หากนางจะต้องไปอีกสองร้านก็กลัวว่าจะกลับไปเอาของที่ฝากไว้ และไปที่เกวียนที่จอดรออยู่หน้าประตูเมืองไม่ทัน
ร้านเครื่องหอมที่เลี่ยงรุ่ยพามา เป็นร้านใหญ่ไม่น้อย แต่ของด้านในก็มีเพียงแค่ถุงหอมกับกำยานที่ใช้จุดเท่านั้น กลิ่นที่มีก็เป็นกลิ่นหอมอ่อนๆ
นางหยิบถุงหอมขึ้นมาดูอย่างสนใจ กลิ่นมีให้เลือกอยู่ไม่น้อย แต่นางก็ยังไม่เข้าใจว่าเพียงแค่ห้อยไว้ที่เอว จะส่งกลิ่นหอมออกมาได้มากเพียงใด หลินเยว่จึงได้ซื้อกลับมาหนึ่งถุง ตอนที่จ่ายเงินมือของนางก็สั่นไม่น้อย เพราะต้องเสียเงินไปถึงสองตำลึงเงิน
ราคาที่นางเสียไปเป็นราคาที่ถูกที่สุดในร้านแล้ว นางไม่อยากจะเชื่อ เพียงแค่ถุงผ้าปักลวดลายสวยๆ ใส่กลีบดอกไม้แห้งเพียงเล็กน้อย จะมีราคานับสิบตำลึงเงิน ของนางที่ซื้อกลับมา ถุงผ้ามิได้มีลวดลายอันใด ราคาจึงเพียงแค่สองตำลึงเงินเท่านั้น
หลินเยว่ มิได้เอาถุงหอมห้อยไว้ที่เอว เพราะนางลองแล้ว กลิ่นที่ออกมาก็ไม่เห็นจะชัดเจนเท่าไหร่ นางจึงลองใส่ไว้ในอกเสื้อของนางแทน
“เจ้าทำอันใด” เลี่ยงรุ่ยตกใจไม่น้อย เมื่อเห็นหลินเยว่นางล่วงเข้าไปในสาบเสื้อระหว่างที่เดินอยู่บนถนน
“ข้าว่าห้อยไว้ที่เอว กลิ่นมันไม่หอมมากนัก จึงลองใส่ไว้ที่อกเสื้อแทน”
“หลิน เยว่” เลี่ยงรุ่ยเอ่ยเสียงลอดไรฟันออกมาอย่างไม่พอใจ เขาจะบอกนางเช่นไรดีว่าสตรีมิควรกระทำเช่นนี้ในสถานที่โล่งแจ้ง
“โอ๊ะ” แต่ดูเหมือนหลินเยว่นางไม่ได้สนใจเสียงตำหนิของเลี่ยงรุ่ย เพราะนางเห็นร้านเครื่องประทินโฉมจึงได้เร่งฝีเท้าไปทันที
และนางก็ไม่ได้ทันมองว่านางเพิ่งจะเดินผ่าน บุรุษและสตรีคู่หนึ่งที่มองมาทางนางอย่างประหลาดใจ
วันนี้เป็นวันที่สามของการแต่งงาน สตรีที่แต่งออกต้องเดินทางกลับบ้านเดิม เกาซินเซียนก็เช่นกัน นางกับตู้ฮุ่ยเหอกำลังเดินทางกลับบ้านเดิม แต่นางแวะมาซื้อขนมให้มารดานางเสียก่อน
เมื่อเห็นหลินเยว่ที่เดินมากับบุรุษชาวบ้าน นางก็อดที่จะยืนมองอย่างสนใจไม่ได้ เพราะพี่สาวต่างมารดาของนาง ดูไม่เหมือนกับสตรีที่อมทุกข์ที่ถูกแย่งงานแต่งงานไปเลยสักนิด
นางดูเหมือนจะสดใสมากกว่าเดิมเสียอีก ซินเซียนขมวดคิ้วอย่างไม่เข้าใจ มารดานางที่เลือกให้หลินเยว่แต่งเข้าตระกูลจาง
เพราะสาวใช้ที่จวนมาจากหมู่บ้านจิ่วหาน นางแนะนำให้รู้จักนางฮั่วซื่อ ที่มีชื่อเสียงเรื่องความร้ายกาจ ทั้งยังรังเกียจหลานชายจนทุบตีแทบจะทุกวัน
นางเจินซื่ออยากให้ลูกเลี้ยงมีชะตาชีวิตเช่นเลี่ยงรุ่ยหลานชายของนางที่ถูกกดขี่ราวกับทาสในเรือน
“นั่นอาเยว่มิใช่หรือ” ตู้ฮุ่ยเหอที่เพิ่งได้สติเอ่ยถามภรรยาของตน
“เจ้าค่ะ พี่สาวก็คงกลับบ้านเช่นกัน” ซินเซียนเอ่ยตอบอย่างไม่ใส่ใจ
ถึงอย่างไรหลินเยว่ก็สู้นางในยามนี้ไม่ได้สักนิด ไม่ว่าจะเป็นเสื้อผ้าที่สวมใส่ หรือเครื่องประดับบนเรือนร่างของนาง
“ไปเถิดประเดี๋ยวจะสาย” ตู้ฮุ่ยเหอไม่กล้าที่จะสู้หน้าหลินเยว่ในยามนี้ เพราะเขาเป็นฝ่ายที่ทำผิดต่อนาง
หลินเยว่นางเข้าไปดูของในร้านเครื่องประทินโฉมก็พบว่าราคาที่วางขายไม่ใช่ถูกๆ เลย สีผึ้งธรรมดาก็มีราคาถึงสองร้อยอิแปะแล้ว หากมีสีอ่อนด้วยแล้ว ราคาจะสูงกว่าห้าถึงสิบตำลึงเลยทีเดียว
“มีสบู่หรือไม่” นางเอ่ยถามคนขายที่เข้ามาดูแลนาง
“เอ่อ สิ่งใดคือสบู่เจ้าคะ” หลินเยว่เลิกคิ้วมองหญิงสาวตรงหน้า
“ที่ใช้เวลาอาบน้ำอย่างไรเล่า”
“อ้อ แม่นางคงหมายถึงจ้าวเจี่ยว(ฝักต้นตั๊กแตนนิยมนำมาใช้อาบน้ำ และซักผ้า เมื่อถูจะเกิดฟอง) สิ่งนั้นไม่มีขายเจ้าค่ะ ตามเรือนหรือริมลำธารล้วนมีขึ้นเต็มไปหมด” คนงานในร้านมองหลินเยว่ เหมือนมองคนโง่
แต่นางก็หาได้สนใจสายตาของคนขายไม่ เพราะนี่คือสิ่งที่นางต้องการ หากสบู่ยังไม่มีขาย เช่นนั้นนางก็ทำสบู่ออกมาขายเสียเลย
เมื่อได้สิ่งที่ต้องการแล้ว หลินเยว่ก็ออกจากร้านเครื่องประทินโฉมไปโดยไม่ได้ซื้อสิ่งใดติดมือไปด้วย
“ท่านอยากได้อะไรหรือไม่” หลินเยว่เอ่ยถาม เมื่อทั้งสองกำลังจะกลับไปเอาของที่ฝากไว้ที่ร้านข้าวสาร
“ไม่มี” เลี่ยงรุ่ยเขาไม่รู้ว่าต้องการอันใด
“แต่ข้าอยากจะซื้อตำราและเครื่องเขียนให้ท่าน” หลินเยว่นางอยากให้เลี่ยงรุ่ยเริ่มอ่านเขียนเสียที
เขาเม้มปากแน่น เพราะรู้ดีว่าเงินที่มีอยู่ในตอนนี้ยังมีไม่มากนัก หากนำมาใช้ซื้อตำราหรือเครื่องเขียนของเขาคงหมดลงไปไม่น้อย
“ข้ารู้ว่าท่านกังวลเรื่องอันใด” นางแกว่งมือของเขาเล่น แต่เลี่ยงรุ่ยรีบดึงมือของนางให้หยุดทันที
เพราะสายตาของชาวบ้านที่เดินผ่านไปผ่านมา ล้วนแต่มองมาทางนางอย่างตำหนิ
“ไม่มีสตรีใดที่จะจับมือบุรุษในที่โล่งแจ้งเช่นนี้” เขากระซิบบอกนาง เมื่อเห็นสีหน้าที่ไม่เข้าใจของนาง
“แม้แต่ท่านที่เป็นสามีของข้าก็ไม่ได้รึ” นางกลอกตาอย่างเบื่อหน่าย เรื่องนั้นก็ไม่ได้ เรื่องนี้ก็ไม่ได้
“อาเยว่ ข้าไม่อยากให้ผู้ใดตำหนิเจ้าได้” เขารู้ว่านางไม่สบอารมณ์ยังได้บอกเรื่องที่เขาเป็นห่วงออกมา
“เอาเถิด ท่านพาข้าไปร้านตำราก็พอ” นางโบกมืออย่างไม่ใส่ใจ ทั้งสองเร่งเดินไปที่ร้านตำรา
ทางด้านซินเซียนเมื่อกลับมาถึงที่เรือนตระกูลเกา นางเจินซื่อก็ยิ้มหน้าบานออกมาทันที เมื่อบุตรเขยนำของกลับมามอบให้นายท่านเกาและนางถึงสองคันรถ บุตรสาวก็ช่างกตัญญูรู้ว่านางชอบขนมที่ตรอกเฟิ่งหยวนก็ไปต่อแถวซื้อมาให้นาง
หลังจากที่รับมื้อเช้าพร้อมกันเรียบร้อยแล้ว นายท่านเกาก็พาตู้ฮุ่ยเหอแยกตัวไปพูดคุยที่ห้องตำรา ซินเซียนนางจึงได้ชวนมารดาของนางกลับไปที่เรือน
“ท่านแม่ เมื่อครู่ข้าพบนังหลินเยว่เจ้าค่ะ” ซินเซียนเมื่อเข้ามาในห้องของมารดาก็เอ่ยเล่าเรื่องที่พบหลินเยว่ออกมาทันที
เจินซื่อดูตกใจไม่น้อยกับเรื่องที่บุตรสาวนำกลับมาเล่าให้นางฟัง เพราะยาที่นางให้หลินเยว่กินเข้าไป หากกินน้อยก็เพียงแค่ลุกจากเตียงไม่ได้หลายวัน เพราะมีอาการแขนขาอ่อนแรง
แต่ที่นางให้กินเป็นจำนวนมาก หากไม่ตายอย่างน้อยก็ต้องนอนติดเตียง จนไม่อาจกลับมาเรียกร้องสิ่งใดที่จวนตระกูลเกาได้อีก
ยิ่งรู้ว่าหลินเยว่นางไม่ได้มีสภาพเช่นที่นางคิด ทั้งยังดูมีความสุขไม่น้อย นางเจินซื่อก็อดเป็นกังวลไม่ได้
ตอนที่นางเปลี่ยนตัวเจ้าสาว นางบอกสามีว่า หลินเยว่นางมิค่อยจะแข็งแรงหากแต่งเข้าจวนตระกูลตู้ไป เกิดมีบุตรไม่ได้ ตระกูลเกาคงจะผิดใจกับตระกูลตู้ได้
อย่างไรนายท่านเกาที่เป็นเพียงคหบดีก็ต้องเพิ่งขุนนางเช่นนายอำเภอตู้ จึงได้แต่ยินยอมให้นางเจินซื่อจัดการทั้งหมด
สามีของนางมิได้สนใจบุตรสาวคนโตมากนัก จึงเป็นเรื่องง่ายที่นางจะพูดให้เขาเห็นด้วย แต่เขาก็ยังคงเป็นห่วงหลินเยว่ที่ต้องเข้าตระกูลจางที่เป็นเพียงชาวบ้านเท่านั้นจึงได้มอบสินเดิมให้นางติดตัวไปถึงห้าร้อยตำลึงเงิน แต่เป็นนางที่เก็บเงินไว้กับตัว โดยแบ่งใส่สินเดิมให้หลินเยว่ไปเพียงยี่สิบตำลึงเงินเท่านั้น หากสามีนางรู้เรื่องนี้ขึ้นมาคงจะตำหนินางไม่น้อย“แม่ต้องส่งคนไปสืบเรื่องที่หมู่บ้านจิ่วหานเสียหน่อยแล้ว” ความจริงนางเจินซื่อให้คนไปแจ้งนางฮั่วซื่อให้ทรมานหลินเยว่จนไม่อาจเข้ามาในเมืองได้ก็เท่านั้นหากเป็นเช่นนี้ เรื่องทั้งหมดที่นางทำไว้ สามีของนางก็ไม่มีทางรู้อย่างแน่นอน แม้แต่ตู้ฮุ่ยเหอเขาก็รู้จากซินเซียนว่า หลินเยว่นางมีเงินติดตัวไปห้าร้อยตำลึง ในตอนแรกเขาก็จะนำเงินไปมอบให้นางเพิ่มอีก แต่ซินเซียนนางเอ่ยท้วงไว้“หากพี่สาวมีเงินมาไป ข้าคิดว่าไม่ดีเจ้าค่ะ มิเช่นนั้นจะเกิดภัยกับนางได้ ที่ท่านพ่อมอบให้ไปก็เพียงพอให้นางใช้รักษาตัว ทั้งยังมีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นแล้วเจ้าค่ะ” ภรรยารักพูดเช่นนี้เขาจะไม่ฟังได้อย่างไรนางเจินซื่อรีบพาซินเซียนไปนั่งรอที่ห้องโถง เผื่อว่าหลินเยว่นางกลับมาเยี่ยมบ้านเดิม นาง
หากนางจะต้องไปอีกสองร้านก็กลัวว่าจะกลับไปเอาของที่ฝากไว้ และไปที่เกวียนที่จอดรออยู่หน้าประตูเมืองไม่ทันร้านเครื่องหอมที่เลี่ยงรุ่ยพามา เป็นร้านใหญ่ไม่น้อย แต่ของด้านในก็มีเพียงแค่ถุงหอมกับกำยานที่ใช้จุดเท่านั้น กลิ่นที่มีก็เป็นกลิ่นหอมอ่อนๆนางหยิบถุงหอมขึ้นมาดูอย่างสนใจ กลิ่นมีให้เลือกอยู่ไม่น้อย แต่นางก็ยังไม่เข้าใจว่าเพียงแค่ห้อยไว้ที่เอว จะส่งกลิ่นหอมออกมาได้มากเพียงใด หลินเยว่จึงได้ซื้อกลับมาหนึ่งถุง ตอนที่จ่ายเงินมือของนางก็สั่นไม่น้อย เพราะต้องเสียเงินไปถึงสองตำลึงเงินราคาที่นางเสียไปเป็นราคาที่ถูกที่สุดในร้านแล้ว นางไม่อยากจะเชื่อ เพียงแค่ถุงผ้าปักลวดลายสวยๆ ใส่กลีบดอกไม้แห้งเพียงเล็กน้อย จะมีราคานับสิบตำลึงเงิน ของนางที่ซื้อกลับมา ถุงผ้ามิได้มีลวดลายอันใด ราคาจึงเพียงแค่สองตำลึงเงินเท่านั้นหลินเยว่ มิได้เอาถุงหอมห้อยไว้ที่เอว เพราะนางลองแล้ว กลิ่นที่ออกมาก็ไม่เห็นจะชัดเจนเท่าไหร่ นางจึงลองใส่ไว้ในอกเสื้อของนางแทน“เจ้าทำอันใด” เลี่ยงรุ่ยตกใจไม่น้อย เมื่อเห็นหลินเยว่นางล่วงเข้าไปในสาบเสื้อระหว่างที่เดินอยู่บนถนน“ข้าว่าห้อยไว้ที่เอว กลิ่นมันไม่หอมมากนัก จึงลองใส่ไว้ที่อกเสื
นางคิดว่าเขาเคยชินกับที่นอนแข็งๆ ที่มีเพียงเตียงไม้ไผ่ปูทับด้วยผ้าบางๆ“ไม่ใช่” เลี่ยงรุ่ยได้ทีก็ขยับไปจนชิดกับนาง“ที่นอนกว้างขวาง ท่านจะมานอนเบียดข้าเพื่ออันใด” นางลุกขึ้นไปมองที่นอนฝั่งของเลี่ยงรุ่ยที่กว้างจนคนอีกคนมานอนได้อย่างสบาย“ข้าอยากนอนใกล้เจ้า” หลินเยว่เบิกตากว้างมองเลี่ยงรุ่ยคืนนี้ที่ทั้งคู่นอนด้วยกัน เป็นเพียงคืนที่สามเท่านั้น เขาก็ทำหน้าหนาอยากนอนใกล้นางเสียแล้ว“เอ่อ นอนนิ่งๆ เล่า ห้ามขยับอีก ข้าจะนอนแล้ว” นางพลิกตัวหันหนีไปอีกข้าง เพราะไม่อยากให้เขาเห็นว่านางกำลังหน้าแดงเลี่ยงรุ่ยมิได้ขยับตัวอีก จนเมื่อหลินเยว่นางหลับสนิท เขาก็ลืมตาขึ้น พร้อมทั้งดึงนางเข้ามาอยู่ในอ้อมกอดแทนรุ่งเช้าเมื่อหลินเยว่นางตื่นขึ้น นางจึงได้รู้ว่าตัวนางอยู่ในอ้อมกอดของเลี่ยงรุ่ย นางจึงนอนนิ่งไม่ยอมขยับ เลี่ยงรุ่ยที่รู้ว่านางตื่นแล้วแต่ไม่ยอมที่จะขยับตัวก็รู้สึกขบขันไม่น้อย เขาจึงกระซิบข้างหูของนาง“ตื่นแล้วเหตุใดถึงไม่ลุกเล่า” เสียงทุ้มต่ำยามตื่นนอนของเขา ทำให้นางอดจะขนลุกไม่ได้หลินเยว่รีบพลิกตัวหนีไปอีกด้านทันที นางยกผ้าห่มขึ้นมาคลุมจนมิด เพราะตัวนางคิดว่าเป็นตัวเองที่เผลอเข้าไปกอดเขาตอนที
ทั้งสองเดินไปที่เรือนหลังใหม่ทันที โดยไม่ได้หยุดฟังหรือสนใจคำพูดของชาวบ้านที่ต่อว่านางฮั่วซื่อ หรือสะใจที่เห็นคนอื่นเป็นทุกข์ทั้งคู่มีเพียงห่อผ้าและหีบสินเดิมของหลินเยว่เท่านั้น เมื่อมาถึงเรือนก็ไม่ต้องเก็บสิ่งใดมากนัก เพียงนำไปวางไว้ในห้องเท่านั้นแม้แต่เครื่องครัวหรือเครื่องเรือนก็ไม่แบ่งให้ทั้งสองไปใช้ในเรือนของนางกุ้ยเลยสักชิ้นข้าวของที่เรือนของมารดาเลี่ยงรุ่ย ต่างถูกนางฮั่วซื่อและนางหงซื่อไปขนมาไว้ที่เรือนตระกูลจางหมดแล้ว ตอนนี้จึงมีเพียงแค่เรือนเปล่าๆแต่ทั้งสองไม่รู้เลยว่า เลี่ยงรุ่ยสร้างเครื่องเรือนด้วยตนเองนำไปเก็บไว้ที่เรือนบ้างแล้ว แม้เรือนจะไร้คนอยู่อาศัย แต่ตัวเขาก็ไปเก็บกวาดอยู่เสมอ เรือนจึงไม่ได้ทรุดโทรมมากนัก“เจ้านั่งพักก่อนดีหรือไม่ ข้าจะไปทำความสะอาดเรือนให้เอง” เลี่ยงรุ่ยลูบใบหน้าของนางอย่างปวดใจ ที่ต้องพานางมาลำบากเช่นนี้“ข้ามิได้เหนื่อยอันใด ประเดี๋ยวทำความสะอาดเสร็จค่อยพักก็ได้”หลินเยว่นางนำของทำความสะอาดออกมาจากมิติ เมื่ออยู่เพียงลำพังเช่นนี้ก็ไม่ต้องกลัวว่าจะมีผู้อื่นมาเห็นสิ่งของที่นางนำออกมาเมื่อมีไม้กวาดกับไม้ถูพื้นที่นางนำออกมา ทุกอย่างก็ดูเหมือนจะง่า
เมื่อเขามีครอบครัวเป็นของตนเองจึงไม่อยากให้ภรรยาถูกรังแกไปด้วย วันนี้เขาก็รู้จากลูกสะใภ้ว่าหลินเยว่นางต้องซักผ้าให้คนทั้งเรือน ทั้งยังเปิดให้ดูร่องรอยที่นางถูกนางฮั่วซื่อทุบตีอีกด้วย“เอาเถิด เช่นนั้นก็นำที่นาและเงินในส่วนของอาซางมาให้อารุ่ยเสีย” เขาหันไปบอกจางซุนและนางฮั่วซื่อ“เหอะ ข้าไม่ให้ ตั้งแต่มันเกิดมาครอบครัวข้าต้องสูญเสียไปไม่น้อย ตอนจะไปยังคิดจะมาเอาของ ของข้าไปอีกรึ” นางฮั่วซื่อเท้าสะเอวต่อว่าเลี่ยงรุ่ยผู้นำหมู่บ้านก็ดูเหมือนจะไม่พอใจอย่างยิ่งที่นางฮั่วซื่อดื้อรั้นเช่นนี้ เขากำลังจะอ้าปากต่อว่า แต่เสียงของเลี่ยงรุ่ยก็ดังขึ้นมาเสียก่อน“ท่านลุงจิ่ว ส่วนของบิดาข้า ข้าไม่ต้องการขอรับ แต่ข้าขอส่วนที่เป็นสินเดิมของท่านแม่คืนก็พอขอรับ” เขาเอ่ยอย่างนอบน้อมกับผู้นำหมู่บ้าน“ไปนำมาคืนอารุ่ยเสีย” ผู้นำหมู่บ้านก็เห็นด้วยกับเลี่ยงรุ่ย“ส่วนนี้ก็ไม่ได้” นางฮั่วซื่อหันหน้าไปทางอื่น“เพ้ย ของอาซางก็ไม่ให้ ที่นากับบ้านของอากุ้ยเจ้าก็ไม่ให้อีกรึ เช่นนั้นก็ไปที่ว่าการ ให้ท่านนายอำเภอตัดสินเสีย”จางซุนสะดุ้งเล็กน้อย เมื่อได้ยินว่าจะไปที่ว่าการ เขาลากตัวมารดาออกไปคุยห่างจากผู้อื่นเล็กน้อย“ท
หลินเยว่เบิกตากว้างอย่างไม่อยากเชื่อหู นางนอนอยู่ในห้องเฉยๆ ทำไมถึงได้ดึงนางเข้าไปเกี่ยวข้องได้เล่า“ท่านอาสะใภ้ ท่านพูดให้ดีเสียหน่อย ข้าจะให้ท่าบุตรชายของท่านเพื่ออันใด” หลินเยว่เอ่ยถามอย่างไม่เข้าใจ“หึ ดูเสื้อผ้าของเจ้าสิ เช่นนี้ไม่ใช่ให้ท่าแล้วจะเรียกว่าอันใด”หลินเยว่นางจึงได้ก้มลงมองเสื้อผ้าของนาง นางอดที่จะกลอกตาอย่างเบื่อหน่ายไม่ได้ เพียงแค่เปิดนิดหน่อย นางไม่ได้แก้ผ้ากวักมือเรียกให้เขาเข้ามาในห้องของนางเสียเมื่อไหร่“เหอะ หากข้าแก้ผ้าเรียกเขาเข้ามาค่อยมากล่าวหาข้า ข้านอนอยู่ในห้องจะให้เสื้อผ้าเรียบร้อยเช่นเดิมก็คงจะแปลก” นางเถียงอย่างไม่ยินยอม“ท่านย่าข้าต้องการแยกเรือน” จางเลี่ยงรุ่ยเอ่ยขึ้นมา ก่อนที่ทั้งหมดจะเถียงกันไปมากกว่านี้“เจ้าว่าอันใดนะ” นางฮั่วซื่อเอ่ยถามอย่างไม่อยากเชื่อ“ข้าต้องการแยกเรือน ในเมื่ออาเฉิงคิดจะเข้าหาอาเยว่ ครั้งต่อไปเขาก็อาจจะทำอีกได้” ครั้งนี้เลี่ยงรุ่ยไม่ยอมอ่อนข้อให้อีกแล้ว“เพ้ย เจ้ากล้ารึ”“ต่อให้ข้าแยกออกไปต้องอดตาย ข้าก็ขอไปตายดาบหน้า แต่หากท่านย่าไม่ยอมให้ข้าแยกเรือน ข้าจะนำเรื่องที่อาเฉิงทำในวันนี้ไปแจ้งท่านอาจารย์ที่สำนักศึกษา”“เจ้า เจ้า
แต่หลินเยว่นางก็ยังร้องออกมา “อู๊ยยย” เมื่อตุ่มน้ำแตกออกนางก็แสบมือไม่น้อย“ใกล้เสร็จแล้ว” เขาเป่าลมใส่มือให้นางอย่างใส่ใจ“อย่าได้พูดเรื่องหย่าขึ้นมาอีกเข้าใจหรือไม่ แล้วก็นำของออกมาวางไว้ที่เดิมด้วย” เขาจับมือของนางไว้ พร้อมทั้งมองนางอย่างคาดคั้น“เลี่ยงรุ่ย ข้าอยู่ที่นี่ได้เพียงแค่สองวัน ข้าก็เริ่มจะทนไม่ไหวแล้ว หากเป็นเช่นนี้ต่อไปข้าคงได้ตบตีกับพวกนางแน่ แล้วเจ้าจะทำเช่นไร” นางเอ่ยถามเขาออกมา เพราะรู้ดีว่าเรื่องความกตัญญูของคนในยุคนี้มาเป็นอันดับหนึ่งหากหลานสะใภ้ตบดีกับท่านย่าของสามี ชื่อเสียงของนางและของเขาก็คงจะถูกครหาไม่น้อย ไม่ใช่ว่าจางเลี่ยงรุ่ยจะไม่เข้าใจนาง เพียงแต่ว่าตอนนี้เขายังไม่อาจหาทางออกเรื่องการแยกเรือนออกไปได้“เจ้าใจเย็นอีกนิดได้หรือไม่ ข้ากำลังหาทางจัดการเรื่องนี้อยู่” เขามองนางอย่างขอความเห็นใจเขาก็ไม่อยากจะเสียนางไปเช่นกัน หลินเยว่นางเป็นคนเดียวที่เดือดร้อนแทนเขา เมื่อเขาถูกคนในเรือนรังแกตั้งแต่วันแรกที่พบนาง นางก็เอ่ยถามเขาเรื่องกินข้าวแล้วหรือยัง เหนื่อยมากหรือไม่ นางคงไม่รู้ว่าคำพูดเช่นนี้ไม่เคยมีผู้ใดพูดกับเขามาก่อน ทำให้เขารู้สึกอบอุ่นหัวใจอยู่ไม่น้อย“
เมื่อมาถึงริมแม่น้ำก็มีชาวบ้านอยู่ไม่น้อยที่นั่งซักผ้าอยู่ พอเห็นเลี่ยงรุ่ยแบกตะกร้าผ้ามาให้หลินเยว่ก็อดจะกระซิบพูดคุยกันไม่ได้ บางคนเห็นใจนางที่เป็นถึงคุณหนูแต่ต้องแต่งเข้ามาเป็นหลานสะใภ้ของนางฮั่วซื่อที่ปากร้ายใจแคบ บางคนก็ยินดีในคราวเคราะห์ของผู้อื่นหลินเยว่นางไม่สนใจว่าผู้ใดจะมองนางหรือนินทานางเช่นไร เมื่อเลี่ยงรุ่ยวางตะกร้าลง นางจึงให้เขาไปดูกับดักสัตว์ที่เขาวางไว้“เจ้าทำไหวแน่หรือ” เขามองนางอย่างเป็นห่วง เพราะรู้ดีว่านางคงไม่เคยซักผ้าเช่นนี้“เอาเถิด ท่านไปจัดการเรื่องของท่านเถิด” นางจะทำไหวได้อย่างไรแต่ในเมื่อต้องการให้นางซัก จะออกมาเป็นเช่นไรก็จะต่อว่านางไม่ได้เช่นกัน“ประเดี๋ยวข้าจะกลับมาแบกกลับเรือนเอง เจ้าซักเสร็จแล้วรอข้าอยู่ที่นี่เล่า”“อืม ไปเถิด”หลินเยว่นั่งลงที่ก้อนหินริมน้ำ นางนำเสื้อผ้าออกมากองทั้งหมด ก่อนจะเริ่มต้นซักที่ละตัว นางไม่ได้ดูว่าผู้อื่นซักผ้าเช่นไร นางมีวิธีของนางเมื่อสตรีที่อยู่ริมน้ำเห็นการซักผ้าของหลินเยว่ ต่างก็ต้องร้องอุทานออกมาอย่างตกใจ ถึงกับมีสตรีใจกล้าเอ่ยถามนางด้วยว่ากำลังทำอะไร“ภรรยาอารุ่ยเจ้าซักผ้าไม่เป็นรึ เหตุใดถึงทำเช่นนั้น” หลินเยว่ห
หลินเยว่มองหน้าจางเลี่ยงรุ่ยอย่างเหนื่อยใจ “เหตุใดท่านต้องยอมมากถึงเพียงนี้ด้วย”“ต่อให้ท่านย่าจะดุด่าข้าหรือทุบตีข้า อย่างน้อยนางก็ให้ที่หลับนอนและอาหารกับข้าทุกมื้อ” แม้จะกินไม่อิ่มท้องก็ตาม“เลี่ยงรุ่ย ท่านมีทางเลือกอื่นมากมาย เหตุใดต้องทนด้วยเล่า” หากนางโดนกระทำเพียงนี้ไม่รู้ว่าจะทนได้เท่าเขาหรือไม่“ข้าโดนเช่นนี้มาตั้งแต่เล็กแล้ว จะมาบอกว่าตอนนี้ทนไม่ได้ก็คงจะน่าขันไม่น้อย” แววตาของเขาเศร้าลง เมื่อนึกถึงเรื่องที่ตนต้องทนโดนโขกสับเยี่ยงทาสมานานนับสิบเก้าปี“ท่านเคยคิดจะแยกบ้านหรือไม่” นางยื่นหน้าเข้าไปถาม“เคย แต่จะแยกไปที่ใดเล่า ท่านย่าคงไม่ยอมแน่” เพราะเขาเป็นแรงงานของบ้านจะให้แยกตัวไปคงไม่มีใครยอม“เอาเถิด เรื่องนี้ค่อยว่ากัน หากเจ้าจะออกไปข้าก็ไม่ห้าม แต่เลี่ยงรุ่ย ข้าไม่เหมือนท่าน ข้าทนการถูกรังแกไม่ได้ หากต่อไปต้องโดนมากกว่านี้ ข้าคงต้องขอแยกทางกับท่าน” นางเอ่ยออกมาตรงๆ ถ้าจะให้ทั้งชีวิตนางมาทิ้งอยู่ในสภาพเช่นนี้นางก็ไม่เอาเช่นกันต่อให้ได้สามีที่ดีเช่นเขานางก็ไม่ต้องการ ต่อไปหากนางคิดจะสร้างตัว ไม่ใช่ว่าต้องยกเงินที่หามาได้ให้ท่านย่าของเขาเสียหมดเลยรึจางเลี่ยงรุ่ยเข้าใจควา