Accueil / วาย / มนต์รักหนุ่มพิษณุโลก / บทที่ ๔ ไม่เมาเหล้า แต่เรายังเมารัก

Share

บทที่ ๔ ไม่เมาเหล้า แต่เรายังเมารัก

last update Dernière mise à jour: 2024-10-31 18:00:07

“ก็บอกว่าผมไม่ใช่คนที่คุณพูดถึงไงครับ”

“ไม่ใช่ก็ไม่เป็นไรหรอก~

ท่ามกลางแสงรำไรจากโคมไฟสีนวลเหนือโต๊ะสูงมีลูกค้าท่านหนึ่งซึ่งเหมือนจะพึ่งเข้ามาร้านนี้เป็นครั้งแรกกำลังนั่งเมามายไม่ได้สติ เอาหน้าไถไปกับโต๊ะไม้คล้ายจะหลอมรวมเป็นเครื่องเรือนชิ้นเดียวกัน

ผู้จัดการร้านควบตำแหน่งมือชงซึ่งเช็ดแก้วอยู่ฝั่งตรงข้ามมองพ่อหนุ่มเสียงเหน่ออย่างละเหี่ยใจ ก่อนจะเหลือบสายตาขึ้นไปมองเจ้าแผนซึ่งกำลังวกกลับมาเติมเครื่องดื่มให้ลูกค้า

“อย่าลามปามครับ กินของคุณไปเลย”

“พูดอย่างนี้พี่น้อยใจนะ~”

พูนซึ่งขอสถานที่ดื่มมาจากพ่อเทียบว่าจะมาเดินเล่นเอาสนุกจนมาลงเอยที่ร้านนี้ ไม่น่าเชื่อว่าดื่มไปแค่ไม่กี่แก้วมันจะทำให้เขาที่มั่นใจในลำคอตัวเองเมามายได้ถึงขนาดนี้

ภาพตรงหน้าคล้ายจะพร่ามัว ถึงไม่อาจมองอะไรชัดเจนแต่ทุกอย่างเหมือนจะสวยขึ้นผิดหูผิดตา กลิ่นหอมฟุ้งกำจายมากยิ่งกว่าเก่า พอมีเสียงเพลงเอื่อย ๆ จากแผ่นเสียงเข้ามาประกอบยิ่งชวนให้เขาเคลิบเคลิ้มไปกับรสสุรา

นายตำรวจในชุดไปรเวทเหมือนเมื่อเช้าที่มาถึงพระนครนั่งดื่มไปยิ้มไป พูดจาเรื่อยเปื่อยกับคนตัวเล็กในชุดผ้ากันเปื้อนตรงหน้าที่ละม้ายคล้ายนายสถานีคนนั้นเหลือเกิน จากที่แค่สนใจ ความรู้สึกมันกลับขยับขึ้นไปอีกระดับเสียอย่างนั้น

“ต่อจากนี้พี่...ขอไปจีบเราที่สถานีทุกวันเลยได้ไหมครับ?”

ลูกค้าตัวสูงกล่าวเสียงอ่อนขณะเอื้อมมือไปจับแก้วที่บริกรตัวเล็กกุมอยู่อย่างถือวิสาสะ จากกลิ่นหอมสมุนไพร เขากลับได้กลิ่นอย่างอื่นที่ชักจูงจิตใจยิ่งกว่าเมื่อได้เคลื่อนตัวเข้าไปใกล้

คนที่ถูกแตะตัวกระตุกตกใจ หันซ้ายมองขวาเกรงว่าใครจะมาได้ยินเข้า ส่วนผู้จัดการหลังรินเหล้าใส่แก้วให้เสร็จสรรพก็ผละไปหลังร้าน แผนจึงไม่มีทางเลือกนอกจากจะต้องเผชิญหน้ากับลูกค้าเพี้ยน ๆ คนนี้แต่เพียงผู้เดียว แต่ด้วยสภาวะแบบนี้ ดูทรงแล้วเสื้อผ้าก็ดูดีทั้งยังสวมนาฬิกาข้อมือ รองเท้าดูท่าว่าจะไม่ใช่ไก่กา คบหาเอาไว้สักหน่อยคงจะไม่เสียหายอะไร

“แล้วมีอะไรมาให้ล่ะ?”

“พี่จะซื้อขนมไปให้เราทุกวันเลย”

จู่ ๆ มุมปากของแผนก็กระตุกยิ้มขึ้นเล็กน้อยก่อนจะกลับมาเรียบนิ่งดังเดิม ช่างเป็นการจีบที่น่าขบขัน เอาเป็นว่า...

“ตกลง”

การได้ของกินมาวางตรงหน้าทุกวันโดยไม่ต้องเสียเงินสักแดงเดียวนับเป็นเรื่องดีไม่ใช่หรือไร ติดก็แต่ไอ้หนุ่มเสียงเหน่อคนนี้จะจำสิ่งที่ตัวเองเคยสัญญาเอาไว้ได้หรือเปล่าก็เท่านั้น

‘วาสนาเอย เป็นบุพเพสันนิวาสร่วมกันมาแต่ปางก่อน~♪’

แผนที่กำลังเดินบริการอยู่กับลูกค้าโต๊ะอื่นเงยหน้ามามองอีกทีจึงเห็นว่าลูกค้าชายคนนั้นขึ้นเวทีเตี้ยไปจับไมโครโฟนร้องเพลงเสียแล้ว ไม่รู้ผู้จัดการแกอนุญาตได้อย่างไร แต่จะว่าไม่เพราะคงไม่ได้หรอก

‘เคยเคล้าเคลีย ร่วมเตียงเคียงหมอน มาอิงแอบนอนเป็นเพื่อนพี่เอย~♪’

น้ำเสียงร้องเพลงเอื้อนเอ่ยทำนองอย่างมีจังหวะ แผนไม่อาจรู้ได้ว่าคิดไปเองหรือไม่ เพียงแต่แววตาคมคู่นั้นกลับเอาแต่จ้องมองมาทางเขาตลอดยามบทเพลงกำลังดำเนินไป นี่สินะที่เรียกว่าคนเมาแล้วเพ้อ คงเป็นนิสัยส่วนตัวของอีกฝ่ายเวลาเคลิ้มสุรา

แผน เอ็งไม่ต้องไปสนใจมากหรอก รวมถึงเรื่องจีบไร้สาระนั่นด้วย เพราะเดี๋ยวผู้ชายคนนั้นก็คงลืมเลือนไปเมื่อวันรุ่งขึ้นมาถึงอยู่ดี

เมื่อได้ข้อสรุปบริกรตัวเล็กจึงจัดแจงวางเก็บถาดอาหาร ปลดผ้ากันเปื้อนพาดกับราวแขวนก่อนจะก้าวเดินขึ้นบันได โดยลืมสังเกตว่าตัวเองไม่สามารถละสายตาจากนักร้องผู้เมามายคนนั้นได้เช่นกัน

พูนไม่รู้ว่าบริกรคนนั้นหายไปไหนแล้วหลังจากร้องเพลงจบ เพียงครู่เดียวที่เขาหันเหความสนใจไปให้กับคุณลุงที่เดินมาให้เงิน เงยหน้ามาอีกทีตัวเล็กคนนั้นกลับไม่อยู่ในระยะสายตาเสียแล้ว นายตำรวจชะเง้อคอมองหาเท่าไรก็ไม่เจอ จึงวางไมโครโฟนแล้วลงมาก๊งต่อคนเดียวที่หน้าโต๊ะมือชง ก่อนจะเห็นว่ามีใครคนอื่นมานั่งด้วย แบบนี้ก็ดีเลยสิ จะได้มีเพื่อนคุยเล่น

ว่าแล้วก็เดินไปหย่อนก้นลง ณ เก้าอี้ด้านข้างอย่างไม่ถือตัว เอ่ยปากสั่งขอน้ำเมาเพิ่มอีกแก้วมาซดให้หายคอแห้งหลังใช้เสียงไปหนึ่งบทเพลง คิดว่าแก้วนี้จะเป็นแก้วสุดท้ายแล้ว อย่างไรพรุ่งนี้เขาก็ต้องไปรายงานตัวที่สน.

ดูแล้วผู้ชายที่นั่งข้าง ๆ มีอากัปกิริยาสุขุมภูมิฐานน่าดู นี่น่ะหรือคนพระนคร โคตรจ๊าบ โคตรเท่ ถ้าเป็นโรงเหล้าที่เขาเคยเจอมานะ มันไม่สงบแบบนี้หรอก ออกจะวุ่นวายเสียด้วยซ้ำไป

“คุณดูเหมือนจะมาที่นี่บ่อยเลยนะครับ”

“เอ่อ...อืม ใช่”

พูนที่เมาอยู่จึงไม่ได้รู้สึกรู้สาอะไรมากมายถึงท่าทีกริ่งเกรงของคู่สนทนา

“ฉันเป็นลิเกน่ะ แล้วคุณล่ะ”

พูนรู้ว่าสถานที่สีเทาแบบนี้บอกเป็นตำรวจเดี๋ยวคนจะแตกตื่นเอาได้ ต่อให้ร้านนี้มีลับลมในจริง ๆ แต่สภาพตอนนี้เขาไม่พร้อมจะทำงานหรอก

“…”

“ฮ่า ๆ นั่นสิ มาที่แบบนี้บางคนเขาก็ไม่ค่อยอยากบอกอาชีพตัวเองกันหรอก ฮ่า ๆ”

พูนพูดจาโม้เหม็นเป็นต่อยหอย ปั้นแต่งเรื่องพระเอกลิเกผู้เดินทางไปทั่วประเทศออกมาอย่างฉูดฉาดโดยมีผู้จัดการร้าน และไกรวิชญ์เพื่อนร่วมโต๊ะเป็นผู้รับฟัง

“โอย...เห็นแบบนี้ฉันก็มีเรื่องเครียดเหมือนกันนา...”

พระเอกลิเกเสียงทุ้มกล่าวอย่างเอื่อยเฉื่อย ฟุบหน้าลงไปกับโต๊ะถูไถเป็นนัยถึงการระบายสิ่งที่อยู่ในหัว จู่ ๆ ก็พลันนึกถึงชีวิตรักที่ผ่านมาแล้วก็หงอยเหงา ทั้งน้องน้อยในสมัยเด็กที่ย้ายบ้านไปอย่างไม่บอกกล่าว คนรักเก่าที่ตามติดยิ่งกว่าผีอาฆาตแค้น และน้องบริกรคนน่ารักที่หายไปไหนไม่รู้

“คนแบบฉัน จะหาคู่ทีมันยากฉิบเป๋งเลย...ชอบผู้ชายด้วยกันเนี่ย”

“…”

พูนกล่าวสิ่งที่ใคร่ครวญออกมา เขารู้ดีว่าถ้าจะเลือกเส้นทางนี้มันต้องยากกว่าชาวบ้านอยู่แล้ว เพราะคนอย่างพวกเขามันยังไม่เป็นที่ยอมรับในสังคมนี่ เขาที่ชอบเปิดเผยแต่กลับต้องเก็บสิ่งนี้เอาไว้เป็นความลับต่อคนโดยรอบนี่มันย้อนแย้งชะมัด ว่าแล้วก็เหลือบมองเพื่อนดื่มข้าง ๆ ที่คล้ายจะชะงักไปครู่หนึ่ง

“คุณเองก็ตกใจใช่ไหมล่ะ ฮึ...?”

“ฉัน...เข้าใจนะ”

“แหม หาได้ยากนะเนี่ย เราเหมือนกันเลยเนอะ...”

“อือ ใช่”

ด้วยความเมามายไม่รู้ว่าบทสนทนานั้นจบลงได้อย่างไรแต่เขาก็สามารถพาตัวเองไปยังร้านอาหารเพื่อกินข้าวต้มเปิดดึกแก้เมาแก้หิวได้ ที่มาถูกเพราะเพื่อนที่รู้จักสมัยเรียนนายร้อยเจ้าตัวเป็นลูกชายเจ้าของร้านย่านเยาวราช ที่กลางวันเปิดเป็นร้านอาหารจีนส่วนกลางคืนเปิดเป็นร้านข้าวต้ม

บรรยากาศยามค่ำคืนช่างเป็นอะไรที่เงียบสงบไม่ต่างจากต่างจังหวัดสักเท่าไรนัก ผิดก็เพียงดวงไฟรายทางคอยให้แสงสว่างในตัวเมืองสื่อให้รู้ว่าอย่างไรพระนครก็ยังเป็นเมืองที่มีชีวิตอยู่ตลอดเวลา แม้จะน่าเสียดายที่ท้องฟ้ามองดาวไม่ค่อยจะเห็นก็ตาม

“เอ้า! ไอ้พูนจำฉันได้ไหมเนี่ย?”

เสียงทักทายดังมาจากด้านในร้าน หนุ่มหน้าตี๋ตัวไม่สูงมากนักเดินล้วงกระเป๋าผ้ากันเปื้อนสีแดงซึ่งปักชื่อร้าน ‘วิภา โภชนา’ เข้ามาทักทายเพื่อนเก่า

เนื่องจากที่ที่เขาเข้าเรียนมันคือโรงเรียนเตรียมนายร้อยซึ่งแบ่งออกเป็นหลายสังกัด แม้ไอ้ปลื้มมันจะเป็นทหาร แต่ด้วยเหตุบังเอิญจึงทำให้คนเพื่อนน้อยโคจรมาเจอกัน

“ต้องจำได้อยู่แล้วสิ ฮ่า ๆ”

“แหม มาไม่บอกเลยน้า”

“ก็ฉันไม่รู้ว่าเอ็งบ้านเลขที่เท่าไหร่นี่หว่า-”

*กรี๊ง! * จู่ ๆ เสียงโทรศัพท์บ้านก็ดังขึ้น ทำให้ปลื้มหุ้นส่วนร้านต้องขอตัวไปรับสายเผื่อว่าจะเป็นลูกค้าโทรเข้ามากลางดึก ทว่าเมื่อวางสายลงสีหน้าของเจ้าเพื่อนกลับฉายความแปลกประหลาด ไม่นานมันก็พุ่งตรงมายังเขาซึ่งกำลังซดน้ำข้าวต้มอยู่

สองมือจับเข้าไหล่เขาดังหมับทำเอานายตำรวจตกใจ ลางสังหรณ์คล้ายว่าจะเกิดเรื่องที่ชวนให้สร่าง

“เอ็งรู้จักเสือหินใช่ไหม?”

“อะ... อือ ก็พอได้ยินมาบ้าง”

ได้ข่าวว่าก่อมาหลายคดีติดต่อกันนานมากกว่าสิบปีแต่ยังไม่มีตำรวจสน.ไหนจับตัวได้ จนต้องออกข่าวประกาศเรียกค่าหัวกระจายทั่วประเทศ

“ฉันได้เบาะแสมา ฝากเอาไปทำเรื่องให้ทีนะ”

“เฮ้ย! เดี๋ยว แต่ตอนนี้มัน-”

“เดี๋ยวฉันจดที่อยู่บ้านมาให้นะ”

ไอ้ปลื้มกูพึ่งเมามา! พึ่งเหยียบพระนครได้ยังไม่ครบยี่สิบสี่ชั่วโมงดีเลย เอางานมาให้กูทำเสียแล้ว!

สุดท้ายคงต้องถามว่าคืนนั้นเขาได้นอนไหม เพราะต้องเอาร่างกายที่ไม่พร้อม วิ่งไปรายงานกับสน.ตำรวจ ยังไม่ทันได้รายงานตัวเลยแต่ต้องมาจับปืนสวมเครื่องแบบทำภารกิจตามจับโจรร้ายแห่งประเทศไทยเสียแล้ว น้ำก็ไม่ได้อาบ ตัวยังมีกลิ่นเหล้าจาง ๆ ติดอยู่เลย พ่อจ๋า ป๊าจ๋า พูนอยากกลับไปนอนแล้ว ฮือ...

และคล้ายว่าวันแรกในพระนครของเขามันจะไม่จบลงง่าย ๆ เมื่อรุ่นพี่ชาวเมืองหลวงสะสางงานเสร็จ เขาจึงต้องเข้ามารายงานตัวกับผู้กำกับการในสภาพที่ไม่รู้จะสร่างได้มากกว่านี้หรือเปล่า เพราะแค่ต้องวิ่งเต้นเมื่อคืนก็ทำเอาเหมือนว่าตัวเองไม่ได้ดื่มน้ำเมาเข้าไปเลยสักหยด

พูนยืนสูดลมหายใจเข้าออกเพื่อเรียกสติ เขาท่องบทมาเป็นอย่างดีตั้งแต่เมื่อหลายวันก่อน จึงยกมือขึ้นเคาะประตูห้องก่อนจะขออนุญาต

‘เข้ามาได้’

เมื่อสิ้นเสียงพูนจึงไม่รอช้าเปิดประตูก้าวขาเข้าไป

เขาสังเกตตั้งแต่มาถึงที่นี่ ช่างเป็นโรงพักที่ดูมีอะไรมากกว่าต่างจังหวัดเสียอีก ถึงพื้นที่จะแคบกว่าด้วยความเป็นใจกลางเมืองแต่เหมือนสน.นี้จะดูมีอะไรมากกว่า ภายในห้องผู้กำกับประกอบไปด้วยตู้เก็บเอกสารโลหะเก่า พร้อมด้วยที่นั่งติดผนัง และโต๊ะทำงานซึ่งเด่นออกมา

“สวัสดีครับ ผมพันตำรวจโทผดุงกิตติ์ ชยธาดาครับ จะมารับช่วงต่อตำแหน่งรองผู้กำกับการ...ครับ...”

พูนเริ่มเสียงอ่อนเมื่อหัวหน้าคนใหม่ค่อย ๆ เงยขึ้นมาสบตา และเหมือนทั้งสองจะรู้ได้ในทันที

คุณไกรวิชญ์ในเครื่องแบบตำรวจนิ่งเงียบในขณะที่พูนสร่างเมาเป็นรอบที่สามพร้อมกับความง่วงงุนที่ปลิวหายไป พระเอกลิเกบ้านเอ็งสิไอ้พูน!

. . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . 

หลังจากคืนวันอันวายป่วงจนตอนนี้ผ่านมาจนใกล้จะสิ้นปี ด้วยภาระหน้าที่ของรองผู้กำกับน้องใหม่เขาจึงมีหลายเรื่องให้ต้องปรับตัว กว่าจะสามารถบริหารเวลาเพื่อมาพบหน้าน้องน้อยนายสถานีได้ก็ปาไปจะหกเดือนแล้ว กระนั้นอีกฝ่ายก็ยังจดจำเขาได้ ช่างเป็นที่น่าปลื้มอกปลื้มใจนัก

เมื่อเช้าเขาซื้อฝรั่งมาให้เพราะรู้ว่าน้องแผนมักทานข้าวมาก่อนแล้ว เที่ยงวันนี้เขาจึงซื้อของคาวอย่างขนมจีบกุยช่ายมาให้อีกเพราะดูจากสถิติที่ที่เคยซื้อมาคล้ายว่าเจ้าน้องจะชอบอาหารที่จิ้มทานง่ายมากกว่ากับข้าวในจาน

พูนได้นั่งพูดคุยพลางมองน้องแผนเคี้ยวขนมตุ้ย ๆ ก็เป็นสุขใจแล้ว มาถึงจุดนี้ด้วยประสบการณ์สอนให้เขาค่อยเป็นค่อยไปค่อยเรียนรู้ดังนั้นภารกิจตามหารักในครั้งนี้มันจะไม่ฉาบฉวยอย่างแน่นอน

“แล้วเฮียไม่ซื้ออะไรมากินบ้างเหรอ?”

“เฮียกินปิ่นโตจากสน.มาแล้วครับ”

น้องแผนชอบเรียกเขาด้วยคำว่า ‘เฮีย’ มากกว่าคำว่า ‘พี่’ ซึ่งเขาก็มองว่ามันน่ารักดีจึงเอามาใช้แทนตัวเองมันเสียเลยเผื่อตัวเองจะเข้าไปใกล้ชิดหัวใจน้องได้มากขึ้น

“แล้วเราปกติกลับบ้านยังไง น้ำท่วมแบบนี้”

“ผมจ้างเรือเอาน่ะ”

“ไม่แพงเหรอ งานเราเลิกช่วงหัวค่ำเลยนี่”

“ก็...นิดหน่อย”

พวกเรือจ้างน่ะถ้าเป็นตอนกลางวันก็ไม่กี่สตางค์หรอก แต่ถ้าตกกลางคืนเรือพายน้อย คนที่เหลือก็มักจะตั้งราคาสูงขึ้น บางลำได้ยินว่าขึ้นไปแตะหลักบาทเลยทีเดียว แต่จะไม่จ้างก็ไม่ได้ประเดี๋ยวจะไปทำงานพิเศษไม่ทันกาล

“ให้เฮียพายไปส่งที่ร้านไหม?”

“วันนี้ฉันไม่มีงาน”

“งั้นให้เฮียพายไปส่งที่บ้านไหม?”

“อื้อ”

แผนรู้ว่าสุดท้ายเจ้าพี่ก็จะขอพาไปส่งอยู่ดีจึงไม่สามารถปฏิเสธได้ แถมดีเสียอีกไม่ต้องเสียค่าเดินทางเพิ่ม ยิ่งแพง ๆ อยู่ด้วย

นายสถานีตัวเล็กลอบมองพี่ตำรวจที่อาสาเดินเอากระทงใบตองไปทิ้งให้ก็ฮึดฮัดอยู่กับตัวเอง คนอะไรทำไมแค่ทำหน้าตาอารมณ์ดีเขาถึงรู้สึกหมั่นไส้ได้ถึงขนาดนี้ รู้จักกันมาหลายต่อหลายเดือน เห็นกันมาทุกเช้ากลางวันเย็นก็ยังไม่ชินเสียที

ก่อนเจ้าพี่จะกลับไปสน.ก็มาโบกไม้โบกมือยกใหญ่ราวกับจะไม่ได้เจอกันไปอีกหลายวัน แผนถอนหายใจออกมาอย่างเหนื่อยหน่าย ดีที่เดือนนี้ไม่มีวันหยุดเลย สถานีจึงมีเพียงคนที่เดินทางอยู่ประจำไม่ค่อยมีผู้คนกลับบ้านเยอะเท่าไรนัก ว่าแล้วก็พาลนึกย้อนไปยังช่วงสงกรานต์ที่คนอภิมหาเยอะ

อาชีพนายสถานีอย่างเขาส่วนใหญ่ถ้าไม่มีปัญหาอะไร หรือต้องติดต่อราชการหน่วยอื่น จะทำหน้าที่อำนวยความสะดวกเฉพาะเวลาที่รถไฟเทียบชานชาลา ระหว่างรอรถเขาจึงมีเวลามานั่งพักนั่งเล่นกันในห้องประชาสัมพันธ์ แต่ก็ไม่นานมากหรอกเพราะสถานีกรุงเทพเป็นสถานีหลัก ไม่เกินสิบนาทีก็มีขบวนรถเข้าเทียบแล้ว

“น้องแผนจ๊ะ มาช่วยหยิบไปกินอีกหน่อยสิ สามีพี่เห็นว่าถูกเลยซื้อมาซะเยอะเลย”

“คร้าบ”

พี่ดา เป็นพนักงานประชาสัมพันธ์ควบตำแหน่งคนจ่ายตั๋วช่วยกันกับพี่สาวพี่ชายอีกสี่ห้าคนในสถานีกรุงเทพแห่งนี้ สามีเจ้าตัวก็เป็นนายสถานีเช่นเดียวกันทว่าไม่ได้ทำงานภาคพื้นแต่ต้องขึ้นตู้ไปดูแลความปลอดภัยให้ผู้โดยสารบนรถไฟ

ตั้งแต่เข้ามาทำงานพร้อมกับไอ้ด้วงก็กินดีอยู่ดีกว่าที่คิด เพราะพี่ ๆ แต่ละคนชอบสรรหาของกินของทานเล่นมาเก็บไว้ในตู้ให้พนักงานในสถานีมาแบ่งกันกินคนละเล็กละน้อย เพราะนอกจากพวกเขาแล้วก็มีพนักงานคุมประแจ พี่ช่าง คนการภารโรง แล้วก็คุณปู่ภารโรง

แผนนั่งลงกับเก้าอี้น้อยหยิบห่อขนมกล้วยออกมาแก้มัดก่อนจะกัดเต็มปากเต็มคำ พลางมองเจ้าด้วงซึ่งพึ่งกลับมาจากมื้อเที่ยงซึ่งเหมือนจะถูกขอให้กินจนจุกแล้ว เขามองเพื่อนไปก็นึกอิจฉา ทำยังไงถึงจะได้หุ่นแบบนั้น เขาเองก็อยากตัวสูงตัวใหญ่มีกล้ามมีก้นเหมือนกันบ้างนะ

‘ไอ้ด้วง’

‘อะไร?’

แผนคล้ายจะนึกเรื่องสนุก ๆ แก้เบื่อออกจึงกระเถิบที่นั่งไปใกล้เพื่อนผิวสีน้ำผึ้ง เขาได้ยินว่าตั้งแต่ต้นปีเจ้าตัวก็มีอาจารย์มหาลัยมาติดอกติดใจพูดคุยกันทุกเช้าเย็น

‘ครูอุ่นเขาเป็นไงอะ เล่าให้กูฟังได้ไหม ไปกันถึงไหนแล้ว?’

‘มะ...มึงนี่นะ! กูไม่ได้คิดอะไรกับเขา’

‘จริงอะ เขาเอาของมาฝากทุกสัปดาห์เลยนะ’

‘เขาแค่ตอบแทนที่กูไปช่วยบอกทางเท่านั้นแหละ’

‘แหม บอกทางครั้งเดียวได้ของตอบแทนลากยาวมาเป็นเดือนเลยนะ’

‘แล้วกูจะไปรู้ใจเขาไหมล่ะ!?’

‘ฮ่าฮ่าฮ่า!’

แผนรู้สึกเหมือนมีเพื่อนผู้ร่วมชะตากรรม การถูกผู้ชายด้วยกันอย่างเฮียพูนมาตามจีบต้อย ๆ จึงดูไม่แปลกมากมายนัก เพราะชีวิตเขาก็ไม่เคยมีใครมาเอาอกเอาใจแบบนี้เหมือนกัน ทีแรกเขารู้สึกว่ามันช่างเป็นความแปลกที่จริงใจจนน่ากลัวเสียด้วยซ้ำ

. . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . 

เพราะเขาคิดเช่นนั้น ผ่านมาหลายต่อหลายเดือนทั้งภาระงาน ครอบครัวที่ต้องรับผิดชอบ รวมไปถึงความรู้สึกที่ยังไม่ยอมแง้มเปิดเสียที สถานะระหว่างพวกเขาจึงเป็นได้เพียงพี่น้องที่บังเอิญเห็นหน้ากันในสถานีรถไฟ และมารู้จักกันในร้านกินดื่ม

แผนก้าวลงเรือสำปั้นที่มีนายตำรวจติดยศพันโทเป็นมือพายโดยมีเบื้องหลังเป็นแสงไฟสว่างโร่จากสถานีตรงข้ามกับภายนอกที่เป็นเวลากลางคืนช่วงหัวค่ำ มีต้นกำเนิดแสงไม่กี่ดวงจากไฟรายทางและหน้าต่างของครัวเรือนที่ยังไม่เข้านอน

“ไม่จับมือเฮียเหรอ?”

“จับทำไม น้ำตื้นแค่นี้เอง”

เป็นเวลากว่าอาทิตย์จวนจะขึ้นเดือนตุลาคมอยู่แล้ว แต่น้ำที่เคยลดลงกลับยังขังอยู่ที่เดิมไม่มีทีท่าว่าจะน้อยลงเลย ว่าแล้วเมื่อจัดแจงกระเป๋าบนตักเสร็จก็มามองพี่ตำรวจซึ่งนั่งฝั่งตรงข้ามที่ยังทำอารมณ์ดีฉีกยิ้มหน้าบานเป็นจานเชิงทั้งที่บ้านเมืองน้ำท่วมอยู่ ไม่ว่าอย่างไรก็พิลึกพิลั่น ถ้าไม่ติดว่าซื้อขนมมาให้กินทุกวันนะเขาไล่ตะเพิดไปแล้ว

“เฮียร้องเพลงให้ฟังเอาไหมครับ?”

“จะหนึ่งทุ่มแล้วมันรบกวน คนอื่นเขานอนกัน”

“น่ารัก”

“หือ? จู่ ๆ มาพูดอะไรเนี่ย”

“เฮียพูดชมว่าเราน่ารักครับ”

“ทำไมชอบพูดอะไรไร้แก่นสารนักนะ! ก็เคยบอกไปแล้วว่าผมไม่ใช่คนที่พี่เคยรู้จัก”

นี่เป็นอีกเรื่องที่ยังสงสัย บอกไปไม่รู้กี่สิบกี่ร้อยรอบว่าไม่ใช่ ๆ อีกฝ่ายก็ยังทู่ซี้ตามเอาขนมเอยอะไรเลยมาให้

“ไม่รู้จักก็ได้ครับ งั้นเรามาแนะนำตัวกันใหม่ เฮียเป็นตำรวจชื่-

“พอเลย! พายไปเงียบ ๆ นั่นแหละ รู้จักก็รู้จัก”

เพราะแผนไม่อยากต่อปากต่อคำกับคนพูดจามากมายอย่างนายตำรวจคนนี้ เชื่อสิว่าต้องมีสักวันที่เฮียพูนแกจำความได้ขึ้นมา เมื่อถึงคราวนั้นก็คงจะถอยห่างจากเขาไปเองนั่นแหละ อย่างไรเหตุผลที่เขาอนุญาตให้อีกฝ่ายเข้ามาในชีวิตก็ไม่ใช่เพราะเรื่องราวรัก ๆ ใคร่ ๆ อยู่แล้ว

“บ้านเราต้องเข้าไปอีกใช่ไหมครับ?”

“อือ...เลี้ยวตรง...”

“ตรงแยกนั้นใช่ไหมครับ?”

“มะ... ไม่ต้อง ผมลงตรงนี้แหละ เดี๋ยวเดินไปเอง”

“แต่ตรงนี้มัน-เหวอ!

ไม่ทันที่พี่ตำรวจจะกล่าวนายสถานีตัวเล็กก็ก้าวลงพื้นน้ำที่สูงขึ้นมาถึงครึ่งแข้ง ก้าวขากวาดน้ำไปอย่างไม่กลัวงูเงี้ยวเขี้ยวขอที่อาจลอยมาตามน้ำ นั้นทำพูนเป็นห่วง จะลงเดินไปก็เสี่ยงเรือหายอีก วันแรกที่พูนได้รับโอกาสให้ไปส่งน้องกลับบ้านจึงไม่ประสบผลสำเร็จ ทีแรกเขาตั้งใจจะพายไปส่งถึงหน้าบ้านเลยเชียว

แผนเดินก้าวขาฉับ ๆ อย่างไม่กลัวว่าขาจะเปียก เขาลืมไปเลยว่าจะให้ใครมารู้ที่อยู่บ้านไม่ได้โดยเฉพาะเฮียพูน

เหตุการณ์เมื่อครู่นั้นถือว่ารอดหวุดหวิด ถ้าปล่อยไปละก็คนอย่างเฮียพูนได้ตามมาในภายหลังแน่ ว่าแล้วก็หันหลังกลับไปมองยังทางที่เดินผ่านมา ก่อนจะเห็นเจ้าพี่แกหันหัวเรือพายไปทางอื่นแล้วก็พลอยโล่งใจ

เขาเกิดมาในบ้านยาจกแร้นแค้น กว่าจะถีบตัวเองขึ้นมาทำงานใส่ชุดสีกากีแบบนี้ได้นั้นไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับคนที่ต้องหาเลี้ยงน้องสาวต่างแม่มาจนเจ้าตัวอายุสิบเก้าปี

นายสถานีตัวเล็กเดินเลยเขตที่น้ำท่วมออกมาไม่นานก็ถึงปากทางเข้า มันเป็นเพียงสะพานไม้ผุเก่าแก่ที่อยู่มานานกว่ายี่สิบปีซึ่งถูกสร้างขึ้นมาเพื่อให้ผู้คนในสลัมแห่งนี้เดินข้าม

ราวกับพลิกฝ่ามือ ทัศนียภาพของพระนครอันหรูหราในภาพฝันของใครต่อใครคงจะถูกทำลายลงเมื่อได้มาเห็นบ้านเรือนริมแม่น้ำเจ้าพระยาที่ติดกันเป็นแพจนแทบจะไม่มีอากาศให้หายใจ สายไฟระโยงระยางพาดผ่านหลังคาสังกะสีนับสิบหลัง กลิ่นสนิมเกรอะกรัง กลิ่นขยะเหม็นเน่าโชยฟุ้งไปทั่วอาณาบริเวณ ทว่าผู้ที่เติบโตมาตั้งแต่เด็กอย่างเขานั้นเคยชินกับสภาพแวดล้อมแบบนี้แล้ว ใบหน้าจึงปรากฏแต่เพียงความเรียบเฉย

แสงจันทร์สาดลงมาสะท้อนร่างผู้สูงอายุคนหนึ่งที่นอนเอกเขนกกอดขวดเหล้าอยู่ ณ แคร่หน้าบ้านรูหนูขณะนายสถานีตัวเล็กเดินผ่าน และเพราะไร้ซึ่งผู้คนเดินไปมา เสียงหนูตามทางเดินจึงได้ยินชัดกว่าปกติ เพียงไม่นานเขาก็มาถึงหน้าบ้าน

เพราะเป็นบ้านที่สืบทอดกันมาจากฝั่งพ่อ มันจึงใหญ่กว่าบ้านคนอื่นและทำจากไม้ กระนั้นมันก็เก่าเกินกว่าจะเรียกได้ว่าน่าดูชม

กุญแจพวงน้อยกระทบกันเสียงใส ก่อนจะตามด้วยประตูบานพับไม้ที่เปิดออกอย่างเชื่องช้า เพียงก้าวแรกที่เยื้องย่างเข้าไปในเขตบ้าน กลิ่นอันไม่พึงประสงค์ก็ลอยมาเตะจมูก ดวงตาที่เคยเป็นประกายเมื่อดูต่อหน้าผู้โดยสารกลับไร้แวว หรี่มองขวดเหล้าและ ‘กล้องสูบฝิ่น’ ที่ทำจากเหง้าไผ่ซึ่งมีรอยดำจากยางฝิ่นที่ผู้ใช้สูบติดต่อกันมาเป็นเวลานานหลักปี ไม่พอยังมียาเสพติดและเครื่องมือมากมายที่หากตำรวจสักคนมาเจอเข้าละก็ ไม่ใช่แค่คนสูบแต่เขาที่ปกปิดมันคงโดนหางเลขไปด้วย

เพียง? นอนแล้วเหรอ”

“อือ.... พี่ มีอะไร?”

“พี่แค่จะบอกว่าได้ขนมกล้วยมา เอ็งเอาไว้กินรองท้องตอนเช้านะ”

“จ้ะ...”

แผนวางกระเป๋าไว้ยังหัวนอนนอกมุ้งก่อนจะเดินไปผลัดผ้าอาบน้ำ โดยไม่สนว่าบิดาแก่ชราผู้เมามายจะลงไปนอนกับพื้นหรือไม่ โอ่งน้ำถูกตั้งไว้กลางแจ้งท้ายบ้านซึ่งเคยเป็นท่าเรือขนาดย่อม ไม้กระดานต่อพาดมาระแม่น้ำทว่าในยามต้องเผชิญกับอุทกภัยแบบนี้ไม่แปลกหากมันจะขึ้นมาเกยถึงข้อเท้า ทว่าอย่างไรเสียมันก็ดีกว่าวันแรกที่พายุเข้าซึ่งน้ำขึ้นมาถึงเอว ทำเอาหนังสือของเพียงน้องสาวเสียหายไปเยอะโข ดีที่มันไม่ขาดลุ่ยหรือหมึกซึมจนอ่านไม่ได้ แต่ก็ลำบากพอควรเมื่อจำต้องหยิบขึ้นมาอ่านทั้ง ๆ ที่ยังเปียกชื้นอยู่

แผนเมื่อเอาน้ำราดเนื้อราดตัวพอให้หายเหนื่อยก็นั่งทิ้งขาลงกับท่าเรือ มองดวงจันทร์ที่หลบอยู่หลังเมฆไปพลางนึกถึงเงินเดือนที่กำลังจะออก เพราะมันไม่ได้มากมายนักจึงต้องบริหารให้ดีเสียแต่เนิ่น ๆ ไหนจะต้องมาเตรียมเงินค่าเรียน ค่าสมัครสอบของเพียงในครั้งหน้าอีก

ว่าแล้วก็ถอนหายใจเฮือกใหญ่ หันกลับไปมองในตัวบ้านเพื่อจะสอดส่องมองน้องสาวในมุ้ง แต่ก็ไม่วายหันไปเห็นบิดาซึ่งควานหาสิ่งเสพติดมากอดไว้

มันทำเขาปวดใจไม่ใช่น้อยกับการที่ให้เงินพ่อไปแล้วอีกฝ่ายกลับทำเหมือนมันไร้ค่า ไม่ว่าจะบีบบังคับอย่างไร จะขู่ตัดเงิน พ่อก็ไม่เคยสำนึกทั้งยังเอาลูกสาวตัวเองมาเป็นตัวประกันว่าหากไม่ให้เงินตัวเองจะทุบตีทำร้ายเหมือนที่ทำกับเขา

เพราะแบบนั้น เพราะถูกรายล้อมไปด้วยสิ่งเหล่านี้ การจะให้ใครมารับรู้นั้นมันไม่ชวนให้น่าสงสารหรอก มันมีแต่จะน่าสมเพช ทั้งยังเสี่ยงเข้าคุกเข้าตะราง ดังนั้นเขาจะบอกเรื่องนี้ให้คนอื่นรู้ไม่ได้เป็นอันขาด

Continuez à lire ce livre gratuitement
Scanner le code pour télécharger l'application

Latest chapter

  • มนต์รักหนุ่มพิษณุโลก   เรื่องนอกวัง ๓ โคมขาว

    เหตุผลที่พูนยังไม่ให้ศรีภรรยาไปพบพ่อกับป๊านั้นนอกจากอาการน้องน้อยไม่ค่อยจะสู้ดีแล้ว ทั้งสองคนเองก็ไม่ว่างเช่นกันเพราะช่วงนี้เป็นช่วงเวลาจบการศึกษาของโรงเรียนกลาง การไปมอบประกาศณีบัตรหรือการพูดสุนทรพจน์จึงจำเป็นต่อการส่งต่อเจตนารมณ์ ส่วนเขาก็ได้แต่นั่งทำงานงก ๆ อยู่ในห้อง การมาฟูเหรินได้วันละครั้งแบบนี้ก็ถือว่าบุญหัวแล้วตอนนี้เป็นยามเย็นของวันซึ่งเขาชวนภรรยามาเดินเล่นในสวนตำหนักมุกอันใกล้ถึงจะไม่ได้ใหญ่เมื่อเทียบกับสวนสาธารณะกลางหรือป่าเขาที่ชาวบ้านชอบไปเดินเก็บพืชผักแต่อย่างน้อยก็ยังดีกว่าอุดอู้อยู่ในตำหนักเขาทราบมาจากหัวหน้าช่างแต่งกายว่าฟูเหรินวันทั้งวันไม่ยอมออกมาจากนอกห้องเลยนอกจากจะมีอาจารย์มาสอนหนังสือ ซ้ำยังมีบางครั้งที่แอบไปร้องไห้อยู่คนเดียว พอชาวใช้จะขอเข้าไปทำความสะอาดเพื่อแอบดูอาการเจ้าตัวก็เงียบไม่ยอมเปิดห้อง ซ้ำยังบอกให้สาวใช้วางถังน้ำอุปกรณ์เอาทิ้งเอาไว้จะทำเองอีกต่างหากและวันนี้ตอนมาถึง ก่อนที่จะเอ่ยเรียกเขาพึ่งมาได้ยินเสียงร้องไห้นั้นชัด ๆ มันไม่มีคำตัดพ้อหรือเรื่องราวที่ถูกพูดออกมาระบายความเศร้า มีเพียงสะอื้นไห้แต่เพียงเท

  • มนต์รักหนุ่มพิษณุโลก   เรื่องนอกวัง ๒ โคมเขียว

    สถานที่อันลึกลับและแฝงไปด้วยเสน่ห์เย้ายวนจากไฟสลัวในอาคารไม้หลังเก่า ตกแต่งปิดบังอายุด้วยการตกแต่งด้วยผ้าหลากสีสัน เสียงดนตรีจีนวัยเยาว์ออกมาจากห้องซึ่งมีราคาสูงโดยที่แผนนั้นรู้ดีว่ามันกำลังจะแปรเปลี่ยนเป็นเสียงครวญครางในไม่ช้าเขาเดินเข้ายังภายในร้านแน่นอนว่าหากไปพบขุนนางในสภาพชุดเก่าเยินแบบนี้ละก็จากที่จะได้เงินคงจะได้คำเหยียดหยามด่าทอมาแทน ดังนั้นเขาจึงมาขอยืมเปลี่ยนเสื้อผ้าให้มีสารร่างที่พอจะดูได้ขึ้นมาบ้าง กระนั้นที่แห่งนี้ก็ใช่ว่าจะมีเงินถุงเงินถังมาซื้อเครื่องประดับหรือผ้าดี ๆ มาตัดเย็บนักหรอกผ้าเนื้อหยาบสีสดใสถูกสวมแทนที่เสื้อใยฝ้ายใกล้ขาด ใบหน้าเปื้อนดินเปื้อนผงถ่านถูกทำความสะอาดและแต่งแต้มด้วยผงสี จนในตอนนี้ตัวเขาในกระจกกลายเป็นคนละคนกับชาวนาทำงานหลังสู้ฟ้าหน้าสู้ดินคนนั้นอย่างสิ้นเชิงพรมลายดอกไม้พื้นเก่าเกิดเสียงแผ่วเบาเมื่อฝ่าเท้าเปล่าคู่บางก้าวผ่านธรณีประตูออกมาจากห้อง ก่อนจะค่อย ๆ เคลื่อนไหวอย่างเชื่องช้าราวกับจงใจให้เวลาล่วงผ่านไปเพื่อสัมผัสความสงบตระเตรียมใจ ก่อนจะเผชิญกับพายุโหมกระหน่ำ บรรยากาศที่เย็นเยือกยามราตรีส่งให้ทุกอย่างดู

  • มนต์รักหนุ่มพิษณุโลก   เรื่องนอกวัง ๑ โคมแดง

    แดนแห่งเสรีชน แดนอันเปิดกว้างสำหรับความคิดและการแสดงออกอย่างเสรีท่ามกลางวัฒนธรรมอันเคร่งครัดของสังคมจีน สถานที่ที่ผู้คนสามารถดำรงชีวิตตามวิถีทางของตนเองได้โดยปราศจากการกดขี่ ประหนึ่งสรวงสวรรค์ของผู้ที่ต้องการความเป็นอิสระในการเลือกเส้นทางชีวิตของตนเอง ความคิดสร้างสรรค์และความหลากหลายทางวัฒนธรรมได้รับการยอมรับและเฉลิมฉลอง เป็นสัญลักษณ์ของความมุ่งมั่นในการสร้างสังคมที่เคารพในศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์และให้โอกาสทุกคนในการเลือกทางเดินชีวิตของตนเองกระนั้นที่ใดมีปวงชนที่นั่นย่อมมีผู้นำ ดินแดนอันกว้างใหญ่อุดมสมบูรณ์แห่งนี้ถูกปกครองด้วยกษัตริย์ซึ่งเป็นผู้ถูกคัดเลือก เป็นผู้เดินนำหน้าทุกผู้ทุกคนมายังดินแดนอันเคยแร้นแค้นแห่งนี้และยืนหยัดเพื่ออุดมการณ์ของตนเอง กษัตริย์ปกครองเคียงคู่พระมเหสีเพียงพระองค์เดี๋ยวโดยไร้ซึ่งอนุ สำหรับอาณาจักรอื่นแล้วการมีสนมคือการถ่วงอำนาจ คือการคัดเลือกวัตถุดิบชั้นเลิศในด้านหน้าตาและคุณภาพขึ้นมาวางบนจานเพื่อให้รสชาติอาหารออกมากลมกล่อม แต่แดนเสรีชนไม่ใช่แบบนั้นหากสามัญชนผู้ใดมีชู้จะถูกประณาม หากเศรษฐีผู้มั่งคั่งมีอนุจะถูกผู้คนทอดท

  • มนต์รักหนุ่มพิษณุโลก   บทพิเศษ ๑๓ หงส์โบยบิน

    เทียบ × อำพัน“ป๊า ฉันขอลาออกจากคณะ” คนเป็นพ่อซึ่งนั่งจิบเหล้าแกล้มยำแตงกวาถึงกับไอสำลักเมื่อไอ้ลูกชายหลังจากเกิดเรื่องเมื่อวานก็ดันมาขอลาออก พวกเขายังเหลืองานที่นี่อีกตั้งหลายวันกว่าจะหมดสัญญา แถมงานต่อไปยังเป็นการไปแสดงถึงใจกลางประเทศอย่างพระนคร อนาคตสดใสแบบนี้ทำไมอาไจ่มันถึงมาลาออก“ลื๊อมีคนมาทาบทามรึ?”“ไม่จ้ะ ฉันจะออกมีผัว”“แค่ก!...แค่ก!...”พ่อเฉิงคราวนี้นอกจากจะไอโขลกแล้วยังตกใจตาโตมองเจ้าลูกชายหัวแก้วหัวแหวนที่แววตาไม่สั่นคลอนสักนิด ไอ้เขาอยู่กับมันมาก็หลายปี รู้หมดนั่นแหละว่ามันชอบอะไรไม่ชอบอะไร แต่จู่ ๆ มาบอกลาออกกะทันหันด้วยเหตุผลนั้นใครเขาจะไม่ตกใจกันบ้างเล่า!นอกจากพ่อเฉิงจื่อที่รู้เรื่องแล้วคนอื่น ๆ บางส่วนในคณะก็บังเอิญมาได้ยินบทสนทนาก่อนจะกวักมือเรียกเพื่อน ๆ นักแสดงคนงานมาดูสถานการณ์ด้วยโดยมีหัวหอกคืออาเจ๊ใหญ่ไพลินที่จับตามองน้องชายผู้จะออกไปล่าฝัน เก่งมากอาตี๋! ขนาดเจ๊อยากมีผัวก็ยังไม่สามารถมุ่งมั่นได้ขนาดนี้เลย!“แล้วใครจะมาเป็นผ

  • มนต์รักหนุ่มพิษณุโลก   บทพิเศษ ๑๒ หงส์บนดิน

    เทียบ × อำพันแสงไฟจากโคมกระดาษสีแดงสดส่องสว่างรอบเวทีไม้ที่ถูกสร้างขึ้นซึ่งประดับประดาไปด้วยป้ายแขวนเครื่องเงินเครื่องทองเทียมเล่นแสงเติมเต็มความมีชีวิตชีวา กลิ่นธูปหอมอบอวลในอากาศสร้างบรรยากาศศักดิ์สิทธิ์ ผู้คนในชุมชนทั้งเด็กผู้ใหญ่ต่างนั่งล้อมวงกันบนเสื่อกกทอมือหรือเก้าอี้ไม้เก่า มองดูเวทีที่พาดแขวนตกแต่งด้วยผ้าแพรสีแดงสดพร้อมฉากหลังที่วาดภาพทิวทัศน์ในฝันอย่างวิจิตรถึงทิวทัศน์อันงดงามของสวนจีนโบราณซึ่งประกอบขึ้นมาจากเส้นหมึกอันละเอียดอ่อนของพู่กัน สร้างความลึกซึ้งซึ่งสื่อถึงความพิถีพิถันในทุกมุมของภาพวาดเสียงกลองและฉาบดังขึ้นเป็นสัญญาณให้ผู้คนต่างพากันรวมตัวหน้าศาล บรรยากาศรอบเวทีเต็มไปด้วยเสียงพูดคุยที่เจือไปด้วยความตื่นเต้นเมื่อม่านเปิดออก นักแสดงงิ้วในชุดเสื้อผ้าอันงดงามปักลวดลายทองคำสีสันสดใสดึงดูดสายตา ก้าวออกมาด้วยท่วงท่างามสง่า เสียงร้องของนักแสดงที่ไพเราะทรงพลังดังก้องกังวานไปทั่วบริเวณ เรียกความสนใจจากผู้คนเดินไปมาและตรึงผู้ชมหน้าเวทีได้อย่างไม่ยากเย็น“林妹妹,你總是這麼憂愁,何必呢?”

  • มนต์รักหนุ่มพิษณุโลก   บทพิเศษ ๑๑ ทิวเขา

    ตั้งแต่รับสองเด็กเข้ามาพวกเขาก็มีโอกาสได้ตระเวนเที่ยวต่างจังหวัดมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นพิษณุโลกบ้านของพี่พูน นครปฐมซึ่งเป็นจังหวัดใกล้เคียง หรือจะทะเลที่สมุทรปราการพวกเขาก็พาเด็ก ๆ ไปเปิดหูเปิดตามาแล้วยิ่งในพระนครยิ่งไม่เหลือ รบรามที่ได้เข้าไปดูงานเขียน งานสถาปัตยกรรมในวัดวาอารามค่อนข้างตื่นตาตื่นใจ รวมไปถึงการได้วิ่งเล่นว่าวในสนามหลวงกับพ่อก็เป็นกิจกรรมที่เด็ก ๆ โปรดปรานเช่นกันในวันนี้เองก็เป็นการพักผ่อนอีกครั้งซึ่งพวกเขาจะเดินทางขึ้นเหนือไปเที่ยวดูธรรมชาติที่เชียงใหม่ ถึงคุณปู่จะสุขภาพถดถอยไปตามวัยแต่เด็ก ๆ ก็รับปากแล้วว่าจะซื้อโปสต์การ์ดซื้อของท้องถิ่นกลับมาฝากแน่นอน“เด็ก ๆ แปรงฟันมาแล้ว ห้ามกินขนมแล้วนะ”“จ้ะ/คร้าบ”รบตอบฉะฉานในขณะที่พี่ชายอย่างรามกล่าวด้วยความไม่สบายอารมณ์เท่าไรนักเพราะเจ้าตัวบ่นกระปอดกระแปดว่าอยากกินทองม้วนที่ซื้อมาเมื่อหลายวันก่อน แต่ด้วยเวลารถไฟที่ใกล้เข้ามา พวกเขาจึงไม่มีเวลามาเอ้อระเหยสุดท้ายสองเด็กก็ถูกจับให้แปรงฟันและออกมาในทันที แม้จะน่าเศร้าสำหรับลูกราม แต่เดี๋ยวเช้าพรุ่งนี้ก็กินขนมที่พกมาได้แล้วกา

Plus de chapitres
Découvrez et lisez de bons romans gratuitement
Accédez gratuitement à un grand nombre de bons romans sur GoodNovel. Téléchargez les livres que vous aimez et lisez où et quand vous voulez.
Lisez des livres gratuitement sur l'APP
Scanner le code pour lire sur l'application
DMCA.com Protection Status