“คืนนี้คงจะลำบากท่านมิใช่น้อย ข้าจึงสั่งให้นางกำนัลตุ๋นน้ำแกงไก่ไว้รอท่าน” เมื่อองค์หญิงฟางหรงเอ่ยถึงตรงนี้ นางกำนัลผู้หนึ่งก็ยกถ้วยบรรจุน้ำแกงไก่ร้อน ๆ เข้ามา แล้ววางบนโต๊ะให้กับเฉินกง
ตอนที่3.
“เชิญเฉินกงดื่มสักหน่อยเถิดจะได้บำรุงร่างกาย”
“ขอบพระทัยองค์หญิง ที่ใส่ใจผู้เฒ่าอย่างกระหม่อม”
เฉินกงยกน้ำแกงขึ้นดื่มจนหมดถ้วยเพื่อแสดงการรับน้ำใจ คล้ายกับเมื่อยามที่เขาเคยถวายงานรับใช้ไทเฮา เมื่อทำงานสำเร็จ ไทเฮาก็มักจะถวายสิ่งของเป็นการตอบแทนความดีความชอบ
“เมื่อดื่มหมดถ้วยแล้ว หวังว่าท่านคงจะหลับสบาย”
เมื่อตรัสเสร็จองค์หญิงก็ลุกขึ้นให้นางกำนัลประคองเดินออกไปยังประตู
เฉินกงรีบลุกขึ้นแล้วประสานมือค่อมศีรษะลง
“น้อมส่งองค์หญิง”
เมื่อเงยหน้าขึ้นมา เขากลับพบว่าดวงตาพร่าเลือน โลหิตสด ๆ ไหลทะลักออกจากช่องทวารทั้งเก้า ร่างของชายชราทรุดฮวบลงกับพื้นทันที
ตุบ !
เสียงนั้นทำให้องค์หญิงฟางหรงชะงักฝีเท้า ยาพิษที่ผสมอยู่ในน้ำแกงไก่คงออกฤทธิ์แล้ว นางไอออกมาสองสามครั้งก่อนสั่งกับทหารที่หน้าประตูห้องว่า
“จัดการปัดกวาดให้เรียบร้อยด้วย”
“รับพระบัญชา”
ขันทีชรานอนจมกองเลือด ดวงตาเบิกกว้างมองไปที่หน้าประตู แม้ตายแล้วเขาก็ยังไม่เข้าใจว่า เหตุใดรางวัลความดีความชอบอันยิ่งใหญ่ของเขาครั้งนี้ถึงทำให้ตนต้องจบชีวิตลง
ณ หอไซ้ยเกอ (หอคณิกาชาย)
หลังจากที่ลมพายุสงบลงก็ล่วงเข้าสู่ยามโฉ่วซึ่งเป็นเวลาปิดของสถานเริงรมย์พอดี เจียวมี่แม่เล้าของหอจึงออกมาส่งลูกค้าสาว ๆ ด้วยตนเอง
ตั้งแต่การผลัดเปลี่ยนแผ่นดินจากฮ่องเต้กลายเป็นจักรพรรดินี เหล่าสตรีจึงไม่อยู่ใต้บุรุษอีกต่อไป
กาลก่อนนั้น... บุรุษเป็นใหญ่
กาลนี้นั้น... สตรีกุมบังเหียน
กาลก่อนนั้น... บุรุษคือเบื้องหน้า
กาลนี้นั้น.... สตรีออกนอกเรือน
หอนางโลมจึงกลับกลายเป็นหอคณิกาชาย กิจการเฟื่องฟูจนถึงขั้นสุด ด้วยเพราะจักรพรรดินีทรงมีชายบำเรอนับพัน สตรีทั้งเหนือใต้จึงนำพาเอาเป็นเยี่ยงอย่าง บุรุษทุกนามจึงอับจนปัญญาที่จะทัดทาน
เมื่อลูกค้ารายสุดท้ายเดินจากไป เจียวมี่จึงสะบัดแขนเสื้อหมุนตัวหมายจะกลับเข้าสู่ในหอคณิกา แต่พลันได้ยินเสียงเอะอะโวยวายของผู้คุมซ่องจึงอดไม่ได้ที่จะหันกลับมาดูว่าเกิดอะไรขึ้น
“เฮ้ย ! ขอทาน มาทางไหน ก็ไสหัวกลับไปทางนั้น อย่ามานอนตรงนี้ สกปรก ไป๊ !”
ผู้คุมซ่องคนหนึ่งเอาเท้าเขี่ยร่างคนผู้หนึ่งอย่างรังเกียจ
คนผู้นั้นคล้ายกับหมดสติไปแล้ว เขาสวมเสื้อผ้าทั้งเก่าทั้งขาดราวกับผ้าขี้ริ้ว ผมเผ้ากระเซอะกระเซิงปิดบังใบหน้าเอาไว้
“อะไร อะไรกัน”
เจียวมี่ตวาดแวดถาม พลางล้วงผ้าเช็ดหน้าขึ้นมาปิดจมูกเมื่อเดินเข้าใกล้ร่างขอทานบนพื้น
“ขอทานมาจากไหนไม่รู้ อยู่ ๆ มันก็ล้มลงหน้าหอเรา เฮ้ยลุกขึ้น !”
ผู้คุมซ่องอีกคนกล่าว พร้อมกับยื่นเท้าเข้าไปสะกิดร่างขอทานหมายจะปลุกร่างเน่าเหม็นสกปรกนั้นให้ตื่นขึ้น
เมื่อถูกแรงถีบหนักขึ้น ขอทานน้อยจึงเริ่มรู้สึกตัวอีกครั้ง แต่เรี่ยวแรงยังไม่มีจึงทำได้แค่พลิกตัวขึ้น ทำให้ผมที่ปกปิดใบหน้าของเขาลู่ลงไปด้านหลังเผยให้เห็นใบหน้าอันงดงาม
เจียวมี่ถึงกับอ้าปากค้าง ผ้าเช็ดหน้าในมือหลุดร่วงลงพื้นก็ยังไม่รู้ตัว ใบหน้าของเด็กหนุ่มขอทานผู้นั้นหมดจดราวกับเทพเซียน คิ้วเรียว จมูกโด่งเป็นสัน ผิวในส่วนที่ไร้คราบฝุ่นเปรอะเปื้อนนั้นเป็นสีขาวราวกับหิมะ แม้นางเป็นแม่เล้าในหอคณิกาชายมากว่า 4 ปีก็ยังไม่เคยเห็นบุรุษใดงดงามยิ่งกว่าสตรีเช่นนี้
“หามมันเข้าไป”
เจียวมี่หันไปสั่งผู้คุมซ่อง
ผู้คุมซ่องสองคนถึงกับอึ้งไปด้วยความงวยงง เจียวมี่จึงตวาดสั่งอีกครั้งว่า
“บิดาพวกเจ้าหูหนวกกันรึไง ข้าบอกว่าหามเจ้าขอทานนี่เข้าไปในหอ !”
“ขอรับนายหญิง”
จากนั้นทั้งคู่ก็ช่วยกันหามร่างนั้นเข้าไปภายในหอคณิกา เจียวมี่ฉีกยิ้มกว้างราวกับเก็บได้แท่งทองคำจำนวนมหาศาล ขอทานหนุ่มผู้นั้นต้องทำให้หอคณิกาชายของนางเป็นที่เลื่องลือแน่ ๆ
“...เพราะความโง่เขลาลุ่มหลงความงามของสตรี ฝ่าบาทถึงกับฆ่าลูกของเราด้วยมือของพระองค์เอง ! ”
เขามองใบหน้าสวยที่เต็มไปด้วยสายธารแห่งน้ำตา น้ำตาสายนั้นไหลหยดลงบนใบหน้าเขาให้ความรู้สึกปวดร้าวจนแทบจะหายใจไม่ออก
“....เฟิ่งอี๋... ข้าขอโทษ... ข้าขอโทษ...”
เขาขยับปากอย่างยากลำบากร่ำร้องขอโทษอย่างรู้สึกผิด เสียงร่ำไห้ของนางช่างบีบรัดหัวใจเขาจนเจ็บปวด
“ฝ่าบาทฆ่าลูก ฆ่าหม่อมฉัน สังหารครอบครัวหม่อมฉันทั้งตระกูล ! แค้นนี้ต้องชำระด้วยชีวิต.....”
ฉับพลันนั้นนางก็หยิบเข็มเงินวาววับขึ้นมา เขาเบิกตากว้างด้วยความหวาดกลัว เหงื่อกาฬแตกพลั่ก ละล่ำละลักเปล่งวาจาว่า
“ไม่ ๆ ไม่นะ อย่าฆ่าข้า ฮองเฮาข้าผิดไปแล้ว อย่าฆ่าข้าเลย”
“หนี้ชีวิต ต้องชดใช้ด้วยชีวิต !”
สิ้นคำนาง เข็มเงินแหลมคมวาววับก็พุ่งเข้าหาเขาเต็มแรง
“อ๊ากกกกกก”
ฉึบ !
“ไม่ ! ข้าไม่อยากตาย ช่วยด้วยยยยยย อ๊ากกกก”
บุรุษหนุ่มบนเตียงตะโกนลั่น ฟาดแขนขาสะเปะสะปะ ทั้งที่ยังหลับตาแน่น เสียงร้องของเขาปลุกคนที่หอไซ้ยเกอให้ตื่นขึ้นตั้งแต่เช้าตรู่
“เจ้าขอทานเป็นอะไร”
ผู้คุมซ่องที่นอนเฝ้าเขาทั้งคืนตื่นขึ้นเป็นคนแรก แล้วรีบรุดเข้ามาดูขอทานหนุ่ม
“ไม่ ! อย่า ! ข้าขอโทษ !”
ขอทานหนุ่มยังคงตะโกนออกมาราวกับคนเสียสติ
“เฮ้ย ! ตื่น ๆ”
ผู้คุมซ่องรีบเข้าไปเขย่าคนบนเตียงให้ตื่นจากฝันร้าย ในขณะที่ทุกคนในหอคณิกาต่างเข้ามามุงดูด้วยความอยากรู้อยากเห็น
“อ๊ากกกกก”
ชายหนุ่มบนเตียงสะดุ้งสุดตัว ลืมตาขึ้นด้วยความตื่นตระหนก บนหน้าผากมีเหงื่อผุดพราย หัวใจเต้นรัว และเมื่อหันมองรอบกายแววตาของเขาก็เปลี่ยนเป็นความงงงวยเจือความหวาดระแวง
“พะ.... พวกท่านเป็นใครกัน”
ในขณะที่ทุกฝ่ายกำลังงงงั่นกับสถาการณ์ตรงหน้า เสียงตวาดแหลมเล็กก็ดังขึ้นว่า
“นี่ ๆ เอะ อะ อะไรกันตั้งแต่เช้าเนี่ย”
เจียวมี่แหวกผู้คนเข้ามาดูภายในห้อง และเมื่อเห็นขอทานหนุ่มฟื้นคืนสติขึ้นมาแล้ว นางก็ตื่นเต็มตา แล้วก็ปรับเสียงใหม่เป็นหวานหยดย้อยว่า
“รู้สึกตัวแล้วรึ เทพเซียนของข้า”
แม่เล้าในวัยสี่สิบปีแทบจะถลาเข้าไปหาบุรุษในอาภรณ์สีขาวบนเตียง เมื่อคืนนางสั่งให้คนรับใช้อาบน้ำชำระร่างกายและผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าให้กับเขา จากขอทานสกปรกกลายเป็นเทพเซียนโดยทันที หากไม่นับรอยซ้ำที่เกิดจากการถูกทำร้ายมา ผิวของเขาขาวผ่องยิ่งกว่าสตรีเสียด้วยซ้ำ ผมสีดำขลับยาวสลวย ใบหน้าได้รูปคมชัดงดงามจนไม่อาจจะละสายตาได้ ริมฝีปากบางชุ่มฉ่ำคล้ายกับแต้มสีชาด สตรีใดได้เห็นบุรุษงดงามเช่นนี้ก็แทบจะระทวยอยู่ตรงหน้าทุกราย
“ยะ อย่าเข้ามานะ”
“หม่อมฉันหนิงเฟยขออภัยที่เสียกิริยาแล้ว เนื่องจากหม่อมฉันอยากจะท่องบทกลอนถวายฝ่าบาทสักบทเพคะ”“เจ้า !.....”ใต้เท้าหมิงฉางกำลังจะอ้าปากตวาดนางอีกรอบ แต่เฉินเฉิง รีบยกมือขึ้นห้ามแล้วเอ่ยว่า“ว่ามาเถอะ”น้ำเสียงของเขาสั่นอย่างห้ามไม่ได้ เขากลั้นใจรอฟังกลอนบทนั้นโดยไม่รู้ตัว“เจ้าคือสตรีเพียงหนึ่งเดียวในใจข้า ด้วยปัญญาล้ำเลิศเป็นหนึ่งในใต้หล้าในใจข้าเจ้าคือยอดบุปผาสง่างาม ทุกโมงยามเคียงคู่ครองบัลลังก์”เมื่อนางเอ่ยบทกลอนนี้จบลง เฉินเฉิงไม่ลังเลอีกต่อไปประกาศก้องให้ได้ยินทั่วกันทั้งท้องพระโรงว่า“จากนี้ไปหนิงเฟยเป็นฮองเฮาของเราแต่เพียงผู้เดียว”ทุกคนในท้องพระโรงต่างตะลึงอ้าปากค้างไปตามกัน ๆ ฮ่องเต้ที่ไม่แตะต้องสตรีมากกว่าสิบปี บัดนี้กลับประกาศแต่งตั้งดรุณีน้อยเป็นฮองเฮาทันทีที่พบหน้า และยังไม่ทันที่เหล่าขุนนางจะหายตกตะลึง ฮ่องเต้ก็รับสั่งว่า“ทุกคนออกไปให้หมด ข้าจะอยู่กับฮองเฮาของเราเพียงลำพัง”เมื่อได้ยินดังนั้น ทุกคนก็ออกไปจากท้องพระโรงด้วยความงวยงง แต่ก็มิได้มีผู้ทัดทานเพราะการที่ฮ่องเต้ยอมแตะต้องสตรีย่อมเป็นเรื่องดีแน่เมื่ออยู่กันเพียงลำพัง เฉินเฉิงรีบสาวเท้าเข้ามาหาสตรีเบื้องล่าง
ราชครูต้าเว่ยร้องออกมาด้วยความเจ็บปวด เลือดพุ่งออกมาจากร่างไหลทะลักเปรอะเปื้อนแท่งทองคำบนพื้นเหล่านั้น แล้วเขาก็ล้มลงสิ้นใจตายจากนั้นเมื่อเห็นว่าทหารฝ่ายตรงข้ามถูกจับกุมเอาไว้หมดแล้ว ลี่จู่จึงนำกำลังทหารไปยังตำหนักของหลวนถงในลำดับต่อไป จนในที่สุดเขาก็ควบคุมสถานการณ์ความวุ่นวายภายในวังหลังเอาไว้ได้หลังเหตุการณ์ก่อกบฏสิ้นสุดลง แม่ทัพฉีเฮาและใต้เท้าจ้านได้อัญเชิญเฉินเฉิงฮ่องเต้ขึ้นครองบัลลังก์ตามราชโองการของจักรพรรดินีเมื่อเฉินเฉิงฮ่องเต้นั่งบนบัลลังก์มังกรด้วยวัยเพียงสิบแปดพรรษา แล้วเขาก็ได้ทำตามคำขอของจักรพรรดินีทุกประการถึงแม้ว่าหน่วยพยัคฆ์ทมิฬจะถูกเชิดชูให้เป็นกองทหารที่แข็งแกร่งที่สุดในแผ่นดิน ภายใต้การดูแลขององค์ฮ่องเต้โดยตรง แต่สองพี่น้องฝาแฝดลี่จ้ง และลี่จู่ก็ไม่คิดรับใช้ราชสำนักอีกต่อไปจึงขอพระราชทานราชานุญาตให้พวกตนออกจากตำแหน่งแม่ทัพ และรองแม่ทัพของหน่วยพยัคฆ์ทมิฬบุรุษทั้งสองในอาภรณ์สีเรียบนั่งบนอาชาพ่วงพีด้วยกิริยาองอาจ ม้าเหยาะย่างผ่านฝูงชนที่กำลังมุงดูป้ายประกาศของทางการ เรื่อง จักรพรรดินีฟางเหรินผู้ไร้คุณธรรมสังหารองค์หญิงฟางหรง ชาวบ้านต่างก่นด่าสาปแช่งจักรพรรดินีด้วย
“เฟิ่งอี๋....ข้าจะพาเจ้ากลับวังหลวงไปรักษา... เจ้าอดทนสักหน่อยนะ.. เฟิ่งอี๋”เฉินเฉิงใช้แขนเสื้อซับเลือดให้นางอย่างกระวนกระวาย เลือดของนางออกมากเกินไปแล้ว เขาต้องพานางกลับวังไปรักษา จึงพยายามออกแรงเพื่ออุ้มนางให้ลุกขึ้นอย่างทุลักทุเล สุดท้ายก็ต้องจำยอมทรุดตัวลงนั่งกอดนางไว้แนบอกตามเดิมเพราะเสียงผะแผ่วของนางดังขึ้นว่า“ฝ่าบาท... ไม่มีประโยชน์เพคะ”เสียงขาดหายเป็นห้วง ๆ ของนางทำให้เขาไม่กล้าเคลื่อนไหวได้อีกต่อไป เพราะเกรงว่าหากเขาขยับเพียงน้อยนิด ลมหายใจของนางก็จะถูกสายลมช่วงชิงไป“หม่อมฉันขอให้ฝ่าบาทรับปากสามประการ.... ประการแรก ฝ่าบาทโปรดอภัยโทษให้แก่หลวนถงทุกคน ประการที่สองขอฝ่าบาทโปรดดูแลหน่วยพยัคฆ์ทมิฬแทนหม่อมฉันด้วย”ลี่จ้งได้ยินดังนั้น ก็สะอื้นไห้หนักขึ้น แม้จวบจนวินาทีสุดท้ายพระนางยังทรงรักและห่วงใยชีวิตข้ารับใช้อย่างพวกเขาหลังจากนี้หากพระนางไม่ขออภัยโทษ หลวนถงที่มีฐานะเป็นชายาบำเรอของจักรพรรดินีต้องถูกประหารให้ตายตกตามกันไป ส่วนหน่วยพยัคฆ์ทมิฬนั้นได้ขึ้นชื่อว่าปฏิบัติการโหดเหี้ยมอำมหิตมีศัตรูมากมาย หากพระนางสิ้นลงเหล่าขุนนางที่มีใจเจ็บแค้นต้องถวายฎีกาให้ลงทัณฑ์พวกเขาปางตายเป็น
ใต้เท้าจ้านรับม้วนราชโองการสีทองไว้ด้วยมือสั่นระริก หัวของเขาถึงกับสรรหาถ้อยคำที่จะเอ่ยออกมาไม่ถูก การสนทนาของแม่ทัพทั้งสองเมื่อครู่ทำให้เขาพอจะคาดเดาได้ว่า แม่ทัพฉีเฮาเป็นสายลับขององค์จักรพรรดินีที่แฝงตัวอยู่ข้างกายองค์หญิงฟางหรง มิน่าเล่า แม้นว่าจะอยู่ไกลถึงพันลี้ แต่พระนางยังทรงล่วงรู้แผนการขององค์หญิงมาตลอดราวกับว่าเห็นได้ด้วยตาตนเอง“พระนางทรงรับสั่งเอาไว้ว่า... เมื่อปราบกบฏเรียบร้อยแล้วให้ท่านเป็นผู้ประกาศราชโองการนี้”ลี่จ้งเอ่ยด้วยเสียงหนักแน่นใต้เท้าจ้านได้ยินดังนั้น พลันรู้สึกว่าม้วนราชโองการในมือหนักขึ้นมาเป็นร้อยเท่าพันทวี เหงื่อเม็ดใหญ่ถึงกับไหลย้อยลงที่ขมับ“ท่านโปรดวางใจเถิด ข้าจะทำตามนั้น”ใต้เท้าจ้านแบกรับหน้าที่สำคัญเอาไว้ด้วยใจ ในอกเขาคล้ายกับมีความตื้นตันลูกใหญ่ถาโถมขึ้นมาจนรู้สึกตีบตันที่ลำคอ เมื่อรู้ว่าจักรพรรดินีที่ใคร ๆ ต่างมองว่าโหดเหี้ยมอำมหิต ไร้คุณธรรม แต่ความจริงแล้วที่พระองค์ทรงทำทั้งหมดก็เพื่อปกป้องบัลลังก์มังกรเพื่อคืนให้แก่ฮ่องเต้“เหตุใดพระนางต้องกระทำการที่เลี่ยงแก่ชีวิตตนเองเช่นนี้ด้วย”แม่ทัพฉีเฮาเอ่ยขึ้นด้วยสีหน้าเคร่งเครียด กลยุทธ์ในการศึกมีมากก
คำถามที่เป็นเหมือนดังเช่นคำตัดพ้อของเฟิ่งอี๋ทำให้เฉินเฉิงชะงักไป ทุกถ้อยคำที่นางเอ่ยมาล้วนตรงกับสิ่งที่เขาคิดทั้งสิ้น หากตอนนั้นนางบอกเขาตรง ๆ ว่าน้องสาวสายเลือดเดียวกันคิดจะฆ่าเขาเพื่อชิงบัลลังก์ เขาก็คงไม่เชื่อ และจะระแวงสงสัยนางเสียอีกว่ายั่วยุให้เขาสังหารพี่น้อง ดังนั้น นางจึงใช้ตนเองเป็นเหยื่อล่อ เพื่อพิสูจน์ความจริงให้เขาเห็นกับตาตนเององค์หญิงฟางหรงยิ้มเยาะออกมาแล้วเอ่ยยั่วอารมณ์เฟิ่งอี๋ว่า“ฮองเฮา... ท่านทรงรักฝ่าบาทยิ่งนัก ทั้ง ๆ ที่ฝ่าบาทเคยพระราชแพรขาวปลิดชีพท่านจนตายมาแล้ว นอกจากท่านจะไม่แค้นแล้วยังปกป้องเขา ช่างโง่งมจริง ๆ”“ฟางหรง ! เจ้าหยุดกล่าววาจาเหลวไหลได้แล้ว”เฉินเฉิงตวาดออกมาด้วยความโมโหที่นางตั้งใจยั่วยุให้เขาและเฟิ่งอี๋ขัดแย้งกันอีก ทั้งยังกลัวว่านางจะไม่ให้อภัยเขา“หม่อมฉันก็ไม่ได้โง่พอให้องค์หญิงได้ครอบครองบัลลังก์มังกรได้อย่างสมใจนึกหรอกเพคะ”เฟิ่งอี๋เชิดหน้าตอบกลับอย่างท้าทาย“เจ้า !”ฟางหรงชี้นิ้วสั่นระริกไปใบหน้าหยิ่งผยองของสตรีอีกคน ขบฟันแน่นด้วยความโกรธเมื่อถูกยอกย้อนกลับในขณะที่สถานการณ์ตรงหน้ากำลังตึงเครียด สื่อหม่าก็ร้องโอดครวญขึ้นมาว่า “โอ๊ย... องค
เมื่อนางกินไก่ตุ๋นที่เฉินเฉิงนำมาให้จนหมดแล้วรู้สึกง่วง และอ่อนเพลียมากจึงเผลอหลับไป ครั้นเมื่อรู้สึกตัวขึ้นมายังรู้สึกว่าเหมื่อยล้าไปหมด เหงื่อผุดซึมตามตัวคล้ายกับว่าภายในร่างกายกำลังต่อต้านกับพิษ“ลี่จู่... ลี่จ้ง...”เฟิ่งอี๋ส่งเสียงเรียกขันทีข้างกายเสียงเบา ไม่นานนักผู้ภักดีทั้งสองก็ปรากฏกายขึ้นข้างแท่นบรรทม“พระนางทรงเป็นอะไรพ่ะย่ะค่ะ สีหน้าไม่สู้ดีนัก”ลี่จู่รีบเข้าไปประคองนางลุกขึ้น ส่วนลี่จ้งนั้นรีบหาผ้าชุบน้ำมาซับใบหน้านางเพื่อให้รู้สึกดีขึ้น“เราคิดว่า... เรากำลังถูกพิษ”“กระหม่อมจะไปสังหารฮ่องเต้เดี๋ยวนี้ !”ลี่จ้งขว้างผ้าในมือทิ้ง ผุดลุกขึ้นอย่างเกรี้ยวกราด คนที่อยู่กับพระนางตลอดช่วงเย็นนี้มีเพียงเฉินเฉิงผู้เดียวเท่านั้น ดังนั้น คนที่วางยาพิษพระนางจะเป็นใครไปไม่ได้นอกจากเขา“ช้าก่อน”เฟิ่งอี๋รีบเอ่ยห้าม เพราะรู้ว่าลี่จ้งวรยุทธ์สูงมากแค่ไหน เพียงแค่พริบตาเดียวก็สามารถปลิดชีพบุรุษอ่อนแอย่างเฉินเฉิงได้แล้ว“ฝ่าบาททรงทำร้ายพระนางครั้งแล้วครั้งเล่า เหตุใดพระนางยังทรงอาลัยอาวรณ์ฝ่าบาทอยู่อีกเล่า”ลี่จู่เอ่ยด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ เขามิได้ใจแข็งดั่งเช่นพี่ชายฝาแฝด เมื่อรู้สึกปวดใจแ