ทั้งสองเดินไปที่เรือนหลังใหม่ทันที โดยไม่ได้หยุดฟังหรือสนใจคำพูดของชาวบ้านที่ต่อว่านางฮั่วซื่อ หรือสะใจที่เห็นคนอื่นเป็นทุกข์
ทั้งคู่มีเพียงห่อผ้าและหีบสินเดิมของหลินเยว่เท่านั้น เมื่อมาถึงเรือนก็ไม่ต้องเก็บสิ่งใดมากนัก เพียงนำไปวางไว้ในห้องเท่านั้น
แม้แต่เครื่องครัวหรือเครื่องเรือนก็ไม่แบ่งให้ทั้งสองไปใช้ในเรือนของนางกุ้ยเลยสักชิ้น
ข้าวของที่เรือนของมารดาเลี่ยงรุ่ย ต่างถูกนางฮั่วซื่อและนางหงซื่อไปขนมาไว้ที่เรือนตระกูลจางหมดแล้ว ตอนนี้จึงมีเพียงแค่เรือนเปล่าๆ
แต่ทั้งสองไม่รู้เลยว่า เลี่ยงรุ่ยสร้างเครื่องเรือนด้วยตนเองนำไปเก็บไว้ที่เรือนบ้างแล้ว แม้เรือนจะไร้คนอยู่อาศัย แต่ตัวเขาก็ไปเก็บกวาดอยู่เสมอ เรือนจึงไม่ได้ทรุดโทรมมากนัก
“เจ้านั่งพักก่อนดีหรือไม่ ข้าจะไปทำความสะอาดเรือนให้เอง” เลี่ยงรุ่ยลูบใบหน้าของนางอย่างปวดใจ ที่ต้องพานางมาลำบากเช่นนี้
“ข้ามิได้เหนื่อยอันใด ประเดี๋ยวทำความสะอาดเสร็จค่อยพักก็ได้”
หลินเยว่นางนำของทำความสะอาดออกมาจากมิติ เมื่ออยู่เพียงลำพังเช่นนี้ก็ไม่ต้องกลัวว่าจะมีผู้อื่นมาเห็นสิ่งของที่นางนำออกมา
เมื่อมีไม้กวาดกับไม้ถูพื้นที่นางนำออกมา ทุกอย่างก็ดูเหมือนจะง่ายขึ้น ยังมีน้ำยาทำความสะอาดพื้นที่นางนำออกมาใช้ ภายในเรือนจึงส่งกลิ่นหอมอ่อนๆ ของดอกไม้คละคลุ้งไปทั่วเรือน
เลี่ยงรุ่ยเริ่มจะชินกับสิ่งของที่หลินเยว่นางนำออกมาแล้ว ทั้งสองช่วยกันทำความสะอาดเพียงไม่นานก็เสร็จลง
“เอ่อ ข้านำที่นอนออกมาใช้ได้หรือไม่”
“ได้ เจ้านำออกมาเถิด ในห้องไม่มีผู้ใดเข้าไปหรอก”
หลินเยว่เดินเข้าไปดูว่านางจะนอนที่ห้องไหน มีเรือนหลังนี้มีสามห้องนอน แต่มีห้องนอนใหญ่เพียงแค่ห้องเดียวเท่านั้น
“ท่านต้องการจะนอนห้องใด” นางหันไปถามเลี่ยงรุ่ยถึงอย่างไรเขาก็เป็นเจ้าของเรือน
“เจ้าเลือกได้เลย”
“เช่นนั้นท่านนอนห้องใหญ่ ส่วนข้าจะนอนห้องเล็กที่อยู่ด้านข้างก็แล้วกัน”
เลี่ยงรุ่ยหันมามองหลินเยว่ ในตอนแรกเขาก็ไม่เข้าใจว่านางจะให้เขาเลือกห้องเพื่ออันใด มาตอนนี้เขาเข้าใจแล้ว นางต้องการจะแยกห้องนอน
“ไม่ ข้าจะนอนห้องเดียวกับเจ้า เจ้ากับข้ากราบไหว้ฟ้าดินด้วยกันแล้ว นับว่าเป็นสามีภรรยากัน จะแยกห้องนอนไปเพื่ออันใด”
หลินเยว่นางอ้าปากจะโต้แย้ง แต่ถูกเลี่ยงรุ่ยดันตัวเข้าไปในห้อง แล้วบอกให้นางรีบเอาของออกมา เขาจะช่วยนางจัดห้อง
ตลอดเวลาที่หลินเยว่นางนำของออกมา และช่วยกันยกของเข้าที่ นางเหลือบมองเลี่ยงรุ่ยอยู่เป็นระยะ แล้วจึงเอ่ยเรื่องที่อยู่ในใจออกมา
“อารุ่ย ท่านต้องการใช้ชีวิตกับข้าจริงรึ” เพราะนางไม่รู้ว่าคนที่เพิ่งเจอกันไม่ได้รักกันจะสามารถใช้ชีวิตอยู่กันได้จริงๆ รึ
“ใช่ มีอันใด” เขาเงยหน้าขึ้นมามองนางอย่างไม่เข้าใจ
“เอ่อ คือ แบบว่า ท่านกับข้าเพิ่งเคยพบกัน อาจจะยังไม่รู้จักกันดี ต่อไปท่านอาจพบสตรีที่ท่านรักอย่างแท้จริงก็ได้” นางบีบมือแน่นอย่างกังวล
นางคิดว่าจะดีเสียกว่า หากทั้งนางและเขารู้ใจของตนเองเร็ว เพื่อจะได้ต่างคนต่างไปแสวงหาสิ่งที่ตนเองต้องการ
เลี่ยงรุ่ยถอนหายใจ เขาเดินเข้ามาหาหลินเยว่ พร้อมทั้งกุมมือของนางไว้แน่น
“อาเยว่ หากเจ้ากลัวว่าข้าจะเป็นคนจิตใจโลเล เมื่อพบเจอสตรีนางอื่นก็ล้วนแต่ต้องการ เจ้าวางใจได้ ข้ามิใช่บุรุษเช่นนั้น”
“ผู้ใดจะรู้เล่า” นางก้มหน้าลงแล้วบ่นเสียงแผ่วเบาออกมา
แต่เสียงของนางก็ทำให้เลี่ยงรุ่ยได้ยินอย่างชัดเจน เขาจึงได้จับคางของนางเชยขึ้น เพื่อให้สบตาของเขา
“หากเจ้ามิเชื่อข้าในยามนี้ก็ไม่เป็นอันใด แต่ข้าจะทำให้เจ้าได้รู้เอง ว่าแท้จริงแล้วข้าไม่ต้องการสตรีนางใดนอกจากเจ้า” สายตาของเลี่ยงรุ่ยที่มองมารวมกับคำพูดของเขา ทำให้หลินเยว่นางเขินอายจนใบหน้าและใบหูแดงก่ำ
“ท่านพูดเองนะ หากวันใดที่ท่านปันใจให้สตรีอื่น ข้าจะฆ่าท่านเสีย” นางแสร้งทำเป็นโมโหเพื่อกลบเกลื่อนความเขินอาย
ก่อนจะรีบเดินหนีออกไปจากห้อง เพื่อไปจัดการเรื่องเครื่องครัว หากในเรือนที่อยู่อาศัยจะไม่มีเครื่องครัวเลยก็คงจะประหลาดอยู่ไม่น้อย
หม้อ กระทะ ข้าวของที่หลินเยว่นำออกมาล้วนแปลกตาอยู่ไม่น้อย เลี่ยงรุ่ยจึงคิดจะเดินทางเข้าเมือง เพื่อไปซื้อไหมาเปลี่ยนถ่ายใส่เครื่องปรุงที่นางนำออกมา
“ข้าจะเข้าไปอาบน้ำเสียก่อน ท่านจะเข้าไปด้วยหรืออยู่ที่นี่” นางเหนียวตัวไม่น้อยจึงอยากจะอาบน้ำ
“ข้าไปด้วย” ทั้งสองจึงได้พากันเข้าไปในมิติ
หลินเยว่นางจึงได้ค้นพบความลับอย่างหนึ่ง ไม่ใช่ว่าวัตถุดิบในโกดังของนางเท่านั้นที่ไม่มีวันหมดสิ้นตามคำบอกของเทพชะตา แต่ข้าวของที่นางนำออกไปจากที่บ้านของนาง ก็ล้วนแต่อยู่ครบเช่นเดิม
“หากข้านำออกไปขายต้องรวยอย่างแน่นอน” นางมองสิ่งของด้วยดวงตาเป็นประกาย
“มิได้ แล้วเจ้าจะบอกผู้อื่นว่าเจ้าสร้างมาจากอันใด” เลี่ยงรุ่ยเอ่ยขึ้น
“ก็จริงของเจ้า” นางโบกมืออย่างไม่ใส่ใจ ก่อนจะเดินไปเข้าห้องน้ำที่อยู่ในห้องนอน ส่วนเลี่ยงรุ่ยเดินเข้าไปอาบน้ำที่ชั้นล่างแทน
ของใช้ของเขา หลินเยว่นางนำว่าวางไว้ให้เรียบร้อย ทั้งยาสระผม ครีมอาบน้ำ และแปรงสีฟัน ยาสีฟัน นางบอกวิธีให้กับเขาไว้ตั้งแต่ครั้งแรกที่เขาเข้ามา จึงใช้ได้อย่างสบาย
เลี่ยงรุ่นชื่นชอบกลิ่นของครีมอาบน้ำไม่น้อย มันไม่ได้เป็นกลิ่นหอมของดอกไม้เช่นที่หลินเยว่นางใช้ แต่กลับเป็นกลิ่นหอมอ่อนๆ ของต้นสน เพียงอาบน้ำก็เหมือนเดินอยู่ในหุบเขาที่รายล้อมไปด้วยต้นสนมากมาย
ที่น่าประหลาดสำหรับเลี่ยงรุ่ย แม้จะล้างฟองออกไปจากตัวจนหมดสิ้นแล้ว กลิ่นของครีมอาบน้ำก็ยังติดอยู่ที่ตัวของเขาไม่ได้จางหายอย่างที่คิด
ทั้งสองกินอาหารอย่างง่ายๆ ก่อนที่จะออกจากมิติมาด้านนอกเพื่อพักผ่อน เพราะพรุ่งนี้พวกเขาจะเดินทางเข้าเมืองไปซื้อของที่จำเป็นเข้าเรือน
หลินเยว่นางยังคิดอยากจะไปดูในเมืองด้วยว่าการค้าเป็นเช่นไร จากความทรงจำของร่างเดิม มีเรื่องเกี่ยวกับภายในเมืองน้อยมาก เหมือนว่านางมักจะอยู่แต่ภายในจวนเท่านั้นมิได้ออกมาเที่ยวเล่นเช่นคนอื่น
คืนนี้หลินเยว่นางนอนอย่างสบายใจบนที่นอนใหม่ เพราะไม่ต้องนอนเบียดกับเลี่ยงรุ่ยอีกแล้ว ยิ่งหมอนและผ้าห่มที่นางนำออกมาด้วยก็ล้วนแต่นุ่มนิ่มนอนสบายยิ่งนัก กลายเป็นเลี่ยงรุ่ยที่ค่อยๆ เขยิบตัวมาใกล้นางแทน
“ท่านนอนไม่สบายตัวอย่างงั้นรึ” หลินเยว่อดที่จะเอ่ยถามไม่ได้ เมื่อเห็นเขาขยับตัวหลายครั้ง
ผ่านเหตุการณ์วุ่นวายทั้งหมดมาได้สิบวัน หลินเยว่ก็เดินทางกลับจวนของตนเอง เซี่ยเหลี่ยงและไป๋ซื่อที่ติดเหลนชายตัวน้อยเข้าเสียแล้วก็มิอาจจะทนห่างเหลนได้ จึงได้พักอยู่ที่จวนตระกูลฟู่ตลอดไปอวี่หรันการค้าของนางนับวันก็เริ่มจะดีขึ้น หลังจากที่ผู้คนทั่วเมืองหลวงรู้ว่าซูเซียวและหลินเยว่ตัดผ้าที่ร้านของนางก็เริ่มเข้ามาสั่งจองวัดตัวกันมากมายความจริงมิใช่ว่าชื่อเสียงของหลินเยว่และซูเซียวโด่งดังอันใดมากนัก แต่เป็นเพราะแบบร่างของนางมากกว่า ที่มีลวดลายแปลกใหม่และแบบเสื้อผ้าที่ไม่เหมือนของผู้อื่นหลินเยว่ยังแนะนำให้นางทำตราประทับร้านซ่อนลายไว้ที่ตัวผ้าของนางด้วย เมื่อทำเช่นนี้หากมีสินค้าที่ลอกเลียนแบบก็รู้ได้ทันทีนับว่าวิธีนี้ของนางสร้างชื่อเสียงให้ร้านของอวี่หรันอยู่ไม่น้อยเซี่ยหมิ่นที่เดินทางมาถึงเมืองหลวงแล้ว และได้เข้าพักที่จวนหลังใหม่ เขาก็หันมาทำการค้าให้หลินเยว่อย่างเต็มตัว เรื่องเรียนของเขาตอนที่อยู่เมืองหานตงก็มิได้ทิ้งขว้าง นับว่าตอนนี้เขามีตำแหน่งซิ่วไฉไว้อวดอ้างก็เพียงพอแล้วสินค้าของหลินเยว่ที่ทั้งส่งให้เหมยฮวาและที่ในร้านเหม่ยเซียง ต่างสร้างชื่อให้กับนางอย่างมากมาย จนพ่อค้าต่างแคว้นเ
คนทั้งห้องโถงตระกูลเซี่ยล้วนแต่ตกตะลึงกับสิ่งที่อวี่หรันนางพูดออกมา“จะ เจ้า พูดสิ่งใดออกมา เรื่องที่นางพูดไม่เป็นความจริงนะขอรับ” เซี่ยเหว่ยตวาดอวี่หรันเสียงดัง พร้อมกับหันไปบอกผู้อาวุโสคนอื่นอย่างร้อนรน“อาเหว่ย เจ้าทำจริงรึ” เซี่ยเหลี่ยงเอ่ยถามน้องชายเสียงสั่น แม้จะสงสัยในตัวของเซี่ยเหว่ยอยู่ไม่น้อย แต่พอมารับฟังเรื่องราวจริงๆ เช่นนี้ เขาก็ไม่อาจจะทำใจได้เช่นกัน“มะ ไม่ ไม่จริง พี่ใหญ่ นางพูดปด ทะ ท่านอย่าได้เชื่อนาง”นางจงซื่อที่ได้สติกลับมาก็กรีดร้องออกมาอย่างไม่ยินยอม“ใครให้เจ้าพูดเรื่องในปีนั้นออกมา ผู้ใดเป็นคนบอกเจ้า”นางจงซื่อพุ่งเข้าไปทุบตีอวี่หรัน แต่ก็ถูกจินห่าวบังตัวของนางไว้ นางจึงไม่ได้รับบาดเจ็บ คนอื่นก็เข้ามาดึงนางจงซื่อออกไปสงบสติอารมณ์ท่าทางเช่นนี้ของนางจงซื่อราวกับตอกย้ำว่าเรื่องที่อวี่หรันนางพูดออกมาเป็นความจริงทั้งหมด“พอ!!! พอกันที วันนี้ข้าจะตัดพวกเจ้าออกจากตระกูลเซี่ยเสีย หากผู้ใดที่ไม่เห็นด้วยกับข้าก็จงรอรับผลได้เลย” เซี่ยเหลี่ยงหมดความอดทนทันที ดวงตาที่แดงก่ำของเขาไล่มองไปที่ทุกคนที่อยู่ในห้องโถงเสียงร้องคร่ำครวญราวกับจะขาดใจของไป๋ซื่อยิ่งทำให้เซี่ยเหลี่ย
ตั้งแต่ที่เลี่ยงรุ่ยฝึกวรยุทธ์ นางก็ไม่อาจทนมองเขายามที่ถอดเสื้อได้เลย หน้าท้องที่มีกล้ามเนื้อขึ้นมัดอย่างชัดเจน แผงอกก็ดูเหมือนจะกว้างขึ้นหลายชุ่น“อาเยว่...” เลี่ยงรุ่ยเสียงของเขาแหบพร่าไปด้วยอารมณ์ที่พลุ่งพล่าน เพียงแค่นางสะกิดเขาก็ติดเสียแล้วหลินเยว่ดันตัวเลี่ยงรุ่ยให้ลุกขึ้น นางปลดเชือกที่มัดอยู่ที่กางเกงเขาออกอย่างคล่องแคล่ว ก่อนจะชักรูดลำทวนของเขาอย่างชำนาญเรียวลิ้นน้อยๆ ของนางเตะลงเพียงแค่ส่วนหัว ร่างกายของเลี่ยงรุ่ยก็สั่นสะท้านเสียแล้ว “อาเยว่ เจ้ากำลังจะทำให้ข้าคลั่งตาย” เขาลูบหัวของนางยามที่ปากน้อยๆ ของนางดูดกลืนลำทวนของเขาเข้าไปจนสุด เลี่ยงสุดก็เผลอกระแทกเข้าออกอย่างลืมตัว จนหลินเยว่นางเกือบจะอาเจียนออกมา แต่จำต้องฝืนเอาไว้ เพราะเป็นนางที่ยั่วยวนเขาก่อนเพียงแค่การมัดจำของนางก็เร่าร้อนจนเขาแทบอยากจะส่งลำทวนเข้าไปในร่างของนางแล้ว ไม่รู้ว่าหากเป็นรางวัลที่นางจะมอบให้ จะเร่าร้อนกว่านี้มากเพียงใดรุ่งเช้าหลินเยว่นางเดินออกไปส่งเลี่ยงรุ่ยที่หน้าจวน นางยังกระซิบบอกเขาว่าให้ทำเต็มที่ เมื่อกลับมานางมีรางวัลจะมอบให้ เลี่ยงรุ่ยก็มิอยากจะเข้าไปอยู่ในสนามสอบเสียแล้วอวี่หรันตั้งแต่
คนงานที่ร้านและบ่าวในจวนต่างได้รับเงินรางวัลกันมากถึงคนละห้าสิบตำลึงเงิน หากคิดว่าไม่มากให้เทียบเงินเดือนที่พวกเขาจะได้หากทำงานที่อื่น พวกเขาจะได้ต่อเดือนอยู่ที่สองถึงห้าตำลึงเงินเท่านั้นต่อให้พวกทาสสามารถเก็บเงินไถ่ตัวเองได้ แต่ก็ไม่มีผู้ใดคิดจะทำเช่นนั้น สู้อยู่กับหลินเยว่นางอย่างสุขสบายทั้งยังมีเงินเหลือใช้จ่ายและส่งให้ทางบ้านยังดีเสียกว่าอาจจะเป็นเพราะน้ำในลำธารที่หลินเยว่นางให้แม่ครัวใช้ทำอาหารและต้มน้ำชาให้พวกเขาดื่มทุกวันก็เป็นได้ เพราะคนงานของนางทุกคนล้วนแต่ซื่อสัตย์กับนางทั้งสิ้นมีพ่อค้าบางคนที่ต้องการจะขอซื้อสูตรลับของหลินเยว่ ทุกคนต่างไม่มีใครหลุดปากพูดเรื่องในจวนหรือเรื่องการทำสินค้าออกมาสักคนเดียว แม้จะนำเงินมาวางกองตรงหน้าให้ถึงหนึ่งพันตำลึง ก็ไม่มีผู้ใดคิดจะหักหลังหลินเยว่ตอนนี้อายุครรภ์ของหลินเยว่และซูเซียวเข้าเดือนที่ห้าแล้ว จวนตระกูลเซี่ยสายรองก็จัดงานมงคลของอวี่หรันพอดีทั้งสองต่างพากันไปร่วมงานที่จวนตระกูลเซี่ยสายรอง หลินเยว่และซูเซียวต้องไปเติมสินเดิมให้อวี่หรันหลินเยว่นางให้เป็นเงินหนึ่งพันตำลึงเงิน ไม่ว่าสิ่งใดเงินย่อมสำคัญที่สุด ซูเซียวนางให้เครื่องประดับห
สองวันต่อมาเว่ยอ๋องต้องเดินทางมาที่จวนตระกูลฟู่ เพื่อขอน้ำลำธารในมิติไปให้ซูเซียวนางดื่ม ที่หลินเยว่นางส่งไปให้ก่อนหน้านี้ที่ตำหนัก หมดไปหลายวันแล้วหากซูเซียวนางไม่ได้ดื่มน้ำจากลำธารในมิติของหลินเยว่ นางก็ล้วนแต่ไม่อาจกินอันใดได้เลยทั้งวัน“หากท่านไม่มา ข้าก็จะเดินทางไปหาเซียวเซียวเช่นกัน” หลินเยว่นางไม่ได้เป็นอันใดมาก จึงคิดที่จะไปดูซูเซียวที่ดูท่าอาการจะหนักมากกว่านางเสียอีกเลี่ยงรุ่ยจึงต้องพาหลินเยว่นางไปที่ตำหนักอ๋องด้วยตนเอง เซี่ยเหลี่ยงและไป๋ซื่อก็ติดตามไปด้วย เพราะอยากจะไปเยี่ยมดูอาการของหลานสาวเว่ยอ๋องสั่งให้คนเตรียมโอ่งน้ำไว้เป็นจำนวนมาก เมื่อหลินเยว่นางไปถึง เว่ยอ๋องสั่งให้คนถอยห่างออกไปตั้งแต่แรกแล้ว นางจึงนำน้ำในลำธารออกมาได้อย่างสะดวก“เป็นเช่นไรบ้าง” หลังจากที่ไปจัดการเรื่องน้ำให้ซูเซียวเสร็จแล้วนางก็เข้ามาหาซูเซียวที่อยู่ในห้องโถง เรือนของนางเอง“หากมีน้ำในลำธารของเจ้าใช้ปรุงอาหาร ต้มน้ำดื่มก็นับว่าข้ากินอาหารได้ง่ายขึ้น แต่หากไม่มีข้าก็อาเจียนเสียทั้งวัน” แค่นึกถึงเรื่องอาเจียนซูเซียวนางก็เข็ดขยาดเรื่องการตั้งครรภ์เสียแล้ว“ดีแล้ว หมดเมื่อได้เจ้าก็ให้คนไปบอกข้าสักคำ
เมื่อได้ฟังคำของซูเซียวหลินเยว่นางก็ถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก เพียงไม่นานสาวใช้ก็ยกยาบำรุงที่ต้มไว้ให้หลินเยว่เข้ามาด้านใน“หื้อ/หื้อ” ทั้งสองปิดจมูกร้องออกมาพร้อมกันหลินเยว่หันไปมองที่ซูเซียวอย่างสงสัย หากนางจะได้กลิ่นแล้วเหม็นก็ดูจะไม่แปลก แต่ซูเซียวที่นั่งห่างถ้วยยา นางจะได้กลิ่นจนเหม็นถึงเพียงนั้นเชียวรึ“ข้าว่า เจ้าให้หมอตรวจเสียหน่อยเถิด” หลินเยว่เอ่ยออกมา นางบอกสาวใช้ให้รีบไปตามท่านหมอกลับมาอีกรอบ“เจ้าคิดว่าข้าก็ตั้งครรภ์เช่นนั้นรึ” ซูเซียวชี้ที่หน้าของนางอย่างไม่อยากเชื่อ “อ๊ะ” แต่เมื่อนึกถึงรอบเดือนที่ขาดไป นางก็คิดว่าไม่แน่ก็อาจจะเป็นไปได้ท่านหมอที่เพิ่งกลับไปได้ไม่นาน ก็ต้องรีบร้อนวิ่งกลับมาอีกครั้งอย่างรวดเร็ว เมื่อมาถึงจวนตระกูลฟู่ เขาก็ต้องนั่งพักอยู่ครู่ เพราะเหนื่อยหอบอยู่ไม่น้อยท่านหมอเดินเข้าไปหาหลินเยว่ เพื่อจะสอบถามว่านางเป็นอันใด ถึงได้ตามเขากลับมาอีกรอบ ก็ถูกนางห้ามไว้เสียก่อน“มิใช่ข้าเจ้าค่ะ แต่เป็นพระชายา” นางชี้ไปที่ซูเซียวเนื่องจากกฎระเบียบของราชวงศ์ที่มีมาก ท่านหมอจำต้องเรียกสาวใช้ของซูเซียวเข้ามากางผ้าม่านปิดกั้นไว้ก่อนที่จะตรวจท่านหมอที่จับชีพจรมาแล้