ใบหน้าหล่อเหลาสะบัดตามแรงฝ่ามือของหญิงสาว เมื่อร่างบางหมุนกายเดินกลับไปนั่งลงที่เดิม ชายหนุ่มค่อย ๆ ยกมือขึ้นเช็ดเลือดที่ไหลซึมยังมุมปากของตนเอง
“ไปได้แล้ว เรื่องนี้ เจ้าต้องหาคำตอบมาให้ข้าเร็วที่สุด ก่อนคนของเจ้าแก่นั่นจะหานางโจรพบก่อนเรา”
“พ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมทูลลา”
ร่างสูงลุกขึ้นก่อนจะหมุนกายเดินจากไป แม้ภายในใจเขาอยากรู้ถึงเหตุผลของผู้เป็นนาย ทว่าไม่มีสิทธิ์ตั้งคำถามใดได้มากไปกว่านี้ ว่าเหตุใดนายหญิงของตนถึงต้องการสืบหานางโจรที่บุกสังหารครอบครัวสกุลเชี่ย
กั๋วเชียงมองเลยออกไปยังนอกหน้าต่าง คืนนี้ พระจันทร์ช่างงดงาม ทว่า ใจของนางกลับคลั่งแค้นในสายตาของนางโจรผู้นั้น จนมิอาจข่มตาให้หลับลงได้ สตรีที่มากด้วยฝีมือซ้ำยังเย้ยหยันนางให้อับอาย ทั้ง ๆ ที่รู้ว่านางอยู่ร่วมดูเหตุการณ์ทั้งหมด แต่กลับทำเหมือนนางไร้ตัวตน ทว่า สายตาที่เหลียวมองนาง มันมิใช่เช่นการกระทำเอาเสียเลย
“ข้าต้องหาเจ้าให้พบ มิว่าอยู่หรือตาย ข้าจะทำให้เจ้าได้รู้ว่าอย่ากำแหงมองข้ามคนเช่นข้า”
ยามเช้า ณ อุทยานหลวง
ฮองเฮาเจ้าเหลียน พร้อมด้วยเป่าฮูหยินกำลังเดินเก็บดอกไม้เพื่อไปทำน้ำอบชั้นเลิศ สองร่างงามเดินเคียงกันท่ามกลางหมู่มวลดอกไม้และผีเสื้อหลากสี ชุดสีแดงเพลิงของฮองเฮาขับเน้นให้ความงามโดดเด่นอ่อนกว่าวัยอันแท้จริงของพระนางยิ่งนัก
ร่างบางของพระสนมผู้อ่อนเยาว์กว่าถึงกับหยุดนิ่งกับภาพตรงหน้า นางนั้นอ่อนวัยกว่าอีกฝ่ายมากนัก ไยความเปล่งปลั่งโดดเด่นยังดูเหมือนจะมิอาจเทียบอีกฝ่ายได้เล่า
‘หากเป็นข้าในชุดนั้น ข้าต้องงดงามกว่าท่านมากนัก ฮองเฮา ใต้หล้าต้องมนต์ในตัวข้าอย่างมิอาจมีผู้ใดปฏิเสธได้’
หญิงสาววัยแรกแย้มคลี่ยิ้มน้อย ๆ เมื่อสร้างกำลังใจให้แก่ตนเองแล้ว ก่อนที่เท้าบางจะก้าวอย่างแผ่วเบา ไปยังทิศทางของผู้
เป็นใหญ่ในวังหลัง‘ดอกไม้เช่นกั๋วเชียง จัดไว้ในหมู่มวลดอกไม้พิษ เจ้าอย่าได้หลงเข้าไปใกล้จะดีกว่า สุ่ยอี้’
จูซือเหนียงชำเลืองมองไปทางเป่าฮูหยินที่ยืนยิ้มน้อย ๆ ทว่า ภายใต้สีหน้างามนั้นดูออกได้ไม่ยากเลยว่าสตรีตรงหน้ากำลังคิดสิ่งใด เป่า ฮูหยินนั้นคงลืมเลือนชีวิตในวังหลวงไปมากทีเดียว ถึงได้เก็บความรู้สึกทั้งมวลเอาไว้ไม่มิดอย่างที่ควรจะเป็น“ทูลฮองเฮา พระนางเต๋อเฟยขอเข้าเฝ้าเพคะ”
มือบางที่กำลังตัดช่อดอกไม้ชะงักเล็กน้อย ก่อนจะเอี้ยวตัวกลับไปมองยังนางกำนัลที่อยู่ด้านหลัง แล้วมองเลยไปเห็นหญิงสาวในชุดสีฟ้าอ่อนซึ่งยืนห่างออกไปพอสมควร
จูซือเหนียงนับถือในความอดทนขององค์หญิงต่างแคว้นผู้นี้ยิ่งนัก นางทำตัวอ่อนหวานไร้เดียงสาต่อสายตาผู้คนได้อย่างดีเยี่ยม จริตของสตรีมีครบถ้วน หากบุรุษใดได้ชิดใกล้ ยากนักจะถอนตัว ทว่าคงมิใช่บุรุษเช่นเกาจู หรือแม้แต่ฮ่องเต้ตัวจริงเองก็เช่นกัน ศึกรักคงชัดเจนว่าผู้ใดกำชัย แต่ศึกบ้านเมืองนั้นยังยากที่จะคาดเดา
“อืม! เตรียมน้ำชาด้วย”
ฮองเฮาจ้าวเหลียนทำเพียงเสียงในลำคอเป็นการอนุญาต ก่อนจะเอ่ยต่อด้วยการให้จัดเตรียมน้ำชาเพื่อรับรองผู้มาใหม่
“เราไปนั่งพักกันก่อนเถอะนะ คนที่เจ้าอยากรู้จัก นางมาพอดี หึ ๆ”
“เพคะ แต่หม่อมฉันไม่เคยบอกนะเพคะว่าอยากรู้จักพระสนมคนใหม่” เป่าฮูหยินยังเอ่ยกระเง้ากระงอดใส่ผู้เป็นนายของตน
นางมิใช่แค่เพียงอดีตคนสนิท แต่อีกนัยหนึ่ง นางคือสหายของฮองเฮาผู้โฉมสะคราญตรงหน้านี้ด้วย ฉะนั้น นางจึงหาญกล้าที่จะแง่งอนกับสตรีผู้เป็นใหญ่แห่งแผ่นดิน
การกระทำของเป่าฮูหยินเรียกเสียงหัวเราะเบา ๆ จากฮองเฮาจ้าวเหลียน ก่อนที่มือเรียวจะเอื้อมมาคว้ามือบางของอีกฝ่ายแล้วตบเบา ๆ ลงบนหลังมือของสหายตนอย่างเป่าฮูหยิน
“อย่าได้พูดดีไป มาเถอะ ข้ารู้สึกเหนื่อยแล้วเช่นกัน”
“เพคะ หม่อมฉันเพียงห่วงใยในพระนางเท่านั้น”
สองร่างเดินเคียงกันไปยังศาลาพักที่เวลานี้มีชุดชาจัดเตรียมเอาไว้เรียบร้อยแล้ว ทั้งด้านหลังมิไกลมากนัก ร่างของเต๋อเฟยก็เดินใกล้เข้ามาแล้วเช่นกัน
“นิ่งไว้เถิด สหายข้า เจ้าต้องมิทำตัวให้เด็กน้อยมากล่าวหาเอาได้ ว่าเรารังแก เข้าใจรึไม่”
“หม่อมฉันเข้าใจแล้วเพคะ หม่อมฉันผิดไปแล้วเพคะ”
“ไม่มีผู้ใดผิด เพราะมันคือชะตากรรม สหายข้า”
จูซือเหนียงเลือกที่จะปิดการสนทนา ทั้งที่นางรู้ดีว่าเป่าฮูหยินนั้นรับคำเพียงเพราะมันคือความต้องการของนาง มิใช่เต็มใจจะยอมรับเรื่องบรรดาภรรยาอื่นของโอรสสวรรค์เลยแม้แต่น้อย
องค์หญิงกั๋วเชียงมองตามร่างระหงของสตรีสูงวัยกว่าที่ยังคงความงามเอาไว้เสมอด้วยความริษยาอยู่ภายในลึก ๆ เพราะกาลเวลามิอาจพรากความเยาว์นั้นไปได้เลยแม้แต่น้อย แม้นางจะเป็นถึงองค์หญิงของแคว้นตง ทว่า ทุกอำนาจที่ได้มาถือไว้ในมือ นางต้องฝ่าฟันมานับครั้งไม่ถ้วน มืออันบอบบางของนางนั้นจึงอาบไปด้วยกลิ่นคาวเลือดของพี่น้องร่วมสายเลือดที่ต้องสังเวยให้แก่อำนาจ
ร่างบางของพระสนมคนใหม่ก้าวถึงที่หมาย หญิงสาวหยุดยืนอยู่ด้านนอกศาลาเพื่อรักษาระยะที่เหมาะสม ก่อนจะคลี่ยิ้มอ่อนหวานให้แก่สตรีทั้งสอง
“กั๋วเชียงถวายบังคมเพคะฮองเฮา”
ร่างงามย่อกายทำความเคารพผู้สูงศักดิ์กว่าด้วยท่าทางอ่อนช้อยงดงาม ทุกกิริยาช่างดูราวหงส์น้อยที่กำลังอวดเบ่งความงามของตนอยู่ในที
“ตามสบายเถิด เต๋อเฟย”
“สุ่ยอี้ถวายบังคมเพคะ พระนางเต๋อเฟย”
เป่าฮูหยินลุกขึ้นย่อกายทำความเคารพผู้มีศักดิ์สูงกว่าตน แม้มิเต็มใจมากนัก แต่นางรู้จักธรรมเนียมปฏิบัติดี ว่านางมิอาจทำตัวเทียบเทียมชายาของผู้นำแผ่นดินได้ นางเป็นเพียงสามัญชนธรรมดา มีหรือจะกล้าต่อกรกับสายเลือดของเชื้อพระวงศ์แม้นจะมาจากต่างแคว้นก็ตามที
“เต๋อเฟย คนผู้นี้คือภรรยาในเจ้าเมืองเสิ่น นามสุ่ยอี้”
“ยินดียิ่งนักที่ได้รู้จักเจ้า แม่นางสุ่ยอี้”
“เป็นวาสนายิ่งแล้วเพคะพระสนม สุ่ยอี้เสียมารยาทนักที่มิได้เข้าเฝ้าพระนางให้เร็วกว่านี้เพื่อถวายพระพรเพคะ” เป่าฮูหยินยังคงวาจานอบน้อมอ่อนโยน
“มิเป็นไร เรายังมิทันได้เข้าพิธีอย่างเป็นทางการ เจ้าไม่ผิดที่ยังมิได้เข้าพบเรา”
“เต๋อเฟย เข้ามาดื่มชาเป็นเพื่อนข้าหน่อยจะเป็นไรหรือไม่”
ด้วยวัยที่ผ่านโลกมามากของฮองเฮา มีหรือที่นางจะแปลความในของคำพูดของหญิงสาวตรงหน้าไม่ได้ จึงเอ่ยเชื้อเชิญอีกฝ่ายเข้ามาก่อนที่คนของนางจะทำให้ตนเองตกอยู่ในที่นั่งลำบากหากล่วงเกินพระสนมคนงาม
ดอกไม้งามที่เพิ่งผลิดอกยอมต้องการอวดโฉมให้ผู้คนชื่นชม หากรีบร้อนไปเด็ดดอมอาจพลาดถูกหนามแหลมคมทิ่มตำมือให้ได้เลือด
“มิได้นะพ่ะย่ะค่ะฮองเฮา”“นี่คือคำสั่ง ไปซะ”จงกงกงที่ถืออาวุธประจำกายผู้เป็นนายมาด้วย ได้ก้าวไปยังเตียงนอนก่อนจะวางกระบี่ไว้ข้างกายผู้เป็นนายหญิงแล้วขยับออกห่างเยว่เหยียนลุกขึ้นโดยยื่นมือไปรับน้องสาวกลับมาผูกติดกายไว้เช่นเดิม ก่อนจะเดินห่างผู้เป็นมารดาด้วยอาการนิ่งเงียบ มิเอ่ยสิ่งใดกับผู้ใดแม้แต่ครึ่งคำสองแม่ลูกเจ้าของบ้านกลับเข้ามาในห้องพร้อมห่อผ้า มารดาของหย่งฉีก้าวไปหยุดตรงหน้าขององค์ชายเยว่เหยียน ก่อนจะย่อกายให้“บุตรชายของข้าจะนำทางองค์ชายเข้าไปหลบซ่อนในป่าเพคะ”“เจ้าไปกับพวกเขา นี่คือคำสั่งของข้า อย่าได้มีใครขัดคำสั่งหากยังเห็นข้าเป็นฮองเฮาอยู่”“เพคะ เช่นนั้น หม่อมฉันจะปกป้องทั้งสองพระองค์ด้วยชีวิตเพคะ”สองแม่ลูกไม่รอช้า โดยหย่งฉีเป็นคนเดินนำหน้า มีเยว่เหยียนเดินตามไป มารดาของหย่งฉีและองครักษ์ติดตามไปอีกหนึ่งคน ส่วนที่เหลืออยู่ดูแลฮองเฮา รวมถึงจงกงกงที่มิห่างกายผู้เป็นนายหญิงไปที่ใด“พวกเจ้าคิดจะขัดคำสั่งข้าหรืออย่างไรกัน”“พระนาง มิว่าอย่างไร พวกข้าก็มิอาจทอดทิ้งพระนางไปที่ใดได้ ได้โปรดอย่างทรงกริ้วไปเลยพ่ะย่ะค่ะ”ก่อนที่จะทันได้เอ่ยสิ่งใดต่อ เสียงของผู้บุกรุกได้เรียกความสน
ชายป่านอกหมู่บ้านร่างสูงของถงไท่ซินยืนเอามือไพล่หลังมองไปยังอีกด้านของป่าที่เป็นเนินเขาเตี้ย ๆแกร๊บ! เสียงเหยียบใบแห้งมาจากทางด้านหลัง เขามิจำต้องหันไปมองก็รู้ว่าใคร“วันนี้ ข้าหวังว่าจะได้รับข่าวที่ดี”“นายท่าน ตอนนี้ที่เฉินอันยังคงนิ่งเงียบอยู่ขอรับ คนของเราพยายามที่จะสืบหาว่า ข่าวเรื่องนายหญิงยังมีชีวิตอยู่นั้นมาจากที่ใดขอรับ ข้าเกรงว่า…เอ่อ...”“เกรงจะเป็นกลลวงให้ข้าเผยตนสินะ” ถงไท่ซินต่อความให้ผู้มารายงาน“ขอรับ”“ในเมื่อตัวข้าก็ชรามากแล้ว จะตายวันใดก็มิอาจบอกได้ แล้วข้าจะกลัวไปเพื่ออะไรกัน”ถงไท่ซินเอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนระโหย เขารู้สึกมีความหวังขึ้นมาเมื่อรู้ข่าวว่า แท้จริงแล้ว ภรรยาของเขายังคงมีชีวิตอยู่จากแหล่งข่าวที่ใดสักแหล่งเมื่อไม่กี่วันมานี้ จึงทำให้ชรารีบลงจากเขาเพื่อที่จะมาพบกับคนขอตนเพื่อฟังความจริงจากปากอีกครั้งภาพใบหน้าภรรยาผู้เป็นที่รักเวียนกลับมาในห้วงความคิด พาให้ถงไท่ซินนึกย้อนไปยังเรื่องราวเมื่อนานมาแล้วด้วยหัวใจอันร้าวรานแคว้นเฉินอันตำหนักหลวงซึ่งเป็นที่พำนักร่วมกันของฮ่องเต้เยว่ไท่ซานกับฮองเฮาเยี่ยซีเซียน เวลานี้ทั่วทั้งแคว้นต่างเฉลิมฉลองการถือกำเนิดขององค์
“ท่านตาขอรับ ไยท่านตาถึงได้ชอบที่จะอยู่บนเขาซินไห่นี่เล่าขอรับ ไยมิลงไปอยู่กับพวกเราขอรับ”ถงเอ่อหลางเอ่ยถามผู้เป็นตาด้วยความสงสัย เขาจะขึ้นมาอยู่บนเขาเพื่อฝึกฝนวิชากับผู้เป็นตา ในช่วงเวลาที่ผู้เป็นตากลับจากเกาะดอกเหมย“ตาจะได้มองเห็นยายเจ้าได้ทุกวันอย่างไรเล่า นางอยู่ทิศนั้น ในที่ที่เราจะไม่มีโอกาสไปถึง”“ท่านตาชรามากแล้วก็ทำใจให้สงบเถิดขอรับ ท่านยายได้หลับไปนานแล้วนะขอรับ”“ฮา ๆ เจ้าเด็กน้อย เจ้ามันช่างเจรจาเกินไปแล้ว ไม่นาน ตาของเจ้าก็จะหลับไปชั่วกาลเช่นเดียวกับท่านยายของเจ้า”“ท่านตาขอรับ ท่านอาม่งเหยางดงามมากเลยใช่ไหมขอรับ”เมื่อหลานชายเอ่ยถึงบุตรสาวผู้ล่วงลับ แววตาอ่อนแสงเจือความอาลัยพลันฉายบนดวงตาที่เริ่มฝ้าฟาง ถงไท่ซินหันมามองเด็กชายช่างซัก ก่อนปล่อยวางเรื่องโศกเศร้าในอดีตไปกับสายลม ใช้ลมหายใจที่เหลืออยู่กับปัจจุบันทุกเสี้ยวเวลา ยามลาจากโลกนี้ไปแล้วจะได้มิรู้สึกผิดกับคนที่ยังมีชีวิตอยู่ระลึกเช่นนั้นจึงส่งยิ้มกว้างให้หลานชาย เอ่ยด้วยน้ำเสียงแกมหยอกเย้าเอ็นดู“ใช่แล้ว นางงดงามมิแพ้มารดาของเจ้าเลย เจ้าอยากรู้ไปทำไมรึ”“ก็เพราะใคร ๆ ก็ว่ามู่หลันเหมือนท่านอามาก เอ่อ…จากที่ข้ามองดู
“เสด็จพี่ทั้งสองอย่าทรงกังวลไปเลย อย่างไรเสีย ลูกหลานของเราก็เลือกที่จะทอดทิ้งเราไปแล้ว”โม่เหยียนเฉาและโม่เหยาต่างหันขวับมามองน้องชายเป็นตาเดียว ด้วยถ้อยคำตอนท้ายมันขัดกันกับคำตอนต้น โม่หยางจงยิ้มร่า เมื่อเห็นสีหน้าและแววตาสงสัยของพี่ชายทั้งสอง“เจ้ายังเป็นปกติดีอยู่หรือไม่ หยางจง”“ข้าแค่อยากให้เสด็จพี่ทั้งสองผ่อนคลายลงบ้าง อนาคตจะเป็นเช่นไร เรามิอาจบอกได้ แค่ตอนนี้ เราสามพี่น้องยังมีลมหายใจดื่มด่ำกับความสุขยามชราก็ดีมากแล้วพ่ะย่ะค่ะ”“หึ ๆ เจ้าก็เป็นเสียแบบนี้ เข้าข้างในกันดีกว่า ข้าหิวมากแล้ว”สามพี่น้องพากันก้าวเข้าไปในตัวบ้าน พร้อมเสียงหัวเราะกันอย่างมีความสุข เสียงสนทนากันอย่างออกรสของพี่น้องสกุลโม่นั้น ยากที่ใครจะได้พบเห็น ยามใดที่มายังบ้านหลังนี้ พวกเขาจะละวางเรื่องบ้านเมืองลงชั่วคราวเพื่อสัมผัสความอบอุ่นจากสัมพันธ์พี่น้องร่วมสายเลือดที่น้อยครั้งจะได้มีโอกาสพบปะกันพร้อมหน้าเช่นนี้หุบเขาเหมยแดงหญิงสาวในชุดสีดำนั่งเหม่อมองไปยังด้านนอกหน้าผาที่ยื่นออกไปยังน้ำตก ใบหน้าครึ่งหนึ่งถูกปิดด้วยหน้ากากสีเงิน ดวงตานั้นกลับมามองเห็นแล้วก็จริง ทว่า รอยแผลที่อยู่ภายใต้หน้ากากกลับยังคงมีอย
เสียงอู้อี้ของถงมู่หลัน ทำให้จ้าวอวิ๋นรีบลุกขึ้นไปคว้าตัวหลานรักขึ้นมาอุ้มเอาไว้ในอ้อมแขน ก่อนจะพานางก้าวมายังเตียงของผู้เป็นพี่ชายตามคำเว้าวอนร่างอ้วนกลมดิ้นเล็กน้อยเพื่อที่จะลงไปนั่งบนเตียงของพี่ชายที่ตอนนี้กำลังนอนกระสับกระส่าย มือป้อมนุ่มนิ่มเอื้อมไปแตะยังแก้มของพี่ชาย ก่อนจะทุ่มตัวลงไปเต็มแรงทับอยู่บนอกของถงเอ่อหลาง สร้างความตกใจให้แก่ทุกคนที่อยู่ตรงนั้น ก่อนที่โม่ฟางเล่อจะยื่นมือไปเพื่ออุ้มบุตรสาวออกมาหมับ! มือของถงเอ่อหลางรวบกอดร่างอ้วนของน้องสาวเอาไว้แนบอกราวกับปกป้อง เช่นที่เคยทำมาตลอดในยามที่เขาเกรงว่านางจะเสียใจหรือกลัวใครจะมาทำร้ายน้องสาวเพียงคนเดียวเด็กชายหวาดกลัวว่าจะไม่อาจคุ้มครองคนที่ตนรักให้ปลอดภัย เหมือนในอดีตที่เขามิอาจปกป้องคนที่รักเอาไว้ได้“พี่จะปกป้องเจ้ามิให้ผู้ใดทำร้ายเจ้าได้”“อือ ๆ พี่ใหญ่ ข้าร้อน ท่านพี่ตื่นได้แล้ว”ถงเอ่อหลางลืมตาโพลงขึ้นในทันที ร่างอ้วนกลมที่อยู่บนตัวเขานั้นช่างเหมือนใครบางคนในอดีตเหลือเกิน มือเรียวยกขึ้นลูบแก้มยุ้ยของน้องสาว“พี่รู้สึกว่ามีหินก้อนใหญ่หล่นทับตัวอย่างไรไม่รู้”“มีที่ไหนเล่าเจ้าคะก้อนหิน มีแค่อนาคตของหญิงงามที่สุดใต้หล้า
อวี้หลิงเซียวยกมือขึ้นห้ามองครักษ์เอาไว้เสียก่อน นางในตอนนี้แม้จะมียศแต่ก็เป็นธิดาของเจ้าเมืองเท่านั้น จะถืออำนาจบาตรใหญ่มากเกินไปมันดูไม่ดีสักเท่าไร ยิ่งมองการแต่งกายของเด็กน้อยทั้งสองคนนั้นแล้วบอกได้เพียงว่ามิธรรมดาเป็นแน่ไหนจะบุรุษหลายคนที่ยืนอยู่นั่นอีก มองแค่ปราดเดียวนางก็รู้ได้ว่าเป็นยอดฝีมือระดับสูงทุกคน โดยเฉพาะคนที่อุ้มเด็กหญิงตัวอ้วนนั่นด้วยแล้ว ยิ่งมิควรที่จะต่อกรด้วย นางฝึกยุทธ์ตั้งแต่ห้าขวบ เติบโตมากับพี่ชายที่เป็นทหารย่อมต้องถูกสอนมาเป็นอย่างดี“ข้าน้อยหลิงเซียว ต้องขออภัยท่านอาด้วยนะเจ้าคะที่มารบกวน ด้วยข้านึกว่าเป็นชาวบ้านทั่ว ๆ ไป เกรงจะเกิดอันตรายเอาได้หากมีโจรป่าผ่านมา”“ขอบใจเจ้ามากคุณหนู แล้วคราวหลัง ข้าจะเตือนหลาน ๆ ให้ระวังตัวให้มากขึ้น” จ้าวอวิ๋นนึกชื่นชมแม่สาวน้อยคนนี้ในใจ ดูเหมือนความนึกคิดของนางจะเติบโตกว่าวัยที่แท้จริงหลายปีทีเดียว“เจ้าค่ะ”“พี่สาว มากินกุ้งด้วยกันสิเจ้าคะ มู่หลันอยากมีพี่สาว มู่หลันไม่ชอบพี่ชายแล้ว”เด็กน้อยแก้มยุ้ยมิพูดเปล่า แต่ยังทำท่าทางน่าเอ็นดู พร้อมรอยยิ้มกว้างจนทำให้ตาของนางกลายเป็นเส้นตรง ก่อนจะสะบัดหน้าให้ผู้เป็นพี่ชายที่หันกลับ