แต่เรื่องดำมืดที่หัวหน้าใหญ่ไปเคยก่อเอาไว้ก็มีอยู่ไม่น้อย ซึ่งแต่ละเรื่องก็ร้ายแรงมากพอที่จะเอาชีวิตของเขาได้เลย นอกจากนี้ยังมีเรื่องน่ากลัวที่แม้แต่ตัวเขาเองก็ยังไม่รู้อยู่ด้วยอีกต่างหากในมือของหัวหน้าใหญ่ไป๋มีกลุ่มมือสังหารที่ฟังแค่หัวหน้าใหญ่ไป๋เพียงคนเดียวอยู่กลุ่มหนึ่ง แม้จำนวนคนจะมีไม่มาก แต่ก็เคยก่อกรรมทำชั่วกันมาไม่น้อยนอกจากหัวหน้าใหญ่ไป๋แล้ว เรื่องต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในองค์กรส่วนใหญ่ก็มีส่วนที่เกี่ยวข้องกับเขาอยู่ไม่น้อย หากเรื่องเหล่านั้นถูกเปิดเผยออกไป แม้ว่าจะไม่ทำให้ตนถึงตาย แต่ชีวิตนี้ของตนก็คงต้องจบสิ้นแล้วเป็นแน่รวมถึงตัวของพยัคฆ์ทมิฬเองก็ด้วยสีหน้าของทั้งสองเต็มไปด้วยความรู้สึกตกใจ คิดไม่ถึงเลยว่าภายในระยะเวลาอันสั้น ท่านราชามังกรจะสามารถเปิดโปงเรื่องราวอันดำมืดทั้งหมดในอดีตของพวกเขาออกมาได้นี่เขาจะต้องเป็นคนที่มีอิทธิพลและอำนาจที่น่ากลัวเพียงใดกันในเวลานี้ ทั้งสองก็ยิ่งสัมผัสได้ถึงความน่ากลัวของท่านราชามังกรมากขึ้น สัมผัสได้ถึงความกลัวที่กำลังกัดกินเข้าไปยังส่วนลึกในจิตใจของพวกเขาขณะเดียวกัน ทั้งสองก็อดไม่ได้ที่จะมองหน้ากัน ก่อนจะเห็นความรู้สึกตกใจและความ
ทั้งสองเดินไปพร้อมกัน ไม่นานพวกเขาก็มายืนอยู่ตรงหน้าของไป๋หยางเนื่องจากอยู่ในโรงพยาบาลเดียวกัน จึงใช้เวลาไม่ถึงห้านาทีก็ไปถึงตัวของอีกฝ่ายแล้วเมื่อเห็นว่าพยัคฆ์ทมิฬเดินเข้ามาหาด้วยท่าทีรีบร้อน ไป๋หยางก็ยิ่งคิดว่าพยัคฆ์ทมิฬกำลังกลัวตนมาก เขาจึงหันไปมองสาวสวยที่กำลังคลอเคลียกับตนอยู่ข้าง ๆ ก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงฮึดฮัดขึ้นมาว่า “ยังถือว่าโชคดีที่แกมาได้เร็ว เพราะไม่อย่างนั้นฉันก็คงต้องให้บทเรียนกับแกสักหน่อย”“ไป๋หยาง แกทำเกินไปแล้วนะ!” ไป๋เถาเดินตรงมาจากด้านหลัง และพูดขึ้นมาด้วยเสียงทุ้มต่ำเมื่อไป๋หยางสังเกตเห็นไป๋เถา เขาก็รู้สึกตึงเครียดขึ้นมาในทันที แต่ไม่นานก็นึกขึ้นได้ แม่ของตนเคยพูดเอาไว้ว่า ตอนนี้ไป๋เถาได้กลายเป็นคนไร้ประโยชน์ไปแล้ว จากนี้ไปก็ไม่ต้องไปสนใจเขาอีกยิ่งไปกว่านั้น เมื่อก่อนไป๋เถาคนนี้ชอบทำให้เรื่องดี ๆ ของตนต้องพังไม่เป็นท่าอยู่ตลอด แถมตอนนี้ยังกล้ามายั่วโมโหตนอีก เช่นนั้นก็ถือโอกาสคิดบัญชีไปพร้อมกันเลยก็แล้วกันเพราะเหตุนี้ สีหน้าของไป๋หยางจึงเปลี่ยนเป็นเย่อหยิ่งขึ้นมาทันที ก่อนจะพูดเหน็บแนมออกไปว่า “ฉันกำลังคิดอยู่เลยว่าใครกัน ถึงได้กล้ามาตำหนิว่าฉันทำเกินไป
คนที่ฉันเผลอไปล่วงเกินงั้นเหรอ?จู่ ๆ ไป๋หยางก็นึกถึงเรื่องที่ตนเพิ่งเจอกับเย่เทียนหยู่ขึ้นมาได้ เขามักจะรู้สึกหงุดหงิดกับท่าทีของอีกฝ่ายอยู่เสมอ อีกฝ่ายหมายความว่ายังไงที่บอกว่าตนกำลังจะตายอยู่แท้ ๆ แต่กลับยังไม่รู้ตัว มักจะรู้สึกว่ามีอะไรบางอย่างไม่ถูกต้องอยู่ตอลดตอนนี้เหมือนว่าในที่สุดเขาจะเข้าใจทุกอย่างแล้วและในเวลานี้ เห็นได้ชัดว่าเขาเองก็เริ่มรู้สึกเสียใจขึ้นมาแล้วด้วยเช่นกันบนโลกนี้ไม่มียาที่ช่วยรักษาความเสียใจ ทั้งสองมีอคติต่อตัวเขามากขนาดนั้น คงไม่คิดจะฆ่าตนหรอกใช่ไหม เขารู้สึกตกใจอย่างมาก ก่อนจะรีบตะโกนเสียงดังเพื่อขอความช่วยเหลือทันทีแต่ในขณะเดียวกันนั้นเอง ไป๋เถาก็ก้าวไปข้างหน้าหนึ่งก้าว ก่อนจะใช้มือจับไปที่คอของไป๋หยางทันทีสีหน้าของไป๋หยางดูซีดเผือด เต็มไปด้วยความรู้สึกหวาดกลัว พลังของไป๋เถาฟื้นฟูกลับมาได้อย่างไร เขากลายเป็นพวกไร้ประโยชน์ไปแล้วไม่ใช่เหรอ“ทำตัวดี ๆ หน่อย ไม่แน่ว่าฉันอาจจะให้โอกาสรอดกับแกสักครั้งก็ได้ ขืนยังไม่เชื่อฟังล่ะก็ อย่าหวังว่าแกจะรอดพ้นคืนนี้ไปได้เลย” ไป๋เถาพูดอย่างเย็นชาไป๋หยางกลัวจนต้องพยักหน้าตอบรับอย่างรวดเร็วไป๋เถาค่อย ๆ ปล่อยม
ตระกูลเล็ก ๆ อย่างตระกูลหนานกงงั้นเหรอ?นอกจากนี้เขาก็เพิ่งจะตอนหนานกงเล่อแห่งตระกูลหนานกงจนเป็นขันทีไปแล้วด้วยหนานกลเล่อคือใคร นั่นมันคุณชายจากตระกูลหนานกงที่ไป๋หยางคอยประจบเอาใจอยู่ตลอดไม่ใช่รึไงไป๋เถาแทบช็อกไปเลยหมายความว่ายังไงที่บอกว่าตระกูลหนานกงก็แค่ตระกูลเล็ก ๆ ตระกูลหนึ่ง นั่นเป็นถึงหนึ่งในตระกูลที่มีอำนาจมากที่สุดแห่งอาณาจักรมังกรเชียวนะ แถมอนาคตอาจจะได้ขึ้นเป็นหนึ่งในสี่ตระกูลใหญ่แห่งอาณาจักรมังกรอีด้วยอำนาจที่ยิ่งใหญ่ขนาดนี้ นายท่านกลับไม่เห็นอยู่ในสายตาเลยแม้แต่น้อยถึงขั้นทำให้คุณชายรองแห่งตระกูลหนานกงอย่างหนานกลเล่อเป็นขันทีไปแล้วอีกต่างหาก นี่ถือเป็นความอัปยศอย่างยิ่ง แต่ตระกูลหนานกงก็กลับไม่กล้าทำอะไรนายท่านนี่จะต้องเป็นความอหังการที่ยิ่งใหญ่เพียงใดกัน!จากมุมมองของไป๋เถา นักรบก็ยังคงเป็นนักรบอยู่วันยังค่ำ โลกใบนี้ถูกกำหนดให้ฟังคำสั่งของผู้ที่มีอำนาจ ต่อให้คุณจะเก่งมากแค่ไหน สุดท้ายแล้วก็ยังคงมีผู้อารักขาเฟยหลงที่กุมอำนาจเหนือคุณอยู่ดีในสายตาของผู้คนมากมาย เป็นเพราะมีผู้อารักขาเฟยหลงคอยควบคุมเหล่านักรบทั่วโลกอยู่ จึงทำให้นักรบเหล่านั้นไม่กล้าทำอะไรที่เกิ
ในขณะเดียวกันนั้นเอง เขาก็นึกถึงเบอร์โทรศัพท์อีกเบอร์ขึ้นมาได้ ซึ่งคนผู้นั้นก็เป็นคนของคุณชายหนานกงด้วยเช่นกัน เพียงแต่อาจจะไม่ค่อยสนิทกันสักเท่าไหร่ ก่อนที่เขาจะรีบกดเบอร์โทรหาในทันทีถึงอย่างไร ตระกูลหนานกงก็เป็นเพียงที่พึ่งเดียวของเขาในตอนนี้ ต่อให้ต้องล่วงเกิน เขาก็อยากที่จะลองเสี่ยงดวงดูสักครั้งครั้งนี้สายได้มีการเชื่อมต่อแล้วจริง ๆ แต่เมื่ออีกฝ่ายได้ยินว่าไป๋หยางต้องการต่อสายหาหนานกงเล่อ เขาก็กลับพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาออกมาว่า ตอนนี้หนานกงเล่อกลายเป็นคนไร้ประโยชน์ไปแล้ว และหายไปจากตระกูลหนานกงแล้วด้วยเมื่อเรื่องเดินมาถึงจุดนี้ ไป๋หยางก็สามารถยืนยันเรื่องทุกอย่างได้ในที่สุดในเวลานี้ ในที่สุดเขาก็เข้าใจ ว่าตนได้เผลอไปล่วงเกินกับการดำรงอยู่ที่น่าสะพรึงกลัวเข้าให้แล้วและตอนนั้นเอง เขาก็นึกถึงคำพูดที่อีกฝ่ายพูดเอาไว้ในวันนี้ขึ้นมาได้ ที่บอกว่าเขากำลังจะตายอยู่แล้วแท้ ๆ แต่กลับยังไม่รู้ตัวอีกที่แท้ คนที่ถูกมองว่าเป็นตัวตลกก็คือตัวของเขานี่เองส่วนตระกูลไป๋ ในเมื่อได้ทำการมอบหมายให้ไป๋เถาดูแลต่อแล้ว เย่เทียนหยู่ก็ไม่มีเวลาไปสนใจเรื่องเล็กน้อยเหล่านี้อีก เขาจึงได้รออยู่ที่บ้าน
“ฮึ ๆ!”“ในห้องทำงานก็ยิ่งดีสิ จะได้เป็นการเปลี่ยนบรรยากาศไปด้วยเลยไง”เย่เทียนหยู่หัวเราะเบา ๆ เขาเริ่มทำการพลิกตัว แล้วกดหลินหว่านหรูลงบนโต๊ะทำงานทันที ก่อนจะใช้มือขวาลูบไล้ไปยังส่วนนั้นของเธอว้าย!หลินหว่านหรูส่งเสียงครางออกมาเบา ๆ ร่างกายสั่นเทาจนเกือบจะควบคุมเอาไว้ไม่อยู่ และต่อมาเธอก็ควบคุมร่างกายเอาไว้ไม่อยู่จริง ๆ เธอตกอยู่ในภวังค์โดยสมบูรณ์เห็นได้ชัดว่าพวกเขาไม่ทันได้สังเกตเลยด้วยซ้ำ ว่าหยางไฉ่อวิ๋นกำลังยืนอยู่ตรงประตูด้วยใบหน้าแดงก่ำ หัวใจเต้นแรงจนแทบกระโดดออกมาเลยทีเดียวนี่...... ประธานหลินชักจะใจกล้าเกินไปแล้วมั้งทำไมถึงได้ชอบทำเรื่องแบบนี้ในห้องทำงานอยู่เรื่อยเลยเนี่ย!แต่คุณเย่เองก็เก่งเหลือเกิน ผ่านมานานขนาดนี้กลับยังไม่เสร็จอีก หากตนได้ติดตามเขาล่ะก็ ตนคงตื่นเต้นจนเป็นลมไปเลยแน่ ๆไม่สิ ไม่ เราจะคิดแบบนั้นไม่ได้แล้วอีกอย่าง เราก็ไม่ได้ตั้งใจจะแอบฟังพวกเขาด้วย หลัก ๆ ที่มาหาก็เพื่อต้องการให้ประธานหลินเซ็นเอกสารแต่ว่า คุณเย่เองก็หล่อมากจริง ๆ แถมอำนาจก็แข็งแกร่งมากอีกด้วย ทุกครั้งที่ได้พบเขา ก็มักจะทำให้ใจเต้นแรงไม่หยุด รู้สึกตื่นเต้นอย่างบอกไม่ถูกหลังจ
“วิธีอื่น? วิธีอะไรเหรอ?”“ก็อย่างเช่น......” เย่เทียนหยู่ใช้นิ้วชี้ไปยังหลินหว่านหรูในที่สุดหลินหว่านหรูก็เข้าใจ ใบหน้าแดงก่ำแทบจะในทันที ก่อนจะพูดด้วยความโกรธออกไปว่า “คุณนี่มันเลวจริง ๆ!”“ก็ไม่มีทางเลือกอื่นแล้วไม่ใช่รึไง” เย่เทียนหยู่เองก็ทำอะไรไม่ถูก“ตะ แต่ถึงยังไงก็ทำที่นี่ไม่ได้นะ”“อะไรนะ? !”อันที่จริงเย่เทียนหยู่แค่พูดหยอกเธอเล่น เพื่อทำให้เธอขำก็เท่านั้นถึงอย่างไร เขาเองก็พอจะดูออก ว่าในใจของหลินหว่านหรูรู้สึกกดดันอยู่ไม่น้อย เขาถึงกับเคยคิดเลยว่า หลินหว่านหรูไม่ควรจะมาที่เทียนเฟิงกรุ๊ปเสียด้วยซ้ำสีหน้าหลินหว่านหรูเต็มไปด้วยความรู้สึกกังวล แต่เพื่อสุขภาพของเย่เทียนหยู่แล้ว เธอจึงกัดฟันพูดออกไปว่า “พวกเราไปที่ห้องน้ำกันเถอะ ตรงนั้นน่าจะไม่มีคน”“......”หนึ่งชั่วโมงต่อมา หลินหว่านหรูก็กลับจ้องมองเย่เทียนหยู่ด้วยสายตาที่ดุเดือดเธอเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไม รู้สึกเหมือนกับว่าตนเพิ่งจะสลบไปยังไงอย่างงั้น แม้แต่สติก็ยังเลอะเลือนไปชั่วขณะเลยด้วยซ้ำ แถมยังทำตามคำสั่งของเย่เทียนหยู่อย่างเชื่อฟังอีกต่างหากหรือว่า เป็นเพราะเธอรู้สึกผิดที่ไม่สามารถทำให้เขาพอใจได้งั้
จากนั้นหลินหว่านหรูก็เดินกลับเข้ามา พร้อมทั้งแสดงท่าทีราวกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่เธอกลับไม่รู้เลยว่า ด้วยความสามารถในการได้ยินของเย่เทียนหยู่ สิ่งที่เธอพูดนั้น เย่เทียนหยู่ได้ยินแทบจะทั้งหมด“คุยเสร็จแล้วเหรอ?”เย่เทียนหยู่ถามด้วยรอยยิ้ม“อือ!”“พอดีเลย ผมมีเรื่องอยากจะถามคุณเหมือนกัน” เย่เทียนหยู่พูดด้วยรอยยิ้มต่อว่า “หว่านหรู คุณคิดว่าการทำงานที่เทียนเฟิงกรุ๊ปมีความสุขไหม?”หลินหว่านหรูรู้สึกตกใจเล็กน้อย เขาถามแบบนี้หมายความว่ายังไง เธอจึงตอบกลับไปว่า “ก็ใช้ได้ค่ะ!”“ใช้ได้งั้นเหรอ?”“เหมือนคุณจะไม่มีความสุขมากกว่าน่ะสิไม่ว่า อย่างน้อยก็มีความสุขน้อยกว่าตอนที่คุณทำงานที่หลินซื่อกรุ๊ป ผมพูดถูกไหม?”“เอ่อคือ......อือ!” เมื่อต้องเผชิญหน้ากับเย่เทียนหยู่ หลินหว่านหรูเองก็ไม่สามารถปิดบังความรู้สึกของตัวเองเอาไว้ได้“คุณเคยคิดบ้างไหม ว่าเป็นเพราะอะไร?”หลินหว่านหรูนิ่งเงียบ“ผมไม่รู้หรอกนะ ว่าคุณเคยคิดเรื่องนี้บ้างรึเปล่า แต่เมื่อกี้ผมลองพิจารณาอย่างถี่ถ้วนดูแล้ว จุดที่สำคัญที่สุดเลยก็คือ ในสายตาของคุณ เทียนเฟิงกรุ๊ปมันคือธุรกิจของแม่ผม คือธุรกิจของผม”“มันเลยทำให้ในใจของคุณ
เย่เทียนหยู่รู้สึกทำอะไรไม่ถูก ถ้ารู้แบบนี้ ก็คงไม่ให้พวกเธอสองคนดื่มตั้งแต่แรกในขณะเดียวกันนั้นเอง หลิวซือซือที่นั่งอยู่ตรงข้ามก็ยกแก้วในมือขึ้น แล้วพูดออกมาว่า “พี่เย่คะ ฉันมีเรื่องหนึ่งที่อยากจะบอกกับพี่มาโดยตลอด แต่ก็กลับไม่มีโอกาสได้พูดมันออกมาเลย”“งั้นก็อย่าพูดเลยจะดีกว่า” เย่เทียนหยู่นึกถึงเรื่องในอดีตของเขากับหลิวซือซือขึ้นมา ก่อนจะคาดเดาได้อย่างคลุมเครือว่าเธอกำลังจะพูดอะไร“ไม่ได้ค่ะ วันนี้ฉันต้องพูดให้ได้!”“ฉันกลัวว่าถ้าผ่านวันนี้ไปแล้ว ฉันไม่มีโอกาสได้พูดมันอีก”หลิวซือซือพูดด้วยความตื่นเต้นออกไปว่า “พี่เย่คะ ฉันชอบพี่ค่ะ ชอบพี่มาตลอด ฉันชอบพี่มากจริง ๆ!”“ตั้งแต่ครั้งแรกที่ฉันต้องไปทวงหนี้กับพี่ ฉันก็ถูกความสง่างามและความมั่นคงอันแข็งแกร่งของพี่ดึงดูดไปแล้วค่ะ ต่อมาพี่ก็คอยช่วยฉันเอาไว้ครั้งแล้วครั้งเล่า นั่นยิ่งทำให้ฉันรู้สึกหัวใจเต้นแรงมากกว่าเดิม ทำให้ฉันชอบพี่มากขึ้นเรื่อย ๆ”“แต่ก็เหมือนว่าพี่จะไม่เคยสัมผัสได้ถึงความรู้สึกของฉันเลย หลายครั้งที่ฉันอยากจะรุกเข้าหาพี่แต่ก็ไม่กล้า จนกระทั่งพบว่าพี่กับประธานหลินคบกันอยู่ ฉันถึงได้เข้าใจว่าฉันไม่ใช่อะไรสำหรับพี่เล
แม้จะเป็นเพียงเวลาสั้น ๆ แต่ทั้งสองคนก็ได้ยินเรื่องราวที่เกี่ยวกับไป๋เฉิงกรุ๊ป และความน่ากลัวของแก๊งพยัคฆ์ทมิฬมาไม่น้อย ดังนั้นความหวาดกลัวและความรู้สึกหวั่นเกรงที่มีต่อตระกูลไป๋จึงมาจากใจของพวกเธออย่างแท้จริงสองสาวพูดสลับกันไปมา จนเกิดเป็นเสียงที่ดังอึกทึกขึ้น เย่เทียนหยู่แทบไม่มีโอกาสได้พูดเลยด้วยซ้ำ ในที่สุดเขาก็มีโอกาส เขาจึงพูดขึ้นว่า “เอาล่ะ พูดจบรึยัง?”สองสาวพยักหน้าอย่างช่วยไม่ได้“พวกเธอฟังฉันนะ พวกเธอวางใจเถอะ แค่ตระกูลไป๋ พวกมันทำอะไรฉันไม่ได้หรอก” เย่เทียนหยู่พูดออกมาตรง ๆ เดิมทีก็คิดจะบอกว่าไป๋เฉิงกรุ๊ปเป็นของตนอยู่หรอก แต่จู่ ๆ เขาก็เปลี่ยนความคิดถึงอย่างไรตอนนี้ก็อยู่ข้างนอก แถมแก๊งพยัคฆ์ทมิฬและไป๋เฉิงกรุ๊ปเองก็มีชื่อเสียงที่ไม่ดีสักเท่าไหร่คำพูดนี้ แทบจะไม่เห็นตระกูลไป๋อยู่ในสายตาเลยแม้แต่น้อย นั่นเป็นถึงหนึ่งในตระกูลที่ทรงพลังที่สุดในเมืองตะวันออกเชียวนะ ในใจของสองสาวจึงรู้สึกไม่ค่อยอยากจะเชื่อสักเท่าไหร่พวกเธอมองหน้ากัน ต่างคนต่างก็คิดว่าที่พี่เย่จงใจพูดแบบนี้ก็เพื่อทำให้พวกเธอสบายใจก็เท่านั้น“เอาล่ะ ไม่ต้องสนใจพวกเขาแล้ว ควรกินก็กิน ควรดื่มก็ดื่มเถอะ” ที
สีหน้าหลี่ซินเยว่และหลิวซือซือเต็มไปด้วยความรู้สึกทำอะไรไม่ถูก เมื่อกี้ตอนที่พวกเธอนึกถึงความน่ากลัวของตระกูลไป๋ อันที่จริง พวกเธอก็คิดที่จะเตือนเย่เทียนหยู่ไม่ให้ทำร้ายตงซู่อยู่เหมือนกัยแต่เมื่อลองนึกดูอีกที ในสถานการณ์แบบนี้ ด้วยนิสัยของตงซู่ ต่อให้จะหยุดเอาไว้ได้ก็ไม่มีความหมายอยู่ดีเมื่อเรื่องมาถึงขั้นนี้ พวกเธอก็ไม่มีทางให้ถอยกลับอีกต่อไปแล้วเป็นอย่างที่คิด เห็นเพียงตงซู่ที่กำลังร้องโอดครวญด้วยความเจ็บปวด ขณะเดียวกันเขาก็หันไปจ้องเย่เทียนหยู่ด้วยความเกลียดชัง แต่เขาก็รู้ดีว่าตอนนี้ไม่สามารถพูดอะไรได้ ยิ่งไม่ควรทำอะไรบุ่มบ่ามด้วยเช่นกันอย่างไรก็ตาม รอจนกว่าตนจะออกไปจากที่นี่ได้เสียก่อน จากนั้นก็จะต้องรายงานเรื่องนี้ให้ไช่เตา คุณชายเตาได้ทราบ พอถึงตอนนั้น ตนจะต้องทำให้ไอ้เด็กนี่อยู่ไม่สู้ตายให้ได้ผู้คนที่อยู่รอบ ๆ ต่างก็เงียบกริบ ไม่มีใครกล้าส่งเสียงใด ๆ ออกมาเลยแม้แต่น้อย เพราะกลัวว่าจะเผลอทำให้ตัวเองเข้าไปเอี่ยวด้วยใครจะไปคิดล่ะว่า ชายหนุ่มที่ดูสุภาพไม่มีพิษมีภัยข้าง ๆ สาวสวยสองคนนี้จะลงมือได้โหดเหี้ยมมากขนาดนั้น แต่ถึงอย่างไร อีกฝ่ายก็สมควรโดนแล้วแค่เห็นก็รู้เลยว่าไ
เมื่อได้ยินคำสั่ง ลูกน้องทั้งสองคนของเขาก็รีบตั้งท่าเตรียมพร้อมขึ้นทันที ก่อนจะเดินตรงไปหาเย่เทียนหยู่ด้วยท่าทางดุดัน งานที่ต้องจัดการกับคนแบบนี้ มันได้กลายเป็นการเสพติดของพวกเขาไปแล้ว อย่างน้อยพวกเขาก็ชอบความรู้สึกแบบนี้เย่เทียนหยู่ส่ายหัว ก่อนจะลุกขึ้นยืน หากไม่ใช่เพราะกลัวว่าจะทำให้คนอื่นตกใจ ป่านนี้เขาคงจะโบกมือซัดเจ้าพวกนั้นให้กระเด็นไปนานแล้วจากนั้นก็เอาชีวิตของพวกมันมา ณ เดียวนั้นเลย!เมื่อเห็นว่าเย่เทียนหยู่ยังกล้าลุกขึ้นมาพูดท้าทายตนอยู่ ทั้งสองจึงรู้สึกว่าศักดิ์ศรีของพวกเขากำลังถูกดูหมิ่น นั่นจึงทำให้พวกเขารู้สึกโกรธอย่างมาก ก่อนที่ต่อมาทั้งสองจะเหวี่ยงหมัดออกไปพร้อมกันในทันทีผั๊วะ ผั๊วะ!เกิดเสียงผั๊วะดังขึ้นสองครั้งติด ท่ามกลางสายตาที่เต็มไปด้วยความรู้สึกตกตะลึงของผู้คน เย่เทียนหยู่ใช้ฝ่ามือฟาดพวกเขาจนกระเด็นออกไปก่อนที่ร่างของพวกเขาจะร่วงลงกระแทกพื้นอย่างแรง ร่างกายราวกับกำลังแหลกสลาย รู้สึกเจ็บปวดจนแทบทนไม่ไหวสีหน้าตงซู่ดูตกใจอย่างมาก คิดไม่ถึงว่าเจ้าเด็กนี่จะรู้วิชากังฟูด้วย เขาจึงพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาออกไปว่า “ไม่แปลกใจเลยที่แกกล้าทำตัวหยิ่งยโสแบบนี้ ที่แท้แ
หลี่ซินเยว่และหลิวซือซือที่กำลังด่ากันอย่างเมามัน กลับคิดไม่ถึงเลยว่าจู่ ๆ เสียงของตงซู่จะดังขึ้นมาข้างหู นั่นจึงทำให้พวกเธอรู้สึกตกใจจนต้องหันมองไปตามเสียงในทันทีเป็นตงซู่จริง ๆ ด้วย!นอกจากนี้ ด้านหลังของเขายังมีเหล่าชายฉกรรจ์ที่ดูดุร้ายอยู่อีกด้วย แค่มองก็รู้เลยว่าไม่ใช่คนดีอะไรสีหน้าของพวกเธอซีดเผือดในทันที!ต้องเข้าใจก่อนว่า พวกเธอเตรียมตัววางแผนจะหนีในวันนี้กัน แต่ตอนนี้ตงซู่กลับมาปรากฏตัวอยู่ที่นี่ เป้าหมายของเขาไม่ต้องพูดก็รู้ หรือต่อให้จะเป็นการพบกันโดยบังเอิญ แต่หากได้ยินสิ่งที่พวกเธอเพิ่งจะพูดออกมาเมื่อสักครู่นี้ เกรงว่าคงไม่มีทางปล่อยพวกเธอไปง่าย ๆ แน่เมื่อตงซู่เห็นสีหน้าตกใจของทั้งสอง เขาจึงพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาออกมาว่า “ด่าสิ ทำไมไม่ด่าต่อแล้วล่ะ นี่พวกเธอคิดว่าฉันไม่รู้อะไรเลยใช่ไหม?”หลี่ซินเยว่ตัวสั่นเล็กน้อย ก่อนจะรีบลุกขึ้น และพูดออกไปว่า “รุ่นพี่เองเหรอคะ พอดีเมื่อกี้ฉันดื่มมากไปน่ะค่ะ เลยไม่รู้ว่าเผลอพูดอะไรไม่ดีออกไปบ้าง อย่าโกรธกันเลยนะคะ”“หลี่ซินเยว่ จริงอยู่ที่ฉันชอบเธอมาก แต่ฉันก็ไม่โง่ขนาดนั้น เธอคิดว่าฉันไม่รู้เหรอ ว่าพวกเธอเตรียมตัวที่จะหนีในคืนน
หลิวซือซือไม่อยากให้เย่เทียนหยู่รู้เกี่ยวกับปัญหาใหญ่ที่ตนต้องเจอยังไงซะ ตระกูลไป๋ก็เป็นถึงหนึ่งในสี่ตระกูลใหญ่แห่งเมืองตะวันออก จะล่วงเกินตระกูลไป๋เพียงเพราะเรื่องเล็กน้อยของตนไม่ได้“ไม่มีจริง ๆ น่ะเหรอ?”เย่เทียนหยู่สังเกตเห็นว่าเธอมีท่าทีแปลก ๆ เขาจึงพูดขึ้นว่า “หลี่ซิน พวกเธออยู่ด้วยกัน ไหนเธอพูดมาซิ”“ไม่มีอะไรจริง ๆ ค่ะ พี่เย่ ไหนเมื่อกี้พี่บอกว่ามีเรื่องอยากจะถามไงคะ เรื่องอะไรเหรอ?”จู่ ๆ หลี่ซินเยว่ก็รีบเปลี่ยนหัวข้อสนทนาทันทีโดยไม่ทันตั้งตัวเย่เทียนหยู่จึงเข้าใจได้ในทันที ว่าทั้งสองจะต้องมีเรื่องปิดบังตนอยู่แน่นอน แต่ในเมื่อไม่ยอมพูด เขาเองก็ไม่อยากถามให้มากความ แต่ต้องบอกเลยว่า หลี่ซินเยว่คนนี้ค่อนข้างมีทักษะในการเข้าสังคมมากกว่าหลิวซือซือเสียอีกบวกกับที่เธอเคยทำงานเป็นผู้จัดการระดับกลางของหลินซื่อกรุ๊ปมาก่อน ตอนนั้นเธอเองก็ทำได้ไม่เลวเลยทีเดียวไม่แน่ว่าอาจจะพิจารณาให้เธอขึ้นมารับตำแหน่งผู้บริหารเลยก็ได้ หรือถ้าเธอไม่ไหวจริง ๆ ก็ให้รับตำแหน่งผู้จัดการทั่วไปก็ฟังดูไม่แย่เหมือนกัน แล้วตนก็รับบทบาทท่านประธานไปก็พอ ยังไงซะ บริษัทจะทำกำไรได้หรือไม่ได้ก็ไม่สำคัญอยู่
ไม่นานก็ถึงเวลาเลิกงาน พวกหลี่ซินเยว่ก็พากันเดินทางออกจากบริษัท พวกเธอรู้สึกกังวลอยู่ตลอด เธอกลัวว่าตงซู่จะเล่นตุกติกเพื่อรั้งไม่ให้พวกเธอไปแต่ก็กลับคิดไม่ถึงว่าจะราบรื่นมากขนาดนี้ในตอนนั้นเอง ทั้งคู่ก็ได้รับสายจากเย่เทียนหยู่ หลังจากที่วางสาย หลี่ซินเยว่ก็ถามขึ้นว่า “ซือซือ พวกเราจะกลับไปเก็บของแล้วหนีไปเลย หรือพวกเราจะไปพบกับพี่เย่กันก่อนดี?”หลิวซือซือรู้สึกลังเล หากเป็นคนอื่นเชิญก็คงไม่เป็นไร แต่การที่จะได้ทานข้าวกับพี่เย่สักครั้ง สำหรับเธอนับว่าเป็นโอกาสที่หาได้ยากมากเธอจึงลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะพูดขึ้นว่า “ไม่งั้นเราก็ไปตามนัดกันก่อนดีไหม ถึงยังไงคืนนี้เราก็สามารถไปได้ทุกเมื่ออยู่แล้ว”“ได้ เอาตามที่เธอว่าเลย”“แต่ว่านะ เรื่องของพวกเรา อย่าได้บอกกับพี่เย่เด็ดขาด”“เข้าใจแล้ว ถึงยังไงที่นี่ก็เป็นเมืองหลวง พี่เย่เองก็ไม่ได้เก่งไปเสียทุกอย่าง พวกเราจะสร้างปัญหาให้เขาไม่ได้” หลี่ซินเยว่เองก็เห็นด้วยอย่างมากทั้งสองตัดสินใจกันอย่างแน่วแน่ ไม่นานพวกเธอก็มองเห็นรถของเย่เทียนหยู่เย่เทียนหยู่เองก็สังเกตเห็นการมาถึงของพวกเธอ ทั้งคู่สวมเสื้อเชิ้ตสีขาว สวมกระโปรงรัดรูปทรงเอ เผ
เขาถึงขั้นกล้าลงมือกับคุณท่านเย่ ที่เป็นถึงพ่อแท้ ๆ ของตัวเอง!อย่าไรก็ตาม ปัจจุบันตระกูลเย่นับว่ากำลังตกอยู่ในสถานการณ์ที่ไม่แน่นอน และอาจจะล้มได้ทุกเมื่อในเมื่อเป็นแบบนี้ เช่นนั้นก็รออีกสักสองสามวันก็แล้วกัน รอจนกว่าพวกงู แมลง มด หนูโผล่หัวออกมาให้หมดเสียก่อน พอถึงตอนนั้นก็ค่อยจัดการรวดเดียว แล้วค่อยมอบความสดใสให้กับตระกูลเย่อีกครั้งนอกจากนี้ ก็เพื่อที่จะรอดูว่าท่านอาจารย์จะมีการเคลื่อนไหวอะไรรึเปล่า มาถึงตอนนี้ อันที่จริงในใจเขาก็เริ่มรู้สึกสงสัยขึ้นมาบ้างแล้วเช่นกันหลังจากว่าง ๆ ไม่มีอะไรทำ เย่เทียนหยู่ก็นึกถึงหม่าต้านขึ้นมาได้ เมื่อพิจารณาจากเหตุการณ์ที่เพิ่งจะผ่านไป ก็ดูเหมือนว่าหม่าต้านคนนี้จะไม่ใช่คนดีอะไร เขาจึงได้สั่งการให้คนไปตรวจสอบคนผู้นี้ดูสักหน่อยจริงด้วย หลี่ซินเยว่กับหลิวซือซือเองก็ทำงานที่ไป๋เฉิงกรุ๊ปไม่ใช่รึไง เช่นนั้นก็เชิญพวกเธอมาก็ได้นี่ จะได้ให้พวกเธอช่วยอธิบายสถานการณ์ในไปเฉิงกรุ๊ปให้ฟังด้วยเมื่อนึกถึงเรื่องนี้ เย่เทียนหยู่ก็หยิบโทรศัพท์ออกมา ก่อนจะกดโทรออกหาหลี่ซินเยว่ทันที เดิมทีตั้งใจจะโทรหาหลิวซือซือ แต่เมื่อนึกถึงความรู้สึกของหลิวซือซือที่มีต่อตน
ในใจโจวฉิงรู้สึกสั่นสะท้านอย่างบอกไม่ถูก ตั้งแต่ต้นจนจบหม่าต้านก็เผยความรู้สึกหวาดกลัวออกมาไม่หยุด นั่นจึงทำให้เธอรู้สึกตกใจไปชั่วขณะการแสดงออกของหม่าต้านหลังจากนั้น ราวกับคนใกล้ตายที่กำลังร้องขอชีวิตไม่หยุดไม่มีผิด ซึ่งมันก็แสดงให้เห็นถึงความกลัวของเขาที่มีต่อคุณเย่ได้เป็นอย่างดีคนคนหนึ่ง เหตุใดถึงทำให้คนอีกคนกลัวได้มากขนาดนี้ แต่นั่นก็ทำให้เธอได้เห็นถึงสถานะและจุดยืนของเขาได้อย่างชัดเจนหลังจากที่โจวฉิงได้สติ ในใจก็กลับรู้สึกเหมือนมีม้ากำลังวิ่งพล่านไปทั่ว ทำให้เธอรู้สึกสั่นสะเทือนอย่างมากในเวลานี้ เธอก็นึกถึงสิ่งที่เย่เทียนหยู่พูดก่อนหน้านั้นขึ้นมาได้ แต่ตอนนั้นเธอก็กลับไม่เชื่อเลยด้วยซ้ำว่าเขาจะสามารถแก้ไขปัญหาได้ด้วยการกดโทรออกเพียงครั้งเดียวเท่าที่เห็นแทบไม่จำเป็นต้องโทรเลยด้วยซ้ำ อารมณ์เหมือนแค่เขาไอออกมาก็สามารถทำให้หม่าต้านวิ่งมาคุกเข่าเพื่อร้องขอชีวิตได้เลยอย่าว่าแต่เธอเลย ขนาดหลินหว่านหรูเองก็ชะงักไปด้วยเช่นกัน แม้เธอจะรู้ดีว่าเย่เทียนหยู่เก่งกาจมาก แต่ก็คิดไม่ถึงเลยว่าเย่เทียนหยู่จะเก่งกาจได้มากถึงเพียงนี้ต้องเข้าใจก่อนว่า โจวฉินเองก็เพิ่งจะพูดไป ว่าตระกูลไป๋เป