ขอทานหนุ่มร้องเสียงหลงพลางหดขาคู้เข้าหาตัว เพื่อหลบหนีจากการสัมผัสของแม่เล้า
เจียวมี่ชะงักไปเล็กน้อย แต่ก็รีบปรับอารมณ์เป็นยิ้มแย้มทันที แล้วขุดเอามารยาพันเล่มเกวียนจากการเป็นแม่เล้ามานานขึ้นมาใช้ว่า
“ไม่ต้องตกใจ.... เมื่อคืนเจ้ามาสลบอยู่ที่หน้าหอไซ้ยเกอของข้า เนื้อตัวเต็มไปด้วยบาดรอยฟกซ้ำ ข้าเองก็ใช่ว่าจะเป็นคนแล้งน้ำใจ จึงให้คนพาเจ้ามานอนพักที่นี่ เจ้าชื่ออะไรรึ”
บุรุษบนเตียงได้ฟังวาจานางแล้วยิ่งขมวดคิ้วแน่น เขารำพึงรำพันออกมาว่า
“เราชื่อเฉินเฉิง ทำไมเราถึงมาอยู่ที่นี่ เราควรจะอยู่ในวังมิใช่รึ”
ความทรงจำครั้งสุดท้ายในหัวของเขาไหลเวียนเรื่องราวในอดีต รู้สึกเหมือนว่าเพิ่งจะเกิดขึ้น เขาเป็นฮ่องเต้แห่งแคว้นเฉิน มีพระนามว่า “เฉินเฉิง” เพราะเชื่อคำยุยงของฟางเหรินกุ้ยเฟย จึงสังหารเฟิ่งอี๋ฮองเฮา แล้วเรื่องที่เหลือเชื่อก็พลันเกิดขึ้นเมื่อวิญญาณของเฟิ่งอี๋กลับเข้ามาในร่างของฟางเหริน แก้แค้นเขาได้อย่างเลือดเย็น
ภาพบนแท่นบรรทมในตำหนักเมฆาสวรรค์ยังชัดเจนในห้วงความทรงจำ หวนนึกถึงครั้งใดหัวใจของเขาก็เจ็บราวกับถูกบีบให้แหลกลาญ เขายกมือขึ้นกุมหน้าอกตรงตำแหน่งหัวใจ รู้สึกเจ็บปวดจนยากจะบรรยายออกมา
เจียวมี่ได้ยินเขากล่าววาจาเช่นนั้น ก็เดาเอาว่าเด็กหนุ่มผู้นี้น่าจะเป็นลูกขุนนางในวัง แล้วบังเอิญเกิดเหตุร้ายกับครอบครัวเป็นแน่จึงได้กลายมาเป็นขอทานข้างถนนเช่นนี้
“เจ้าคงจะเป็นลูกขุนนางในวังใช่หรือไม่”
นางถามออกไปอย่างใจคิด
คำพูดนั้นทำให้เฉินเฉิงตวัดสายตามองเจียวมี่อย่างขุ่นเคือง นางผู้นี้ไม่รู้จักที่สูงแผ่นดินต่ำ
“ข้าเป็นฮ่องเต้ !”
เฉินเฉิงคำรามออกมา
เจียวมี่และคนอื่น ๆ ชะงักไป จากนั้นก็พากันหัวเราะออกอย่างครื้นเครงราวกับว่ากำลังฟังเรื่องตลกอยู่ก็ไม่ปาน ทำให้อารมณ์เฉินเฉิงปะทุเป็นไฟยิ่งขึ้น เขาจึงตวาดออกมาว่า
“สามหาว พวกเจ้าบังอาจหัวเราะฮ่องเต้รึ ไม่อยากมีชีวิตอยู่กันรึยังไง”
“นี่ เจ้าหนุ่ม หากเจ้าเป็นฮ่องเต้ ข้าก็เป็นฮองเฮาแล้วสิ อิ อิ”
เจียวมี่ปิดปากหัวเราะ
“บังอาจ !”
เฉินเฉิงตวาดหน้าดำหน้าแดง ใบหน้าอ่อนเยาว์นั้นต่อให้โกรธขึ้งมากแค่ไหนก็ดูน่ารักมากกว่าน่ากลัว
“ฮ่องเต้สวรรคตไปนานแล้ว ผู้ที่นั่งอยู่บัลลังก์มังกรตอนนี้ก็เป็นจักรพรรดินี ไหนเลยจะมีฮ่องเต้ออกมาเดินเพ่นพ่านได้”
เจียวมี่นั่งลงข้างเขา แล้วพยายามพูดกับบุรุษหนุ่มดี ๆ เผื่อว่าเขาจะตั้งสติขึ้นมาได้
เฉินเฉิงสะท้านวูบ ผู้คนเหล่านั้นกล่าวหาว่าฮ่องเต้จะตายได้อย่างไร ในเมื่อเขาผู้เป็นฮ่องเต้ยังนั่งหายใจอยู่ตรงนี้ หรือว่านี่ไม่ใช่ตัวเขา เมื่อตระหนักได้ดังนั้น เขาก็กระโจนลงจากเตียง ผู้คนต่างแตกฮือหลีกทางให้เขา
ร่างนั้นมุ่งตรงไปยังโต๊ะเครื่องแป้ง และเมื่อเห็นใบหน้าตนเองในคันฉ่องชัดเจน เขาถึงกับดึงทึ้งใบหน้างดงามนั้น ราวกับว่าเลือดเนื้อนี้เป็นเพียงหน้ากาก
“นี่คือผู้ใด.... คือผู้ใด....”
เขาร้องออกมาเสียงพร่าสั่น
“นายหญิง ข้าว่าเจ้านี่มันคงสติฟั่นเฟือนไปแล้ว ไล่มันออกไปจากหอไซ้ยเกอเถอะ”
ผู้คุมซ่องรีบเสนอ เพราะเห็นว่าไม่มีประโยชน์อันใดที่จะเก็บคนบ้าเอาไว้
เจียวมี่ขมวดคิ้วอย่างใคร่ครวญ เมื่อคืนนางดีใจแทบตายที่คิดว่าตนเองเก็บได้แท่งทองคำที่จะสร้างชื่อเสียงให้กับหอไซ้ยเกอได้อย่างมหาศาล แต่ความจริงแล้วกลับเป็นเพียงบุรุษเสียสติคนหนึ่ง
“อาจจะพอมีหนทาง”
นางตอบ เพราะยังตัดใจจากใบหน้าอันงดงามนั้นมิได้ จากนั้น เจียวมี่ก็ค่อย ๆ เดินเข้าไปด้านหลังชายหนุ่มที่เอาแต่ร่ำไห้คร่ำครวญแล้วเอ่ยอย่างปลอบประโลมว่า
“เฉินเฉิง.... เจ้าคงถูกทำร้ายจนตื่นตระหนกตกใจมากเกินไป เช่นนี้ดีหรือไม่ ให้เจ้าพักอยู่ที่นี่รักษาตัวให้หาย แล้วจาก......”
“ไม่ ! ไสหัวออกไปให้หมด”
เจียวมี่ยังกล่าวไม่ทันจะจบประโยค เขาก็ตวาดขึ้นอย่างเกรี้ยวกราด แล้วอาละวาดเอากับสิ่งของตรงหน้าราวกับคนบ้าคลั่ง
“จับไว้เร็วเข้า !”
แม่เล้ารีบถอยออกห่างด้วยความตื่นตระหนก พลางร้องให้ผู้คุมซ่องควบคุมตัวเขาไว้ เมื่อเฉินเฉิงดิ้นรนขัดขืน ผู้คุมซ่องจึงใช้สันฝ่ามือฟันฉับลงที่ท้ายทอยของเขาเต็มแรง
ตุบ !
ร่างของเฉินเฉิงทรุดฮวบลงกับพื้นทันที
เจียวมี่ถอนหายใจอย่างโล่งอก แล้วบอกผู้คุมซ่องให้หามร่างที่สลบไปนอนที่เตียงตามเดิม จากนั้นจึงสั่งความกับเด็กรับใช้ว่า
“ไปตามหมอมาดูอาการเฉินเฉิงที”
ณ ท้องพระโรง
ขุนนางน้อยใหญ่กำลังโต้เถียงการเรื่องจัดเก็บภาษี ต่างฝ่ายต่างมีเหตุผลของตนเอง แต่เสียงข้างมากไม่เห็นด้วยกับการเก็บภาษีเมืองซานซีเพิ่มขึ้นเป็นสิบเท่าจากปีก่อน
“กราบทูลองค์จักรพรรดินี เมืองซานซีเป็นเมืองชายแดน เป็นเขตทุรกันดาร กระหม่อมเห็นว่าหากเก็บภาษีเพิ่มขึ้นสิบเท่าเกรงว่าประชาชนมากมายจะเดือดร้อนพ่ะย่ะค่ะ”
แม่ทัพหลี่กลั้นใจกราบทูล ยอมเสี่ยงตายเห็นแย้งกับเหล่าขุนนางที่คอยประจบสอพลอองค์จักรพรรดินีโดยไม่คำนึงถึงความสุขของไพร่ฟ้าประชาชน
“ถึงเมืองซานซีจะเป็นเมืองชายแดน แต่ก็เป็นเมืองหน้าด่านที่ทำการค้ากับชาวปอซือ จัดเก็บภาษีเล็กน้อยเท่านี้จะเป็นอะไรได้”
ใต้เท้าจื่อลู่ออกความคิดเห็นสนับสนุนพระดำริขององค์จักรพรรดินีอย่างเต็มที่ เพราะเขาเป็นเจ้ากรมการคลังคนใหม่ที่จักรพรรดินีแต่งตั้งแทนใต้เท้าชุนซึ่งถูกประหารในรัชกาลที่แล้ว
“แต่ข้าพระองค์เห็นด้วยกับแม่ทัพหลี่ ถึงแม้เมืองซานซีจะเป็นเมืองหน้าด่านติดต่อค้าขายกับชาวปอซือ แต่รายได้ก็ใช่ว่าจะมากมาย การเก็บภาษีเพิ่มขึ้นสิบเท่า เกรงว่าจะทำให้ประชาชนลำบากจริง ๆ”
ใต้เท้าจ้าน เจ้ากรมอาญาเสนอความเห็นขึ้นบ้าง ตั้งแต่เขาทำคดีลอบวางยาพิษพระสนมฟางเหรินกุ้ย และการตายอย่างไม่เป็นธรรมของเฟิ่งอี๋ฮองเฮาก็ทำให้เขาชราภาพลงมาก คดีที่หนักที่สุด คือ กบฏอ๋องเฉินฉู่ เป็นเหตุให้ต้องผลัดเปลี่ยนแผ่นดินทำเอาเขาผมขาวโพลนทั้งศีรษะ
“ใต้เท้าจ้าน แม่ทัพหลี่ เบี้ยประจำตำแหน่งที่ท่านได้รับทุกวันนี้ก็ล้วนมาจากภาษีประชาชน หากไม่เก็บภาษีเพิ่มขึ้น ไหนเลยจะมีเงินมาจ่ายเบี้ยให้ท่าน แลเหล่าขุนนางทั้งหลายได้”
ใต้เท้าหยวนรุ่ย อัครเสนาบดีฝ่ายซ้าย กล่าวขึ้นอย่างไม่ไว้หน้าผู้ใด เพราะถือว่าตนเป็นถึงบิดาของ อี้หลวนถง (ชายบำเรออันดับ 1) ในจักรพรรดินี
จักรพรรดินีทรงประทับนั่งอยู่บนบัลลังก์มังกร ทอดสายตาคมกริบมองเบื้องล่าง แม้พระวรกายจะสงบนิ่งงามสง่า แต่ในใจนั้นทั้งวุ่นวาย ทั้งร้อนรุ่มดั่งไฟสุ่ม เมื่อคืนท้องฟ้าปั่นป่วนวิปลาสทำให้นางนอนไม่ทั้งคืน รุ่งเช้าขึ้นมายังต้องมานั่งหลังแข็งรับฟังเหล่าขุนนางถกเถียงกัน ชวนให้ปวดหัวยิ่งนัก
ดังนั้น เมื่อเห็นขุนนางอีกคนกำลังจะเอ่ยวาจาขึ้นบ้าง พระนางจึงทรงยกพระหัตถ์ขึ้นเป็นสัญลักษณ์ให้เหล่าขุนนางเลิกโต้เถียงกัน เมื่อขุนนางน้อยใหญ่สงบวาจา พระนางจึงตรัสเสียงราบเรียบ แต่หนักแน่นชัดเจนว่า
“หม่อมฉันหนิงเฟยขออภัยที่เสียกิริยาแล้ว เนื่องจากหม่อมฉันอยากจะท่องบทกลอนถวายฝ่าบาทสักบทเพคะ”“เจ้า !.....”ใต้เท้าหมิงฉางกำลังจะอ้าปากตวาดนางอีกรอบ แต่เฉินเฉิง รีบยกมือขึ้นห้ามแล้วเอ่ยว่า“ว่ามาเถอะ”น้ำเสียงของเขาสั่นอย่างห้ามไม่ได้ เขากลั้นใจรอฟังกลอนบทนั้นโดยไม่รู้ตัว“เจ้าคือสตรีเพียงหนึ่งเดียวในใจข้า ด้วยปัญญาล้ำเลิศเป็นหนึ่งในใต้หล้าในใจข้าเจ้าคือยอดบุปผาสง่างาม ทุกโมงยามเคียงคู่ครองบัลลังก์”เมื่อนางเอ่ยบทกลอนนี้จบลง เฉินเฉิงไม่ลังเลอีกต่อไปประกาศก้องให้ได้ยินทั่วกันทั้งท้องพระโรงว่า“จากนี้ไปหนิงเฟยเป็นฮองเฮาของเราแต่เพียงผู้เดียว”ทุกคนในท้องพระโรงต่างตะลึงอ้าปากค้างไปตามกัน ๆ ฮ่องเต้ที่ไม่แตะต้องสตรีมากกว่าสิบปี บัดนี้กลับประกาศแต่งตั้งดรุณีน้อยเป็นฮองเฮาทันทีที่พบหน้า และยังไม่ทันที่เหล่าขุนนางจะหายตกตะลึง ฮ่องเต้ก็รับสั่งว่า“ทุกคนออกไปให้หมด ข้าจะอยู่กับฮองเฮาของเราเพียงลำพัง”เมื่อได้ยินดังนั้น ทุกคนก็ออกไปจากท้องพระโรงด้วยความงวยงง แต่ก็มิได้มีผู้ทัดทานเพราะการที่ฮ่องเต้ยอมแตะต้องสตรีย่อมเป็นเรื่องดีแน่เมื่ออยู่กันเพียงลำพัง เฉินเฉิงรีบสาวเท้าเข้ามาหาสตรีเบื้องล่าง
ราชครูต้าเว่ยร้องออกมาด้วยความเจ็บปวด เลือดพุ่งออกมาจากร่างไหลทะลักเปรอะเปื้อนแท่งทองคำบนพื้นเหล่านั้น แล้วเขาก็ล้มลงสิ้นใจตายจากนั้นเมื่อเห็นว่าทหารฝ่ายตรงข้ามถูกจับกุมเอาไว้หมดแล้ว ลี่จู่จึงนำกำลังทหารไปยังตำหนักของหลวนถงในลำดับต่อไป จนในที่สุดเขาก็ควบคุมสถานการณ์ความวุ่นวายภายในวังหลังเอาไว้ได้หลังเหตุการณ์ก่อกบฏสิ้นสุดลง แม่ทัพฉีเฮาและใต้เท้าจ้านได้อัญเชิญเฉินเฉิงฮ่องเต้ขึ้นครองบัลลังก์ตามราชโองการของจักรพรรดินีเมื่อเฉินเฉิงฮ่องเต้นั่งบนบัลลังก์มังกรด้วยวัยเพียงสิบแปดพรรษา แล้วเขาก็ได้ทำตามคำขอของจักรพรรดินีทุกประการถึงแม้ว่าหน่วยพยัคฆ์ทมิฬจะถูกเชิดชูให้เป็นกองทหารที่แข็งแกร่งที่สุดในแผ่นดิน ภายใต้การดูแลขององค์ฮ่องเต้โดยตรง แต่สองพี่น้องฝาแฝดลี่จ้ง และลี่จู่ก็ไม่คิดรับใช้ราชสำนักอีกต่อไปจึงขอพระราชทานราชานุญาตให้พวกตนออกจากตำแหน่งแม่ทัพ และรองแม่ทัพของหน่วยพยัคฆ์ทมิฬบุรุษทั้งสองในอาภรณ์สีเรียบนั่งบนอาชาพ่วงพีด้วยกิริยาองอาจ ม้าเหยาะย่างผ่านฝูงชนที่กำลังมุงดูป้ายประกาศของทางการ เรื่อง จักรพรรดินีฟางเหรินผู้ไร้คุณธรรมสังหารองค์หญิงฟางหรง ชาวบ้านต่างก่นด่าสาปแช่งจักรพรรดินีด้วย
“เฟิ่งอี๋....ข้าจะพาเจ้ากลับวังหลวงไปรักษา... เจ้าอดทนสักหน่อยนะ.. เฟิ่งอี๋”เฉินเฉิงใช้แขนเสื้อซับเลือดให้นางอย่างกระวนกระวาย เลือดของนางออกมากเกินไปแล้ว เขาต้องพานางกลับวังไปรักษา จึงพยายามออกแรงเพื่ออุ้มนางให้ลุกขึ้นอย่างทุลักทุเล สุดท้ายก็ต้องจำยอมทรุดตัวลงนั่งกอดนางไว้แนบอกตามเดิมเพราะเสียงผะแผ่วของนางดังขึ้นว่า“ฝ่าบาท... ไม่มีประโยชน์เพคะ”เสียงขาดหายเป็นห้วง ๆ ของนางทำให้เขาไม่กล้าเคลื่อนไหวได้อีกต่อไป เพราะเกรงว่าหากเขาขยับเพียงน้อยนิด ลมหายใจของนางก็จะถูกสายลมช่วงชิงไป“หม่อมฉันขอให้ฝ่าบาทรับปากสามประการ.... ประการแรก ฝ่าบาทโปรดอภัยโทษให้แก่หลวนถงทุกคน ประการที่สองขอฝ่าบาทโปรดดูแลหน่วยพยัคฆ์ทมิฬแทนหม่อมฉันด้วย”ลี่จ้งได้ยินดังนั้น ก็สะอื้นไห้หนักขึ้น แม้จวบจนวินาทีสุดท้ายพระนางยังทรงรักและห่วงใยชีวิตข้ารับใช้อย่างพวกเขาหลังจากนี้หากพระนางไม่ขออภัยโทษ หลวนถงที่มีฐานะเป็นชายาบำเรอของจักรพรรดินีต้องถูกประหารให้ตายตกตามกันไป ส่วนหน่วยพยัคฆ์ทมิฬนั้นได้ขึ้นชื่อว่าปฏิบัติการโหดเหี้ยมอำมหิตมีศัตรูมากมาย หากพระนางสิ้นลงเหล่าขุนนางที่มีใจเจ็บแค้นต้องถวายฎีกาให้ลงทัณฑ์พวกเขาปางตายเป็น
ใต้เท้าจ้านรับม้วนราชโองการสีทองไว้ด้วยมือสั่นระริก หัวของเขาถึงกับสรรหาถ้อยคำที่จะเอ่ยออกมาไม่ถูก การสนทนาของแม่ทัพทั้งสองเมื่อครู่ทำให้เขาพอจะคาดเดาได้ว่า แม่ทัพฉีเฮาเป็นสายลับขององค์จักรพรรดินีที่แฝงตัวอยู่ข้างกายองค์หญิงฟางหรง มิน่าเล่า แม้นว่าจะอยู่ไกลถึงพันลี้ แต่พระนางยังทรงล่วงรู้แผนการขององค์หญิงมาตลอดราวกับว่าเห็นได้ด้วยตาตนเอง“พระนางทรงรับสั่งเอาไว้ว่า... เมื่อปราบกบฏเรียบร้อยแล้วให้ท่านเป็นผู้ประกาศราชโองการนี้”ลี่จ้งเอ่ยด้วยเสียงหนักแน่นใต้เท้าจ้านได้ยินดังนั้น พลันรู้สึกว่าม้วนราชโองการในมือหนักขึ้นมาเป็นร้อยเท่าพันทวี เหงื่อเม็ดใหญ่ถึงกับไหลย้อยลงที่ขมับ“ท่านโปรดวางใจเถิด ข้าจะทำตามนั้น”ใต้เท้าจ้านแบกรับหน้าที่สำคัญเอาไว้ด้วยใจ ในอกเขาคล้ายกับมีความตื้นตันลูกใหญ่ถาโถมขึ้นมาจนรู้สึกตีบตันที่ลำคอ เมื่อรู้ว่าจักรพรรดินีที่ใคร ๆ ต่างมองว่าโหดเหี้ยมอำมหิต ไร้คุณธรรม แต่ความจริงแล้วที่พระองค์ทรงทำทั้งหมดก็เพื่อปกป้องบัลลังก์มังกรเพื่อคืนให้แก่ฮ่องเต้“เหตุใดพระนางต้องกระทำการที่เลี่ยงแก่ชีวิตตนเองเช่นนี้ด้วย”แม่ทัพฉีเฮาเอ่ยขึ้นด้วยสีหน้าเคร่งเครียด กลยุทธ์ในการศึกมีมากก
คำถามที่เป็นเหมือนดังเช่นคำตัดพ้อของเฟิ่งอี๋ทำให้เฉินเฉิงชะงักไป ทุกถ้อยคำที่นางเอ่ยมาล้วนตรงกับสิ่งที่เขาคิดทั้งสิ้น หากตอนนั้นนางบอกเขาตรง ๆ ว่าน้องสาวสายเลือดเดียวกันคิดจะฆ่าเขาเพื่อชิงบัลลังก์ เขาก็คงไม่เชื่อ และจะระแวงสงสัยนางเสียอีกว่ายั่วยุให้เขาสังหารพี่น้อง ดังนั้น นางจึงใช้ตนเองเป็นเหยื่อล่อ เพื่อพิสูจน์ความจริงให้เขาเห็นกับตาตนเององค์หญิงฟางหรงยิ้มเยาะออกมาแล้วเอ่ยยั่วอารมณ์เฟิ่งอี๋ว่า“ฮองเฮา... ท่านทรงรักฝ่าบาทยิ่งนัก ทั้ง ๆ ที่ฝ่าบาทเคยพระราชแพรขาวปลิดชีพท่านจนตายมาแล้ว นอกจากท่านจะไม่แค้นแล้วยังปกป้องเขา ช่างโง่งมจริง ๆ”“ฟางหรง ! เจ้าหยุดกล่าววาจาเหลวไหลได้แล้ว”เฉินเฉิงตวาดออกมาด้วยความโมโหที่นางตั้งใจยั่วยุให้เขาและเฟิ่งอี๋ขัดแย้งกันอีก ทั้งยังกลัวว่านางจะไม่ให้อภัยเขา“หม่อมฉันก็ไม่ได้โง่พอให้องค์หญิงได้ครอบครองบัลลังก์มังกรได้อย่างสมใจนึกหรอกเพคะ”เฟิ่งอี๋เชิดหน้าตอบกลับอย่างท้าทาย“เจ้า !”ฟางหรงชี้นิ้วสั่นระริกไปใบหน้าหยิ่งผยองของสตรีอีกคน ขบฟันแน่นด้วยความโกรธเมื่อถูกยอกย้อนกลับในขณะที่สถานการณ์ตรงหน้ากำลังตึงเครียด สื่อหม่าก็ร้องโอดครวญขึ้นมาว่า “โอ๊ย... องค
เมื่อนางกินไก่ตุ๋นที่เฉินเฉิงนำมาให้จนหมดแล้วรู้สึกง่วง และอ่อนเพลียมากจึงเผลอหลับไป ครั้นเมื่อรู้สึกตัวขึ้นมายังรู้สึกว่าเหมื่อยล้าไปหมด เหงื่อผุดซึมตามตัวคล้ายกับว่าภายในร่างกายกำลังต่อต้านกับพิษ“ลี่จู่... ลี่จ้ง...”เฟิ่งอี๋ส่งเสียงเรียกขันทีข้างกายเสียงเบา ไม่นานนักผู้ภักดีทั้งสองก็ปรากฏกายขึ้นข้างแท่นบรรทม“พระนางทรงเป็นอะไรพ่ะย่ะค่ะ สีหน้าไม่สู้ดีนัก”ลี่จู่รีบเข้าไปประคองนางลุกขึ้น ส่วนลี่จ้งนั้นรีบหาผ้าชุบน้ำมาซับใบหน้านางเพื่อให้รู้สึกดีขึ้น“เราคิดว่า... เรากำลังถูกพิษ”“กระหม่อมจะไปสังหารฮ่องเต้เดี๋ยวนี้ !”ลี่จ้งขว้างผ้าในมือทิ้ง ผุดลุกขึ้นอย่างเกรี้ยวกราด คนที่อยู่กับพระนางตลอดช่วงเย็นนี้มีเพียงเฉินเฉิงผู้เดียวเท่านั้น ดังนั้น คนที่วางยาพิษพระนางจะเป็นใครไปไม่ได้นอกจากเขา“ช้าก่อน”เฟิ่งอี๋รีบเอ่ยห้าม เพราะรู้ว่าลี่จ้งวรยุทธ์สูงมากแค่ไหน เพียงแค่พริบตาเดียวก็สามารถปลิดชีพบุรุษอ่อนแอย่างเฉินเฉิงได้แล้ว“ฝ่าบาททรงทำร้ายพระนางครั้งแล้วครั้งเล่า เหตุใดพระนางยังทรงอาลัยอาวรณ์ฝ่าบาทอยู่อีกเล่า”ลี่จู่เอ่ยด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ เขามิได้ใจแข็งดั่งเช่นพี่ชายฝาแฝด เมื่อรู้สึกปวดใจแ