LOGINณ โรงพยาบาลเอกชนชื่อดังแห่งหนึ่ง
ชายหนุ่มร่างกำยำสมบูรณ์แบบดูสง่างามและน่าเกรงขาม ลูคัส นั่งใจจดใจจ่ออยู่กับกองเอกสารตรงหน้าของตัวเองอยู่ตรงโต๊ะทำงาน ภายในห้องทำงานชั้นบนสุดของโรงพยาบาลเอกชนแห่งนี้ในช่วงเช้าของวัน ตระกูลโลรองต์เป็นเจ้าของโรงพยาบาลทั้งในประเทศไทยและประเทศฝรั่งเศส ลูคัสถูกบิดาแต่งตั้งให้ขึ้นมาเป็นผู้อำนวยการโรงพยาบาลในช่วงอายุ 28 ปี เพราะบิดาต้องการให้ชายหนุ่มเข้ามาเรียนรู้การบริหารงานทุกอย่างก่อนที่พ่อของเขาจะยกกิจการทุกอย่างให้กับเขา
ลูคัส โลรองต์ หนุ่มลูกครึ่งไทยฝรั่งเศส อายุ 30 ปี ลูกชายเจ้าของโรงพยาบาลเอกชนชื่อดังของประเทศ ผมสีดำเข้ากับนัยน์ตาคมเข้มนุ่มลึกมีเสน่ห์ของชายหนุ่ม ในตอนนี้ลูคัสได้เข้ามารับตำแหน่งของผู้อำนวยการโรงพยาบาลในสาขาของประเทศไทยตั้งแต่อายุยังน้อย บวกกับหน้าตาที่โดดเด่นของลูคัสกับการได้รับตำแหน่งตั้งแต่อายุยังไม่เข้าเลขสามจึงทำให้สื่อต่างๆ จับตามองชายหนุ่มเป็นพิเศษ
“คุณลูคัสครับ” เสียงของคนสนิทเคาะประตูห้องทำงานของลูคัสพร้อมกับเอ่ยลอดผ่านประตูมา
“เข้ามา” ชายหนุ่มวางมือจากเอกสารตรงหน้าพร้อมกับเอ่ยออกไป
สิ้นเสียงของลูคัส ประตูห้องทำงานก็ถูกเปิดแง้มออกมาอย่างช้าๆ พร้อมกับร่างกำยำของมือขวาคนสนิทชื่อว่า อีวาน ที่ถือโทรศัพท์เครื่องหรูเดินเข้ามาหยุดอยู่ตรงหน้าโต๊ะทำงานของลูคัส
อีวาน เป็นชายหนุ่มลูกครึ่งไทย-รัสเซีย อายุ 35 ปี ร่างกำยำสูงโปร่งแข็งแรงเนื่องจากเขาผ่านการฝึกฝนเพื่อเข้ามาเป็นบอดี้การ์ดอย่างหนักหน่วง ก่อนที่ชายหนุ่มจะเข้ามาทำงานกับลูคัสตั้งแต่ที่เขาอายุ 30 ปี จนกระทั่งตอนนี้เป็นเวลาห้าปีแล้วที่เขาอยู่รับใช้ลูคัสมาด้วยความจงรักภักดีและซื่อสัตย์ ในคราแรกลูคัสให้อีวานเป็นเพียงบอดี้การ์ดประจำตัว แต่ทว่าหลังจากอีวานทำงานกับลูคัสได้ถึงหนึ่งปี อีวานก็ได้รับตำแหน่งเลขาประจำตัวพ่วงมาด้วย พร้อมกับค่าตอบแทนในแต่ละเดือนที่เพิ่มขึ้นเป็นสามเท่าของค่าจ้างในตำแหน่งบอดี้การ์ด
“นายท่านต้องการจะคุยด้วยครับ” อีวานบอกกล่าวเจ้านายทันที ซึ่งนายท่านที่คนสนิทหมายถึงก็คือบิดาของลูคัสนั่นเอง
เนื่องจากลูคัสไม่ค่อยชอบรับโทรศัพท์สักเท่าไหร่ โทรศัพท์ส่วนตัวของเขาจึงถูกปิดเอาไว้ในตอนที่เขาทำงาน เพราะเขาไม่อยากให้ใครมารบกวนการทำงานของเขา บิดาของลูคัสจึงชอบติดต่อไปหามือขวาแทน
“เอามา” ลูคัสตอบกลับด้วยใบหน้าเบื่อหน่ายเล็กน้อย อีวานจึงก้าวเดินมายื่นโทรศัพท์ให้กับเจ้านาย ลูคัสจึงเอื้อมมือมาคว้าโทรศัพท์จากมือของคนสนิทไปแนบใบหูเอาไว้ ก่อนที่เขาจะเอ่ยออกไปด้วยน้ำเสียงนิ่งเรียบ
“มีอะไรครับพ่อ”
‘ถ้าไม่มีอะไรแล้วฉันโทรหาแกไม่ได้หรือไง’ ลูติน โลรองต์ บิดาของลูคัสเอ่ยผ่านโทรศัพท์ตอบกลับมา
“ผมทำงานอยู่นะพ่อ” น้ำเสียงของลูคัสตอบกลับบิดาไปด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยไปด้วยความเหนื่อยล้า
‘พรุ่งนี้พ่อกับแม่จะบินกลับไปที่ไทย กลับบ้านด้วยล่ะ ไม่ใช่หมกตัวอยู่แต่เพนท์เฮาส์’ ลูตินเข้าประเด็นทันที เพราะเขาไม่อยากรบกวนเวลาทำงานของลูคัสมากนัก
“ครับ”
‘ไปดูของขวัญให้แม่ของแกด้วยล่ะ’
“ครับ” พูดจบ ปลายสายก็กดวางสายไปอย่างรวดเร็ว ลูคัสยกโทรศัพท์ที่แนบใบหูของตัวเองอยู่ออก ก่อนที่เขาจะมองหน้าจอโทรศัพท์เล็กน้อยแล้วคืนไปให้กับอีวานทันที
“เดี๋ยวช่วงบ่ายมึงไปห้างกับฉันหน่อย” ลูคัสบอกกล่าวกับคนสนิท
“ซื้อของขวัญให้มาดามเหรอครับ” อีวานเอ่ยถามอย่างรู้ทัน เพราะนี่ไม่ใช่ครั้งแรก
“เออ” ลูคัสตอบกลับ จากนั้นเขาก็ยื่นโทรศัพท์คืนให้กับคนสนิท
อีวานรับโทรศัพท์กลับมาถือเอาไว้ ก่อนที่คนสนิทจะก้มหัวให้ลูคัสหนึ่งครั้งและหันหลังเดินออกไปจากห้องอย่างช้าๆ
ลูคัสปรายตามองลูกน้องที่เดินออกไปเล็กน้อย จากนั้นเขาก็ก้มหน้ามาตั้งใจทำงานต่อ ชายหนุ่มหมกตัวอยู่แต่ในห้องทำงาน จนกระทั่งถึงเวลาพักเที่ยง ลูคัสจึงออกไปทานอาหารเที่ยงที่ร้านอาหารบนตึกสูง หลังจากที่ชายหนุ่มทานอาหารเสร็จเรียบร้อยแล้ว เขาจึงตรงมาที่ห้างสรรพสินค้าทันที
ชายหนุ่มร่างกำยำสวมชุดสูทสีดำกับเสื้อเชิ้ตด้านในสีขาว ใบหน้าหล่อเหลาสวมแว่นตากันแดดสีดำเพื่อปกปิดตัวตนจากสายตาของผู้คน เนื่องจากช่วงนี้เขากำลังถูกจับตามองจากสื่อเป็นอย่างมาก ชายหนุ่มจึงเริ่มมีแฟนคลับหรือกลุ่มคนที่คลั่งไคล้เขาคอยเข้ามากวนใจในยามที่ชายหนุ่มออกมาในที่สาธารณะแบบนี้
ลูคัสเดินตรงมายังร้านเครื่องเพชรร้านประจำของเขาโดยมีอีวานเดินตามมาติดๆ อีวานทำหน้าที่ดูแลเขามาตั้งแต่ลูคัสอายุ 25 ปี มือขวาคนนี้จึงรู้ใจลูคัสเป็นพิเศษเพราะก่อนหน้าที่อีวานจะมาทำงานกับชายหนุ่ม ก็ไม่มีใครที่ถูกใจลูคัสสักคน จนเขาต้องไล่คนออกเป็นว่าเล่นเลย
“สวัสดีค่ะ รับอะไรดีคะท่าน” เสียงของพนักงานสาวชุดดำเอ่ยทักทายลูคัสกับอีวานทันทีที่พวกเขาเดินเข้ามาในร้านเครื่องเพชรสุดหรู พนักงานสาวมองแค่ชั่วครู่ก็รู้ว่าชายหนุ่มคนนี้ต้องเป็นผู้ที่มีฐานะหรือไฮโซอย่างแน่นอน เนื่องจากความโดดเด่นและสง่างามของเขา ถึงแม้ว่าชายหนุ่มจะสวมแว่นตาเพื่อปกปิดใบหน้า แต่ก็ไม่สามารถบดบังความสง่างามของเขาได้เลยสักนิด
“เครื่องประดับสำหรับผู้หญิง” เสียงทุ้มทรงพลังตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
“ให้แฟนเหรอคะ” พนักงานเอ่ยถามต่อ
“ให้แม่” น้ำเสียงของลูคัสทำให้หญิงสาวหน้าเจื่อนลงไปเล็กน้อย
“ค่ะ เดี๋ยวดิฉันลองเอาเซตแนะนำมาให้ดูก่อนนะคะ” พูดจบ พนักงานก็หยิบเครื่องประดับออกมาวางบนตู้กระจกให้กับชายหนุ่มตรงหน้าทันที
“สามเชตนี้เป็นคอลเลคชั่นใหม่ของทางร้านเลยนะคะ มีทั้งสร้อย แหวน และต่างหู รวมอยู่ในเชตเลยค่ะ” พนักงานสาวเปิดกล่องเครื่องเพชรทั้งสามชุดออกเพื่อให้ชายหนุ่มดู ลูคัสไม่ได้ถอดแว่นตากันแดดออก เขาเงียบและมองเครื่องเพชรทั้งสามชุดอยู่ชั่วครู่
ลูคัสใช้เวลาในการเลือกของขวัญให้มารดาไม่นานสักเท่าไหร่เพราะเขามีระยะเวลาที่จำกัด ช่วงนี้เขายุ่งจนแทบไม่มีเวลาพักผ่อน ลูคัสจึงต้องรีบจัดการทุกอย่างให้เร็วที่สุด
หลังจากที่อีวานจัดการจ่ายเงินจนเสร็จเรียบร้อยแล้ว อีวานก็เอื้อมมือไปถือถุงเครื่องเพชรแทนลูคัสทันที
“กลับเลยไหมครับนาย” อีวานเอ่ยถามทันทีที่พวกเขาเดินออกมาจากร้านเครื่องเพชรสุดหรูพร้อมกับถุงกระดาษสีดำที่มีโลโก้ของแบรนด์อยู่หน้าถุง
“กลับเลย” เสียงทุ้มทรงพลังของลูคัสตอบกลับอย่างราบเรียบ ก่อนที่เขาจะสาวเท้าเดินต่อ อีวานจึงถือถุงกระดาษเดินตามเจ้านายมาติดๆ
“แก นั่นมันลูกชายทายาทโรงพยาบาลที่กำลังโด่งดังเป็นกระแสตอนนี้อยู่เลยนะ”
“หล่อทะลุแว่นมากเลยแก”
เสียงของหญิงสาวกระซิบกระซาบกันระหว่างที่ลูคัสเดินผ่าน ชายหนุ่มได้ยินที่บทสนทนาได้ดีแต่เขาก็เลือกที่จะไม่สนใจ เขาไม่ได้มีเวลามาสนใจเรื่องไร้สาระพวกนี้
ลูคัสเดินตรงมาเรื่อยๆ เพื่อมุ่งตรงไปยังลานจอดรถ แต่ทว่าในขณะนั่นเอง เสียงโทรศัพท์ของชายหนุ่มก็ดังขึ้นมา ทำให้ลูคัสหยุดเดินอย่างกะทันหัน ก่อนที่มือแกร่งจะล้วงไปหยิบโทรศัพท์เครื่องหรูสีดำสนิทในกระเป๋ากางเกงของตัวเองออกมาดู และชายหนุ่มก็กดรับสายทันทีเมื่อพบว่าคนที่โทรเข้ามาคือเพื่อนสนิทของเขา
“ว่าไง” ลูคัสยกโทรศัพท์แนบหูพลางเอ่ยกับปลายสายด้วยน้ำเสียงนิ่งเรียบ
“อือ เดี๋ยวกูไป” ชายหนุ่มเงียบไปชั่วครู่เพื่อรอฟังปลายสายตอบกลับมา ก่อนที่ลูคัสจะตอบกลับไป หลังจากนั้นมือแกร่งก็ยกโทรศัพท์ที่แนบหูอยู่ออกมาและกดวางสายอย่างรวดเร็ว เขากับเพื่อนสนิทมักจะคุยกันแบบนี้เป็นประจำ
“เข้าโรงพยาบาลต่อไหมครับ หรือจะไปไหนต่อ” อีวานเอ่ยถามเจ้านายเพื่อความแน่ใจว่าเจ้านายต้องการที่จะเปลี่ยนเส้นทางหรือเปล่า
“กลับโรงพยาบาลเลย” ชายหนุ่มหันมาตอบกลับ ก่อนที่เขาจะหันกลับไปเดินต่อ แต่ทว่าในจังหวะนั่นเอง…
ตุบ!! โครม!
“อุ๊ย!” เสียงของคนที่เดินชนกันอย่างจังดังขึ้นมาพร้อมกับเสียงเด็กสาวคนหนึ่งที่ร้องขึ้นมาด้วยความตื่นตกใจ
เมื่อลูคัสพูดคุยโทรศัพท์กับมารดาเสร็จเรียบร้อยแล้ว ชายหนุ่มเดินกลับมาหาชาลิสาด้วยใบหน้าที่ดูกังวลเล็กน้อย หญิงสาวมองหน้าชายหนุ่มชั่วครู่ ก่อนที่เธอจะเอ่ยถามขึ้นมา“มีอะไรหรือเปล่าคะ” “แม่ของพี่โทรมาบอกว่าพ่อเข้าโรงพยาบาลนะ” เสียงทุ้มตอบกลับไปพลางเลื่อนมือมาโอบเอวบางเอาไว้ แน่นอนว่าเขาติดสกินชิพกับหญิงสาวไปแล้ว ถ้าได้อยู่ใกล้เธอ เขาจะต้องจับไหล่หรือเอวบางเอาไว้ตลอดเวลา“ท่านเป็นอะไรมากหรือเปล่าคะ” เสียงหวานเอ่ยถามอย่างเป็นห่วง“สาเป็นห่วงพวกเขาด้วยเหรอ” ไม่ว่าพ่อของเขาจะทำไม่ดีหรือดูถูกกับชาลิสาขนาดไหน แต่เธอยังคงไม่โกรธเกลียดใครทั้งนั้น เขาเลือกคนไม่ผิดจริงๆ หลังจากเกิดเรื่องที่ห้างสรรพสินค้าในวันนั้น ลูคัสต่อสายตรงไปหาโนอาห์และบอกกล่าวเกี่ยวกับเรื่องที่โอลิเวียมาอาละวาดใส่ชาลิสากลางห้าง ซึ่งแน่นอนว่าคนอย่างโนอาห์ต้องโกรธลูกสาวที่ทำเรื่องน่าอายกลางที่สาธารณะเช่นนั้นอยู่แล้ว โนอาห์จึงให้โอลิเวียบินกลับไปเรียนต่อที่อังกฤษทันที “ยังไงพวกท่านก็เป็นพ่อแม่ของพี่นะคะ” ชาลิสาตอบกลับด้วยเสียงหวาน“แต่เขาก็ทำไม่ดีกับสานะ” สายตาของชายหนุ่มที่มองมายังชาลิสา มันทั้งอบอุ่นและเอ็นดูเธอในเวลาเดียว
หนึ่งเดือนต่อมาในที่สุดช่วงเวลาแห่งความสุขของเหล่าบรรดานักศึกษาก็มาถึง ทุกคนเหน็บเหนื่อยกันมามากกับโปรเจคจบสำหรับนักศึกษาปีที่สาม พิธีช่วงเช้าในหอประชุมใหญ่เสร็จสิ้นลงไปเรียบร้อย เหล่าบรรดาบัณฑิตที่สวมชุดครุยสีดำจึงแยกย้ายกันไปถ่ายรูปตรงหน้าตึกคณะของใครของมัน ทุกคณะต่างก็จัดซุ้มอยู่ด้านหน้าของตึกของตัวเองบัณฑิตทุกคนและครอบครัวต่างก็ยิ้มแย้มด้วยความปลื้มปีติกับวันดีๆ เช่นนี้ เสียงเจื้อยแจ้ว เสียงพูดคุยและเสียงหัวเราะ ทำให้บรรยากาศในวันนี้ดูครึกครื้นเป็นพิเศษ ญาติผู้ใหญ่ต่างก็มาแสดงความยินดีกับลูกหลานของตัวเองชาลิสายืนอยู่หน้าตึกคณะบริหารธุรกิจพร้อมกับใบเฟิร์นที่แต่งตัวทำผมดูเรียบร้อยกว่าปกติ และก็มีกลุ่มเพื่อนที่เรียนในห้องเดียวกันอีกหลายคน บางคนแยกไปถ่ายรูปกับครอบครัวของตัวเอง“ถ่ายรูปกันสา” ใบเฟิร์นจ้างช่างภาพประจำตัวมาเพื่อถ่ายรูปตัวเองและเพื่อน ชาลิสาชะเง้อคอมองหาบางอย่างอยู่“ชาลิสา ถ่ายรูปกัน” เพื่อนอีกคนจึงเอ่ยเรียกต่อชาลิสาจึงส่งยิ้มให้พวกเพื่อนจางๆ ก่อนที่เธอจะเดินมาหาเพื่อนที่ยืนอยู
หลายวันต่อมาภายในห้างสรรพสินค้าสุดหรูหราใจกลางเมืองกรุง ชาลิสากับเพื่อนสนิทของเธออย่างใบเฟิร์นกำลังเดินเล่นกันอยู่ในโซนที่เป็นกระเป๋าและเสื้อผ้าแฟชั่น ผู้คนหลั่งไหลเข้ามาใช้บริการในห้างสรรพสินค้าแห่งนี้มากมาย เนื่องจากอยู่ใจกลางเมืองกรุงและใกล้กับมหาวิทยาลัย จึงมีนักศึกษาที่เลิกเรียนมาแวะเดินเล่นก่อนกลับบ้าน“ร้านนั้นกระเป๋าน่ารักมากเลย” ใบเฟิร์นเดินคล้องแขนชาลิสาพลางชี้ไปยังร้านขายกระเป๋าแบรนด์เนมร้านหนึ่งที่มีกระเป๋าสีสันสดใสน่ารักตั้งเรียงรายอยู่มากมาย“น่ารักดี แต่แกก็รู้ว่าฉันไม่ชอบของแบรนด์เนม” ชาลิสาตอบกลับเพื่อน ก่อนที่เธอจะชะเง้อมองหาลูคัส เนื่องจากว่าเธอบอกกล่าวเขาไปว่าเธอจะมาเดินห้างกับใบเฟิร์น ชายหนุ่มจึงอยากตามมาด้วย แต่เพราะห้างสรรพสินค้ากับมหาวิทยาลัยห่างกันไม่ไกลสักเท่าไหร่ หญิงสาวกับเพื่อนจึงมารอที่ห้าง แล้วให้ชายหนุ่มตามมาหาที่นี่เลย“มองหาคุณลูคัสเหรอ” ใบเฟิร์นเอ่ยถามเพื่อนสาวที่ชะเง้อคอไม่หยุด“อือ” ชาลิสาหันหน้ามาหาเพื่อนและพยักหน้าเล็กน้อย&ld
หลังจากที่จัดการเรื่องของแม่เลี้ยงกับลูกชายของกนกนุชเสร็จเรียบร้อยแล้ว ชาลิสาก็ไปพูดคุยกับคนงานภายในบ้านอยู่สักพักหนึ่ง จึงได้ข้อสรุปมาแล้วว่าเธอจะกลับมาตรวจตราที่บ้านทุกสัปดาห์ หลังจากที่จัดการทุกอย่างเสร็จสรรพแล้ว ลูคัสกับชาลิสาก็กลับมาที่เพนท์เฮาส์กันต่อในเวลาต่อมาหนุ่มสาวเดินเข้ามาในห้องนั่งเล่นของเพนท์เฮาส์พร้อมกับ มือแกร่งโอบไหล่หญิงสาวมาตลอดจนกระทั่งถึงในห้องนั่งเล่น เขาก็ไม่ยอมปล่อยเธอ“ดีขึ้นหรือยัง” ชายหนุ่มก้มลงมาเอ่ยถามหญิงสาวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน เขารู้ว่าเธอยังรู้สึกไม่ดีกับเรื่องแม่เลี้ยงของเธออยู่“ก็…นิดหน่อยค่ะ” เสียงหวานตอบกลับ“ฟังพี่นะ…ไม่ต้องคิดอะไรเยอะ เราไม่สามารถช่วยใครไปได้ตลอดชีวิต ทุกคนมีทางของตัวเอง” ลูคัสพูดด้วยน้ำเสียงจริงจังแต่แฝงไปด้วยความอ่อนโยนอยู่ในน้ำเสียงนั้น“ค่ะ” ใบหน้าสวยคมพยักหน้าให้ชายหนุ่มเบาๆ“คนดีของพี่” ลูคัสหันมาหาหญิงสาว มือสากเลื่อนมาจับแก้มเนียนพลางใช้ปลายนิ้วลูบแก้มเธออย่างแผ่วเบา“ขอบคุณนะคะ”&
ลูคัสกับชาลิสาใช้ชีวิตกันมาตามปกติ จนกระทั่งหลายวันผ่านไป มารดาของลูคัสมาหาชายหนุ่มเมื่อสองวันที่แล้วเพื่อที่จะคุยเรื่องพ่อของเขา แต่ลูคัสก็ไม่คิดที่จะคุยและบอกให้มารดากลับไป ส่วนเรื่องของแม่เลี้ยงชาลิสา ฟีลิกซ์ก็โทรมารายงานพวกเขาเป็นระยะๆวันนี้เป็นสุดสัปดาห์ ลูคัสกับชาลิสาจึงไม่ได้ออกไปไหนกัน ทั้งสองคนนอนกอดกันดูโทรทัศน์อยู่ภายในห้องนั่งเล่นของเพนท์เฮาส์ ร่างอรชรนอนเกยอยู่กับอกแกร่งบนโซฟา วงแขนแกร่งสอดใต้ลำคงระหงพลางใช้มือสากสัมผัสเรือนผมคนตัวเล็กอย่างแผ่วเบาทว่าในขณะที่ทั้งสองคนนอนกกกอดกันอยู่นั่นเอง เสียงโทรศัพท์ของชายหนุ่มก็ดังขึ้นมา ลูคัสเลื่อนมือสากไปล้วงหยิบโทรศัพท์ในกางเกงของตัวเองออกมาและกดรับสาย เขายกโทรศัพท์ขึ้นมาแนบหูเอาไว้ด้วยใบหน้านิ่งเรียบ“อือ…ว่าไง…โอเค” เสียงทุ้มคุยโทรศัพท์อยู่ ซึ่งชาลิสาก็นอนอยู่บนอกแกร่งเงียบๆ ไม่ได้เอ่ยอะไรออกมา ก่อนที่ชายหนุ่มจะยกโทรศัพท์ออกจากหูแล้วกดวางสายไป
พวกเขาทั้งสามคนนั่งลงบนโซฟาใหญ่ที่มีโต๊ะกระจกตั้งอยู่ตรงกลางห้องวีไอพี ชาลิสากับลูคัสเดินไปย่อตัวนั่งลงตรงข้ามกับฟีลิกซ์“วันนี้ที่พี่เลือกจะบอกเรื่องกาสิโนกับสา ก็เพราะพี่คิดว่ามันถึงเวลาแล้ว” ลูคัสเอ่ยขึ้นมาทันทีที่พวกเขานั่งลงบนโซฟาเรียบร้อยแล้ว“ถึงเวลาอะไรเหรอคะ” ชาลิสาหันมามองหน้าชายหนุ่มพลางเอ่ยถามด้วยความสงสัย“พี่คิดว่ามันถึงเวลาที่เราต้องจัดการสองแม่ลูกนั้นอย่างจริงจังแล้วนะ”“หมายถึงแม่เลี้ยงกับพี่ชายเหรอคะ”“ใช่” ลูคัสตอบกลับด้วยน้ำเสียงจริงจัง“ยังไงคะ”“ตอนนี้พวกมันก็เริ่มติดหนี้แล้ว แต่ยังไม่มากสักเท่าไหร่”“กูให้คนจับตามองพวกมันอยู่ เวลาที่พวกมันเข้าไปเล่นที่กาสิโน” ฟีลิกซ์พูดขึ้นมา“คนอย่างพวกนั้น ก็แค่ให้ได้เงินเยอะๆ ไปสักก้อนก่อน เดี๋ยวพวกมันก็กลับมาเล่นอีก แล้วหลังจากนั้นเราก็ค่อยให้มันเสียคืนเป็นสิบเท่าเลย” ลูคัสหันไปมองหน้าเพื่อน ชายหนุ่มทั้งสองคนอยู่ด้วยกันมานานมาก แค่พวกเขามองตาก







