ใช้เวลาไม่นานก็มาถึงเชิงเขา เทือกเขาแห่งเพลิงอัคคีถูกปกคลุมไปด้วยต้นไม้หนาทึบ มีหนามล้อมรอบเป็นวงกลมตั้งตระหง่านอยู่ข้างหน้า หากจะเข้าไปด้านในต้องทิ้งม้าเอาไว้ด้านนอก และใช้วิธีเดินเท้าเข้าไปเท่านั้น
“ม้าวายุมาได้เพียงเท่านี้ เราต้องเดินเท้าเข้าไป” เย่ชิงหานหันหลังลงจากหลังม้าด้วยท่วงท่าที่สง่างามพร้อมกับหน้ารับ ก่อนทำแบบเดียวกัน ไม่นานเย่ชิงหานก็เป่านกหวีดทำให้ม้าทั้งเจ็ดอันตรธานหายไป
“ม้าวายุเหล่านี้ค่อนข้างมีจิตวิญญาณ พวกมันเป็นสัตว์เลี้ยงวิญญาณของท่านหรือ?” หลูมู่หยานไม่ได้มีความรู้เกี่ยวกับเหล่าสัตว์วิญญาณในทวีปนี้มากนัก นางรู้แค่เพียงขั้นพื้นฐานที่ได้จากห้องเรียนสัตว์ชั้นสูงเท่านั้น แน่นอนว่ามันไม่เข้ากับสัตว์ทุกตัวบนโลก
เย่ชิงหานอธิบายด้วยรอยยิ้ม “สัตว์ประหลาดระดับที่หนึ่ง ไม่มีค่าของสัตว์เลี้ยงวิญญาณ อาจารย์ด้านอสูรวิญญาณของพวกเรามองไปที่ระดับพลังวิญญาณ และทำข้อตกลงกับสัตว์วิญญาณ”
“เช่น ผู้รับใช้วิญญาณสามารถทำข้อตกลงกับสัตว์เลี้ยงวิญญาณได้หนึ่งตัว แต่การทำข้อตกลงสามารถทำสูงสุดได้เพียงสิบตัวเท่านั้น ฉะนั้นอาจารย์ด้านอสูรจะไม่ทำข้อตกลงกับกับสัตว์อสูรเพื่อหลีกเลี่ยงการเสียโควต้า”
“กล่าวคือ ตระกูลอาจารย์ด้านอสูรของตระกูลเจ้า มีวิธีจำนนกับปีศาจระดับที่หนึ่งอย่างทาเฟิงมาได้ โดยไม่ต้องทำข้อตกลง” หลูมู่หยานเริ่มประมวลผลในใจหลังจากที่ได้ฟังเย่ชิงหานอธิบาย
“มันคือความจริง” ดวงตาที่เย็นชาของเย่ชิงหานแสดงถึงความยกย่องสรรเสริญ ใครว่าเศษขยะอย่างนางจะไม่เห็นดวงตานั่นกันล่ะ มันทั้งฉลาดและมีเสน่ห์มาก ๆ เลยทีเดียว
“การฝึกม้าทวนลมแบบนั้นยากหรือไม่?” หลูมู่หยานเอ่ยถาม นางต้องการที่จะขี่ม้าก่อนที่จะบินด้วยดาบเล่มงาม
เมื่อเห็นดวงตาของ เย่ชิงหานก็เดาได้ว่านางกำลังคิดอะไร “การฝึกนั้นไม่ใช่เรื่องยาก แต่มีเพียงตระกูลของบอาจารย์ด้านอสูรเท่านั้นที่มีวิธีพิเศษที่ทำให้พวกมันเชื่อง หากเจ้าชอบข้าจะส่งไปให้ เจ้ามีม้าหนึ่งตัว เจ้าสามารถเลือกมันได้ในเจ็ดตัวนี้”
“ตกลง! ถ้าอย่างนั้นข้าจะไปขี่ม้าตัวนั้นเดี๋ยวนี้” นางพอใจในวิธีของเย่ชิงหานมาก บุรุษผู้นี้ช่างนิสัยดีเสียจริง
เย่ชิงหานเอ่ย “ไม่เป็นไร” พร้อมรอยยิ้มที่ปรากฏบนริมฝีปาก จากนั้นเขาจึงหยิบแหวนวงเล็ก ๆ ยื่นให้กับหลูมู่หยาน “นี่คือนกหวีดสำหรับควบคุมม้าวิหก เจ้าสามารถใช้เพื่อควบคุมมันได้” เขาอธิบายการควบคุมพาหนะให้หลูมู่หยานทราบ
หลังจากที่เริ่มเรียนรู้ นางสั่นมันและส่งเสียงหัวเราะออกมาเบา ๆ “ขอบคุณ”
ถัดไปไม่กี่แถวทางด้านหลัง หญิงสาวรูปงามเห็นว่านายน้อยของนางและแม่นางไร้ประโยชน์ที่มีชื่อลือชาในเมืองหลวงก็รู้สึกไม่สบายใจ แม้ว่านางอาจไม่ได้เสียใจที่มีใครมาแทนที่ แต่หลูมู่หยานมีดีอะไรบ้าง? นางจะคู่ควรกับนายน้อยได้อย่างไร?
ลู่เหล่าดูสุภาพมากขึ้นและเห็นปลาที่เขาได้ในวันนี้ก็เพราะตัวเขานั้นเคยมีโอกาสเข้ามาที่ขอบของเทือกเขาแห่งเพลิงอัคคีแล้วเมื่อสิบปีก่อน และค่อนข้างคุ้นเคยกับสถานที่แห่งนี้
“แม่นางหลู เจ้าไปพักเถอะ” เย่ชิงหานเอ่ยด้วยรอยยิ้มเพื่อแสดงความมีน้ำใจต่อเพื่อนร่วมทัพ เมื่อสังเกตเห็นใบหน้าของนางซีดลงและมีเหงื่อผุดตามกรอบหน้า
หลูมู่หยานรู้สึกหมดหนทางกับสภาพร่างกายในขณะนี้ นางไม่มีพลังวิญญาณในร่างกายและนางเพิ่งจะฟื้นตัวด้วยหยกน้ำแข็งที่หลูมู่ไป๋มอบให้ก่อนเดินทางเพื่อดับความร้อน นั่นจึงเป็นเรื่องยากที่จะเดินทางต่อไปท่ามกลางพื้นที่ที่มีอุณหภูมิสูงเช่นนี้
“ขะขอโทษ มันทำให้ท่านช้าลง” ใบหน้าเล็ก ๆ ที่สวยงามของนางแสดงรอยยิ้มขอโทษจากใจจริง พร้อมกับจะพยายามปรับสภาพร่างกายให้เข้ากับสถานที่แห่งนี้
“ไม่เป็นไร” เย่ชิงหานเอ่ย พร้อมกับบอกให้คนอื่น ๆ ในทัพพักผ่อนเช่นกัน
หญิงสาวที่ถูกละทิ้งผู้ซึ่งตามหลังมาด้วยมีนามว่า ‘เย่จิง’ นางเป็นหญิงรับใช้ของเย่ชิงหาน และจากทักษะที่ถูกฝึกฝนมาจากตระกูลเย่ ทำให้ตอนนี้นางกลายเป็นนักดาบที่มีทักษะอยู่ในระดับกลาง
“ข้ารู้ว่ามันจะดึงคนอื่นกลับมา แต่ข้าก็ยังไม่รู้ว่าเพื่ออะไร เสียเปล่า” เมื่อเห็นว่านายน้อยของตนเองนึกถึง แต่ก็อดใจที่จะกระแนะกระแหนไม่ได้
หลูมู่หยานแทบจะไม่เคยถูกล้ำเส้นนางในโลกแห่งความเป็นนิรันดร์ แต่ในโลกนี้นางกลับถูกถากถางแทบจะทุกที่ เพราะร่างกายที่เปรียบดั่งสิ่งไร้ค่าหาสิ่งใดเทียบ มันสอดคล้องกับคำพูดที่ว่า ‘เสือล้มที่ผิงหยางและถูกหลอกใช้โดยสุนัข’
“เจ้าบ้านยังไม่ทันพูดอะไร มีแต่สุนัขที่ข้างกายเท่านั้นที่เห่าไม่หยุด” ไม่เคยต้องกลั้นอารมณ์ขนาดนี้มาก่อนในชีวิต นางไม่เคยตบแก้มซ้ายและข้ามแก้มขวาเลย
สังเกตได้ว่า ทั้งเย่ชิงหานและลู่เหล่าไม่ได้ชอบพออะไรสาวรับใช้คนนี้มากนัก แต่ด้วยอัตลักษณ์ส่วนตนและภูมิหลัง ทำให้พวกเขาไม่ได้กลัวที่จะต้องทำให้หญิงรับใช้นางนั้นขุ่นเคือง
“เจ้า!” ใบหน้าของเย่จิงเริ่มเข้มขึ้นด้วยความไม่พอใจ นางไม่คิดว่าหญิงไร้ค่าจะกล้าพูดแบบนี้ออกมา นางคิดอยากจะใช้ดาบในมือแทนเสียด้วยซ้ำ
“หยุด! แม่นางหลูเป็นแขกที่ข้าเชิญมา เย่จิง เจ้าชักจะทะนงเกินไปแล้ว” เย่ชิงหานมองไปยังเย่จิงด้วยสีหน้าเรียบนิ่ง
หญิงรับใช้นางนี้ดูแล้วนับวันยิ่งไม่มีความเกรงใจมากไปทุกที ในตระกูล นางรังแกคนอื่นเพื่อหาผลประโยชน์ให้แก่ครอบครัวของนาง เย่ชิงหานยังไม่ได้คิดบัญชีกับนางเสียด้วยซ้ำไป แต่ในตอนนี้นางกลับดูหมิ่นแขกของเขา ดูเหมือนว่าเย่ชิงหานจะใจดีเกินไปเสียกระมัง
“จิงจิงไม่กล้าหรอกเจ้าค่ะ” เย่จิงกัดริมฝีปากล่างอย่างกล้ำกลืน ในที่สุดนางก็เก็บดาบลงฝัก ทว่าความไม่เชื่อใจกลับไม่สามารถซ่อนเอาไว้ได้
ในฐานะหญิงรับใช้ส่วนตัวของนายน้อยตระกูลเย่ เย่จิงมีแผนที่จะเปิดตัวฐานะนางบำเรอในอนาคต นางถือว่าเย่ชิงหานคือสมบัติส่วนตนมานานแล้ว และนางก็จะไม่ยอมให้คนไร้ราคาอย่างหลูมู่หยานมายุ่งกับนายน้อยเด็ดขาด
ดวงตาของเย่ชิงหานมีแสงเย็นวาบซ่อนอยู่ภายใน เขาต้องการทิ้งเย่จิงให้อยู่ดูแลผู้เป็นลุงของเขา ทว่าตอนนี้ดูแล้วคงจะมากไป
หลูมู่หยานสัมผัสได้ถึงความเย็นชาภายใจดวงตาของเย่ชิงหาน เบะปากและเหยียดยิ้ม นางรับใช้ผู้นี้อหังการเกินไป นางไม่รู้ว่าผู้เป็นนายไม่ได้มีเจตนา หรือเกลียดนางเลยแม้แต่น้อย แต่นายน้อยผู้นั้นรู้สึกอยู่ภายใน
“ไปกันเถอะ” หลูมู่หยานหยัดตัวขึ้นในขณะที่บีบนวดขาของตัวเอง เพราะนางก็ไม่ได้อยากทำให้ทัพของเย่ชิงหานต้องเสียเวลาไปมากกว่านี้อีกแล้ว
เย่ชิงหานเห็นว่าต้องอดทนกับความรู้ไม่สบายกาย และการต้องรีบเดินทาง ทำให้เขารู้สึกว่าทัศนคติของนางยังคงมั่นคง และความรู้สึกที่เขามีให้นางกลับเริ่มเปลี่ยนไป ในอนาคต หญิงผู้นี้จะต้องไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน
ทว่าเมื่อทัพเริ่มเคลื่อนไปยังส่วนลึกของเทือกเขามากเท่าไหร่ จำนวนทหารรับจ้างหรือนักดาบผจญภัยก็ยิ่งมีน้อยมากเท่านั้น หลูมู่หยานหยิบบันทึกที่ซื้อมาจากเด็กหนุ่มจากซิงยี่เพื่อดูแผนที่ด้านใน และก็ต้องพบว่าเส้นทางที่พวกนางกำลังเดินทางอยู่นั้นตรงกับในแผนที่จริง ๆ
แผนที่ทุกร่างวิญญาณออกมา และเปิดดูอีกครั้ง ในนั้นระบุเอาไว้ว่าผลไม้แห่งเพลิงจะพบได้เฉพาะในเขตเปลี่ยนผ่านระหว่างวงกลมด้านนอก พลันเรียวคิ้วของนางก็ขมวดโดยไม่รู้ตัว
“ปีศาจที่เรากำลังตามหานั้นต้องเข้าไปสู่เขตเปลี่ยนผ่านระหว่างขอบและวงกลมด้านนอก มันสามารถช่วยให้เจ้าหาผลไม้ที่ว่านั้นเจอ” เมื่อเห็นคิ้วของนางขมวดจนแทบผูกกัน เย่ชิงหานจึงเอ่ยออกมาพร้อมกับรอยยิ้มเป็นการปลอบประโลม
เมื่อเห็นความจริงใจของเย่ชิงหาน หลูมู่หยานตอบกลับด้วยการพยักหน้ารับ พร้อมเอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า “อืม ข้าหวังว่าการเดินทางในครั้งนี้คงจะได้อะไรกลับไปบ้าง”
หมิงซิ่วไม่ได้สนใจคนรอบข้างที่ลอบมองเขา หากแต่ดวงตาฟีนิกซ์ที่ยาวเรียวภายใต้หน้ากากทำให้หลูมู่หยานมองลึกลงไป แต่เพียงเสี้ยววินาทีมันก็หายวับอย่างรวดเร็วจนคนอื่นไม่สามารถสังเกตได้ทัน เขาหยุดพูด ก่อนจะหายตัวไปเหล่าเย่ที่รอให้หมิงซิ่วจากไป ค่อย ๆ เดินมาหาหลูมู่หยานด้วยรอยยิ้มที่อ่อนโยน “แม่นางไม่เป็นอะไรใช่หรือไม่?” “ขอบคุณท่านเหล่าเย่ที่เป็นห่วงข้า แต่ข้าไม่เป็นไร” หลูมู่หยานยิ้มตอบ พร้อมกับส่ายหัวไปมา หลูมู่หยานรู้สึกถึงแรงสั่นที่มาจากอสูรน้อยในมือของนางที่เริ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ ดวงตาของนางกลับนิ่งเรียบ ก่อนจะเอ่ยกับเหล่าเย่ทั้งที่ยังยิ้มว่า “เหล่าเย่ ข้าคงต้องไปก่อน ข้ามีอะไรต้องทำต่อ” “ตกลง เจ้าทำเถิด” เหล่าเย่สังเกตเห็นอสูรร้ายตัวเล็กในมือของนางอยู่ในสภาพที่ไม่ดีนัก เขาจึงค่อย ๆ พรูลมหายใจออกมาด้วยความเสียดาย หลูมู่หยานพยักหน้า จากนั้นจึงหยิบนกหวีดที่คล้องคอไว้ขึ้นเป่า ใช้เวลาเพียงไม่กี่ลมหายใจ ม้าอาชาตัวสีขาวสว่างก็ปรากฏอยู่เบื้องหน้าทุกคน นางกล่าวลาหยุนหลัน และคนอื่น ๆ ก่อนจะขึ้นไปที่หลังม้าพร้อมกับอสูรกลืนกินวิญญาณ และออกจากหอการค้าหมิงเหมิงเพื่อมุ่งหน้ากลับไปที่บ้าน ใบหน้
ทันใดนั้นก็มีพลังที่นุ่มนวลจำนวนหนึ่งตกลงมาจากท้องฟ้า ห่อหุ้มไปด้วยก้อนกรวดที่ถูกรัศมีดาบของชายชราในชุดดำบดขยี้ ก่อนจะรวมตัวกันอีกครั้งทีละชิ้น แค่เพียงครู่เดียวรอยแตกที่พื้นบลูสโตนใต้ดินก็เริ่มสมาน และกลับคืนสู่สภาพเดิม“แม่นาง เจ้าเป็นหนี้บุญคุณต่อเทพอีกแล้ว” เสียงของบุรุษที่ฟังแล้วเหมือนจะมีความเป็นผู้ใหญ่ดังแว่วผ่านโสตประสาทของหลูมู่หยานราวกับสายลม ความเฉยเมยระหว่างคิ้วและดวงตาของหลูมู่หยานเริ่มถูกแทนที่ด้วยรอยยิ้ม แท้จริงแล้วมือนั้นเป็นฝ่ามือของบุรุษผู้มากไปด้วยเสน่ห์ … หมิงซิ่ว! เมื่อมองไปยังฝ่ามือใหญ่ที่เต็มไปด้วยเปลวเพลิง นางรู้ได้ทันทีว่านี่เป็นคลื่นของการทำสมาธิ และความรู้สึกไว้วางใจก็เกิดขึ้นในใจของนางอย่างอธิบายไม่ได้ หลูมู่หยานหันกลับมา ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองบุรุษผู้กล้าหาญรูปร่างสูงโปร่ง และสวมหน้ากากสีเงินที่กำลังเดินเหมือนกับอยู่ที่บ้านตัวเอง ชุดสีแดงของเขาพริ้วไหวไปตามสายลม และพลังที่แผ่กระจายออกมารอบตัวของเขาก็เผยให้เห็นโดยธรรมชาติ และเมื่อเทียบกับบุรุษทุกคนที่อยู่ตรงนั้น คนอื่น ๆ เปรียบเสมือนเป็นเกราะป้องกันของเขา เหมือนกับหิ่งห้อยที่ไม่สามารถเทียบกับเฮาเยว่ได้
ชายชราชุดดำก้าวไปด้านหน้าสองก้าว ก่อนจะยกฮั่วหยุนเตียวจากพื้นด้วยมือของเขา พร้อมกับแสยะรอยยิ้มแปลก ๆ ออกมา เขายังคงท่องคาถายอมจำนนอสูรร้ายอย่างเงียบ ๆ ในปากและหลังจากท่องเสร็จเขาก็ใช้ดาบลมของหยุนลี่กรีดไปที่นิ้วชี้ และหยดเลือดสีแดงลงที่ขนของเสี่ยวซูหลูมู่หยานคลี่ยิ้มเบา ๆ กอดอก พร้อมกับมองไปที่ชายชราที่กำลังทำการแสดงด้วยท่าทีเย้ยหยันชายชราผู้นี้ยังคงต้องการที่จะปราบอสูรร้ายกลืนกินวิญญาณด้วยวิธีนี้ ช่างเป็นความฝันที่เพ้อเจ้อเสียจริงหลังจากนั้นไม่นาน ชายชราก็พบว่าเลือดที่เขาหยดไปนั้น ไม่สามารถเข้ากับร่างกายของอสูรกลืนกินวิญญาณได้ เขาตกใจ และสายตาของเขาก็เริ่มนิ่ง ก่อนจะหยิบเครื่องรางสีแดงออกมาจากแหวนจักรวาล โดยที่ปากยังคงพึมพำท่องคาถาอย่างเงียบ ๆ และแตะเครื่องรางสีแดงด้วยมือของเขา ก่อนที่มันจะตกใส่ร่างของอสูรร้ายจากนั้นชายชราก็ได้สร้างผนึกที่มีพลังชีวิตแข็งแกร่งขึ้นในอากาศ พร้อมกับบังคับให้เข้าสู่ก้องสำนึกของสัตว์ร้าย จากนั้นก็ได้หยดเลือดลงบนหน้าผากของมันอีกสองสามหยด ดวงตาของมันประกายแสงราวกับมีดาวนับล้าน และนี่คือสัญญาณนักฆ่าในฐานะปรมจารย์อสูรวิญญาณ เขาไม่เชื่อว่าเขาจะยังสามารถจั
หลังจากที่หลูมู่หยานเสร็จสิ้นกับการพูดคุยกับเหล่าเย่ นางก็รีบไปพบหยุนหลันทันที และเมื่อนางออกจากประตูของหอการค้า นางสังเกตเห็นบุรุษวัยกลางคนร่างกายกำยำ และชายชราในชุดสีดำผอมแห้งหยุดอยู่ตรงหน้าหยุนหลัน ก่อนที่นางจะเกิดคำถามขึ้นในใจว่าสองคนนี้เป็นใคร?“มู่หยาน ข้าจะส่งเจ้ากลับไปที่คฤหาสน์นายพล” หยุนหลันพูด ก่อนจะเดินมาหาหลูมู่หยานที่ยืนอยู่ย้อนหลับไปเมื่อครู่ ราชาแห่งเจิ้นซีได้เอ่ยถามพวกเขาถึงผู้ที่ครอบครองฮั่วหยุนเตียว พวกเขาจึงพยายามบ่ายเบี่ยงเพื่อเก็บมันไว้เป็นความลับ ทว่ากู่ยันรันกลับพูดออกไปเสียหมด นั่นจึงเป็นเหตุผลที่ทำไมเขาจึงต้องไปส่งหลูมู่หยานที่คฤหาสน์นายพล“ตกลง” หลูมู่หยานยิ้ม และพยักหน้าแม้ว่าหลูมู่หยานจะตกลงออกไปแบบนั้น แต่นางสัมผัสได้ว่าการที่นางจะเดินทางกลับนั้นไม่ใช่เรื่องง่ายแน่ ๆ “ทำไมต้องกังวลขนาดนั้นด้วยเล่า” หวังเจิ้นซีเอ่ย ก่อนจะยื่นมือออกไปข้างหน้าเพื่อหยุดหยุนหลันเอาไว้ เขาจะปล่อยให้คน ๆ นั้นออกไปได้อย่างไรหวังเจิ้นซีมองไปยังหลูมู่หยานที่สวมใส่ชุดสีม่วง ผมยาวม้วนขึ้นเป็นมวยแบบธรรมชาติ ดวงตานิ่งเรียบ ประกอบกับใบหน้าที่สวยงามน่าเย้ายวนแม้ว่าอายุยังน้อยหลูมู่ห
ราคาของการประมูลของซีซุยตันทำให้คนที่อยู่ในห้องประมูลส่วนตัวหมายเลขเก้าต้องตกใจ สายตาที่เต็มไปด้วยความริษยาจับจ้องไปทางหลูมู่หยานแทบจะเป็นสายตาเดียว เพราะตอนนี้นางจะกลายเป็นสตรีผู้ร่ำรวย ต่อให้พวกเขากลับบ้านไปได้ช่วงหนึ่ง ก็ไม่สามารถหาเหรียญทองคำจำนวนมหาศาลนี้ได้หยุนจินเอ่ยอย่างภาคภูมิใจ “ดูเหมือนจะทำกำไรถึงสามร้อยล้านเหรียญทองเลยนะ” เมื่อมองไปยังใบหน้าที่หล่อเหลาของหยุนจิน หยุนหลัวก็อดมองว่าเขางี่เง่าไม่ได้ เขาอิจฉาที่ลูกพี่ลูกน้องเขาผู้นี้ได้ยามูลค่าสามร้อยล้านเหรียญไปครอบครอง เสี่ยวเซียงเองก็อดไม่ได้ที่จะมองหยุนจินด้วยความไม่สบอารมณ์ เพราะเขาเองก็อยากจะได้ยาเม็ดไขกระดูกเหมือนกันหลังจากการประมูลซีซุยตันในวันนี้ จะสร้างความตื่นเต้นให้อาณาจักรแห่งอัคคี และประเทศอื่น ๆ ในทวีปวิญญาณสวรรค์ เพราะการจะได้มาซึ่งยาเม็ดนั้นเป็นเรื่องที่ค่อนข้างยากดวงตาของกู่ยันรันเต็มไปด้วยเจตนาปองร้ายและอาฆาตแค้น นางไม่เข้าใจว่าทำไมหลูมู่หยานถึงเปลี่ยนไปได้เพียงระยะเวลาแค่ไม่ถึงสามเดือน และนางก็ดีกว่าหลูมู่หยานทุกเรื่อง เว้นพื้นฐานครอบครัว แต่ทำไมนางถึงไม่ได้รับยาซีซุยนั่นนางเกลียด เกลียดหลูมู่หยานขณะ
หลังจากนั้นก็ยังคงมีการประมูลรายการสินค้าอีกหลายอย่างจากหอการค้าหมิงเหมิง ซึ่งซีซุยตันยังไม่ได้เข้าร่วมประมูลโดยตรงหลูมู่หยานยังได้เก็บภาพดอกไม้ลิงสีม่วงที่จำเป็นสำหรับการปรับแต่งจีตัน รวมไปถึงการฝึกฝนอื่น ๆ ทั้งเครื่องมือจิตวิญญาณ ชุดเกราะวิญญาณ แต่นางไม่ได้ต้องการ เพราะรวม ๆ แล้วนางเองได้ประโยชน์มากมายจากการประมูลในครั้งนี้ ณ ห้องประมูลส่วนตัว แขกที่เข้าร่วมการประชุมมักจะเก็บภาพรายการประมูลที่พวกเขาชื่นชอบ ขณะที่เม็ดยาซีซุยไม่ได้รับความสนใจมากนัก ซึ่งอาจเป็นเพราะรูปลักษณ์ของมันที่ไม่ได้ดึงดูดอะไรหลังจากที่รายการสินค้าทั้งหมดถูกประมูลแล้ว หนี่จุนก็ได้คลี่ยิ้มพร้อมกับเอ่ยว่า “การประมูลต่อไปคือรายการสุดท้ายที่ค่อนข้างหนักเป็นพิเศษของหอการค้าหมิงเหมิง และเราก็เพิ่งได้รับเกียรติจากเหล่าเย่ ผู้รับผิดชอบการประมูลโจวกั๋วขึ้นมาเป็นประธาน” เมื่อจบคำพูดของหนี่จุน ผู้เข้าร่วมการประมูลที่อยู่ข้างล่างก็ต่างพากันส่งเสียงวุ่นวายรายการประมูลใดกันที่จะสามารถรบกวนเหล่าเย่ได้ เพราะเขาไม่เพียงแต่เป็นราชาแห่งดาบที่แข็งแกร่งที่สุดเท่านั้น แต่ยังเป็นผู้สะกัดระดับกลางอีกด้วย นั่นทำให้เป็นเรื่องยากที่เข