยวดูไว้ข้าจะพาไป” เลี่ยงรุ่ยเห็นว่านางสนใจจึงเอ่ยบอกนาง
“วันนี้คงยังไม่ไปดู มีของที่ต้องซื้ออีกไม่น้อยข้ากลัวจะไม่ทันกลับพร้อมเกวียนวัว” นางไม่มีทางยอมเดินอย่างแน่นอน ไม่เช่นนั้นก็ต้องเสียเงินจ้างเกวียนวัวกลับหมู่บ้านแทน
“เช่นนั้นก็ไปกันเถิด” เลี่ยงรุ่ยเดินไปที่ร้านขายข้าวสารก่อนเป็นอันดับแรก แต่มิใช่ร้านที่จางซุนเป็นหลงจู๊แต่อย่างใด เพราะร้านของจางซุนขายราคาแพงกว่าร้านอื่นถึงสามอิแปะต่อชั่ง (1ชั่ง=500กรัม) ข้างร้านขายข้าวสารยังมีร้านขายไหและเครื่องเคลือบอยู่ด้วย จึงไม่ต้องเดินไปหาซื้อที่ใดให้ยุ่งยาก
หลินเยว่เมื่อเห็นขวดเครื่องเคลือบและตลับเครื่องเคลือบดวงตาของนางก็เปล่งประกายออกมา ก่อนจะเดินเข้าไปเลือกดูอย่างสนใจ
“ฮูหยิน ท่านต้องการสิ่งใดหรือขอรับ” เสี่ยวเอ้อเดินเข้ามาถามหลินเยว่ เมื่อเห็นนางเดินเข้ามาในร้าน
“ข้าอยากดูขวดกระเบื้องและตลับเท่านี้มีหรือไม่” นางทำมือให้เขาดูว่านางต้องการขนาดประมาณไหน
หลินเยว่นางต้องการขวดกระเบื้องเพื่อนำไปใส่สบู่เหลว ส่วนตลับนางต้องการนำไปใส่ลิปสติกที่นางคิดจะทำออกมาวางขาย
“ท่านลองเลือกดูขอรับ” เสี่ยวเอ้อ นำขวดและตลับหลายขนาดออกมาให้หลินเยว่นางได้ดู
ทุกแบบนางล้วนแต่ชื่นชอบทั้งสิ้น แถมยังคิดไว้แล้วด้วยว่าขวดสีนี้จะใส่ครีมอาบน้ำกลิ่นไหน หรือตลับลายไหนจะใส่ลิปสีใดดี
เลี่ยงรุ่ยเมื่อซื้อข้าวสารเรียบร้อยก็เดินเข้ามาหานางที่ด้านในร้าน เขาปล่อยให้หลินเยว่ได้เลือกดูของอย่างเต็มที่ โดยที่เขาไปนั่งรออยู่ด้านข้างของร้านแทน
“ราคาเท่าใดรึ” นางชี้ไปที่ขวดและตลับเคลือบที่วางอยู่ด้านหน้าของนาง
“ขวดเล็กสองตำลึง ขวดใหญ่สามตำลึง ตลับขนาดสองร้อยอิแปะ ตลับขนาดใหญ่สามร้อยอิแปะขอรับ”
หลินเยว่กลืนน้ำลายลงคอทันที เมื่อนางได้ยินราคาของเครื่องเคลือบ
“ขอบคุณเจ้าค่ะ ไว้ข้าขอตัดสินใจก่อน” นางยิ้มแห้งมองเสี่ยวเอ้อ ก่อนที่จะเดินไปหาเลี่ยงรุ่ยแล้วรีบดึงเขาให้ออกเดินไปทันที
“หึหึ เป็นอันใดไป” เขาหยอกล้อนางที่ยังมีสีหน้าตกตะลึงไม่หาย
“แพงมาก” นางกระซิบบอกเขา
เมื่อก่อนซื้อของแทบไม่ต้องเอ่ยถามราคา แต่มาในยามนี้เงินที่ตัวก็มีไม่มาก จะซื้อสิ่งใดต้องคิดแล้วคิดอีก และนางก็ไม่คิดว่าราคาเครื่องเคลือบจะแพงเช่นนี้
“ข้าคิดว่าเจ้ารู้ราคาแล้วเสียอีก”
“จะรู้ได้อย่างไรเล่า” นางอดจะมองค้อนเขาไม่ได้ นางเพิ่งจะมาถึงได้กี่วันกันเอง
หลินเยว่เปลี่ยนความคิดทันที ที่จะนำสบู่เหลวออกมาขายในตอนนี้ เพราะราคาต้นทุนที่สูงจนนางต้องยอมถอยออกมา
“จะไปที่ใดต่อ” เลี่ยงรุ่ยเห็นหลินเยว่เหมือนจะมองหาอะไร จึงได้เอ่ยถามออกมา
“ข้าอยากจะไปดูร้านเครื่องหอม หรือเครื่องประทินโฉม” นางไม่รู้ว่านางเรียกถูกหรือไม่ หากอิงตามนิยายที่อ่านมาก็เรียกเช่นนี้ทั้งนั้น
“ได้ เดินไปอีกสองถนนก็พบแล้ว” เลี่ยงรุ่ยเร่งฝีเท้าให้เร็วขึ้น เพราะเมื่อครู่หลินเยว่นางเสียเวลาอยู่ที่ร้านเครื่องเคลือบเป็นเวลาไม่น้อย
สามีของนางมิได้สนใจบุตรสาวคนโตมากนัก จึงเป็นเรื่องง่ายที่นางจะพูดให้เขาเห็นด้วย แต่เขาก็ยังคงเป็นห่วงหลินเยว่ที่ต้องเข้าตระกูลจางที่เป็นเพียงชาวบ้านเท่านั้นจึงได้มอบสินเดิมให้นางติดตัวไปถึงห้าร้อยตำลึงเงิน แต่เป็นนางที่เก็บเงินไว้กับตัว โดยแบ่งใส่สินเดิมให้หลินเยว่ไปเพียงยี่สิบตำลึงเงินเท่านั้น หากสามีนางรู้เรื่องนี้ขึ้นมาคงจะตำหนินางไม่น้อย“แม่ต้องส่งคนไปสืบเรื่องที่หมู่บ้านจิ่วหานเสียหน่อยแล้ว” ความจริงนางเจินซื่อให้คนไปแจ้งนางฮั่วซื่อให้ทรมานหลินเยว่จนไม่อาจเข้ามาในเมืองได้ก็เท่านั้นหากเป็นเช่นนี้ เรื่องทั้งหมดที่นางทำไว้ สามีของนางก็ไม่มีทางรู้อย่างแน่นอน แม้แต่ตู้ฮุ่ยเหอเขาก็รู้จากซินเซียนว่า หลินเยว่นางมีเงินติดตัวไปห้าร้อยตำลึง ในตอนแรกเขาก็จะนำเงินไปมอบให้นางเพิ่มอีก แต่ซินเซียนนางเอ่ยท้วงไว้“หากพี่สาวมีเงินมาไป ข้าคิดว่าไม่ดีเจ้าค่ะ มิเช่นนั้นจะเกิดภัยกับนางได้ ที่ท่านพ่อมอบให้ไปก็เพียงพอให้นางใช้รักษาตัว ทั้งยังมีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นแล้วเจ้าค่ะ” ภรรยารักพูดเช่นนี้เขาจะไม่ฟังได้อย่างไรนางเจินซื่อรีบพาซินเซียนไปนั่งรอที่ห้องโถง เผื่อว่าหลินเยว่นางกลับมาเยี่ยมบ้านเดิม นาง
หากนางจะต้องไปอีกสองร้านก็กลัวว่าจะกลับไปเอาของที่ฝากไว้ และไปที่เกวียนที่จอดรออยู่หน้าประตูเมืองไม่ทันร้านเครื่องหอมที่เลี่ยงรุ่ยพามา เป็นร้านใหญ่ไม่น้อย แต่ของด้านในก็มีเพียงแค่ถุงหอมกับกำยานที่ใช้จุดเท่านั้น กลิ่นที่มีก็เป็นกลิ่นหอมอ่อนๆนางหยิบถุงหอมขึ้นมาดูอย่างสนใจ กลิ่นมีให้เลือกอยู่ไม่น้อย แต่นางก็ยังไม่เข้าใจว่าเพียงแค่ห้อยไว้ที่เอว จะส่งกลิ่นหอมออกมาได้มากเพียงใด หลินเยว่จึงได้ซื้อกลับมาหนึ่งถุง ตอนที่จ่ายเงินมือของนางก็สั่นไม่น้อย เพราะต้องเสียเงินไปถึงสองตำลึงเงินราคาที่นางเสียไปเป็นราคาที่ถูกที่สุดในร้านแล้ว นางไม่อยากจะเชื่อ เพียงแค่ถุงผ้าปักลวดลายสวยๆ ใส่กลีบดอกไม้แห้งเพียงเล็กน้อย จะมีราคานับสิบตำลึงเงิน ของนางที่ซื้อกลับมา ถุงผ้ามิได้มีลวดลายอันใด ราคาจึงเพียงแค่สองตำลึงเงินเท่านั้นหลินเยว่ มิได้เอาถุงหอมห้อยไว้ที่เอว เพราะนางลองแล้ว กลิ่นที่ออกมาก็ไม่เห็นจะชัดเจนเท่าไหร่ นางจึงลองใส่ไว้ในอกเสื้อของนางแทน“เจ้าทำอันใด” เลี่ยงรุ่ยตกใจไม่น้อย เมื่อเห็นหลินเยว่นางล่วงเข้าไปในสาบเสื้อระหว่างที่เดินอยู่บนถนน“ข้าว่าห้อยไว้ที่เอว กลิ่นมันไม่หอมมากนัก จึงลองใส่ไว้ที่อกเสื
นางคิดว่าเขาเคยชินกับที่นอนแข็งๆ ที่มีเพียงเตียงไม้ไผ่ปูทับด้วยผ้าบางๆ“ไม่ใช่” เลี่ยงรุ่ยได้ทีก็ขยับไปจนชิดกับนาง“ที่นอนกว้างขวาง ท่านจะมานอนเบียดข้าเพื่ออันใด” นางลุกขึ้นไปมองที่นอนฝั่งของเลี่ยงรุ่ยที่กว้างจนคนอีกคนมานอนได้อย่างสบาย“ข้าอยากนอนใกล้เจ้า” หลินเยว่เบิกตากว้างมองเลี่ยงรุ่ยคืนนี้ที่ทั้งคู่นอนด้วยกัน เป็นเพียงคืนที่สามเท่านั้น เขาก็ทำหน้าหนาอยากนอนใกล้นางเสียแล้ว“เอ่อ นอนนิ่งๆ เล่า ห้ามขยับอีก ข้าจะนอนแล้ว” นางพลิกตัวหันหนีไปอีกข้าง เพราะไม่อยากให้เขาเห็นว่านางกำลังหน้าแดงเลี่ยงรุ่ยมิได้ขยับตัวอีก จนเมื่อหลินเยว่นางหลับสนิท เขาก็ลืมตาขึ้น พร้อมทั้งดึงนางเข้ามาอยู่ในอ้อมกอดแทนรุ่งเช้าเมื่อหลินเยว่นางตื่นขึ้น นางจึงได้รู้ว่าตัวนางอยู่ในอ้อมกอดของเลี่ยงรุ่ย นางจึงนอนนิ่งไม่ยอมขยับ เลี่ยงรุ่ยที่รู้ว่านางตื่นแล้วแต่ไม่ยอมที่จะขยับตัวก็รู้สึกขบขันไม่น้อย เขาจึงกระซิบข้างหูของนาง“ตื่นแล้วเหตุใดถึงไม่ลุกเล่า” เสียงทุ้มต่ำยามตื่นนอนของเขา ทำให้นางอดจะขนลุกไม่ได้หลินเยว่รีบพลิกตัวหนีไปอีกด้านทันที นางยกผ้าห่มขึ้นมาคลุมจนมิด เพราะตัวนางคิดว่าเป็นตัวเองที่เผลอเข้าไปกอดเขาตอนที
ทั้งสองเดินไปที่เรือนหลังใหม่ทันที โดยไม่ได้หยุดฟังหรือสนใจคำพูดของชาวบ้านที่ต่อว่านางฮั่วซื่อ หรือสะใจที่เห็นคนอื่นเป็นทุกข์ทั้งคู่มีเพียงห่อผ้าและหีบสินเดิมของหลินเยว่เท่านั้น เมื่อมาถึงเรือนก็ไม่ต้องเก็บสิ่งใดมากนัก เพียงนำไปวางไว้ในห้องเท่านั้นแม้แต่เครื่องครัวหรือเครื่องเรือนก็ไม่แบ่งให้ทั้งสองไปใช้ในเรือนของนางกุ้ยเลยสักชิ้นข้าวของที่เรือนของมารดาเลี่ยงรุ่ย ต่างถูกนางฮั่วซื่อและนางหงซื่อไปขนมาไว้ที่เรือนตระกูลจางหมดแล้ว ตอนนี้จึงมีเพียงแค่เรือนเปล่าๆแต่ทั้งสองไม่รู้เลยว่า เลี่ยงรุ่ยสร้างเครื่องเรือนด้วยตนเองนำไปเก็บไว้ที่เรือนบ้างแล้ว แม้เรือนจะไร้คนอยู่อาศัย แต่ตัวเขาก็ไปเก็บกวาดอยู่เสมอ เรือนจึงไม่ได้ทรุดโทรมมากนัก“เจ้านั่งพักก่อนดีหรือไม่ ข้าจะไปทำความสะอาดเรือนให้เอง” เลี่ยงรุ่ยลูบใบหน้าของนางอย่างปวดใจ ที่ต้องพานางมาลำบากเช่นนี้“ข้ามิได้เหนื่อยอันใด ประเดี๋ยวทำความสะอาดเสร็จค่อยพักก็ได้”หลินเยว่นางนำของทำความสะอาดออกมาจากมิติ เมื่ออยู่เพียงลำพังเช่นนี้ก็ไม่ต้องกลัวว่าจะมีผู้อื่นมาเห็นสิ่งของที่นางนำออกมาเมื่อมีไม้กวาดกับไม้ถูพื้นที่นางนำออกมา ทุกอย่างก็ดูเหมือนจะง่า
เมื่อเขามีครอบครัวเป็นของตนเองจึงไม่อยากให้ภรรยาถูกรังแกไปด้วย วันนี้เขาก็รู้จากลูกสะใภ้ว่าหลินเยว่นางต้องซักผ้าให้คนทั้งเรือน ทั้งยังเปิดให้ดูร่องรอยที่นางถูกนางฮั่วซื่อทุบตีอีกด้วย“เอาเถิด เช่นนั้นก็นำที่นาและเงินในส่วนของอาซางมาให้อารุ่ยเสีย” เขาหันไปบอกจางซุนและนางฮั่วซื่อ“เหอะ ข้าไม่ให้ ตั้งแต่มันเกิดมาครอบครัวข้าต้องสูญเสียไปไม่น้อย ตอนจะไปยังคิดจะมาเอาของ ของข้าไปอีกรึ” นางฮั่วซื่อเท้าสะเอวต่อว่าเลี่ยงรุ่ยผู้นำหมู่บ้านก็ดูเหมือนจะไม่พอใจอย่างยิ่งที่นางฮั่วซื่อดื้อรั้นเช่นนี้ เขากำลังจะอ้าปากต่อว่า แต่เสียงของเลี่ยงรุ่ยก็ดังขึ้นมาเสียก่อน“ท่านลุงจิ่ว ส่วนของบิดาข้า ข้าไม่ต้องการขอรับ แต่ข้าขอส่วนที่เป็นสินเดิมของท่านแม่คืนก็พอขอรับ” เขาเอ่ยอย่างนอบน้อมกับผู้นำหมู่บ้าน“ไปนำมาคืนอารุ่ยเสีย” ผู้นำหมู่บ้านก็เห็นด้วยกับเลี่ยงรุ่ย“ส่วนนี้ก็ไม่ได้” นางฮั่วซื่อหันหน้าไปทางอื่น“เพ้ย ของอาซางก็ไม่ให้ ที่นากับบ้านของอากุ้ยเจ้าก็ไม่ให้อีกรึ เช่นนั้นก็ไปที่ว่าการ ให้ท่านนายอำเภอตัดสินเสีย”จางซุนสะดุ้งเล็กน้อย เมื่อได้ยินว่าจะไปที่ว่าการ เขาลากตัวมารดาออกไปคุยห่างจากผู้อื่นเล็กน้อย“ท
หลินเยว่เบิกตากว้างอย่างไม่อยากเชื่อหู นางนอนอยู่ในห้องเฉยๆ ทำไมถึงได้ดึงนางเข้าไปเกี่ยวข้องได้เล่า“ท่านอาสะใภ้ ท่านพูดให้ดีเสียหน่อย ข้าจะให้ท่าบุตรชายของท่านเพื่ออันใด” หลินเยว่เอ่ยถามอย่างไม่เข้าใจ“หึ ดูเสื้อผ้าของเจ้าสิ เช่นนี้ไม่ใช่ให้ท่าแล้วจะเรียกว่าอันใด”หลินเยว่นางจึงได้ก้มลงมองเสื้อผ้าของนาง นางอดที่จะกลอกตาอย่างเบื่อหน่ายไม่ได้ เพียงแค่เปิดนิดหน่อย นางไม่ได้แก้ผ้ากวักมือเรียกให้เขาเข้ามาในห้องของนางเสียเมื่อไหร่“เหอะ หากข้าแก้ผ้าเรียกเขาเข้ามาค่อยมากล่าวหาข้า ข้านอนอยู่ในห้องจะให้เสื้อผ้าเรียบร้อยเช่นเดิมก็คงจะแปลก” นางเถียงอย่างไม่ยินยอม“ท่านย่าข้าต้องการแยกเรือน” จางเลี่ยงรุ่ยเอ่ยขึ้นมา ก่อนที่ทั้งหมดจะเถียงกันไปมากกว่านี้“เจ้าว่าอันใดนะ” นางฮั่วซื่อเอ่ยถามอย่างไม่อยากเชื่อ“ข้าต้องการแยกเรือน ในเมื่ออาเฉิงคิดจะเข้าหาอาเยว่ ครั้งต่อไปเขาก็อาจจะทำอีกได้” ครั้งนี้เลี่ยงรุ่ยไม่ยอมอ่อนข้อให้อีกแล้ว“เพ้ย เจ้ากล้ารึ”“ต่อให้ข้าแยกออกไปต้องอดตาย ข้าก็ขอไปตายดาบหน้า แต่หากท่านย่าไม่ยอมให้ข้าแยกเรือน ข้าจะนำเรื่องที่อาเฉิงทำในวันนี้ไปแจ้งท่านอาจารย์ที่สำนักศึกษา”“เจ้า เจ้า
แต่หลินเยว่นางก็ยังร้องออกมา “อู๊ยยย” เมื่อตุ่มน้ำแตกออกนางก็แสบมือไม่น้อย“ใกล้เสร็จแล้ว” เขาเป่าลมใส่มือให้นางอย่างใส่ใจ“อย่าได้พูดเรื่องหย่าขึ้นมาอีกเข้าใจหรือไม่ แล้วก็นำของออกมาวางไว้ที่เดิมด้วย” เขาจับมือของนางไว้ พร้อมทั้งมองนางอย่างคาดคั้น“เลี่ยงรุ่ย ข้าอยู่ที่นี่ได้เพียงแค่สองวัน ข้าก็เริ่มจะทนไม่ไหวแล้ว หากเป็นเช่นนี้ต่อไปข้าคงได้ตบตีกับพวกนางแน่ แล้วเจ้าจะทำเช่นไร” นางเอ่ยถามเขาออกมา เพราะรู้ดีว่าเรื่องความกตัญญูของคนในยุคนี้มาเป็นอันดับหนึ่งหากหลานสะใภ้ตบดีกับท่านย่าของสามี ชื่อเสียงของนางและของเขาก็คงจะถูกครหาไม่น้อย ไม่ใช่ว่าจางเลี่ยงรุ่ยจะไม่เข้าใจนาง เพียงแต่ว่าตอนนี้เขายังไม่อาจหาทางออกเรื่องการแยกเรือนออกไปได้“เจ้าใจเย็นอีกนิดได้หรือไม่ ข้ากำลังหาทางจัดการเรื่องนี้อยู่” เขามองนางอย่างขอความเห็นใจเขาก็ไม่อยากจะเสียนางไปเช่นกัน หลินเยว่นางเป็นคนเดียวที่เดือดร้อนแทนเขา เมื่อเขาถูกคนในเรือนรังแกตั้งแต่วันแรกที่พบนาง นางก็เอ่ยถามเขาเรื่องกินข้าวแล้วหรือยัง เหนื่อยมากหรือไม่ นางคงไม่รู้ว่าคำพูดเช่นนี้ไม่เคยมีผู้ใดพูดกับเขามาก่อน ทำให้เขารู้สึกอบอุ่นหัวใจอยู่ไม่น้อย“
เมื่อมาถึงริมแม่น้ำก็มีชาวบ้านอยู่ไม่น้อยที่นั่งซักผ้าอยู่ พอเห็นเลี่ยงรุ่ยแบกตะกร้าผ้ามาให้หลินเยว่ก็อดจะกระซิบพูดคุยกันไม่ได้ บางคนเห็นใจนางที่เป็นถึงคุณหนูแต่ต้องแต่งเข้ามาเป็นหลานสะใภ้ของนางฮั่วซื่อที่ปากร้ายใจแคบ บางคนก็ยินดีในคราวเคราะห์ของผู้อื่นหลินเยว่นางไม่สนใจว่าผู้ใดจะมองนางหรือนินทานางเช่นไร เมื่อเลี่ยงรุ่ยวางตะกร้าลง นางจึงให้เขาไปดูกับดักสัตว์ที่เขาวางไว้“เจ้าทำไหวแน่หรือ” เขามองนางอย่างเป็นห่วง เพราะรู้ดีว่านางคงไม่เคยซักผ้าเช่นนี้“เอาเถิด ท่านไปจัดการเรื่องของท่านเถิด” นางจะทำไหวได้อย่างไรแต่ในเมื่อต้องการให้นางซัก จะออกมาเป็นเช่นไรก็จะต่อว่านางไม่ได้เช่นกัน“ประเดี๋ยวข้าจะกลับมาแบกกลับเรือนเอง เจ้าซักเสร็จแล้วรอข้าอยู่ที่นี่เล่า”“อืม ไปเถิด”หลินเยว่นั่งลงที่ก้อนหินริมน้ำ นางนำเสื้อผ้าออกมากองทั้งหมด ก่อนจะเริ่มต้นซักที่ละตัว นางไม่ได้ดูว่าผู้อื่นซักผ้าเช่นไร นางมีวิธีของนางเมื่อสตรีที่อยู่ริมน้ำเห็นการซักผ้าของหลินเยว่ ต่างก็ต้องร้องอุทานออกมาอย่างตกใจ ถึงกับมีสตรีใจกล้าเอ่ยถามนางด้วยว่ากำลังทำอะไร“ภรรยาอารุ่ยเจ้าซักผ้าไม่เป็นรึ เหตุใดถึงทำเช่นนั้น” หลินเยว่ห
หลินเยว่มองหน้าจางเลี่ยงรุ่ยอย่างเหนื่อยใจ “เหตุใดท่านต้องยอมมากถึงเพียงนี้ด้วย”“ต่อให้ท่านย่าจะดุด่าข้าหรือทุบตีข้า อย่างน้อยนางก็ให้ที่หลับนอนและอาหารกับข้าทุกมื้อ” แม้จะกินไม่อิ่มท้องก็ตาม“เลี่ยงรุ่ย ท่านมีทางเลือกอื่นมากมาย เหตุใดต้องทนด้วยเล่า” หากนางโดนกระทำเพียงนี้ไม่รู้ว่าจะทนได้เท่าเขาหรือไม่“ข้าโดนเช่นนี้มาตั้งแต่เล็กแล้ว จะมาบอกว่าตอนนี้ทนไม่ได้ก็คงจะน่าขันไม่น้อย” แววตาของเขาเศร้าลง เมื่อนึกถึงเรื่องที่ตนต้องทนโดนโขกสับเยี่ยงทาสมานานนับสิบเก้าปี“ท่านเคยคิดจะแยกบ้านหรือไม่” นางยื่นหน้าเข้าไปถาม“เคย แต่จะแยกไปที่ใดเล่า ท่านย่าคงไม่ยอมแน่” เพราะเขาเป็นแรงงานของบ้านจะให้แยกตัวไปคงไม่มีใครยอม“เอาเถิด เรื่องนี้ค่อยว่ากัน หากเจ้าจะออกไปข้าก็ไม่ห้าม แต่เลี่ยงรุ่ย ข้าไม่เหมือนท่าน ข้าทนการถูกรังแกไม่ได้ หากต่อไปต้องโดนมากกว่านี้ ข้าคงต้องขอแยกทางกับท่าน” นางเอ่ยออกมาตรงๆ ถ้าจะให้ทั้งชีวิตนางมาทิ้งอยู่ในสภาพเช่นนี้นางก็ไม่เอาเช่นกันต่อให้ได้สามีที่ดีเช่นเขานางก็ไม่ต้องการ ต่อไปหากนางคิดจะสร้างตัว ไม่ใช่ว่าต้องยกเงินที่หามาได้ให้ท่านย่าของเขาเสียหมดเลยรึจางเลี่ยงรุ่ยเข้าใจควา