หนูหน่อยแตะฝ่ามือที่ประตูตู้เสื้อผ้าบิ้วอิน สูดลมหายใจเข้าลึกรวบรวมความกล้า หล่อนกำลังก้าวล้ำความเป็นส่วนตัวของเขาอีกก้าว
ห้องแต่งตัวของชายโสดไม่เหมือนอย่างที่หล่อนเคยคิดเอาไว้สักนิด เพราะคุณหมอไวทย์ค่อนข้างจะเรียบร้อยหรือนั่นอาจเพราะมีแม่บ้านมาคอยจัดเตรียมเสื้อผ้าเอาไว้ให้ก็เป็นไปได้ เสื้อผ้าถึงได้ถูกจัดเรียงเป็นระเบียบไม่รกและล้นออกมาด้านนอกตู้
ตู้แรกเป็นเสื้อยืดสีขาวที่หล่อนเห็นเขาใส่เป็นเสื้อตัวในทุกวัน ด้านล่างเป็นกางเกงชั้นในและกางเกงบ๊อกเซอร์ซึ่งถูกพับเรียงเอาไว้อย่างเป็นระเบียบ
ผิวแก้มร้อนผ่าวเมื่อนึกถึงประโยชน์ใช้สอยของกางเกงเหล่านี้ จริงอยู่ว่าเป็นเรื่องธรรมดา ใครๆ ก็สวมกางเกงในกันทั้งนั้น แต่หล่อนไม่เคยอยู่ใกล้ชิดกางเกงในของผู้ชายคนไหนมาก่อนเลยนี่นา เห็นใกล้ๆ จำนวนเป็นโหลแบบนี้ หล่อนจะไม่อายได้อย่างไร แต่ต้องสะกดใจ หล่อนต้องการเพียงผ้าเช็ดหน้าผืนเล็กที่จะซับน้ำได้เท่านั้น
มือเปิดช่องลิ้นชักเหนือชั้นกางเกงใน เป็นไปได้ว่าช่องนี้อาจเก็บผ้าเช็ดหน้าผืนนุ่มขนาดเล็กเอาไว้เพราะว่าโซนนี้เป็นโซนชุดชั้นใน ทว่าเพียงลิ้นชักเคลื่อนออกหนูหน่อยก็ต้องตาโตเพราะไม่คิดว่าจะได้เห็นอะไรแบบนี้
“ถุงยางอนามัย โอ้โห! อาไวทย์จะเอาไว้ใช้กับใครเนี่ย”
กล่องถุงยางอนามัยมากกว่า 20 กล่องถูกจัดเรียงไว้ในลิ้นชักจนเต็ม หนูหน่อยหยิบดูและก็ได้รู้ว่าในแต่ละกล่องนั้นบรรจุอีกกล่องละ 3 ชิ้น นั่นเท่ากับว่าจำนวนถุงยางอนามัยในลิ้นชักนี้มีมากกว่า 60 ชิ้น
“โอ้ววววว… แม่เจ้า!!! อาไวทย์หื่นอ่ะ”
คิดพร้อมทำท่าขนลุกขนพองก่อนจะสะดุ้งเมื่อเสียงคนด้านนอกแผดก้อง
“เด็กมันยั่วเลยหลวมตัวไปหน่อย ผีซ้ำด้ามพลอย ถึงคราวมันต้องเปลืองตัว เอิ้ก! โอย… มึน น้องจ๋าเติมอีก เติมอีก…”
หนูหน่อยเผลอกัดริมฝีปากตัวเองอย่างไม่รู้ตัว เมื่อคิดว่าคนด้านนอกนั้นจะเอาถุงยางอนามัยนี้ไปใช้กับใครบ้าง
“อ้อ... จะเอาไปใช้กับพวกอีหนูของอาไวทย์ใช่มั้ยล่ะ”
แต่ความเจ็บก็ทำให้รู้ตัวว่าหล่อนไม่ควรเลย เพราะหล่อนไม่ได้เป็นเจ้าข้าวเจ้าของเขาสักนิด หล่อนก็เป็นแค่คนที่แอบรักเขาตั้งแต่เล็กจนโตก็เท่านั้นแหละ หล่อนมาที่นี่ก็เพราะต้องการหาคำตอบให้กับตัวเองว่าหล่อนควรจะเดินหน้าต่อ หรือยุติทุกอย่างเอาไว้รวมทั้งความฝันที่มีเขาเป็นต้นแบบด้วย
เมื่อได้ผ้าเช็ดตัวผืนเล็กชุบน้ำบิดหมาด หนูหน่อยรีบออกจากห้องน้ำอย่างเร็วเพราะคนเมากำลังร้องเพลงดังลั่นห้อง หล่อนชอบเขาอยากใกล้ชิดกับเขาก็จริงอยู่ แต่ให้เมาแบบนี้หล่อนก็ไม่เอาเหมือนกัน แค่ได้กลิ่นเหล้าหล่อนก็จะเมาตามแล้ว แล้วนี่ก็ไม่รู้ว่ากินเข้าไปเยอะแค่ไหนด้วย จะอ้วกให้หล่อนต้องเช็ดหรือเปล่า
และสภาพของคนที่นอนอยู่บนเตียงแหกปากร้องเพลงดังลั่นก็ทำให้หนูหน่อยส่ายหน้า เพราะว่างานนี้มีหวังหล่อนจะได้เก็บอาหารเย็นของอาไวทย์แน่ๆ แต่ทำไงได้ล่ะก็นี่เป็นโอกาสเดียวที่หล่อนจะได้ใกล้ชิดกับเขา เพราะถ้าไม่เมาเขาเหรอจะให้หล่อนเข้าใกล้ อย่าว่าแต่เข้ามาในห้องนี้เลย แค่เฉียดใกล้ปีกซ้ายเขาก็ยังไม่ยอม
‘ถ้าไม่มีอะไรจำเป็น ห้ามเข้าไปในโซนซ้ายเด็ดขาด หนูหน่อยควรจะระมัดระวัง’
‘ทำไมล่ะคะ หนูหน่อยเป็นหลานอาไวทย์นะคะ ทำไมหนูหน่อยต้องระมัดระวังด้วย’
‘คนอื่นจะไม่คิดแบบนั้นน่ะสิ โตแล้ว คิดให้ไกล’
‘ก็เพราะคิดไกล หนูหน่อยเลยมาหาความรู้กับอาไวทย์ก่อนไงคะ ส่วนคนอื่นจะคิดยังไง หนูหน่อยไม่ได้ยินค่ะ เอาเป็นว่าหนูหน่อยไม่รับทราบ’
‘งั้นก็เอาเป็นว่า ฉันสั่งห้ามหนูหน่อยข้ามมาฝั่งซ้ายเด็ดขาด เข้าใจนะ’
คราแรกหล่อนคิดว่าเขากลัวคนครหากลัวความใกล้ชิดของหญิงชายจะทำให้สถานะอาหลานเปลี่ยนไป และหล่อนก็แอบหวังว่าเขาจะหวั่นไหวเหมือนที่หล่อนเป็นอยู่ แต่ตลอดอาทิตย์ที่ผ่านมา หล่อนว่าเขารังเกียจและมีความในใจลึกๆ ที่ไม่อยากใกล้ชิดหล่อน
หนูหน่อยมองผ้าในมือพูดกับตัวเอง “คงเป็นครั้งเดียวที่หนูหน่อยจะได้ใกล้ชิดอาไวทย์ ขอให้หัวใจหนูหน่อยมีความสุขนะคะ”
ร่างงามระหงเดินไปทรุดนั่งบนเตียงกว้าง แค่นั่งบนเตียงของผู้ชายที่หล่อนแอบรักหัวใจของหล่อนก็เต้นโครมคราม หากไม่ใช่แค่นั่งล่ะ หากเขาทำอย่างอื่นหล่อนจะทำยังไง
แค่คิดสัปดนหล่อนก็ร้อนวูบวาบไปทั้งร่าง นี่ขนาดว่าอาวิวสอนหล่อนแล้วเตือนหล่อนแล้วว่าให้รักนวลสงวนตัว แต่หล่อนสงวนไม่ไหวจริงๆ หล่อนอยากใกล้ชิดกับเขานี่ แม้เพียงความคิดก็ยังดี
ผ้าชุบน้ำบิดหมาดถูกเช็ดไปบนใบหน้าหล่อเหลาที่ตรึงใจหล่อนมาช้านาน แม้เขาจะปัดป้องเพราะความเย็นของผ้าคงจะรบกวน แต่หล่อนก็จะพยายามเช็ดให้มากที่สุด อยากให้เขาสดชื่นจะได้นอนหลับสบาย และก็อยากอยู่ใกล้เขา เห็นเขาเมาแบบนี้ก็ตลกดี
คนมีฟอร์มเก๊กหน้าใส่หล่อนตลอดกลับร้องเพลงไม่หยุด แถมยังฮัมทำนองเองก็ได้ หรือนี่เป็นเนื้อแท้ของเขา
“ก็เด็กมันยั่วอ่ะ! เด็กมันยั่ว! ผมเลยหลวมตัว… ตึ๊ดตึดตึดตื๊ด… เด็กมันยั่วเลยหลวมตัวไปหน่อย เช้าขึ้นเด็กคอยมาทำเป็นยุ่งหนุงหนิง แล้วแม่คุณหนูก็น่าเอ็นดูจริงจริง ถ้าผมทำนิ่งโลกจะติงชายชาญ… เอิ้ก! จริงมั้ยจ๊ะคุณหลาน ยั่วคุณอาตลอดๆๆ”
“คะ!”
หนูหน่อยขานรับอย่างงุนงง อาไวทย์พูดกับหล่อนเหรอ แต่เขายังหลับตาอยู่นี่ คำของลุงปูรณ์หวนมาให้หล่อนคิด ลุงบอกว่าอาไวทย์กลุ้มใจที่ไปหลงรักผู้หญิงคนหนึ่งแต่ไม่ยอมบอกว่าเป็นใคร จะเป็นไปได้ไหมว่าน่าจะเป็นหล่อน
ยิ่งคิดหนูหน่อยก็ยิ่งร้อนวูบไปทั้งร่าง ทว่าฝ่ามือที่คว้าหมับเข้าข้อมือก็ทำให้หล่อนตกใจแทบปล่อยผ้า
คุณปูรณ์พาหล่อนก้าวเดินเข้ากระโจม ด้านในนั้นมีเตียงนอนสีขาวสะอาดตาถูกจัดเตรียมไว้ไม่ต่างจากที่หล่อนเคยเห็นตอนส่งตัวน้ำว้าเข้าหอ หมอนสองใบวางเคียงกัน บนเตียงมีกลีบกุหลาบสีชมพูตกแต่งเป็นรูปหัวใจจนทั่วทั้งห้องมีแต่กลิ่นกุหลาบ เจ้าบ่าวหล่อที่สุด ค่อยๆ วางหล่อนบนที่นอนก่อนที่เขาจะทาบทับลงมา และทำท่าจะ... “คุณปูรณ์คะ... แขกยังอยู่เลยนะคะ” หล่อนเอียงหน้าหลบจมูกโด่งที่ซุกไซ้ซอกคอ “อยู่แล้วยังไง เจ้าบ่าวพาเจ้าสาวเข้าหอ ใครๆ เขาก็รู้ว่าจะทำอะไรกัน” จมูกโด่งซุกไซ้ข้างแก้ม ใบหู ไรผม ต้นคอ พร้อมริมฝีปากพูดแนบชิดจนหล่อนเริ่มหายใจติดขัด คุณปูรณ์กำลังปลุกอารมณ์หล่อน และหล่อนก็ร้อนง่ายเหลือเกิน “วันนี้เอื้อมเป็นของฉันจริงๆ แล้วนะ และฉันก็เป็นของเอื้อม เป็นของเอื้อมคนเดียวตลอดไป เข้าหอกันนะทูนหัว ไม่เช้าไม่ออก” ปูรณ์ยิ้มกับเจ้าของใบหน้าสวยที่ส่งรอยยิ้มแสนหวานมาให้ เพราะแปลว่าหล่อนยินยอม ริมฝีปากอุ่นจัดทาบลงบนกลีบปากบอบบางก่อนจะละเลียดปลายลิ้นเข้าชอนชิมความหวาน จากนั้นก็ไม่มีพื้นที่ใดทั่วทั้งร่างกายของเอื้อมดาวที่ร
สายตาร้อนแรงราวกับเป็นเอื้อมดาวคนละคนมองตรงไปยังกายแกร่งที่เดินไปนั่งพิงแผ่นหลังหน้าก้อนฟางอัดแน่นจนเป็นโซฟาตัวยาวบุเบาะนวมนุ่ม ดวงตาคมเข้มจ้องมองมาที่หล่อน มือก็สาวความแข็งแกร่งรอคอย เอื้อมดาวรู้หน้าที่ดี หล่อนคลานเข้าหา ลีลาไม่ต่างจากนางแมวยั่วสวาท ตาก็จองมองสิ่งนั้น สิ่งที่จะเติมเต็มความร้อนรุ่มรุนแรงของหล่อนให้บรรเทา สิ่งที่จะสอดแทรกสู่ร่างกายและทำให้หล่อนไม่ทรมาน แต่เมื่อมือน้อยๆ ไขว่คว้าได้ คุณปูรณ์กลับรั้งร่างหล่อนขึ้นมาจูบ “คุณปูรณ์ขา... ซี้ด... ขอหนูนะคะ หนูอยากได้ ซี้ด... ขอหนู... คุณปูรณ์ขา...” “อืม... ใจเย็นๆ นะเอื้อมจ๋า... ฉันยังเล็มหญ้าอ่อนไม่อิ่มเลย” เอื้อมดาวมองเขาฉงน เขาจะกินหล่อนต่อ... ยังไง และเขาก็บอกวิธีการกิน แต่หล่อนไม่กล้า แม้จะอยากจนกอหญ้าเต้นระริกคันยิบ “มาเถอะเอื้อมจ๋า... เอามาให้ฉันกิน” “มัน... เอ่อ... จะดีเหรอคะ หนู...” “เอื้อมรู้ว่ามันจะดี มาเถอะ ฉันหิว...” คำว่า ‘หิว’ มาพร้อมกับคุณปูรณ์แหงนศีรษะพาดไว้ที่เบาะนุ่ม ปลายลิ้นที่แลบออกมาส่ายร่อนอยู่เหนือริมฝีปาก
สิ่งแรกที่เห็นคือเขายิ้มกว้าง ดวงตาคมเข้มมีแววสนุกเหล่ตาไปข้างซ้ายข้างขวาคล้ายจะให้หล่อนมองตาม และสิ่งที่เห็นก็ทำให้หล่อนตื่นตะลึง มือป้องปิดริมฝีปากที่พร้อมจะเปล่งเสียงร้องไห้โฮ เพราะทั่วบริเวณคือสถานที่จัดงานแต่งงานขนาดย่อมท่ามกลางบรรยากาศของโรงนา มีเวทีขนาดเล็กอยู่สุดทางเดิน มีภาพของหล่อนกับเขาในหลากอิริยาบถประดับไปทั่ว “อยู่ที่นี่ด้วยกันนะเอื้อม อ้อมกอดนี้และหัวใจดวงนี้เป็นของเอื้อมจริงๆ” “คุณปูรณ์ล้อหนูเล่นหรือเปล่าคะ หรือหนูฝัน” เอื้อมดาวขยับยุกยิกเหมือนจะหยิกตัวเอง ทำให้ปูรณ์ยิ่งขำ เขากอดรัดร่างหอมกรุ่นแน่นขึ้น จดจมูกที่หน้าผากและเรือนผมนุ่ม อยากกอดรัดหล่อนแบบนี้ทั้งวันทั้งคืน ไม่อยากให้เอื้อมดาวห่างหายไปไหน ช่วงเวลาเกือบ 1 เดือนที่มีร่างเล็กๆ นี้นอนแนบข้าง ไม่เคยมีค่ำคืนใดที่ว่างเว้น เรียกได้ว่าแค่ขอให้มีโอกาส เขาก็พร้อมจะพาเอื้อมดาวโลดแล่น และเพียงไม่กี่ชั่วโมงที่หล่อนขอไปหาฟ้ารุ่งที่ร้าน เขาก็แทบจะขาดใจ แล้วเดือนหน้าหล่อนต้องไปเรียน เขาไม่ต้องตามไปเฝ้ากันเลยเหรอ เวลานี้เขารู้แล้วว่าความรักมันมีอานุภาพร้า
แม่เปิดปากเล่าเรื่องราวที่ทำให้พ่อลาออกจากงานที่ฟาร์มแล้วมาเปิดร้านวัสดุการเกษตร เพียงเพราะเพื่อนนินทาว่าพ่อเลี้ยงแม่เหมือนเมียเก็บ วันวันอยู่แต่ไร่แต่ฟาร์ม เพราะว่าแม่อายุห่างจากพ่อมาก แม่จึงร่ำร้องให้พ่อตามใจ เพราะอยากประกาศให้เพื่อนฝูงรู้กันให้ทั่วว่าแม่เป็นเมียของพ่อ เป็นเจ้าของร้านค้า โดยที่แม่ไม่คำนึงถึงความไม่พร้อมในหลายๆ ด้าน “พ่อรักแม่มากเลยนะคะ” “ใช่ พ่อรักแม่มาก แต่แม่เพิ่งรู้เดี๋ยวนี้เอง” “คะ...” “เพราะเอื้อมไงละ เอื้อมทำให้แม่เห็นว่าพ่อรักแม่มากแค่ไหน” เอื้อมดาวพยักหน้ารับทั้งน้ำตา “ตอนนั้นแม่เพิ่งสิบแปด ยังเด็กมาก มีลูกก็ไม่อยากจะเลี้ยงด้วยซ้ำ อยากแต่งตัวสวยๆ อยากให้คนมองอย่างชื่นชม แต่เอื้อมไม่เหมือนแม่นะ เอื้อมเป็นผู้ใหญ่กว่าแม่มาก เอื้อมเข้มแข็งและแม่มั่นใจว่าเอื้อมจะทำได้ดีกว่าแม่ ที่สำคัญคุณปูรณ์เขาไม่ได้เห็นเอื้อมเป็นเมียเก็บ เชื่อแม่” .. เอื้อมดาวกลับเข้ามาที่ฟาร์มช่วงบ่าย แต่ยังไม่ทันได้เข้าบ้านพัก คนงานก็มาบอกว่าคุณปูรณ์ให้หล่อนไปพบที่โรงนาหลังเก่าที่กำลังปรับปรุงไว้ส
แกร๊ก... ฟ้ารุ่งผินมองคนที่เปิดประตูห้องเข้ามา ก่อนจะหันไปสนใจเครื่องประทินผิวหน้าโต๊ะเครื่องแป้ง หล่อนต้องรีบแต่งหน้าให้เสร็จเร็วไว เพราะใกล้เวลาเปิดร้านเต็มที ทว่าคนที่เดินเข้ามาแล้วไม่พูดอะไรก็ทำให้ฟ้ารุ่งหงุดหงิด “แกจะพูดอะไรก็พูดมา ฉันไม่มีเวลามานั่งฟังแกทั้งวันหรอกนะ” คำพูดห้วนจากน้ำเสียงหวานๆ ของแม่ทำให้เอื้อมดาวเม้มริมฝีปากแน่น ขอบตาร้อนผ่าว คงไม่มีวันที่จะพูดจาดีๆ กันอีกแล้ว แม้เหตุการณ์นั้นจะผ่านมาเกือบเดือน จนแน่ใจว่าไอ้เสี่ยโบ้จะไม่มาวุ่นวายกับแม่กับหล่อนอีก คุณปูรณ์จึงอนุญาตให้แม่กลับมาดูแลร้านได้ และคุณปูรณ์ก็ยืนยันว่าเขาไม่ได้มีความสัมพันธ์กับแม่ เขาแค่ยั่วหล่อนเล่น แต่ถึงอย่างนั้นหล่อนกับแม่ก็ยังเหมือนคนแปลกหน้ากันอยู่ดี หรืออาจเรียกได้ว่าตั้งแต่วันนั้นก็แทบเป็นคนไม่รู้จัก เพราะแม่ไม่เคยพูดกับหล่อนอีกเลย แต่หล่อนล่ะ หล่อนจะทนอยู่ในสภาพแบบนี้ได้เหรอ อยู่แบบไม่มีแม่ แม้แม่จะไม่เห็นว่าหล่อนเป็นลูก แต่แม่ก็เป็นแม่ของหล่อนเสมอ ไม่มีวันเปลี่ยนแปลงได้ “แม่ยังโกรธหนูอยู่เหรอคะ” ฟ้ารุ่งชะงักมือท
เอื้อมดาวล่องลอยไปกับความปรารถนาเพราะทุกจุดสัมผัสบนร่างกายถูกจู่โจมพร้อมๆ กัน จนหล่อนทนไม่ไหว เป็นฝ่ายยิ่งบดเบียดเสียดสีดอกไม้งามที่ฉ่ำเยิ้มไปด้วยหยาดน้ำหวานกับความแข็งแกร่งของเขา จนในที่สุด ทุกอย่างก็ถูกสอดใส่ ทั้งๆ ที่หล่อนและเขายังสวมใส่เสื้อผ้าครบ นั่นทำให้เอื้อมดาวได้อีกประสบการณ์ความเสียวที่เพียงแหวกช่องทาง ทุกอย่างก็สอดใส่เข้าหากันได้ “อ่ะ...” หล่อนชะงักร่าง เพราะสิ่งที่หล่อนนั่งทับให้สอดแทรกเข้าสู่ร่างกาย ใหญ่จนหล่อนไม่กล้าทิ้งตัวนั่งลงไปตรงๆ “เจ็บเหรอ” “ไม่ค่ะ หนู... หนูแค่ตกใจ... เอ่อ... คุณปูรณ์ใหญ่” หล่อนตอบแต่เขากลับหัวเราะ “คุณปูรณ์หัวเราะอะไรคะ” “ก็หัวเราะคนพูดตรง” “เอ่อ... ไม่ดีเหรอคะ หนู... ไม่ควรพูดเหรอคะ” “ไม่ใช่ไม่ควร ควรมากเลยละ เพราะยิ่งพูด... ฉันก็ยิ่งแข็ง” “ว้าย! คุณปูรณ์...” เอื้อมดาวผวาเพราะสิ่งที่แข็งเด้งสวนขึ้นมาพร้อมกับฝ่ามือแกร่งที่ขยับโขยกสะโพกของหล่อนเร็วรี่ จนเสียงร้องตกใจกลายเป็นเสียงครวญครางไม่ขาดปาก จากนั้นเสียงของเขาเสียงของหล่อนก็สอดประสาน เ