บทที่ 10 กระชับความสัมพันธ์หรือกระชากความสัมพันธ์
พอได้ยินที่ชายงามทั้งสองพูดออกมา ทำให้รุ่ยฉีถึงกับอยากจะเอามีดมาผ่าหัวสมองน้อย ๆ ดูว่ามีความคิดแบบไหนบ้าง
"ใครเป็นคนกำหนดหรือบอกว่าอันนี้งานผู้หญิงงานผู้ชาย อันนี้ผู้ชายทำได้ผู้หญิงห้ามทำ หรือว่าอันนี้ห้ามผู้ชายทำ" รุ่ยฉีถามออกไป
"ก็ฉันเห็นผู้ชายในหมู่บ้านนี้ไปลงสวนลงนาทำงานข้างนอกทั้งนั้น ดูอย่างบ้านใหญ่ งานในบ้านก็มีพวกป้าสะใภ้ทำทั้งนั้น"
หัวหน้าแก๊งพูด ส่วนลูกน้องก็สนับสนุนด้วยการพยักหน้าเห็นด้วย ดูจริงจังมาก รุ่ยฉีมองแล้วก็หันไปมองซิงอีที่ยืนทำหน้าบูดบึ้งเพราะไม่ค่อยพอใจสักเท่าไร
"แล้วรู้ไหม ผู้ชายออกไปทำงานข้างนอกไปทำอะไรมาบ้าง" รุ่ยฉียังคงถามต่อ
"ก็ทำงานแลกแต้ม หาข้าวหาอาหารเข้าบ้านไงแม่" หัวหน้าแก๊งรีบตอบ
"ใช่ ๆ เหมือนพ่อไปเป็นทหารหาเงินส่งมาให้เราใช้ไง" ตัวเสริมมาอีก
อยากจะแหมไปถึงดาวอังคาร อย่างพ่อไปทำงานหาเงินส่งมาให้ เออจริง ส่งมาเดือนละ 50 หยวนทุกเดือน แต่ไม่โผล่หัวมาจะเกือบ 3 ปีแล้ว ไม่ใช่มีเมียมีลูกใหม่เพิ่มไปแล้วเหรอ ตั้งแต่กลับมาดูลูกชายคนเล็กคลอดจนถึงตอนนี้ ก็ไม่ส่งข่าวถึงขนาดนี้ เจ้าพวกตัวเหม็นยังเห็นพ่อดีอย่างนั้นอย่างนี้ ทีแม่ที่หาข้าวหาปลาให้กินทุกวัน ขยันแย้งขยันเถียงจริง ๆ
"แล้วตอนนี้ทั้งสองคนออกไปทำงานเก็บเเต้มและไปหาเงินมาให้ที่บ้านหรือยัง ไหนล่ะเงิน เอามาสิ" รุ่ยฉีเริ่มรุก
"ถ้ายังทำไม่ได้หรือยังไม่ได้ไปทำก็ต้องช่วยงานบ้าน และเสื้อผ้าพวกนี้มันก็ของทุกคนในครอบครัว เราต้องช่วยกันทำ ไม่ใช่แบ่งว่างานนี้ผู้หญิงต้องทำ ผู้ชายทำไม่ได้ เวลาใส่เสื้อผ้ายังใส่ได้เลย พอจะซักแล้วมาบอกว่างานคนนั้นคนนี้แบบนี้ไม่ได้ เราต้องช่วยกัน เวลากินเรายังกินด้วยกัน ล้างจานก็ช่วยกันล้าง เสร็จแล้วเราก็มีเวลาว่างมาเล่นหรือทำอะไรตามใจชอบ เวลามีความสุข เราก็มีความสุขร่วมกัน เวลาทำงานก็ช่วยกัน เวลากินก็กินด้วยกันเขาถึงเรียกว่าครอบครัว ลองทำดู ถ้าทำแล้วเกิดช็อกเพราะคิดว่าเป็นงานผู้หญิง จะเรียกหมอมารักษาก็แล้วกัน! "
รุ่ยฉีร่ายคำพูดยาวเหยียดเพื่อจะได้ปรับแนวคิดให้พวกเด็กผู้ชายตัวเหม็น เข้าใจหรือไม่เข้าใจ เข้าหูหรือไม่ อันนี้ไม่รู้ แต่รุ่ยฉีถือว่าพูดบ่อย ๆ เป่าหูเรื่อย ๆ มันจะต้องมีสักครั้งบ้างล่ะที่เข้าหู
"...." เด็กตัวเหม็นทั้งสองถึงกับอ้าปากค้างจ้องมองรุ่ยฉี
"ใช่ ๆ ฉันเชื่อแม่จ้ะ" นี่ฝ่ายสนับสนุนรุ่ยฉีเอง รีบกล่าวสนับสนุนเลยนะ กลัวกองผ้าทับใช่ไหมตัวแทนหมู่บ้าน
"แยกผ้าจ้า... กางเกงส่วนกางเกง แยกแล้วใส่ตะกร้านี้ พอแยกเสร็จแล้วช่วยกันยกตามไปตรงบ่อน้ำหลังบ้านนะ"
รุ่ยฉีสั่งงานเสร็จก็ปล่อยให้เด็ก ๆ แยกผ้า เสื้อ กางเกง แยกถุงเท้ากันเอง ส่วนตัวเองเดินแยกออกไปหลังบ้านตรงบ่อน้ำแบบชักรอก แล้วให้ระบบเอาเครื่องซักผ้าอัตโนมัติที่สุ่มจับรางวัลได้ออกมาตั้งใกล้ ๆ บ่อน้ำ ถึงเครื่องจะไม่ต้องใช้ไฟฟ้าก็ทำงานได้ แต่ยังต้องเติมน้ำถึงจะเริ่มทำงานซักผ้าอบผ้าได้ พอระบบเอาเครื่องซักผ้ามาวางไว้ รุ่ยฉีก็เริ่มใช้กระป๋องตักน้ำจากบ่อขึ้นมาเตรียมพร้อม
"ไหนล่ะน้ำยาซักผ้า น้ำยาปรับผ้านุ่ม" รุ่ยฉีเอ่ยถามระบบ
[เครื่องเป็นแบบอัตโนมัติ แค่กดปุ่มสตาร์ต เครื่องจะคำนวณน้ำ คำนวณน้ำยาต่าง ๆ เอง น้ำยาติดมากับเครื่อง ไม่ได้มีแยกมาให้โฮสต์] ระบบเริ่มแจกแจงรายละเอียด
"ถ้ามีตู้รีดผ้าด้วยคงดีเนอะ ซักเสร็จยังไงผ้าก็ไม่เรียบ"
[มีตู้สำหรับรีดผ้าแลกในร้านค้า แค่เพียงเอาเสื้อผ้าเข้าไปแขวนในตู้ ให้เวลาตู้รีดผ้าทำงาน ทุกอย่างก็จะออกมาเรียบร้อย โฮสต์สามารถเอาคะแนนไปแลกได้]
ระบบกลายเป็นตัวแทนการขายแล้ว แต่เท่าที่ฟัง ทาสการตลาดอย่างรุ่ยฉีก็คิดว่ามันดีนะเออ... เริดมาก ประหยัดเวลา สะดวก ที่สำคัญสบายด้วย
"ต้องใช้กี่คะแนน"
[ประมาณ 3 หมื่นคะแนน แต่ถ้าเป็นช่วงลดคะแนน เคยทำโปรโมชันต่ำสุดอยู่ที่ 18000 คะแนน]
"ไปตายไประบบ! " ตอนนี้มี 600 คะแนน ชาตินี้จะได้ไหม! ราคาอะไรจะแพงขนาดนั้น
[...] ระบบ
รุ่ยฉียังคงตักน้ำโดยใช้รอกดึงขึ้นมาเตรียมไว้ และได้ยินเสียงเด็ก ๆ กำลังเถียงกันมาด้วย ช่วยกันยกผ้ามาด้วย
"แม่! ดูพี่ใหญ่กับน้องเล็กสิ ให้ฉันหอบกางเกงเหม็น ๆ พวกนี้! " แม่คนงามเริ่มฟ้อง
"เดี๋ยวซักก็ไม่เหม็นแล้ว เอาเสื้อใส่เข้าเครื่องก่อน ส่วนอย่างอื่นค่อยซักทีหลัง" รุ่ยฉีบอก
"โหแม่! มีเครื่องแบบนี้ด้วยเหรอ ฉันเคยได้ยินอาหญิงบอกว่าแถวหน้าโรงเรียนในเมืองจะมีร้านรับจ้างซักผ้าโดยใช้เครื่องซักอยู่หน้าโรงเรียน มีเครื่องหมุน ๆ กลม ๆ มันเหมือนกันไหมแม่! "
เด็ก ๆ ดูตื่นตากับเครื่องซักผ้า แต่คนที่เก็บอาการไม่อยู่แถมพูดมากก็ไม่พ้นตัวแทนหมู่บ้านนั่นเอง
"เราไม่ต้องนั่งซักแบบบ้านใหญ่แล้วใช่ไหมแม่" ลูกสมุนตัวน้อยถาม
"ไม่ต้องแล้ว เรามีเครื่องซัก แค่แยกผ้าเวลาซักก็พอ ที่นี้ก็อย่าเกี่ยงกันแยกผ้า และอย่าบอกใครว่าบ้านเรามี เพราะถ้าคนรู้... "
"ขโมยใช่ไหมแม่ ฉันได้ยินมาว่าบ้านใครมีอะไรดี ๆ แล้วมันจะมีขโมยหรือโจรมาขโมยไป" อันนี้หัวหน้าแก๊งเป็นคนรีบพูดขึ้นทั้งที่รุ่ยฉียังพูดไม่จบ ดูแล้วหัวหน้าแก๊งจะชอบเครื่องซักผ้า เห็นเอามือลูบ ๆ คลำ ๆ เครื่องอยู่แบบนั้นตั้งแต่มาถึงแล้ว
"ใช่แล้ว เราถึงต้องเก็บเป็นความลับ ถ้าเครื่องซักผ้าโดนขโมยไป เราก็ต้องกลับมาซักมือนะ" รุ่ยฉีรีบสนับสนุนความคิด
พอพวกเด็ก ๆ ได้ยินก็พากันพยักหน้าเห็นด้วยกับเรื่องนี้ ทั้งสี่คนช่วยกันทำกิจกรรมนี้ใช้เวลาพอสมควร เพราะผ้าค่อนข้างเยอะต้องแบ่งซัก 2 รอบระหว่างเสื้อกับกางเกง ส่วนถุงเท้า จากที่รุ่ยฉีดูสภาพแล้ว รุ่ยฉีตัดสินใจทิ้งทั้งหมด ไหนจะขาด ไหนจะเลอะจนมองสีเดิมไม่ออกว่าเป็นสีอะไร ค่อยเอาของที่มีในมิติออกมาใช้ใหม่เอา ช่วงรอเสื้อซักเสร็จ รุ่ยฉีได้ตักน้ำไปเติมตามตุ่มที่มีอยู่ในบ้าน ไม่ว่าจะเป็นห้องครัว ห้องน้ำ ส่วนน้ำกินมีแยกต่างหาก น่าจะมาจากพวกน้ำฝน พอซักเสื้อชุดแรกเสร็จ ทุกคนก็ช่วยกันเอาออกจากเครื่อง ถึงจะอบจนแห้งแล้ว แต่รุ่ยฉีก็เอามาสะบัดและผึ่งตากแดดตากลมอีกสักพัก ผ้าจะได้ไม่ยับ พอช่วยกันเสร็จก็ใส่กางเกงลงในเครื่องซักรอบสอง รอบนี้เด็ก ๆ ขอไปช่วยตัวแทนหมู่บ้านรดน้ำสวนดอกไม้ รุ่ยฉีก็อนุญาตให้ไปทำกันเอง รุ่ยฉียืนดูสวนหลังบ้านแล้วคิดว่าควรทำอะไรกับพื้นที่ว่างนี้ดี ปลูกผักหรือจะเลี้ยงหมูหมากาไก่ดี หัวก็คิดวางแผนไปเรื่อย
"ระบบ... ฉันอยากรู้ว่าโลกนี้มันเหมือนยุค 70 ที่ฉันจากมาไหม หรือมันมีอะไรแปลกใหม่ อันไหนทำได้ไม่ได้บ้าง จะได้วางแผนได้ถูก" ก่อนอื่นต้องเข้าใจโลกนี้ก่อนว่าเป็นแบบไหน ห้ามอะไรบ้าง
[โลกนี้คล้ายยุค 70 ที่โฮสต์จากมา แต่ไม่เหมือนกันทุกอย่าง มีระบบคอมมูนเป็นศูนย์กลางในการจัดเก็บแต้มคะแนนในการทำงาน ใครทำก็ได้ส่วนแบ่ง ครอบครัวไหนไม่ทำก็ไม่ได้ส่วนแบ่ง ใครทำมากได้ส่วนแบ่งมาก ทำน้อยก็ได้น้อย ที่นี่ซื้อขายแลกเปลี่ยนไม่ผิดกฎ ทำได้เสรี ถ้ามีเงินและมีสินค้า แต่ถ้าใครเปิดร้านขายต้องไปลงทะเบียนกับคอมมูนที่ในอำเภอเพื่อเปิดร้านคล้าย ๆ ลงทะเบียนและเสียภาษีรายปีก็สามารถเปิดร้านขายได้เลย อันนี้แตกต่างจากโลกที่โฮสต์จากมา เพราะถ้าเป็นโลกเดิมจะต้องแอบขายและต้องไปซื้อขายที่ตลาดมืด]
"มิน่าล่ะ ร่างนี้ถึงได้ไปลงทะเบียนร้านค้าเตรียมขายของในอำเภอ ถือว่ามีความคิดที่จะขยับขยาย ไม่นั่งรอนอนรอแต่เงินเดือนจากสามีอย่างเดียว"
ช่วงสองเดือนมานี้ ร่างเดิมนี้ไปเดินเรื่องซื้อตึกและต่อเติมตกแต่งเพื่อจะเปิดร้านขายของในอำเภอ และจะพาเด็ก ๆ ย้ายไปอยู่ในอำเภอเพื่อที่จะให้ลูกชายคนโตได้เข้าเรียนในตอนอายุ 6 ขวบ เธอวางแผนทุกอย่างเป็นอย่างดี ร่างเดิมค่อนข้างมีเงินมีฐานะ แต่ไม่ยอมบอกใครว่าตัวเองมีสมบัติอะไรที่พ่อแม่ทิ้งไว้ให้บ้าง ไม่ว่าจะบ้านในเมือง เงินในบัญชีที่ฝากธนาคารอีก ถือว่าเป็นเศรษฐินีเลยก็ว่าได้ เธอไม่เคยรอเงินเดือนจากสามี ส่งมาก็รับไว้ แต่ไม่ถึงกับเรียกร้อง ให้เท่าไรก็เอาเท่านั้น
หลังจากทะเลาะกับสามีรอบสุดท้ายตอนคลอดลูกชายคนเล็ก รุ่ยฉีก็ไม่เคยส่งข่าวหรือติดต่ออะไรอีก เธอเลี้ยงลูกด้วยตัวเอง พอร่างกายแข็งแรงเธอก็เริ่มขยับขยายวางแผนที่จะทำร้านขายของในเมือง แต่พึ่งจะมายุ่งช่วงนี้ เพราะพึ่งจะได้ร้านและตกแต่งร้านช่วงสองเดือนมานี้แหละที่ปล่อยปละละเลยลูก ๆ เธอไม่ได้บอกลูกเกี่ยวกับเรื่องนี้ เพราะเธอคิดว่าพวกเขายังเด็กและคิดว่าพอถึงเวลาย้ายพวกลูก ๆ คงรู้เรื่องเอง โดยที่ไม่ได้คิดว่าบ้านใหญ่จะพูดให้ร้ายเธอเกี่ยวกับช่วงสองเดือนที่เธอเข้าเมืองแทบทุกอาทิตย์
"เฮ้อ... เห็นใจเธอจัง ฉันจะทำตามแบบที่ร่างเดิมวางแผนไว้แล้วกัน เพราะเธอวางแผนไว้ค่อนข้างดีแล้ว"
รุ่ยฉีตัดสินใจจะทำตามแผนเดิม ยังไงเด็ก ๆ ก็ต้องได้เรียนที่ในเมือง บ้านก็มีอยู่ที่นั่น ไหนจะร้านที่พึ่งซื้อและลงทะเบียน จะไปกลัวอะไร ส่วนของขายนะเหรอ ก็ในมิติไง ไม่ต้องลงทุนเยอะ เงินแก้ปัญหาได้แทบทุกอย่าง เก็บเงินค่ะ!!
ตอนพิเศษ 3ตัวป่วนแห่งยุค 70(แก๊งมงกุฎ)วันนี้รุ่ยฉีตื่นแต่เช้าเพื่อมาช่วยเฟยหรงเตรียมอาหารให้ลูก ๆ ของเธอที่จะไปทัศนศึกษา ดูเหมือนไปไกล แต่จริง ๆ แค่ภูเขาหลังบ้านเธอนี่แหละ และถามว่าไปทัศนศึกษากับโรงเรียนหรือยังไง ก็อยากจะหัวเราะดัง ๆ ว่าวันนี้โรงเรียนปิด ที่ว่าไปก็ไปกันทั้งบ้านนั่นแหละ แต่เพราะสองสาวที่กำลังเห่อการไปทัศนศึกษาที่ได้ไปกับโรงเรียนเมื่ออาทิตย์ที่แล้ว เลยอยากไปอีก เฟยหรงผู้ไม่เคยห้ามลูกสาวก็ตามใจ พาไปทัศนศึกษาที่ภูเขาที่อยู่ติดกับหลังบ้านนี่แหละ"เย่วเย่วตื่นเต้นมากเลยค่ะ" สาวน้อยเย่วเย่วที่ดูตื่นเต้นกับการไปทัศนศึกษาหลังบ้านในครั้งนี้เฟยหรงที่เตรียมอาหารอยู่หันมาหัวเราะกับท่าทางของเย่วเย่ว"พร้อมหรือยัง" "พวกหนูพร้อมแล้วค่ะ... แต่น้องสาวฉิงฉิงยังไม่พร้อมค่ะ" เย่วเย่วตอบแม่ใหญ่น้องน้อยของเธอไม่ยอมใส่เสื้อผ้าที่เธอกับพี่สาวอาอีเตรียมให้ น้องน้อยจะเอาแต่สีแดง คุณครูบอกว่าเวลาขึ้นเขาเข้าป่าให้ใส่สีทึบเพื่อไม่ให้สัตว์ป่าตกใจ เพราะถ้ามันตกใจ มันอาจวิ่งมาทำร้ายเราได้ แต่น้องน้อยจะใส่สีที่แม้แต่ยืนอยู่โรงเรียนยังมองเห็น มันแดงมาก เธอไม่รู้จะบอกน้องน้อยยังไงดี"เดี๋ยวแม่ไปดู
ตอนพิเศษ 2ตอนนี้เฟยหรงอยู่ที่โรงพยาบาลในเมืองซูโจว เนื่องจากอยู่ ๆ แม่เฒ่าซ่งก็เกิดอาการชักเกร็งเป็นลมหมดสติไป ทำให้ต้องรีบหามส่งโรงพยาบาล อาการยังไม่แน่ชัดว่าเป็นยังไงบ้าง"เป็นยังไงบ้างพี่ใหญ่" เฟยหรงที่มาเจอกับพี่ชายคนโตก็ถามขึ้นทันทีที่เจอ"หมอยังไม่บอกอะไร พี่ก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน ตอนนี้ฟื้นแล้ว แต่ยังมีอาการเหม่อลอย พูดบ่นอะไรไม่รู้ตลอดเวลา บางทีก็ทำอะไรแปลก ๆ " "แล้วแม่รู้เรื่องไหม รู้ตัวไหมเวลาที่ทำ""รู้ตัวเป็นบางครั้ง บางครั้งก็ไม่รู้ตัว เข้าไปพร้อมกันไหม หมอเพิ่งให้เข้าเยี่ยม" "ครับ"พอเข้าไปในห้องพักคนไข้ก็เห็นแม่ของเขาที่นั่งเหม่อลอยมองออกไปข้างนอก ช่วงก่อนพี่ใหญ่จะถูกปล่อยตัว แม่ต้องเก็บตัวอยู่อย่างเงียบ ๆ คนเดียว ลูกหลานไม่มีใครเข้าหา เพราะทุกคนกลัวแม่หาเรื่องหรือหาปัญหามาให้ พี่น้องทุกคนแยกบ้านกันอยู่เพราะไม่อยากให้มีปัญหา แวะเวียนมาหาเยี่ยมแม่เป็นบางครั้ง จนพี่ใหญ่กลับมานี่แหละที่เข้ามาดูแลมาหาบ่อย ๆ ทั้งสองคนเลยเดินไปนั่งลงข้าง ๆ"แม่หิวไหม ผมซื้อข้าวต้มกับขนมมาให้" ลูกชายคนโตเอ่ยถามแม่"หรือจะกินผลไม้ น้องสี่เอามาให้เยอะแยะเลย" เมื่อเขาเห็นแม่ยังนั่งเงียบ เขาเลยพูด
ตอนพิเศษ 1ตอนนี้รุ่ยฉีและทุกคนในครอบครัวกลับมาเที่ยวเมืองซูโจว ซึ่งได้กลับมาอยู่บ้านหลังเดิมในหมู่บ้านที่ตอนแรกตั้งใจจะขาย ติดประกาศขายไว้นาน แต่ก็ยังไม่มีคนมาติดต่อซื้อ อาจเพราะราคาที่เธอตั้งไว้มันค่อนข้างสูงเกินไป จึงทำให้ชาวบ้านไม่ซื้อกัน พวกเราเลยตัดสินใจเก็บบ้านไว้จ้างคนมาดูแลทำความสะอาดประจำ มีโอกาสก็กลับมาพัก และรุ่ยฉีรู้สึกว่าที่นี่ยังมีความทรงจำดี ๆ ถึงตอนแรกจะตัดสินใจขาย แต่พอเอาเข้าจริง ๆ ก็ใจหาย ยังดีที่ไม่มีคนมาซื้อ และตอนนี้รุ่ยฉีได้คลอดลูกสาวแล้ว แต่จะเป็นลูกสาวขี้อายไหม อันนี้ไม่อยากพูด..."หม่ำ หม่ำ" 'ซ่งอ้ายฉิง' ลูกสาวขี้อาย (มั้ง) ของเธอเอง หรือที่ทุกคนเรียกว่า 'ฉิงฉิง'ตอนนี้อ้ายฉิงอายุ 9 เดือนแล้ว กำลังกินข้าวบดที่รุ่ยฉีแลกมาจากร้านค้าในระบบ กินเก่งเหมือนสมุนตัวน้อย ขี้โวยวาย แค่ป้อนไม่ทันใจก็ร้องหม่ำหม่ำแล้ว มือเร็วที่สุด ถ้าชามอยู่ใกล้เป็นต้องเอามืออ้วน ๆ ขาว ๆ นั่นมาคว้าทันที คิดว่าขี้อายไหมล่ะ... รุ่ยฉีอยากจะหัวเราะ ถึงยังไงพ่อกับพี่ก็ยังเรียกลูกสาวขี้อาย น้องสาวขี้อาย..."ใจเย็น ๆ นะครับลูก" เฟยหรงที่ทำหน้าที่ป้อนข้าวบดลูกสาวพยายามบอกให้ลูกสาวใจเย็น ๆ"แอ๊ ๆ
บทที่ 52 บทส่งท้ายเติบโตและก้าวไปด้วยกันรุ่ยฉีเจอเหตุการณ์หลาย ๆ อย่างทำให้เธอคิดได้ว่าไม่ควรช่วยคนสุ่มสี่สุ่มห้า เพราะบางคนช่วยมาแล้วก็มาสร้างความเดือดร้อน มาสร้างปัญหาให้ภายหลัง ช่วงหลังมานี้ รุ่ยฉีแทบไม่ออกไปไหนและไม่ช่วยใคร นอกจากเด็กเร่ร่อนที่หนิงหลงช่วยมาจากการถูกลักพาตัวไปแล้วมาขอความช่วยเหลือจากโรงเรียนของเธอ เรื่องนี้รุ่ยฉีปฏิเสธไม่ได้ เพราะเธอสงสารเด็กด้วย และอีกอย่างเรื่องช่วยเหลือเด็กเร่ร่อนคือภารกิจใหม่และภารกิจหลักของเธอในตอนนี้ เผื่อเรื่องนี้จะอนุมัติ ระบบของเธอยื่นเรื่องไปถึงสองปีกว่า ๆ แต่ก็ถือว่าคุ้ม ได้ช่วยเด็ก ๆ ตอนนี้เธอช่วยแค่เด็ก ๆ ส่วนคนโตนั้น เธอไม่อยากหาปัญหามาให้ตัวเองปวดหัวอีกแล้วตอนนี้ทุกสิ่งทุกอย่างเริ่มเข้าที่เข้าทางหมดแล้ว รุ่ยฉีแทบไม่ต้องทำอะไรมาก ลูก ๆ ของเธอโตขึ้นมาบ้างแล้ว และมีแนวโน้มจะไปในทางที่ดี หัวหน้าแก๊งของเรา 11 ขวบ โตขึ้น สูงขึ้น เข้มขึ้นแต่ยังพูดน้อยเหมือนเดิม ซิงอีกับเย่วเย่วอายุ 10 ขวบเริ่มสูงขึ้น ซิงอีมีแววสวยเฉี่ยวตั้งแต่เด็กอยู่แล้ว และในอนาคตดูท่าทางซิงอีจะเป็นสาวมั่นตัวแม่แน่ ๆ เย่วน้อยของเรานั้นเป็นสาวหวานทั้งหน้าตาท่าทางและการพ
บทที่ 51 ไม่ถอดใจ... ไม่หมดหวังจากเหตุการณ์สะดุดอากาศล้มในวันนั้น ทำให้เจียวจูได้ทหารคนนั้นเป็นสามี ไม่ต้องบอกก็คงรู้ว่าเพราะอะไร ทำไมถึงได้รวดเร็วทันใจขนาดนั้น ก็เพราะสองสาวที่ตะโกนลั่นโรงเรียนให้คุณครูไปช่วยลุงทหาร ทั้งวิ่งทั้งตะโกนไปทั่วโรงเรียนจนคนรีบตามมาช่วยและได้เห็นทั้งสองที่กอดรัดกันอยู่ เมื่อมีคนมาเป็นสักขีพยานมากมาย เจียวจูเลยได้นายทหารคนนั้นเป็นสามี รุ่ยฉีไม่อยากจะคิดเลย ถ้ายอมให้เธอทำงานที่บ้านต่อจะเป็นยังไง ยังดีที่รีบบอกให้ไปช่วยงานที่อื่น ไม่อย่างนั้นคนที่โดนเจียวจูล้มทับอาจเป็นเฟยหรงก็ได้ ใครจะไปรู้ตอนนี้หลาย ๆ อย่างเริ่มเข้าที่เข้าทางบ้างแล้ว โรงเรียนก็มีครูใหญ่เป็นคนดูแลจัดการให้ ส่วนโรงพยาบาลก็เริ่มมีหมอ มีพยาบาลผู้ช่วย แต่ก็ยังไม่ได้เปิดแบบเป็นทางการ รุ่ยฉีอย่างให้ทุกอย่างค่อยเป็นค่อยไป"แม่ใหญ่คะ... วันนี้โรงเรียนหยุดเหรอคะ" เย่วน้อยที่นั่งกินบิสกิตจิ้มนมพูดขึ้น"ใช่ค่ะ" รุ่ยฉีตอบกลับเย่วน้อย"คุณครูบอกว่าใกล้วันกีฬาสี... ต้องขยันซ้อม" อาอีที่นั่งอยู่ข้าง ๆ พูดขึ้นรุ่ยฉีก็นึกขึ้นมาได้ว่าโรงเรียนจะจัดกีฬาสี ถึงจะมีนักเรียนน้อยแต่ก็ทำกิจกรรมทุกอย่างเหมือนโรงเรีย
บทที่ 50 สะดุดอากาศตั้งแต่วันนั้นที่รุ่ยฉีเห็นบรรยากาศแปลก ๆ บนโต๊ะกับข้าว เธอก็คอยสังเกตดูตลอดว่ามันมีอะไรผิดปกติบ้างไหม เจียวจูยังทำงานที่บ้านเธอตามปกติ แต่ส่วนมากเหมือนเธอจะหลบหน้ารุ่ยฉี แต่รุ่ยฉีก็ยังไม่ปักใจเชื่อว่าเป็นแบบที่เธอสงสัยหรือเปล่า และอีกอย่าง ตอนนี้เฟยหรงก็ไม่ค่อยอยู่บ้าน เพราะต้องออกไปประสานงานให้เธอในหลาย ๆ เรื่อง"เจียวจู ตั้งแต่พรุ่งนี้ไม่ต้องมาทำงานที่นี่แล้วนะ ไปช่วยงานที่โรงเรียนได้เลย ฉันแจ้งครูใหญ่ให้แล้ว""ไม่ค่ะ... ฉันชอบทำที่นี่""แต่ฉันให้เธอไป! ถ้าไม่ทำก็ไปอยู่ที่อื่น" บอกดี ๆ ไม่ชอบ... ไปไม่ไป!"แต่คุณเฟยหรงชอบที่ฉันทำอาหารที่มีผักให้เด็ก ๆ กินนะคะ" เจียวจูไม่ยอมไปง่าย ๆ"เขาบอกตอนไหน! " รุ่ยฉีถามกลับกินผักมันก็ดีอันนี้รุ่ยฉีไม่เถียง แต่ใครก็ทำเมนูผักได้ไม่ใช่หรอ"บอกทุกวันค่ะ""คุณหลงครับ... คุณหลงอยู่ไหมครับ"รุ่ยฉียังไม่ทันได้พูดอะไรกับเจียวจู เพราะมีคนมาตะโกนเรียก น่าจะเป็นครูใหญ่เพราะเธอจำเสียงนี้ได้"เข้ามาก่อนค่ะ" พอเห็นว่าเป็นใคร รุ่ยฉีก็เชิญเข้าบ้านแล้วพาไปที่ห้องรับแขกเจียวจูพอเห็นว่าครูใหญ่มาก็เอาน้ำออกมาต้อนรับ พอเสร็จก็ออกจากห้องรับแขกทั