ฟืบ!อย่างไรก็ตาม ในตอนนี้ ใบมีดอันน่ากลัวได้พุ่งผ่านอากาศเข้ามาใส่แผ่นหลังของนายหนวด ความคมใบมีดนั้นทำให้ร่างของเขาแยกออกเป็นสองส่วนและล้มลงกับพื้น "อะไรวะนั่น? ใครมันทำแบบนั้น?" ชายหัวล้านและคนอื่น ๆ ตะลึงกับการโจมตีอย่างกระทันหัน ดวงตาของเขามองไปรอบ ๆ อย่างบ้าคลั่งเพื่อหาคนโจมตี นั่นเฟนด์ เขายืนอยู่ที่ใต้ต้นไม้ไม่ไกลนัก และค่อย ๆ เดินมาหาผู้คนด้วยดาบสีดำอันสง่างาม "แกพูดถูก! มันง่ายมากที่จะหนีเข้าป่านี้!" เฟนด์ยิ้มบาง ๆ เขาฟังมาทั้งหมดและก็สรุปได้ว่าคนพวกนี้ไม่ใช่ตระกูลวู๊ดด้วยซ้ำ เฟนด์ไม่รู้ว่าพวกนี้มาจากไหน แต่กล้าดียังไงที่มารังแกคนของตระกูลสาขาของเรา "แกคือคนจากตระกูลวู๊ดเหรอ?" ชายหัวล้านขมวดคิ้ว ดวงตาเขาเต็มไปด้วยความเคร่งขรึม ลูกน้องอีกคนพูดขึ้นมาว่า "ผู้พิทักษ์ลานิช ไอ้สารเลวนี่ยังเด็กอยู่เลย พนันได้เลยว่ามันไม่ได้แข็งแกร่งขนาดนั้น เราไม่ต้องกลัวมันหรอก! ถ้าไม่ใช่เพราะการโจมตีแบบลับ ๆ ล่อ ๆ นายหนวดก็คงไม่ตาย!" ผู้พิทักษ์ลานิชส่ายหัวอย่างยอมรับที่ลูกน้องพูด "แน่นอน มันตัวคนเดียว ไม่มีอะไรต้องกลัวหรอก! โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเมื่อมันยังเด็ก ความสามารถในการต่อสู้ของ
เฟนด์มองทั้งสอง เขายิ้มอ่อน ๆ อย่างอ่อนโยน และค่อย ๆ เดินไปหาแม่และลูกสาวเมื่อทั้งสองได้เห็นเฟนด์เดินไปหา หัวใจก็กระโดดเข้าไปในลำคอ "ค-คุณจะทำอะไร?" หญิงวัยกลางคนกัดฟัน ร่างของเธอขยับเข้าใกล้ลูกสาวมากขึ้นโดยสัญชาตญาณพยายาม พยายามปกป้องลูกจากเฟนด์ "คุณ-คุณไม่ใช่คนของตระกูลวู๊ดนี่! คุณเป็นใคร? ต้องการอะไรจากเรา?" เธอถามด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ "ตราบใดที่ปล่อยแม่ของฉันไป ฉันก็จะเต็มใจที่จะ..." เธอเสริม หญิงสาวกัดฟันและเสนอ เฟนด์พูดไม่ออก เขาประกาศแล้วว่าเขามาจากตระกูลวู๊ด สองคนนี้ก็ยังคิดว่าเขาเป็นคนเลวแบบพวกนั้นเหรอ? "ไม่ต้องห่วงนะ ฉันไม่ใช่คนเลว!" เฟนด์หัวเราะอย่างขมขื่น พยายามอธิบาย "ไอ้หนุ่ม แกไปทำอะไรกับผู้หญิงทั้งสอง?" ที่ไม่เป็นอย่างที่เฟนด์หวังไว้คือเสียงดังไปถึงผู้ชายจากหมู่บ้านใกล้ ๆ นี้เมื่อทั้งสามได้ยินเสียงกระทบกระทั่งพวกเขาก็รีบวิ่งเข้า ทันทีที่เดินไปถึงที่เกิดเหตุ พวกเขาก็เห็นภาพเฟนด์กำลังเดินไปหาผู้หญิงสองคนบนพื้น หนึ่งในสามคนนั้น พวกชายวัยกลางคนตะโกนใส่เฟนด์อย่างโกรธอื่น "นั่นมันมูนกับป้าทิวลิปนี่!" ชายหนุ่มทั้งสามสังเกตว่าเฟนด์ถือดาบไว้ในมือ จากน
จากนั้นผู้คนก็ตอบสนองเช่นนั้น ใบหน้าพวกเขาเต็มไปด้วยความสับสน ตกใจ และประหลาดใจ เหมือนว่าชายคนนี้จะเป็นคนของตระกูลวู๊ดจริง ๆ "อ่า เขาเป็นทายาทของนายท่านเหรอ?"มูนอ้าปากค้างขณะพูด ดวงตาเธอเบิกกว้างเท่าจานรอง ริมฝีปากเธอก็เบิกกว้าง ไม่กี่วินาทีต่อมา เมื่อรู้ตัวแล้วเธอก็คุกเข่าลงต่อหน้าเฟนด์และพูดว่า "ขอบคุณที่ช่วยชีวิตเราไว้ นายน้อยเฟนด์! ถ้าไม่ใช่เพราะคุณ ฉันกับแม่ก็คงจะ...""ใช่! ขอบคุณมากนายน้อยเฟนด์!"หญิงวัยกลางคนคุกเข่าลงกับพื้น ดวงตาของเธอเต็มไปด้วยน้ำตา และเสียงก็สั่น "เราไม่เคยเจอนายน้อยตระกูลวู๊ดเลย เราก็เลยคิดว่าคุณไม่ใช่คนของตระกูลวู๊ด เราเข้าใจผิด ได้โปรดยกโทษให้เราด้วย!""ลุกขึ้นเถอะ ฉันจะโทษพวกคุณได้ยังไงในเมื่อรู้ว่ามันเป็นเรื่องเข้าใจผิด? ยกโทษให้แน่นอนอยู่แล้ว!"เฟนด์เข้าหาทั้งสองคน พลิกฝ่ามือ และยาสองเม็ดก็ปรากฏขึ้นในมือของเขา เขายืนยาให้ทั้งคู่และพูดว่า "ทั้งสองคนรับไปคนละเม็ด และรีบกลืนเข้าไปเพื่อรักษาอาการบาดเจ็บซะ""นี่... ฉัน... ฉันจะรับสมบัติจากนายน้อยเฟนด์มาได้ยังไง!"มูนก้มหัวลงอย่างกระอักกระอ่วนกับท่าทีที่มีต่อเฟนด์เมื่อสักครู่ เธอคิดว่าเฟนด์ไม่ได้ต่า
จากนั้นไม่นาน สีหน้าของมูนก็ดีขึ้นกว่าตอนแรก ยาที่เฟนด์ให้มามีผลอย่างรวดเร็วต่อมูนมากมูนกดริมฝีปากเข้าหากันและยิ้มออกมา "กลุ่มโจรขี่ม้านั่นรู้ว่าเรามาจากตระกูลวู๊ด ดังนั้นในตอนนี้ พวกมันก็ไม่กล้าไปไหนไกลหรอก อย่างน้อยก็จะไม่ฆ่าคนของเรา แต่ดูจากสถานการณ์ ผู้พิทักษ์ลานิชต้องการฆ่าฉันกับแม่!" เฟนด์พยักหน้าและพูด "เธอพูดถูก เพราะพวกมันไล่ตามความสวยเธอมา หลังจากที่ล่วงละเมิดแล้ว มันก็จะฆ่าและทำลายศพแน่นอน ถึงเวลานั้น คนของเราก็จะไม่รู้ว่าเธอจะยังมีชีวิตอยู่หรือไม่ แม้ว่าจะรู้ เราก็จะไม่รู้ว่าเธอตายังไง พวกมันไม่ยอมรับการกระทำของตัวเองหรอก!" เฟนด์กำหมัดแน่นขณะคิดถึงผลที่เป็นไปได้มากที่สุด "เหมือนว่าจะถึงเวลากำจัดไอ้พวกนี้ซะแล้ว!" เฟนด์ตำหนิ"แต่ นายน้อยเฟนด์ คุณเพิ่งจะอยู่ในระดับขั้นต้นของเทพแท้จริงใช่ไหม? แม้ว่าเราจะร่วมมือกัน ฉันก็เกรงว่าจะเสียครั้งใหญ่อยู่ดี ฉันไม่มั่นใจเท่าไหร่ในเรื่องนี้" เมสันขมวดคิ้วขณะพูดกับเฟนด์ด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม อย่างไรก็ตาม เฟนด์ก็ไม่ได้สนใจอะไร "ไม่ต้องห่วง ฉันรับรองได้ว่าจะไม่มีการสูญเสียใหญ่โต พวกนั้นมีนักสู้แค่คนเดียวที่มีพลังระดับขั้นต้นของเทพแท
"เอาล่ะ! ไปกันเถอะ!"เฟนด์โบกมือและฝูงชนก็เดินออกไปอย่างมีระเบียบ ไม่นานพวกเขาก็มาถึงด้านล่างของภูเขาขนาดใหญ่ที่อยู่ฝั่งตรงข้ามกับหมู่บ้าน "นายน้อยเฟนด์ บางครั้งกลุ่มโจรขี่ม้าก็จะไปหาทรัพยากรการต่อสู้ แต่ส่วนใหญ่จะมาปล้นพวกเรา บางครั้งพวกเขาก็รอเราตรงทางเข้าป่าที่เราไล่หาทรัพยากร บางคนจากตระกูลอื่นที่ไม่รู้จักพวกเขาก็จะโดนปล้นไปด้วย แต่ในสถานการณ์ปกติแล้ว พวกมันจะปล้นแต่ก็ไม่กล้ารุกรานตระกูลอื่น ดังนั้นส่วนใหญ่ก็ทนการรังแกจากพวกมันได้!"ระหว่างทางไปยอดเขาใหญ่ เมสันก็ไตร่ตรองกับอะไรบางอย่างได้ขึ้นมา และพูดเสริมว่า "ดังนั้น ผมคิดว่ากลุ่มโจรขี่ม้าพวกนี้ได้เก็บทรัพยากรมากมายเอาไว้ ถ้าเราฆ่าพวกมันทั้งหมด เราก็จะได้ทรัพยากรนั้นมาด้วย!" "นายน้อยเฟนด์ ตอนที่เราบุกเข้าไปได้และจัดการพวกมันได้สำเร็จ คุณคิดว่าเป็นไปได้ไหมที่จะถือว่าเป็นหนึ่งในภารกิจหาทรัพยากร? และถ้าเราแบ่งครึ่งหนึ่งให้กับตระกูลหลักล่ะ?" ผู้อาวุโสอีกคนพูดขึ้นอย่างไม่แน่ใจ ผู้อาวุโสคนนี้ฉลาดและช่างสังเกต เขาเห็นความตั้งใจของหัวหน้าเมสันที่จะพูดเรื่องนี้ต่อหน้าเฟนด์อย่างตั้งใจ เมสันคิดเรื่องทรัพยากรจำนวนมากนี้อย่างเห็นได้ช
ภายในอาคารอิฐแห่งหนึ่ง มีชายวัยกลางคนที่น้ำลายไหลขณะอยู่เหนือร่างของหญิงสาวที่ถูกมัดอยู่บนเตียงและบาดเจ็บ ลำคอของเขาขยับเพื่อกลืนน้ำลาย"เป็นผู้หญิงที่น่าทึ่งมากเลยสินะ ไม่ใช่เหรอ?" ชายกลางคนลูบมือขณะเดินไปที่เตียงพร้อมกับยิ้มชั่วร้าย "ตัวเล็กตัวน้อยของฉัน ฉันคือหัวหน้าแห่งตำหนักลมหวน! ถ้าเธอได้เป็นผู้หญิงของฉัน ทำตามที่บอกและรับใช้ฉันอย่างดี เธอจะได้เป็นภรรยาของหัวหน้าตำหนักลมหวน!" หญิงสาวมองอีกฝ่ายด้วยความแค้นและเกลียดชัง "หัวหน้าอะไร ตำหนักอะไร? พวกแกก็เป็นแค่กลุ่มโจรขี่ม้า!" เธอพูดด้วยน้ำเสียงหงุดหงิด "ตอนนี้แกหน้าด้านเกินไปแล้ว! แกเคยปล้นแต่ของ ตอนนี้กล้าลักพาตัวคนแล้ว! คนอย่างพวกแกก็ได้แค่ชื่อกับอำนาจให้ตัวเอง หน้าไม่อายจริง ๆ! ตำหนักลมหวนเหรอ? ล้อกันเล่นหรือเปล่า? พวกแกควรได้ชื่อแบบนั้นเหรอ?"หัวหน้าอดไม่ได้ที่จะหัวเราะตอบกลับไป "ฮี่ฮี่ฮี่! อย่าตัดสินคนจากภายนอกสิ! แม้ว่าเราจะดูตัวใหญ่และร่างหนา แต่ฉันก็เป็นสุภาพบุรุษที่โรแมนติกและอ่อนโยนคนหนึ่งนะ"จากนั้นเขาก็เอื้อมมือไปลูบแก้มของหญิงสาวอย่างแผ่วเบา "อย่าห่วงไปเลย ถ้าเธอเริ่มคิดว่าจะตามฉัน ฉันสัญญาได้เลยว่าไม่ต้องกังวลกั
"หัวหน้าเมสัน หมายความว่าไงที่พาคนพวกนี้มา?"เมื่อหัวหน้าของตำหนักลมหวนมาถึงใจกลาง ใบหน้าเขาก็นิ่งลงที่สุดทันที เขาไม่คิดว่าหัวหน้าสาขาของตระกูลวู๊ด เมสัน วู๊ดจะนำผู้อาวุโสและปรมาจารย์มาด้วย เขารู้ดีว่าคนของตระกูลสาขาไม่กล้าต่อกรกับพวกเขามาโดยตลอด เว้นแต่พวกวู๊ดจะมั่นใจในระดับหนึ่งว่าพวกเขาชนะการต่อสู้ นอกจากนั้น เขาก็รู้ดีว่าตระกูลหลักของตระกูลวู๊ดไม่เคยมาสนใจเรื่องนี้เลย ดังนั้นพวกเขาก็เลยไม่กล้าประมาทและโจมตีมา นอกจากนี้ สิ่งที่ทำให้อีกฝ่ายกลัวที่สุดเมื่อสู้กับตำหนักลมหวนคือการสูญเสียของพวกเขาเองที่ใหญ่มากจนกระทบกับตระกูลวู๊ดทั้งหมด มันไม่คุ้มเลย สิ่งเดียวที่หัวหน้าของตำหนักลมหวนไม่ได้คิดไว้คือเมสันพาใครสักคนมาด้วย เมสันสูดลมหายใจ เขาปรบมือเพื่อเป็นสัญญาณ ชายหลายคนของตระกูลวู๊ดก้าวเข้ามาโดยไม่มีการเตือนล่วงหน้า พวกเขาโยนหัวของผู้พิทักษ์ลานิชกับพวกอันธพาลลงไปที่พื้น "แก..." ใบหน้าของหัวหน้าตำหนักลมหวนซีดทันที "หัวหน้าเมสัน นี่มันหมายความว่าไง? ฆ่าคนของเราได้ยังไงกัน? และฉันก็จำได้นะว่าไม่ได้ไปปล้นพวกนายเมื่อเร็ว ๆ นี้!" หัวหน้าพูดอย่างโกรธจัด "หัวหน้าเมสัน อย่าคิดนะว
"เวรเอ๊ย! ความแข็งแกร่งของขั้นกลางเทพแท้จริงงั้นเหรอ? นั่นด้วย.."นักสู้ที่ยิ่งใหญ่ของตำหนักลมหวนค่อย ๆ เบ้หน้าเมื่อได้ยินคำพูดของหัวหน้าในความเป็นจริง หัวหน้าตำหนักลมหวนเตือนพวกเขามาเสมอว่าเพราะตระกูลวู๊ดอยู่ใกล้กับพวกเขา จึงเป็นที่ยอมรับได้หากพวกเขาปล้นทรัพยากรไปบางส่วน แต่ก็ไม่ควรข้ามเส้นไปและทำให้พวกนั้นโกรธจัด อีกฝ่ายตัดสินใจต่อสู้กับพวกเขาเมื่อไหร่ พวกเขาก็สู้ไม่ได้เลยหัวหน้าเชื่อถ้าถ้าเป็นการปล้นเล็ก ๆ น้อย ๆ เมสันก็จะอดทนเอาไว้ ในทางตรงกันข้าม สำหรับหลาย ๆ ตระกูล ถ้าพวกเขาออกไปตามทรัพยากรและวัสดุ คนในตำหนักลมหวนอาจจะทำตัวหยาบคายและประสาท เมื่อคนของตำหนักลมหวนเห็นว่าอีกฝ่ายอยู่คนเดียวหรือเป็นกลุ่มเด็ก ๆ พวกเขาก็จะปล้นอย่างไม่ปราณี หลังจากที่ตระกูลอื่น ๆ และอีกหลายตระกูลไม่รู้ว่าตำหนักลมหวนอยู่ที่ไหน ดังนั้น แม้ว่าพวกเขาจะอยากล้างแค้น มันก็จะไม่ง่ายที่จะทำเช่นนั้น หัวหน้าของตำหนักลมหวนไม่คิดว่าที่ผู้พิทักษ์ลานิชและคนอื่น ๆ มุ่งไปที่ผู้อาวุโสของตระกูลวู๊ดนี่ไม่ได้หมายความว่าอยากตายแล้วจะหมายความว่าอะไร? สีหน้าของหัวหน้าซีดลงขึ้นไปอีก "เดี๋ยวก่อน!" เขากางแขนอย่างตื่นตระห