Share

บทที่ ๓ กับดัก

last update Terakhir Diperbarui: 2024-10-30 18:15:34

“พ่อ ฉันวางจานเอาไว้ตรงนี้นะจ๊ะ”

พูนในวัยสิบห้าย่างสิบหกหยิบยกตะแกรงซึ่งเต็มไปด้วยจานที่ล้างเสร็จหมาด ๆ มาวางไว้บนโต๊ะหินหน้าบ้าน จนถึงตอนนี้ผ่านมาหลักปีเขาก็ยังนึกถึงน้องชายคนนั้นอยู่ตลอด ด้วยว่ายกให้เป็นเพื่อนสนิทคนแรกหลังต้องย้ายมาจากพระนคร

เด็กหนุ่มยืนจัดเรียงจานให้เข้าที่ แม้เป็นเวลาเพียงสามปีส่วนสูงกลับเพิ่มขึ้นจนจะเท่าคนเป็นพ่ออยู่แล้วเชียว กิจการช่วงนี้ดำเนินไปอย่างเรียบง่ายเช่นเคย รวมไปถึงเหตุการณ์ที่เขาต้องคอยปรามพ่อไม่ให้เอาเขียงทุบหัวลูกค้า

“เฮ้อ...”

พูนถอนหายใจออกมาอย่างเหนื่อยหน่าย หากน้องเจ้ายังอยู่ละก็เขาคงมีที่ระบายเพิ่มขึ้น เพราะตั้งแต่วางแผนว่าจะสอบเข้าโรงเรียนตำรวจ ชีวิตเขาก็ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป

เพราะเมืองพิษณุโลกไม่มีโรงเรียนตำรวจ มีเพียงสถานีไม้เล็ก ๆ ให้ชาวบ้านไปไกล่เกลี่ยกับตำรวจไม่กี่นาย หากจะเรียนก็ต้องเตรียมตัวสอบข้อเขียนประกอบกับวัดสมรรถภาพร่างกาย ซึ่งไม่รู้ว่ามันจะหนักแค่ไหน หรือเขาต้องรู้อะไรก่อนไปสอบบ้าง

“ป๊าจ๊ะ ฉันออกไปวิ่งก่อนนะจ๊ะ”

“ช่วงนี้มืดเร็ว กลับมาก่อนค่ำนะจ๊ะ”

“จ้า”

พูนซึ่งขึ้นไปเปลี่ยนเป็นชุดไปรเวทลงมานั่งสวมรองเท้าผ้าใบคู่เก่าคู่เดิม กลับมาก็น่าจะต้องอ่านหนังสือทบทวนอีกนิดหน่อยเอาไว้สอบไล่สำหรับจบม.๓ คะแนนที่ผ่านมาถือว่าอยู่ในระดับกลางค่อนไปทางสูงแบบนี้แล้วเส้นทางการเป็นตำรวจน่าจะขยับใกล้เข้ามาบ้าง

เขาทำกิจวัตรเหล่านี้อย่างเป็นธรรมชาติ เพราะรู้ตัวเองดีว่าถ้าให้ฝืนอ่านหนังสือหรือออกกำลังกายหนัก ๆ ทุกวันคงจะตบะแตกในไม่ช้าจึงเลือกหนทางที่ง่ายที่สุดแต่ต้องใช้เวลาสักหน่อย ทว่าเด็กอย่างเขาก็มีเวลาให้ใช้เหลือเฟือหลังเลิกเรียนอยู่แล้ว

มันอาจจะฟังดูแปลกหากเขาจะบอกว่าเป้าหมายเขามีแรงจูงใจเพียงอย่างเดียวคือคำว่า ‘เท่’ ก็แหม พอเริ่มโตมาได้เห็นสังคม เห็นคนเขาพูดถึงข้าราชการตำรวจมากเข้าหน่อยก็ดันคล้อยตาม ใครจะบอกว่าเป็นตำรวจมันดีที่ได้ช่วยเหลือประชาชน พิทักษ์ความถูกต้องเป็นที่เชิดหน้าชูตา แถมได้สวัสดิการหลังเกษียณ แต่นั่นมันเทียบไม่ได้เลยกับเสน่ห์ดึงดูดจากเครื่องแบบนั้น!

เข้าใจแล้วว่าทำไมเจ้าน้องถึงได้อยากเป็น พูนคิดแล้วก็วิ่งลั้นลามีความสุข ถึงตอนนี้ความรู้สึกที่เคยคิดถึงแทบเป็นแทบตายจะกลายเป็นความทรงจำดี ๆ ระหว่างพี่น้องข้างบ้านแล้ว แต่แรงบันดาลที่ใจที่ทำให้เขามีความฝันมันไม่เคยเลือนรางไปเลย หากได้กลับมาเจอกัน และจำกันได้ อีกคนจะรู้สึกภูมิใจกับพี่ชายคนนี้หรือเปล่านะ

“พูน! ออกมาวิ่งอีกแล้วเรอะ”

“ครับจารย์!”

“ได้ยินจารย์ชัยแกบอกว่าเอ็งจะลงประกวดร้องเพลงให้ ไม่ซ้อมหน่อยเหรอ?”

“ซ้อมที่โรงเรียนเอาน่ะครับ!”

โรงเรียนที่เขาเข้าศึกษาเป็นโรงเรียนประจำจังหวัดซึ่งตั้งอยู่ใกล้บ้านเดินไม่กี่ก้าวก็ถึง ทั้งบริเวณด้านข้างยังเป็นบ้านพักครูซึ่งส่วนใหญ่ก็รู้จักเขาที่เป็นเด็กดนตรีทั้งนั้น

จะว่าเป็นเหตุบังเอิญก็ได้ที่เขาติดนิสัยร้องเพลงมาจากป๊าซึ่งเป็นนักสะสมแผ่นเสียง อาจารย์ที่เห็นแววจึงมาทาบทาม ไม่สิขอร้องให้เขาไปประกวด เพราะอยากได้เงินแบ่งมาซื้ออุปกรณ์ดนตรี แถมหากได้ที่หนึ่งอาจารย์แกบอกจะให้เงินเพิ่มอีกด้วย

แรงจูงใจเขามักจะมาจากอะไรที่ไม่ค่อยเป็นชิ้นเป็นอันเท่าไรนัก เคยมีเพื่อนแซวเหมือนกันว่าเหตุผลแค่นี้หรือริอ่านจะเป็นตำรวจ แล้วคนเราต้องมีเหตุผลสักกี่ร้อยข้อถึงจะสามารถตั้งมันเป็นความฝันได้ แค่เพราะชอบ เพราะมันเท่ ก็เพียงพอที่จะกระตุ้นตัวเองให้ลุกขึ้นมาเริ่มต้นได้แล้ว

หลังฝีเท้าหนักวิ่งรอบหมู่บ้านมาจนจะครบรอบที่ห้า พูนก็วกเลี้ยวกลับมานั่งพักตากลมเย็นในเขตบ้าน คิดลำดับกิจกรรมที่ต้องทำ ไล่ตั้งแต่อาบน้ำ อ่านหนังสือ นั่งทวนเนื้อเพลงแล้วก็นอน ช่างเป็นชีวิตที่เรียบง่ายและเขาก็ชอบมัน

‘พะ...พี่! เดี๋ยวลูกก็กลับมาแล้ว’

‘ที่รักเราไม่ได้ทำกันมานานมากแล้วนะ’

แต่ในความเรียบง่ายของนายผดุงกิตติ์นั้นมักจะมีอะไรเพี้ยน ๆ เข้ามาแทรกอยู่เสมอ มะรืนก็เจอหมาวิ่งไล่ เจอแมวขู่มใส่ รอวัวข้ามถนน เมื่อวานระหว่างวิ่งก็เจออาจารย์ชัยที่ลากเขาไปซ้อมร้องเพลงแบบงง ๆ มาวันนี้พ่อกับป๊าดันจะทำเรื่องอย่างว่าตอนเขาจะเข้าบ้านอีก

พูนตั้งแต่เข้าสู่ช่วงวัยรุ่น ก็พอจับบรรยากาศได้และรู้ว่าเรื่องราวแบบนี้มันเป็นสิ่งปกติของคู่รัก ทั้งเขาก็มารู้ตัวเองว่าไม่ได้สนใจในเรือนร่างของสตรีเพศอย่างเพื่อนชายคนอื่น แต่ก็ยังไม่ได้รู้สึกพิศวาสใครเป็นพิเศษ เพราะไอ้ที่เจออยู่ทุกวันมันก็เรื้อนใช้ได้เลยเชียว

“เฮ้อ...”

‘แล้วเขาจะทำยังไงกับสถานการณ์ตอนนี้ดี’ จะทำเป็นไม่ได้ยินแล้วเดินขึ้นไปเปลี่ยนเสื้อ หรือจะนั่งรออยู่ตรงนี้ต่อไปจนกว่าทุกอย่างจะสงบลง แต่เขาก็ไม่อยากรับรู้เรื่องราวส่วนตัวของพ่อ ๆ เสียด้วยสิ เอาเป็นว่าออกไปวิ่งต่ออีกสักรอบสองรอบแล้วค่อยกลับมาก็แล้วกัน อย่างไรฟ้ายังมีแสงรำไรพอให้มองเห็นทางอยู่

“เฮ้อ...”

พูนถอนหายใจออกมาอีกครั้งก่อนจะก้าวขาออกนอกเขตบ้านฮัมเพลงพลางคิดว่าหากตัวเองได้มีชีวิตคู่แบบนั้นบ้าง แบบที่ได้อยู่ในบ้านหลังเดียวกัน ได้ตื่นมาเจอกันทุกเช้ามันจะเป็นความรู้สึกแบบไหนกันนะ

. . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . 

เสียงโหวกเหวกโวยวายของฝูงชนท่ามกลางงานแสดงลิเกทำเอานายตำรวจหน้าใหม่อย่างผดุงกิตติ์ถึงกับปวดศีรษะคล้ายความดันจะขึ้น

หลังจากจบการศึกษาโรงเรียนนายร้อยที่หนักเอาการสำหรับคนนิสัยเรื่อย ๆ เอื่อย ๆ เขาก็ได้มาประจำการอยู่ในสน.เมืองนครปฐม ซึ่งเหตุการณ์ที่เจอส่วนใหญ่ล้วนเป็นการทะเลาะเบาะแว้งระหว่างชาวบ้านทั่วไป ของหาย ของถูกขโมย นาน ๆ ทีจะเจอคนพกอาวุธยกพวกตีกันจนต้องจับมาเข้าตะรางในสถานีให้รุ่นพี่ปรับทัศนคติเสียใหม่

ในฐานะตำรวจนี่ก็ถือว่าเป็นอะไรที่สบายมากแล้ว เขาอ่านตามหนังสือพิมพ์ สน.อื่นเล่นยกกันไปจับโจร คิดวางแผนการใหญ่จนออกข่าวหน้าหนึ่งโดยเฉพาะเขตพระนครที่ดูจะมีเรื่องอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน นึกภาพไม่ออกเลยว่าตำรวจที่นั่นต้องทำงานหนักขนาดไหน จะมีเวลามานอนกลางวันเหมือนผู้กองสน.เขาหรือเปล่านะ

วันนี้เป็นอีกวันที่พิเศษขึ้นมาสักหน่อย เพราะเป็นช่วงเทศกาลงานวัด แน่นอนว่ามันมาพร้อมกับความวุ่นวาย การมีคนยกพวกตีกันหน้าเวทีนักร้องนี่ถือว่าเป็นเรื่องสามัญไปแล้วก็ได้ บางทีตำรวจอย่างพูนก็อยากเดินซื้อไส้กรอกแดงมาจิ้มกินสบาย ๆ กับเขาบ้างเหมือนกันนะไอ้อันธพาลพวกนี้นี่!

“เป็นแค่ตำรวจมีสิทธิ์อะไรมาลากพวกฉันไปโรงพักฮะ!!”

“ก็เพราะเป็นตำรวจไงล่ะครับถึงต้องห้ามพวกลุงไม่ให้ตีกัน”

พูนในเครื่องแบบสีกากีกล่าวเสียงเหน่ออย่างเหนื่อยหน่ายขณะคุมตัวคุณลุงคนเมาไปสน. ไม่น่าเชื่อว่าคนแก่ขนาดนี้จะมีแรงเสยหมัดเข้าคางเขาจนหน้าสั่นได้

เขาส่งต่อหน้าที่ให้พี่ตำรวจร่วมงานก่อนจะกลับเข้าซุ้มประตูมาตรวจสอบความเรียบร้อยอีกที วันนี้เป็นวันนมัสการองค์พระปฐมเจดีย์ โดยในเขตวัดนั้นจะมีซุ้มอาหารมากมายสำหรับผู้เข้างาน รวมไปถึงแสงสีเสียงการแสดงจากนักร้องลิเกซึ่งถูกจ้างมาในวาระพิเศษ ว่าแล้วหลังจากซื้อมื้อเย็นมาอยู่ในมือก็ว่าจะแวะไปดูหลังเวทีสักหน่อย

ไม่ใช่เพราะกลัวจะเกิดเรื่องอะไรขึ้น แต่เพราะคนที่เขากำลังคบหาดูใจเป็นถึงพระเอกลิเกคณะใหญ่

“พี่พูนจ๊ะ!”

ว่าแล้วเจ้าของเสียงเจื้อยแจ้วก็โผเข้ามากอดจากด้านหลังในมุมลับตาคน เขาคิดว่าจะเข้าไปทำให้ตกใจเล่นแต่คงไม่ทันเสียแล้ว เจ้าตัวตอนพบกันครั้งแรกเห็นว่าน่ารักเป็นมิตรเขาจึงเข้าไปทักทาย ก่อนที่ไม่นานความสัมพันธ์จะพัฒนาขึ้นอย่างรวดเร็ว

“แต่งหน้าเสร็จแล้วเหรอ ได้กินข้าวบ้างรึยัง?”

“ยังเลยจ้ะ พี่ป้อนฉันได้ไหมจ๊ะ”

พูนหยิบไม้จิ้มลูกชิ้นป้อนเข้าปากน้องคนรักที่เตรียมตัวขึ้นแสดง เป็นเวลากว่าสองเดือนที่คบกัน แน่นอนว่าเรื่องนี้เป็นความลับทั้งจากทางคณะลิเกและคนรอบข้างของเขา และต่อให้มีปัญหาแค่ไหนเขาก็เอาไปบอกใครไม่ได้มากอยู่แล้ว 

“พี่นอกใจฉันใช่ไหมจ๊ะ!?”

“ฮะ? พี่ไปนอกใจเราตอนไหน”

พูนที่หลังจากเลิกงานวันนี้แวะเอาบะหมี่ที่ร้านมาฝากคนรัก ตอนกำลังสูดเส้นหมี่หยกก็ต้องค้าง ทำไมเขาถึงได้โดนจับไปรวมกับคนพวกนั้น นอกใจอะไรเขาไม่เคยคิดด้วยซ้ำ แล้วก็ไม่รู้ว่าจะนอกใจไปทำไมด้วย

“แล้วผู้หญิงคนนั้นที่เดินคู่พี่เมื่อคืนล่ะ!”

“เขาหลงทาง พี่เลยอาสาพาไปส่ง มันก็แค่นั้น แล้วพี่ก็ไม่ได้ชอบผู้หญิ-

“คนเรามันเปลี่ยนกันได้ตลอดแหละ!”

“เอ่อ...พะ...พี่ขอโทษ เราไม่สบายใจใช่ไหม...”

มันมักจะเป็นเขาที่ต้องเป็นฝ่ายเอ่ยคำขอโทษอยู่เสมอ แม้ในความเป็นจริงแล้วเขาไม่แม้แต่จะรู้ด้วยซ้ำว่าตัวเองทำผิดอะไร มันน่าอึดอัดที่เขาซึ่งต้องทำงานกับประชาชนทั้งชายหญิงเด็กคนเฒ่าคนแก่ต้องมาคอยระวังสงวนท่าทีไม่ให้ดูสนิทสนมเกินไป เพราะไม่รู้ว่าจะมีวันไหนที่น้องเขามาแอบดูหน้าสน.บ้าง เพราะมันเคยเกิดขึ้นมาแล้วหลายครั้ง

สุดท้ายเขาก็ตัดสินใจเลิกรา แม้อีกฝ่ายจะไม่ต้องการก็ตาม แต่การถูกจับตามองแบบนั้นมันใช้ได้เสียที่ไหนกันเล่า เขาเจรจาไปหลายต่อหลายรอบแต่อีกฝ่ายกลับไม่ยอม ไม่ว่าจะยกเหตุผลที่เราเข้ากันไม่ได้มากมายขนาดไหนก็ไม่คิดจะฟังเลย!

“พูนลูก มานอนตักป๊าแบบนี้ไม่คิดว่าน้องเขาจะหึงเหรอ?”

“ป๊าหยุดแซวได้แล้ว”

“ฮ่า ๆ แล้วมีอะไรทำไมไม่เอามาปรึกษาป๊าตั้งแต่แรกล่ะจ๊ะ”

พูนได้แต่หน้ามุ่ยหันหน้าซุกพุงป๊าอำพัน ตั้งแต่เมื่อก่อนแล้วที่ลูกคนนี้ชอบมานอนตักเวลามีปัญหา ถึงโตจนมีงานมีการทำแล้วเขาก็ยังชอบที่ลูกทำตัวเป็นเด็กเมื่ออยู่บ้าน

“โตแล้วก็เลิกได้แล้วมั้งลูก”

เสียงทุ้มของพ่อเทียบกล่าวขึ้นหลังกลับมาจากการอาบน้ำอาบท่า ฟังแล้วคงจะนึกอิจฉาตาร้อนลูกชายต่างสายเลือดคนนี้น่าดู

“ตัวเองกอดมาตั้งเยอะแล้วแบ่งบ้างสิพ่อ”

“ฮ่า ๆ พี่ก็อย่าไปหึงลูกสิจ๊ะ”

อำพันหัวเราะในความหวงไม่เข้าเรื่องของคนรัก และหันมารับฟังปัญหาของลูกชายบนตักต่อ ได้ยินว่าเลิกกันไปแล้วก็ยังตามมารังควานในทุกเวลาที่มีโอกาส ลูกเขาถึงพยายามออกไปทำงานนอกพื้นที่อยู่บ่อยครั้ง มิน่าล่ะเมื่อสองสามวันก่อนถึงได้มาบอกว่ามีภารกิจต้องขึ้นเขาไปค้างแรมเพื่อตามจับโจร

“ป๊าได้ยินมาว่าถ้าได้เลื่อนขั้นจะสามารถเปลี่ยนสน.ได้นะจ๊ะ ลูกลองไปถามพี่ที่ทำงานดูไหม”

“แล้วร้านพ่อล่ะจ๊ะ”

เพราะเขามาเป็นตำรวจในเขตนครปฐม พ่อกับป๊าจึงย้ายตามมาเช่าบ้านเพื่อเปิดร้านอยู่ ทำงานมาไม่กี่ปีจะให้มาย้ายร้านไปมาคงลำบากแย่ ไหนลูกค้าแถวนี้ก็เยอะกว่าที่พิษณุโลกด้วย

“แค่เลิกเช่าก็แล้วย้ายก็พอแล้ว ขึ้นอยู่กับว่าลูกจะไปอยู่สน.จังหวัดไหน”

“ฉันว่าจะกลับไปพระนคร คิดว่ายังไงจ๊ะ”

“ได้สิ ที่นั่นคนน่าจะเยอะกว่านี้อีกมั้ง ใช่ไหมอำพัน พี่ไม่ได้ไปนานแล้ว”

“ตอนนี้คงจะเยอะกว่าเมื่อก่อนจ้ะ น้องฉันส่งจดหมายมาบอกอยู่”

พูนว่าแล้วก็คิดจะย้ายไปพระนครหนีหน้าคนรักเก่าโดยพลัน จึงไม่ทันได้คิดถึงเงื่อนไขการย้ายสน.ว่าต้องทำผลงานเป็นที่เชิดหน้าชูตาถึงจะมีสิทธิ์เลือก แถมเป็นสน.พระนครที่ขึ้นชื่อว่าโหดหิน แต่คนอย่างไอ้พูนถ้าจะหนีก็ต้องหนีไปให้สุด อย่างไรระหว่างตามล่าหาเหาใส่หัวเขาจะต้องหลบเลี่ยงการตามติดของน้องลิเกให้ได้!

หลังจากตั้งมั่นสำเร็จเขาก็ทำทุกอย่างเท่าที่ตำรวจคนหนึ่งจะทำได้ ตลอดชีวิตของผดุงกิตติ์คนนี้ไม่เคยได้สัมผัสความขยันมากมายเท่านี้มาก่อน เขาลงพื้นที่ขั้นต่ำเดือนละครั้งเพื่อจับโจรที่มีมากขึ้นเรื่อย ๆ ไม่ว่าจะปลอมตัวเป็นนักพากย์ติดตามขึ้นรถไปยังยอดภูเขา เป็นนักร้องลูกทุ่งเข้าไปสอดแนมในร้านกินดื่มที่ว่ากันว่าลักลอบค้าฝิ่น หรือเป็นคนขายเหล็ก พ่อค้าขายหมูปิ้งสอบถามชาวบ้านถึงเส้นทางการเดินยา หรือลิเกปลอมตัว เขาก็ทำมาหมด เรียกได้ว่าใส่ชุดอาชีพอื่นมากกว่าชุดข้าราชการตำรวจเสียอีก

จนในที่สุดเขาก็สามารถส่งเอกสารไปยังเบื้องบนเพื่อขอย้ายที่ทำงานได้เป็นผลสำเร็จ ความพยายามทนร้อนทนฝนทนหนาวของเขาตลอดหลายปีที่ผ่านมาสัมฤทธิผลแล้ว!

“ฮึก...ฮือ...”

“แหมไอ้พูน นี่เอ็งดีใจจนร้องไห้ที่ได้เลื่อนขั้นเลยเหรอวะ ฮ่า ๆ”

ไอ้ยศพันโทพันแทอะไรเขาไม่สนหรอก ขอแค่ตอนนี้เขาสามารถไปพระนครได้ก็พอจะได้จบชีวิตการทำงานอันหนักหน่วงและการเล่นซ่อนแอบกับคนรักเก่าเสียที!

. . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . 

ช่วงเวลาที่เขามาถึงคือปลายปีซึ่งอากาศกำลังเย็นสบายไม่ได้มีอุปสรรคในการเดินทางแต่อย่างใด พูนมองออกไปนอกหน้าต่างชมบรรยากาศรอบข้างซึ่งค่อย ๆ กลายสภาพจากต้นไม้ใบหญ้าเป็นตึกรามบ้านช่อง พยายามควบคุมลมหายใจให้อยู่ในสภาวะปกติมากที่สุดเนื่องจากมันเริ่มคลื่นไส้อีกแล้ว!

นายตำรวจผู้ทรงภูมินั่งดมยาหอมหมดสภาพตาลายเพราะการเคลื่อนตัวของรถไฟ จะนอนงีบก็นอนไม่ลงเนื่องจากท้องไส้ปั่นป่วนคล้ายมันจะย้อนขึ้นมา นี่เขาอุตส่าห์กินยาที่เขาว่าช่วยได้แต่ไม่เป็นผลเลยสักนิด ป๊าที่นั่งข้าง ๆ ก็พยายามหาอะไรมาพัดให้เผื่อจะช่วยได้ แต่คนเมารถก็คือคนเมารถอยู่วันยังค่ำ

ถึงรถไฟจะจอดเทียบชานชาลาแล้วแต่หัวมันยังมึนอยู่ ยิ่งเวลาผ่านไปผู้คนยิ่งอัดแน่นตรงทางออก ครอบครัวเขาเลือกที่จะรอผู้คนออกไปกันจนหมดแล้วจึงเริ่มยกสัมภาระลง ซึ่งเป็นเวลาเดียวกับที่นายสถานีขึ้นมาตรวจสอบขบวน

“ให้ฉันช่วยนะจ๊ะคุณน้า”

“ขอบคุณมากเลยนะจ๊ะ”

พูนซึ่งอาการดีขึ้นหลังได้นั่งนิ่ง ได้ยินบทสนทนาสองประโยคจึงให้ความสนใจ คงจะเป็นผู้โดยสารที่เลือกลงหลังคนอื่นเหมือนกัน ว่าแล้วนายตำรวจเมารถไฟก็อาการกลับมาทรงตัว ช่วยพ่อ ๆ ขนของได้

ขณะจะเดินลงนั้นเองเขาก็ดันเผลอไปสบตาเข้ากับนายสถานีตัวเล็กซึ่งเดินสวนขึ้นมาก่อน พูนเดินลงมาจากตู้รถไฟก็คิด ๆ จะว่าไปคนเมื่อกี้ก็ตรงตามแบบที่เราชอบเลยไม่ใช่รึอย่างไร ว่าแล้วระหว่างป๊าอำพันขอตัวไปเข้าห้องน้ำเขาจึงลอบมองนายสถานีคนนั้น

ท่าทางขยันขันแข็งพูดคุยกับเพื่อนร่วมงานตัวสูงอย่างออกรสออกชาติ ยิ่งเผยรอยยิ้มกว้างยิ่งดึงสายตาเขาให้จ้องมอง ต่อให้สถานีกรุงเทพจะสูงกว้างหรือมีความสวยงามให้ดูมากเท่าใด สุดท้ายสายตาเขามักจะถูกดึงดูดไปยังนายสถานีคนนั้นแต่เพียงจุดเดียว

พูนจำได้แม่นว่ากับคนรักคนแรกก็เป็นเช่นนี้ เป็นจังหวะแรกพบแต่เพียงเท่านั้นที่ชักชวนให้เขามอบหัวใจให้ แต่ถามว่าเขาเจอประสบการณ์แบบนั้นมาแล้วยังจะไปหลงเชื่อความรู้สึกฉาบฉวยแบบนี้อีกน่ะเหรอ...

แน่นอนว่าต้องหลงอยู่แล้ว! น่ารักเสียขนาดนั้นใครมันจะไปอดใจไหว สน.เขาก็อยู่ใกล้ ๆ ให้เดินผ่านทุกวันโดยไม่ทักทายสักหน่อยคงน่าเสียดายแย่ อย่างไรเสียพระนครก็คงไม่เหมือนต่างจังหวัดหรอก เมืองศิวิไลซ์แบบนี้มันต้องดีกว่าเป็นไหน ๆ อยู่แล้วใช่ไหมล่ะ!

Lanjutkan membaca buku ini secara gratis
Pindai kode untuk mengunduh Aplikasi

Bab terbaru

  • มนต์รักหนุ่มพิษณุโลก   เรื่องนอกวัง ๓ โคมขาว

    เหตุผลที่พูนยังไม่ให้ศรีภรรยาไปพบพ่อกับป๊านั้นนอกจากอาการน้องน้อยไม่ค่อยจะสู้ดีแล้ว ทั้งสองคนเองก็ไม่ว่างเช่นกันเพราะช่วงนี้เป็นช่วงเวลาจบการศึกษาของโรงเรียนกลาง การไปมอบประกาศณีบัตรหรือการพูดสุนทรพจน์จึงจำเป็นต่อการส่งต่อเจตนารมณ์ ส่วนเขาก็ได้แต่นั่งทำงานงก ๆ อยู่ในห้อง การมาฟูเหรินได้วันละครั้งแบบนี้ก็ถือว่าบุญหัวแล้วตอนนี้เป็นยามเย็นของวันซึ่งเขาชวนภรรยามาเดินเล่นในสวนตำหนักมุกอันใกล้ถึงจะไม่ได้ใหญ่เมื่อเทียบกับสวนสาธารณะกลางหรือป่าเขาที่ชาวบ้านชอบไปเดินเก็บพืชผักแต่อย่างน้อยก็ยังดีกว่าอุดอู้อยู่ในตำหนักเขาทราบมาจากหัวหน้าช่างแต่งกายว่าฟูเหรินวันทั้งวันไม่ยอมออกมาจากนอกห้องเลยนอกจากจะมีอาจารย์มาสอนหนังสือ ซ้ำยังมีบางครั้งที่แอบไปร้องไห้อยู่คนเดียว พอชาวใช้จะขอเข้าไปทำความสะอาดเพื่อแอบดูอาการเจ้าตัวก็เงียบไม่ยอมเปิดห้อง ซ้ำยังบอกให้สาวใช้วางถังน้ำอุปกรณ์เอาทิ้งเอาไว้จะทำเองอีกต่างหากและวันนี้ตอนมาถึง ก่อนที่จะเอ่ยเรียกเขาพึ่งมาได้ยินเสียงร้องไห้นั้นชัด ๆ มันไม่มีคำตัดพ้อหรือเรื่องราวที่ถูกพูดออกมาระบายความเศร้า มีเพียงสะอื้นไห้แต่เพียงเท

  • มนต์รักหนุ่มพิษณุโลก   เรื่องนอกวัง ๒ โคมเขียว

    สถานที่อันลึกลับและแฝงไปด้วยเสน่ห์เย้ายวนจากไฟสลัวในอาคารไม้หลังเก่า ตกแต่งปิดบังอายุด้วยการตกแต่งด้วยผ้าหลากสีสัน เสียงดนตรีจีนวัยเยาว์ออกมาจากห้องซึ่งมีราคาสูงโดยที่แผนนั้นรู้ดีว่ามันกำลังจะแปรเปลี่ยนเป็นเสียงครวญครางในไม่ช้าเขาเดินเข้ายังภายในร้านแน่นอนว่าหากไปพบขุนนางในสภาพชุดเก่าเยินแบบนี้ละก็จากที่จะได้เงินคงจะได้คำเหยียดหยามด่าทอมาแทน ดังนั้นเขาจึงมาขอยืมเปลี่ยนเสื้อผ้าให้มีสารร่างที่พอจะดูได้ขึ้นมาบ้าง กระนั้นที่แห่งนี้ก็ใช่ว่าจะมีเงินถุงเงินถังมาซื้อเครื่องประดับหรือผ้าดี ๆ มาตัดเย็บนักหรอกผ้าเนื้อหยาบสีสดใสถูกสวมแทนที่เสื้อใยฝ้ายใกล้ขาด ใบหน้าเปื้อนดินเปื้อนผงถ่านถูกทำความสะอาดและแต่งแต้มด้วยผงสี จนในตอนนี้ตัวเขาในกระจกกลายเป็นคนละคนกับชาวนาทำงานหลังสู้ฟ้าหน้าสู้ดินคนนั้นอย่างสิ้นเชิงพรมลายดอกไม้พื้นเก่าเกิดเสียงแผ่วเบาเมื่อฝ่าเท้าเปล่าคู่บางก้าวผ่านธรณีประตูออกมาจากห้อง ก่อนจะค่อย ๆ เคลื่อนไหวอย่างเชื่องช้าราวกับจงใจให้เวลาล่วงผ่านไปเพื่อสัมผัสความสงบตระเตรียมใจ ก่อนจะเผชิญกับพายุโหมกระหน่ำ บรรยากาศที่เย็นเยือกยามราตรีส่งให้ทุกอย่างดู

  • มนต์รักหนุ่มพิษณุโลก   เรื่องนอกวัง ๑ โคมแดง

    แดนแห่งเสรีชน แดนอันเปิดกว้างสำหรับความคิดและการแสดงออกอย่างเสรีท่ามกลางวัฒนธรรมอันเคร่งครัดของสังคมจีน สถานที่ที่ผู้คนสามารถดำรงชีวิตตามวิถีทางของตนเองได้โดยปราศจากการกดขี่ ประหนึ่งสรวงสวรรค์ของผู้ที่ต้องการความเป็นอิสระในการเลือกเส้นทางชีวิตของตนเอง ความคิดสร้างสรรค์และความหลากหลายทางวัฒนธรรมได้รับการยอมรับและเฉลิมฉลอง เป็นสัญลักษณ์ของความมุ่งมั่นในการสร้างสังคมที่เคารพในศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์และให้โอกาสทุกคนในการเลือกทางเดินชีวิตของตนเองกระนั้นที่ใดมีปวงชนที่นั่นย่อมมีผู้นำ ดินแดนอันกว้างใหญ่อุดมสมบูรณ์แห่งนี้ถูกปกครองด้วยกษัตริย์ซึ่งเป็นผู้ถูกคัดเลือก เป็นผู้เดินนำหน้าทุกผู้ทุกคนมายังดินแดนอันเคยแร้นแค้นแห่งนี้และยืนหยัดเพื่ออุดมการณ์ของตนเอง กษัตริย์ปกครองเคียงคู่พระมเหสีเพียงพระองค์เดี๋ยวโดยไร้ซึ่งอนุ สำหรับอาณาจักรอื่นแล้วการมีสนมคือการถ่วงอำนาจ คือการคัดเลือกวัตถุดิบชั้นเลิศในด้านหน้าตาและคุณภาพขึ้นมาวางบนจานเพื่อให้รสชาติอาหารออกมากลมกล่อม แต่แดนเสรีชนไม่ใช่แบบนั้นหากสามัญชนผู้ใดมีชู้จะถูกประณาม หากเศรษฐีผู้มั่งคั่งมีอนุจะถูกผู้คนทอดท

  • มนต์รักหนุ่มพิษณุโลก   บทพิเศษ ๑๓ หงส์โบยบิน

    เทียบ × อำพัน“ป๊า ฉันขอลาออกจากคณะ” คนเป็นพ่อซึ่งนั่งจิบเหล้าแกล้มยำแตงกวาถึงกับไอสำลักเมื่อไอ้ลูกชายหลังจากเกิดเรื่องเมื่อวานก็ดันมาขอลาออก พวกเขายังเหลืองานที่นี่อีกตั้งหลายวันกว่าจะหมดสัญญา แถมงานต่อไปยังเป็นการไปแสดงถึงใจกลางประเทศอย่างพระนคร อนาคตสดใสแบบนี้ทำไมอาไจ่มันถึงมาลาออก“ลื๊อมีคนมาทาบทามรึ?”“ไม่จ้ะ ฉันจะออกมีผัว”“แค่ก!...แค่ก!...”พ่อเฉิงคราวนี้นอกจากจะไอโขลกแล้วยังตกใจตาโตมองเจ้าลูกชายหัวแก้วหัวแหวนที่แววตาไม่สั่นคลอนสักนิด ไอ้เขาอยู่กับมันมาก็หลายปี รู้หมดนั่นแหละว่ามันชอบอะไรไม่ชอบอะไร แต่จู่ ๆ มาบอกลาออกกะทันหันด้วยเหตุผลนั้นใครเขาจะไม่ตกใจกันบ้างเล่า!นอกจากพ่อเฉิงจื่อที่รู้เรื่องแล้วคนอื่น ๆ บางส่วนในคณะก็บังเอิญมาได้ยินบทสนทนาก่อนจะกวักมือเรียกเพื่อน ๆ นักแสดงคนงานมาดูสถานการณ์ด้วยโดยมีหัวหอกคืออาเจ๊ใหญ่ไพลินที่จับตามองน้องชายผู้จะออกไปล่าฝัน เก่งมากอาตี๋! ขนาดเจ๊อยากมีผัวก็ยังไม่สามารถมุ่งมั่นได้ขนาดนี้เลย!“แล้วใครจะมาเป็นผ

  • มนต์รักหนุ่มพิษณุโลก   บทพิเศษ ๑๒ หงส์บนดิน

    เทียบ × อำพันแสงไฟจากโคมกระดาษสีแดงสดส่องสว่างรอบเวทีไม้ที่ถูกสร้างขึ้นซึ่งประดับประดาไปด้วยป้ายแขวนเครื่องเงินเครื่องทองเทียมเล่นแสงเติมเต็มความมีชีวิตชีวา กลิ่นธูปหอมอบอวลในอากาศสร้างบรรยากาศศักดิ์สิทธิ์ ผู้คนในชุมชนทั้งเด็กผู้ใหญ่ต่างนั่งล้อมวงกันบนเสื่อกกทอมือหรือเก้าอี้ไม้เก่า มองดูเวทีที่พาดแขวนตกแต่งด้วยผ้าแพรสีแดงสดพร้อมฉากหลังที่วาดภาพทิวทัศน์ในฝันอย่างวิจิตรถึงทิวทัศน์อันงดงามของสวนจีนโบราณซึ่งประกอบขึ้นมาจากเส้นหมึกอันละเอียดอ่อนของพู่กัน สร้างความลึกซึ้งซึ่งสื่อถึงความพิถีพิถันในทุกมุมของภาพวาดเสียงกลองและฉาบดังขึ้นเป็นสัญญาณให้ผู้คนต่างพากันรวมตัวหน้าศาล บรรยากาศรอบเวทีเต็มไปด้วยเสียงพูดคุยที่เจือไปด้วยความตื่นเต้นเมื่อม่านเปิดออก นักแสดงงิ้วในชุดเสื้อผ้าอันงดงามปักลวดลายทองคำสีสันสดใสดึงดูดสายตา ก้าวออกมาด้วยท่วงท่างามสง่า เสียงร้องของนักแสดงที่ไพเราะทรงพลังดังก้องกังวานไปทั่วบริเวณ เรียกความสนใจจากผู้คนเดินไปมาและตรึงผู้ชมหน้าเวทีได้อย่างไม่ยากเย็น“林妹妹,你總是這麼憂愁,何必呢?”

  • มนต์รักหนุ่มพิษณุโลก   บทพิเศษ ๑๑ ทิวเขา

    ตั้งแต่รับสองเด็กเข้ามาพวกเขาก็มีโอกาสได้ตระเวนเที่ยวต่างจังหวัดมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นพิษณุโลกบ้านของพี่พูน นครปฐมซึ่งเป็นจังหวัดใกล้เคียง หรือจะทะเลที่สมุทรปราการพวกเขาก็พาเด็ก ๆ ไปเปิดหูเปิดตามาแล้วยิ่งในพระนครยิ่งไม่เหลือ รบรามที่ได้เข้าไปดูงานเขียน งานสถาปัตยกรรมในวัดวาอารามค่อนข้างตื่นตาตื่นใจ รวมไปถึงการได้วิ่งเล่นว่าวในสนามหลวงกับพ่อก็เป็นกิจกรรมที่เด็ก ๆ โปรดปรานเช่นกันในวันนี้เองก็เป็นการพักผ่อนอีกครั้งซึ่งพวกเขาจะเดินทางขึ้นเหนือไปเที่ยวดูธรรมชาติที่เชียงใหม่ ถึงคุณปู่จะสุขภาพถดถอยไปตามวัยแต่เด็ก ๆ ก็รับปากแล้วว่าจะซื้อโปสต์การ์ดซื้อของท้องถิ่นกลับมาฝากแน่นอน“เด็ก ๆ แปรงฟันมาแล้ว ห้ามกินขนมแล้วนะ”“จ้ะ/คร้าบ”รบตอบฉะฉานในขณะที่พี่ชายอย่างรามกล่าวด้วยความไม่สบายอารมณ์เท่าไรนักเพราะเจ้าตัวบ่นกระปอดกระแปดว่าอยากกินทองม้วนที่ซื้อมาเมื่อหลายวันก่อน แต่ด้วยเวลารถไฟที่ใกล้เข้ามา พวกเขาจึงไม่มีเวลามาเอ้อระเหยสุดท้ายสองเด็กก็ถูกจับให้แปรงฟันและออกมาในทันที แม้จะน่าเศร้าสำหรับลูกราม แต่เดี๋ยวเช้าพรุ่งนี้ก็กินขนมที่พกมาได้แล้วกา

Bab Lainnya
Jelajahi dan baca novel bagus secara gratis
Akses gratis ke berbagai novel bagus di aplikasi GoodNovel. Unduh buku yang kamu suka dan baca di mana saja & kapan saja.
Baca buku gratis di Aplikasi
Pindai kode untuk membaca di Aplikasi
DMCA.com Protection Status