“ขอรับนายท่าน อ้อ! ว่าแต่เรื่องหลานชายคนโตของฮองเฮา จ้าว
อวิ๋นเราจะจัดการเลยหรือไม่ขอรับ แต่ข้าไม่คิดว่าคนเช่นจ้าวอวิ๋นจะมีพิษภัยอันใดเลยนะขอรับ”“ข้าเตือนเจ้ากี่ครั้งแล้วว่าอย่าได้ประมาทกับคนสกุลจ้าว แม้จ้าว
อวิ๋นดูไร้ค่าเพียงใดในสายตาคนทั่วไป แต่เจ้าลองคิดดูว่า คนเช่นนั้นไยถึงเป็นเจ้าเกาะดอกเหมยได้เล่า หากไร้ฝีมือจริง ต่อให้มีบารมีของฮองเฮาหนุนอยู่ เขาก็มิอาจรอดพ้นกลุ่มคนที่ต้องการแย่งชิงเกาะนั้นมาได้จนถึงทุกวันนี้ จ้าวอวิ๋นคือทายาทสกุลจ้าวรุ่นต่อไป ย่อมต้องมีดีมิน้อย”“นายท่านโปรดอภัยให้แก่ความเขลาของข้าน้อยด้วย ที่บังอาจมองข้ามความสามารถของศัตรูไปมากเช่นนี้”
“ดำเนินตามแผนการเดิม อย่าได้ทำอันใดนอกเหนือคำสั่งข้า มิเช่นนั้น พวกเจ้าจะกลายเป็นศัตรูข้าไปด้วย เข้าใจรึไม่”
“ทราบแล้วขอรับ”
ทุกคนตอบรับด้วยน้ำเสียงหนักแน่น ก่อนจะพากันชูจอกสุราเป็นการเคารพผู้นำหลังม่านของพวกตนซึ่งได้ยกจอกสุราขึ้นสูงเช่นกัน ก่อนจะพากันดื่มด่ำกับสุรารสเลิศกันอย่างสุขใจกับข่าวที่ได้รับจากทางไกล
วังหลวง ตำหนักฮองเฮา
สตรีในชุดสีทองอร่ามกำลังเอนกายพิงหมอน โดยแขนข้างหนึ่งตั้งชันรองศีรษะได้รูป อีกข้างถือตำราอยู่ในมือ สายตาคู่งามมิได้สนใจสิ่งอื่นใดนอกจากตัวอักษร สร้างความร้อนใจให้แก่แขกผู้มาเยือนเป็นอย่างมาก
“ฮองเฮาเพคะ ไยยังทรงนอนพระทัยอยู่เช่นนี้เล่าเพคะ”
“เรื่องอันใดเล่าที่เจ้าว่าข้านอนใจ หืม? เป่าฮูหยิน” ดวงเนตรคู่งามชำเลืองแลคู่สนทนาเพียงน้อย แล้วกลับมาให้ความสนใจในตัวอักษรต่อ
“ก็ทรงเป็นแบบนี้น่ะสิเพคะ ฝ่าบาทถึงทรงมีพระสนมคนใหม่อีกแล้ว”
“อ้อ! เรื่องนี้เองรึที่ทำให้เจ้ารีบมาหาข้าถึงในวัง ตัวข้ารึอุตส่าห์ดีใจคิดว่าเจ้านั้นคิดถึงข้าเสียอีก”
ฮองเฮาจ้าวเหลียนแกล้งเอ่ยเย้าแหย่เป่าฮูหยินที่นั่งทำหน้างอง้ำอยู่บนเก้าอี้รับแขกภายในตำหนัก โดยที่ดวงตาคู่งามยังคงไล่เลียงตามตัวอักษรมิให้คลาดไปแม้แต่ตัวเดียว
“หม่อมฉันจริงจังมากนะเพคะ นอกจากเป็นห่วงพระนางแล้ว หม่อมฉันก็คิดถึงพระนางมากเช่นกันนะเพคะ อย่าทรงมองความจริงใจของหม่อมฉันเป็นอื่นไปสิเพคะ”
น้ำเสียงกระเง้ากระงอดปานเด็กของเป่าฮูหยินเรียกรอยยิ้มพิมพ์ใจจากเจ้าของตำหนักได้เป็นอย่างดี ก่อนที่มือบางจะลดระดับตำราที่บังพระพักตร์อยู่ลงอย่างช้า ๆ เพื่อเผยให้คนที่มาเยี่ยมเยียนได้เห็นรอยยิ้มพึงใจของนาง
“ข้ายังมิได้ว่าอันใดเลย อายุเจ้าก็มิน้อยแล้ว ยังจะทำตัวเป็นเด็กน้อยไปได้ หืม!”
“พระนางเองก็ทรงพระทัยกว้างเกินไปนะเพคะ มีที่ไหนที่ยอมให้พระสนมเอกเป็นผู้จัดการงานโดยมิผ่านพระนางเสียก่อน” เป่าฮูหยินเอ่ยแย้ง ทั้งน้ำเสียงยังตัดพ้อต่อว่า
“เจ้าอยากให้ข้าเหนื่อยมากนักหรืออย่างไรกัน การที่ฝ่าบาทให้หลิวกุ้ยเฟยเป็นผู้จัดการทุกอย่างแทนข้าทั้งหมด มันก็ดีอยู่แล้วมิใช่รึ”
“จะดีได้อย่างไรเพคะ ในเมื่อหลิวกุ้ยเฟยเองก็ต้องการสิ่งที่พระนางครอบครองอยู่เช่นกันนี่เพคะ”
“แล้วนางทำได้หรือไม่เล่า ข้าก็ยังคงอยู่ตรงนี้มิใช่รึ เจ้าลองคิดดูให้ดี ๆ นะ ว่าการที่ฝ่าบาททรงแต่งตั้งให้หลิวกุ้ยเฟยเป็นคนจัดการงานเลี้ยงครั้งนี้ทั้งหมด ย่อมส่งผลดีต่อตัวข้าอยู่มากมายหลายอย่าง ข้ามิต้องทนรับการร้องขอที่อาจมากมายเกินจำเป็น เพราะหากข้าปฏิเสธที่จะให้ขึ้นมา ผู้คนก็จะมองว่าข้าริษยาสนมคนใหม่ของสวามี หากข้ายินยอมที่จะให้ตามคำเรียกร้อง ผลที่ตามมาก็ยากจะคาดเดา ถูกหรือไม่”
“หม่อมฉันก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดีเพคะ” ผู้เป็นแขกเลิกคิ้วสงสัย
“ก็ถ้าหลิวกุ้ยเฟยเป็นผู้ดูแล เต๋อเฟยจะเรียกร้องเกินอำนาจของหลิวกุ้ยเฟยได้รึไม่เล่า นางมิอาจทำได้ จริงหรือไม่ หลิวกุ้ยเฟยคือคนที่เหมาะสำหรับการรับมือกับสตรีผู้นั้นมากกว่าข้า เรารู้แต่แกล้งโง่งมเสียบ้างก็ได้”
จ้าวเหลียนเอ่ยเนิบช้า อธิบายอย่างใจเย็น เสมือนว่าทุกเรื่องที่ผู้อื่นร้อนใจ นางกลับเฉยเมยกับมันเสียอย่างนั้น มีเพียงขันทีและนางกำนัลข้างกายเท่านั้นที่รู้ดีในความเฉื่อยช้าของผู้เป็นนาย ว่ามันเป็นเพียงฉากบังหน้าเท่านั้น
“หม่อมฉันเข้าใจแล้วเพคะ”
แม้ปากจะบอกว่าเข้าใจ แต่ใบหน้างามของอดีตนางกำนัลข้างกายมิได้เป็นดั่งเช่นคำพูดเลยสักนิดเดียว
“พระนางเพคะ หม่อมฉันได้ยินข่าวมาว่า เมื่อหลายวันก่อน จวนสกุลเชี่ยถูกโจรบุกปล้นเพคะ”
“ข้าก็ได้ยินมาเช่นนั้น แต่ข้ายังมิได้เข้าเฝ้าฝ่าบาทเลยยังไม่รู้ความอันแท้จริงเท่าใดนัก อีกอย่าง ข้าเองก็ไม่ค่อยจะแข็งแรงมากนัก เลยมิได้สนใจเรื่องที่เกิดขึ้นนอกวังหลวงเท่าใด เจ้าเองก็อย่าเอาเรื่องอื่นมาทำให้ความงดงามของเจ้าเศร้าหมองลงไปด้วยเลย”
ฮองเฮาจ้าวเหลียนเอ่ยเย้าแหย่อดีตนางกำนัลด้วยรอยยิ้มงาม ทำให้เป่าฮูหยินถึงกับพลั้งเผลอแย้มยิ้มออกมาโดยมิรู้ตัว หลายวันมานี้ นางคร่ำเคร่งกับการคิดเป็นห่วงผู้เป็นนายจนไม่เป็นอันทำการงานใด แม้แต่การดูแลตัวเองที่ปกตินางจะไม่มีวันละเลยมันเลยแม้แต่น้อย
“พระนางทรงเย้าหม่อมฉันรึเพคะ”
“เห็นหรือไม่ เพียงเจ้ายิ้มออกมาก็งามหาที่ติมิได้ เรื่องในวังนั้น เจ้าปล่อยให้เป็นหน้าที่ของผู้อื่นได้แล้ว จงมองหาความสุขของตนเข้าไว้ รู้รึไม่ แม้ตัวข้าเองเหมือนจะสูญเสียอำนาจในมือไปแล้วครึ่งหนึ่ง ทว่าปัจจุบัน ข้ายังคงเป็นคนที่มีสิทธิ์นั่งเคียงข้างฝ่าบาทเหนือสตรีอื่นใด อย่าได้กังวลกับสิ่งที่ยังมิเกิดขึ้นเลยนะ”
“เพคะ หม่อมฉันต้องขออภัยที่นำเรื่องเช่นนี้มาเป็นประเด็นทำให้พระนางมัวหมองในพระทัยเพคะ”
“แล้วไปเถิด”
มือบางยกขึ้นเป็นเชิงให้ทุกอย่างจบลงแต่เพียงเท่านี้ การสนทนาครั้งนี้มิใช่อยู่ในที่ลับหรือส่วนตัวมากนัก นางมิรู้ว่ามีหนอนที่ชอนไชมากเพียงใดในวังหลวงแห่งนี้ ทางที่ดีต้องหยุดทุกอย่างที่เป็นเหตุให้เกิดความบาดหมาง ก่อนจะถึงเวลาเก็บกวาดที่เหมาะสม
หมากทุกตัวบนกระดานกำลังถูกวงให้มารวมกันตรงกลาง สิ่งสำคัญ ทุกย่างก้าวต้องรอบคอบให้มากที่สุด จะให้คำพูดเพียงคำเดียวทำลายมิได้ นางคือหงส์ที่สยายปีก แล้วจะให้ลูกนกที่เพิ่งผลัดขนมาโฉบจิกได้หรืออย่างไรกัน
ตำหนักเต๋อเฟย
“เจ้าบอกข้าได้รึยัง ว่านางโจรนั่นคือผู้ใด”
เสียงใสกังวานเอ่ยถามคนที่คุกเข่าก้มต่ำอยู่บนพื้น สายตาคมมองไปยังชายหนุ่มชุดดำที่ยังคงนิ่งเงียบด้วยความขุ่นเคืองในอารมณ์ ด้วยนางถูกสตรีในชุดดำหยามเหยียดโดยตั้งใจ แม้จะไร้คำพูด แต่การกระทำคือสิ่งที่เสมือนมีดที่กรีดแทงใจกว่าหลายเท่านัก
“ทูลองค์หญิง หลังจากคืนนั้น ทุกอย่างเงียบหายไปอย่างไร้ร่องรอยพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมกำลังเร่งส่งคนออกติดตามหาข่าวทั่วทั้งในและนอกเมืองแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
“ไม่ได้เรื่อง เจ้ามิน่าทำงานเล็กน้อยเพียงนี้ผิดพลาดได้เลย กลุ่มคนมากมายถึงเพียงนั้นจะหายไปได้อย่างไรโดยไร้ผู้คนพบเห็น หรือพ้นสายตาพวกขายข่าวไปได้”
ชายหนุ่มยังคงก้มหน้านิ่งเงียบ ไม่เอ่ยสิ่งใดออกมาอีก ด้วยเขารู้นิสัยของผู้เป็นนายดีว่า เวลาเช่นนี้มิควรต่อคำกับนางเป็นอันขาด มิเช่นนั้น ลมหายใจของเขาอาจปลิดปลิวไปโดยไม่รู้ตัว
“กระหม่อมไร้สามารถ องค์หญิงโปรดอภัยด้วยพ่ะย่ะค่ะ”
“ฮึ! เจ้าเป็นถึงองครักษ์หลวงมือดีของแคว้นตง ไยถึงไม่ได้เรื่องเช่นนี้ไปได้”
เผียะ!
“มิได้นะพ่ะย่ะค่ะฮองเฮา”“นี่คือคำสั่ง ไปซะ”จงกงกงที่ถืออาวุธประจำกายผู้เป็นนายมาด้วย ได้ก้าวไปยังเตียงนอนก่อนจะวางกระบี่ไว้ข้างกายผู้เป็นนายหญิงแล้วขยับออกห่างเยว่เหยียนลุกขึ้นโดยยื่นมือไปรับน้องสาวกลับมาผูกติดกายไว้เช่นเดิม ก่อนจะเดินห่างผู้เป็นมารดาด้วยอาการนิ่งเงียบ มิเอ่ยสิ่งใดกับผู้ใดแม้แต่ครึ่งคำสองแม่ลูกเจ้าของบ้านกลับเข้ามาในห้องพร้อมห่อผ้า มารดาของหย่งฉีก้าวไปหยุดตรงหน้าขององค์ชายเยว่เหยียน ก่อนจะย่อกายให้“บุตรชายของข้าจะนำทางองค์ชายเข้าไปหลบซ่อนในป่าเพคะ”“เจ้าไปกับพวกเขา นี่คือคำสั่งของข้า อย่าได้มีใครขัดคำสั่งหากยังเห็นข้าเป็นฮองเฮาอยู่”“เพคะ เช่นนั้น หม่อมฉันจะปกป้องทั้งสองพระองค์ด้วยชีวิตเพคะ”สองแม่ลูกไม่รอช้า โดยหย่งฉีเป็นคนเดินนำหน้า มีเยว่เหยียนเดินตามไป มารดาของหย่งฉีและองครักษ์ติดตามไปอีกหนึ่งคน ส่วนที่เหลืออยู่ดูแลฮองเฮา รวมถึงจงกงกงที่มิห่างกายผู้เป็นนายหญิงไปที่ใด“พวกเจ้าคิดจะขัดคำสั่งข้าหรืออย่างไรกัน”“พระนาง มิว่าอย่างไร พวกข้าก็มิอาจทอดทิ้งพระนางไปที่ใดได้ ได้โปรดอย่างทรงกริ้วไปเลยพ่ะย่ะค่ะ”ก่อนที่จะทันได้เอ่ยสิ่งใดต่อ เสียงของผู้บุกรุกได้เรียกความสน
ชายป่านอกหมู่บ้านร่างสูงของถงไท่ซินยืนเอามือไพล่หลังมองไปยังอีกด้านของป่าที่เป็นเนินเขาเตี้ย ๆแกร๊บ! เสียงเหยียบใบแห้งมาจากทางด้านหลัง เขามิจำต้องหันไปมองก็รู้ว่าใคร“วันนี้ ข้าหวังว่าจะได้รับข่าวที่ดี”“นายท่าน ตอนนี้ที่เฉินอันยังคงนิ่งเงียบอยู่ขอรับ คนของเราพยายามที่จะสืบหาว่า ข่าวเรื่องนายหญิงยังมีชีวิตอยู่นั้นมาจากที่ใดขอรับ ข้าเกรงว่า…เอ่อ...”“เกรงจะเป็นกลลวงให้ข้าเผยตนสินะ” ถงไท่ซินต่อความให้ผู้มารายงาน“ขอรับ”“ในเมื่อตัวข้าก็ชรามากแล้ว จะตายวันใดก็มิอาจบอกได้ แล้วข้าจะกลัวไปเพื่ออะไรกัน”ถงไท่ซินเอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนระโหย เขารู้สึกมีความหวังขึ้นมาเมื่อรู้ข่าวว่า แท้จริงแล้ว ภรรยาของเขายังคงมีชีวิตอยู่จากแหล่งข่าวที่ใดสักแหล่งเมื่อไม่กี่วันมานี้ จึงทำให้ชรารีบลงจากเขาเพื่อที่จะมาพบกับคนขอตนเพื่อฟังความจริงจากปากอีกครั้งภาพใบหน้าภรรยาผู้เป็นที่รักเวียนกลับมาในห้วงความคิด พาให้ถงไท่ซินนึกย้อนไปยังเรื่องราวเมื่อนานมาแล้วด้วยหัวใจอันร้าวรานแคว้นเฉินอันตำหนักหลวงซึ่งเป็นที่พำนักร่วมกันของฮ่องเต้เยว่ไท่ซานกับฮองเฮาเยี่ยซีเซียน เวลานี้ทั่วทั้งแคว้นต่างเฉลิมฉลองการถือกำเนิดขององค์
“ท่านตาขอรับ ไยท่านตาถึงได้ชอบที่จะอยู่บนเขาซินไห่นี่เล่าขอรับ ไยมิลงไปอยู่กับพวกเราขอรับ”ถงเอ่อหลางเอ่ยถามผู้เป็นตาด้วยความสงสัย เขาจะขึ้นมาอยู่บนเขาเพื่อฝึกฝนวิชากับผู้เป็นตา ในช่วงเวลาที่ผู้เป็นตากลับจากเกาะดอกเหมย“ตาจะได้มองเห็นยายเจ้าได้ทุกวันอย่างไรเล่า นางอยู่ทิศนั้น ในที่ที่เราจะไม่มีโอกาสไปถึง”“ท่านตาชรามากแล้วก็ทำใจให้สงบเถิดขอรับ ท่านยายได้หลับไปนานแล้วนะขอรับ”“ฮา ๆ เจ้าเด็กน้อย เจ้ามันช่างเจรจาเกินไปแล้ว ไม่นาน ตาของเจ้าก็จะหลับไปชั่วกาลเช่นเดียวกับท่านยายของเจ้า”“ท่านตาขอรับ ท่านอาม่งเหยางดงามมากเลยใช่ไหมขอรับ”เมื่อหลานชายเอ่ยถึงบุตรสาวผู้ล่วงลับ แววตาอ่อนแสงเจือความอาลัยพลันฉายบนดวงตาที่เริ่มฝ้าฟาง ถงไท่ซินหันมามองเด็กชายช่างซัก ก่อนปล่อยวางเรื่องโศกเศร้าในอดีตไปกับสายลม ใช้ลมหายใจที่เหลืออยู่กับปัจจุบันทุกเสี้ยวเวลา ยามลาจากโลกนี้ไปแล้วจะได้มิรู้สึกผิดกับคนที่ยังมีชีวิตอยู่ระลึกเช่นนั้นจึงส่งยิ้มกว้างให้หลานชาย เอ่ยด้วยน้ำเสียงแกมหยอกเย้าเอ็นดู“ใช่แล้ว นางงดงามมิแพ้มารดาของเจ้าเลย เจ้าอยากรู้ไปทำไมรึ”“ก็เพราะใคร ๆ ก็ว่ามู่หลันเหมือนท่านอามาก เอ่อ…จากที่ข้ามองดู
“เสด็จพี่ทั้งสองอย่าทรงกังวลไปเลย อย่างไรเสีย ลูกหลานของเราก็เลือกที่จะทอดทิ้งเราไปแล้ว”โม่เหยียนเฉาและโม่เหยาต่างหันขวับมามองน้องชายเป็นตาเดียว ด้วยถ้อยคำตอนท้ายมันขัดกันกับคำตอนต้น โม่หยางจงยิ้มร่า เมื่อเห็นสีหน้าและแววตาสงสัยของพี่ชายทั้งสอง“เจ้ายังเป็นปกติดีอยู่หรือไม่ หยางจง”“ข้าแค่อยากให้เสด็จพี่ทั้งสองผ่อนคลายลงบ้าง อนาคตจะเป็นเช่นไร เรามิอาจบอกได้ แค่ตอนนี้ เราสามพี่น้องยังมีลมหายใจดื่มด่ำกับความสุขยามชราก็ดีมากแล้วพ่ะย่ะค่ะ”“หึ ๆ เจ้าก็เป็นเสียแบบนี้ เข้าข้างในกันดีกว่า ข้าหิวมากแล้ว”สามพี่น้องพากันก้าวเข้าไปในตัวบ้าน พร้อมเสียงหัวเราะกันอย่างมีความสุข เสียงสนทนากันอย่างออกรสของพี่น้องสกุลโม่นั้น ยากที่ใครจะได้พบเห็น ยามใดที่มายังบ้านหลังนี้ พวกเขาจะละวางเรื่องบ้านเมืองลงชั่วคราวเพื่อสัมผัสความอบอุ่นจากสัมพันธ์พี่น้องร่วมสายเลือดที่น้อยครั้งจะได้มีโอกาสพบปะกันพร้อมหน้าเช่นนี้หุบเขาเหมยแดงหญิงสาวในชุดสีดำนั่งเหม่อมองไปยังด้านนอกหน้าผาที่ยื่นออกไปยังน้ำตก ใบหน้าครึ่งหนึ่งถูกปิดด้วยหน้ากากสีเงิน ดวงตานั้นกลับมามองเห็นแล้วก็จริง ทว่า รอยแผลที่อยู่ภายใต้หน้ากากกลับยังคงมีอย
เสียงอู้อี้ของถงมู่หลัน ทำให้จ้าวอวิ๋นรีบลุกขึ้นไปคว้าตัวหลานรักขึ้นมาอุ้มเอาไว้ในอ้อมแขน ก่อนจะพานางก้าวมายังเตียงของผู้เป็นพี่ชายตามคำเว้าวอนร่างอ้วนกลมดิ้นเล็กน้อยเพื่อที่จะลงไปนั่งบนเตียงของพี่ชายที่ตอนนี้กำลังนอนกระสับกระส่าย มือป้อมนุ่มนิ่มเอื้อมไปแตะยังแก้มของพี่ชาย ก่อนจะทุ่มตัวลงไปเต็มแรงทับอยู่บนอกของถงเอ่อหลาง สร้างความตกใจให้แก่ทุกคนที่อยู่ตรงนั้น ก่อนที่โม่ฟางเล่อจะยื่นมือไปเพื่ออุ้มบุตรสาวออกมาหมับ! มือของถงเอ่อหลางรวบกอดร่างอ้วนของน้องสาวเอาไว้แนบอกราวกับปกป้อง เช่นที่เคยทำมาตลอดในยามที่เขาเกรงว่านางจะเสียใจหรือกลัวใครจะมาทำร้ายน้องสาวเพียงคนเดียวเด็กชายหวาดกลัวว่าจะไม่อาจคุ้มครองคนที่ตนรักให้ปลอดภัย เหมือนในอดีตที่เขามิอาจปกป้องคนที่รักเอาไว้ได้“พี่จะปกป้องเจ้ามิให้ผู้ใดทำร้ายเจ้าได้”“อือ ๆ พี่ใหญ่ ข้าร้อน ท่านพี่ตื่นได้แล้ว”ถงเอ่อหลางลืมตาโพลงขึ้นในทันที ร่างอ้วนกลมที่อยู่บนตัวเขานั้นช่างเหมือนใครบางคนในอดีตเหลือเกิน มือเรียวยกขึ้นลูบแก้มยุ้ยของน้องสาว“พี่รู้สึกว่ามีหินก้อนใหญ่หล่นทับตัวอย่างไรไม่รู้”“มีที่ไหนเล่าเจ้าคะก้อนหิน มีแค่อนาคตของหญิงงามที่สุดใต้หล้า
อวี้หลิงเซียวยกมือขึ้นห้ามองครักษ์เอาไว้เสียก่อน นางในตอนนี้แม้จะมียศแต่ก็เป็นธิดาของเจ้าเมืองเท่านั้น จะถืออำนาจบาตรใหญ่มากเกินไปมันดูไม่ดีสักเท่าไร ยิ่งมองการแต่งกายของเด็กน้อยทั้งสองคนนั้นแล้วบอกได้เพียงว่ามิธรรมดาเป็นแน่ไหนจะบุรุษหลายคนที่ยืนอยู่นั่นอีก มองแค่ปราดเดียวนางก็รู้ได้ว่าเป็นยอดฝีมือระดับสูงทุกคน โดยเฉพาะคนที่อุ้มเด็กหญิงตัวอ้วนนั่นด้วยแล้ว ยิ่งมิควรที่จะต่อกรด้วย นางฝึกยุทธ์ตั้งแต่ห้าขวบ เติบโตมากับพี่ชายที่เป็นทหารย่อมต้องถูกสอนมาเป็นอย่างดี“ข้าน้อยหลิงเซียว ต้องขออภัยท่านอาด้วยนะเจ้าคะที่มารบกวน ด้วยข้านึกว่าเป็นชาวบ้านทั่ว ๆ ไป เกรงจะเกิดอันตรายเอาได้หากมีโจรป่าผ่านมา”“ขอบใจเจ้ามากคุณหนู แล้วคราวหลัง ข้าจะเตือนหลาน ๆ ให้ระวังตัวให้มากขึ้น” จ้าวอวิ๋นนึกชื่นชมแม่สาวน้อยคนนี้ในใจ ดูเหมือนความนึกคิดของนางจะเติบโตกว่าวัยที่แท้จริงหลายปีทีเดียว“เจ้าค่ะ”“พี่สาว มากินกุ้งด้วยกันสิเจ้าคะ มู่หลันอยากมีพี่สาว มู่หลันไม่ชอบพี่ชายแล้ว”เด็กน้อยแก้มยุ้ยมิพูดเปล่า แต่ยังทำท่าทางน่าเอ็นดู พร้อมรอยยิ้มกว้างจนทำให้ตาของนางกลายเป็นเส้นตรง ก่อนจะสะบัดหน้าให้ผู้เป็นพี่ชายที่หันกลับ