ลั่วเยวี่ยอิงจ้องมองนางด้วยความโกรธ “เจ้าฆ่าท่านพ่อของข้าใช่หรือไม่? เจ้าทำอันใดกันแน่!”“แล้วที่ข้าพังโถเมื่อคืนนั้น มันมีอะไรกันแน่?!”ลั่วเยวี่ยอิงคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้มานานแล้ว กลางคืนนางกระสับกระส่าย นอนมิหลับ ความสงสัยและการคาดเดามากมายทำให้นางทรมานจนแทบคลั่งลั่วชิงยวนยิ้มอย่างเย็นชา “เจ้าก็รู้อยู่แล้วนี่ว่าเกิดอะไรขึ้น เหตุใดต้องถามข้า?”ลั่วเยวี่ยอิงตกใจมาก และมองดูนางด้วยความตกใจ “เจ้าฆ่าท่านพ่อของข้าจริง ๆ!”ลั่วชิงยวนพูดอย่างเย็นชา “หากจะบอกว่าใครเป็นคนฆ่าพ่อของเจ้า คนคนนั้นก็คือเจ้าเอง!”ชายคนนั้นถูกฟู่เฉินหวนสังหารแม้ว่านางจะมิทราบสาเหตุ แต่มันอาจเกี่ยวข้องกับการสืบสวนของฟู่เฉินหวนเรื่องเหตุกลียุคในวัง ดังนั้นลั่วไห่ผิงจึงเสียชีวิตหากลั่วเยวี่ยอิงมิยืนกรานที่จะแต่งเข้ามาในตำหนักอ๋อง ลั่วไห่ผิงก็คงมิได้ทำข้อตกลงกับฟู่เฉินหวนและเขาก็คงมิตายลั่วชิงยวนพูดอย่างใจเย็น “ส่วนเรื่องโถอัฐินั้น…”ลั่วเยวี่ยอิงจ้องลั่วชิงยวนด้วยดวงตาแดงก่ำลั่วเยวี่ยอิงอาจจะคาดเดาได้แล้ว แต่นางคงมิอยากจะเชื่อ จึงต้องการคำตอบจากปากนางลั่วชิงยวนยกยิ้มเยาะเย้ย “ใช่ นั่นมิใช่อัฐิของท่านแม
แต่ฟู่เฉินหวนกลับดุเขาด้วยสายตาเย็นชา “ลั่วชิงยวนติดสินบนเจ้าไปเมื่อใด?”คำพูดเหล่านั้นเย็นชาดุจคมมีดฟู่จิ่งหลียังคงต้องการอธิบาย แต่ลั่วชิงยวนขัดจังหวะเขาอย่างเย็นชา “หม่อมฉันมิได้ติดสินบนองค์ชายเจ็ด แต่เป็นเพราะองค์ชายเจ็ดมิได้ตาบอด”คำที่แฝงความหมายนี้ทำให้ฟู่เฉินหวนมีสีหน้าแย่ลงกว่าเก่านางกำลังบอกว่าเขาตาบอดด้วยเหตุผลบางอย่าง ความหงุดหงิดในใจของเขายิ่งทวีคูนขึ้นเรื่อย ๆ ดวงตาของเขาจ้องมองไปที่ลั่วชิงยวนด้วยความดุร้าย“วรยุทธของเจ้าสลายไปแล้ว แต่เจ้ายังมิรู้สำนึก หากเจ้ากล้าทำร้ายเยวี่ยอิงอีก ข้าจะฆ่าเจ้าซะ!”น้ำเสียงที่คมชัดและดวงตาของเขา ทำให้ฟู่จิ่งหลีหวาดกลัว“พี่สาม...”ฟู่เฉินหวนหันกลับมาและจ้องมองที่ฟู่จิ่งหลี “และเจ้าก็อีกคน!”“รู้สถานะของตัวเจ้าด้วย!”“ข้าอนุญาตให้เจ้าอาศัยอยู่ในตำหนักอ๋อง มิได้ให้เจ้าสมคบคิดกับลั่วชิงยวน!”ฟู่จิ่งหลีก็ตกตะลึงเช่นกันจากนั้นฟู่เฉินหวนก็พาลั่วเยวี่ยอิงจากไปทันทีระหว่างทางเขาหายใจถี่ รู้สึกเหมือนมีไฟสุมอยู่ในอก แต่เหตุผลยังคอยเตือนเขาว่าเขามิควรพูดเช่นนั้นในเมื่อครู่ออกไปฟู่จิ่งหลีก็โกรธเช่นกัน “อะไร? ใครอยากอยู่ในตำหนักท่
ลั่วชิงยวนพลิกตัวและลุกขึ้นนั่งทันทีนางลุกขึ้นอย่างระมัดระวังมาที่หลังประตู หยิบกริชออกมา แต่จับมันไว้ได้มิค่อยมั่นข้อมือสั่นอย่างควบคุมมิได้ชายที่อยู่นอกประตูดูเหมือนจะได้ยินการเคลื่อนไหว เขาจึงดึงกริชออกมา และเปิดประตูออกอย่างระมัดระวังในขณะนั้น ลั่วชิงยวนเห็นแสงสะท้อนของกริชแวววับจากข้างนอกนางกังวลเล็กน้อยและกลั้นหายใจเมื่อคนที่อยู่นอกประตูเดินเข้ามาได้ครึ่งก้าว ลั่วชิงยวนก็กำกริชไว้แน่นเตรียมพร้อมจะลอบโจมตีทันใดนั้นลมกระโชกแปลก ๆ ก็พัดเข้ามาจนพัดคนชุดดำให้ปลิวออกไปเร็วเสียจนใคร ๆ ก็มิอาจตั้งตัวได้ทันลั่วชิงยวนตกใจมาก นางเดินออกจากประตู และเห็นลมพายุโหมพัดพาคนผู้นั้นออกจากบ้านไปร่างพลิ้วไหวราวกับใบไม้ มิรู้ว่าเป็นหรือตายลมแรงจึงค่อย ๆ สงบลงในสวนภายใต้แสงจันทร์ปรากฏร่างหนึ่งยืนตรงรูปลักษณ์ที่สง่างามมิต่างจากมนุษย์ แต่หางยาวที่ลากพื้นและเกล็ดงูที่แวววับภายใต้แสงจันทร์ทำให้คนที่พบเห็นต้องหวาดกลัวลั่วชิงยวนมิได้ก้าวเข้าไปใกล้ แต่เพียงเฝ้าดูเขาที่กำลังมองไปที่ห้องของซ่งเชียนฉู่อย่างเงียบ ๆอยากเข้าไปใกล้แต่ก็มิกล้า ความเจ็บปวดและความเสียใจปรากฏในสายตาไม่มีแ
“โชคดีที่เจ้ามา มิเช่นนั้นคืนนี้คงรับมือมิไหว”ลั่วชิงยวนมิได้พูด แต่เพียงจับมือของซ่งเชียนฉู่ไว้…… ในอีกหลายวันต่อมา ลั่วชิงยวนอยู่กับซ่งเชียนฉู่เพียงเท่านั้น เฉินเซี่ยวหานแทบมิได้โผล่มาเลยลั่วชิงยวนเขียนตำรับยาใหม่ เพื่อรักษาอาการบาดเจ็บของนาง นางไม่มีเวลามากพอที่จะค่อย ๆ รักษาตัวต้องหายให้เร็วที่สุด มิเช่นนั้นมือที่ไม่มีเรี่ยวแรงนี้ จะมิสามารถเอาชนะใครได้ซ่งเชียนฉู่ปรุงโอสถตามใบเทียบยาของนางแล้วนำมาให้ “ท่านนี่ใจร้ายกับตัวเองจริง ๆ”“ใบเทียบยานี้อันตรายมาก ท่านอาจกลายเป็นคนไร้ประโยชน์ไปตลอดชีวิตเลยก็ได้!”ซ่งเชียนฉู่มิต้องการส่งโอสถให้นางด้วยซ้ำลั่วชิงยวนแย่งมันมาถือไว้ ดื่มจนหมดในอึกเดียว“ข้าอยู่ในสถานการณ์เยี่ยงนี้ หากไร้วรยุทธก็รอวันตายได้เลย หากมิใช้วิธีการอันตรายเมื่อใดข้าจะฟื้นตัวได้กัน?”ลั่วชิงยวนนั่งสมาธิและปรับลมปราณในลานบ้าน เมื่อเคลื่อนลมปราณผ่านเส้นชีพจร จู่ ๆ นางก็พ่นเลือดออกมา“ดูสิ โอสถแรงจนทำร้ายร่างกายท่านแล้ว!” ซ่งเชียนฉู่ยื่นผ้าเช็ดหน้าให้อย่างรวดเร็วลั่วชิงยวนเช็ดเลือดจากมุมปาก และนั่งสมาธิต่อไป “มิตายก็พอ”ก็แค่บาดเจ็บทางร่างกาย ทว่าหากไร้
“ท่านเซียนฉู่ออกเดินทางไปแล้ว เขามิอยู่ ท่านอ๋องโปรดกลับไปเถิดเพคะ” ซ่งเชียนฉู่ปฏิเสธลั่วชิงยวนเดินไปข้างหน้าและเห็นฟู่เฉินหวนที่กำลังเมา ในมือถือไหสุราไว้เขาพิงประตูเอาพลางเอามือแนบ และถามอย่างเมามายว่า “เขาออกเดินทางไปตั้งแต่เมื่อไร เหตุใดข้ามิรู้เรื่องนี้"“เขาออกไปเอง มิได้บอกใครเอาไว้!” ซ่งเชียนฉู่มิสามารถปิดประตูได้ น้ำเสียงเริ่มหงุดหงิดเล็กน้อย“จริงหรือ?” ฟู่เฉินหวนฟังดูผิดหวังเล็กน้อยและค่อย ๆ นั่งพิงกำแพงซ่งเชียนฉู่หาจังหวะปิดประตูนางใช้ไม้ค้ำประตูไว้ด้านหลังประตูกลับมาที่ลานบ้าน ลั่วชิงยวนถามว่า “เขามาที่นี่บ่อยหรือไม่?”ซ่งเชียนฉู่พยักหน้า “มาบ่อยอยู่”“แต่ปกติเขาจะมาตอนที่มีสติ พอรู้ว่าเจ้ามิอยู่ก็จะกลับไป”“ดูเหมือนว่าเขาจะเห็นท่านเป็นสหายจริง ๆ แต่ยิ่งเจ้าใกล้ชิดกับคนเช่นนี้มากเท่าไร ก็ยิ่งอันตรายมากเท่านั้น ดังนั้นอย่าไปยุ่งกับเขาจะดีกว่า”ซ่งเชียนฉู่กลั้นหายใจนางมิถือสาที่เขาทำร้ายลั่วชิงยวนก่อนหน้านี้ แต่คราวนี้การทำลายวรยุทธของนางนั้นมันมากเกินไป!นางรับมิได้แล้ว!ลั่วชิงยวนรู้สึกสับสน และมิสนใจเขาอีกคืนนี้แสงจันทร์สุกสกาว ดังนั้นลั่วชิงยวนจึงปี
“คือการควบคุมความคิดของคน มีผลต่ออารมณ์ของเขา แต่มิใช่ว่าจะปราศจากจิตสำนึกไปเลย”“ทำให้คนมิสามารถควบคุมตัวเอง มิให้สนใจความสุข ความเศร้า ความโกรธของนางได้ พอข้าเห็นนางเจ็บปวด ข้าก็จะโกรธทันที เมื่อเห็นนางร้องไห้ ข้าก็จะใจสลายไปเช่นกัน”“ทั้ง ๆ ที่รู้อย่างชัดเจนว่าบางสิ่งที่นางทำนั้นผิด แต่ในใจก็ยังดิ้นรนอยากปกป้องนางเสียให้ได้”ฟู่เฉินหวนพูดด้วยความเจ็บปวดอย่างมากแต่เมื่อคำพูดเหล่านี้เข้าหูของลั่วชิงยวน นางก็ตกตะลึงนี่มิใช่อาการของการชอบใครสักคนหรอกหรือ“ท่านอ๋อง นี่เป็นเพราะหัวใจของท่านสั่นไหว เพราะท่านชอบนาง ท่านจึงเป็นเช่นนี้”ลั่วชิงยวนมิรู้ว่าเหตุใด แต่เมื่อนางพูดเช่นนี้ออกไป ใจนางก็พลอยรู้สึกเศร้าไปด้วยฟู่เฉินหวนขมวดคิ้ว รู้สึกมิอยากจะเชื่อ “หัวใจสั่นไหวหรือ?”“แต่มันมิใช่อย่างนั้น หัวใจสั่นไหวมิควรเป็นเช่นนี้”“ส่วนเรื่องชอบ ข้าเองก็บอกมิได้”ฟู่เฉินหวนปวดหัวมาก ดื่มเหล้าต่ออีกหลายจอกลั่วชิงยวนพูดอย่างเย็นชา “อาการที่ท่านอ๋องพูดถึง หากจะบอกว่าควบคุมได้ ก็คงมีแต่พิษกู่เท่านั้นที่มีผล"“แต่ท่านอ๋องมิได้ถูกพิษกู่”เมื่อได้ยินสิ่งนี้ ฟู่เฉินหวนก็หลับตาและพูดด้วยควา
ลั่วชิงยวนตัวแข็งทื่อ พูดอย่างประหม่า “กระหม่อม…”ฟู่เฉินหวนลุกขึ้นยืนจากที่นั่ง จ้องมองนางด้วยสายตาเมามาย และพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา “ข้าถือว่าเจ้าเป็นสหายของข้า แต่เจ้ากลับมีความคิดเช่นนี้รึ?”หลังจากพูดอย่างนั้น เขาก็เรอออกมาลั่วชิงยวนขมวดคิ้ว โบกมือด้วยความรังเกียจ และมองดูฟู่เฉินหวนอย่างระแวดระวัง ดูเหมือนเขาจะยังเมาอยู่นางผละออกจากมือของฟู่เฉินหวนทันที และพูดว่า “กระหม่อมจะมีความคิดอะไรได้”“แค่ท่านดื่มจนทำอาภรณ์เปียกหมดแล้ว กระหม่อมจึงอยากเปลี่ยนให้ท่านก็เท่านั้น”ฟู่เฉินหวนขยี้หน้าผากตัวเองแล้วถามอย่างเมามายว่า “จริงรึ?”“ก็ใช่น่ะสิ”แต่ฟู่เฉินหวนผูกอาภรณ์ตัวเองอีกครั้งแล้วเอนหลังลงบนเก้าอี้แล้วพูดอย่างเมามาย “มิต้อง ข้าจะนอน”ลั่วชิงยวนไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากล้มเลิกความคิดนี้ แม้ว่าฟู่เฉินหวนจะเมา แต่เขาก็ยังระมัดระวังสูงกว่าคนทั่วไปแกะเสื้อของเขามิตื่น แต่พอแตะของในแขนเสื้อเขากลับตื่นหมายความว่าเขากังวลกับเรื่องนั้นมากสิ่งนี้ทำให้นางยิ่งสงสัยมากขึ้นว่า ลั่วไห่ผิงพูดอะไรกับฟู่เฉินหวน มันต้องเกี่ยวข้องกับกลียุคในวังแน่ มิเช่นนั้นฟู่เฉินหวนคงไม่มีเหตุผลที่ต้องตึง
ซ่งเชียนฉู่ยิ้มและพูดว่า “ใช่ พอมีบ้างแต่มิมาก ที่บ้านข้ามีแค่สี่หรือห้าใบ มีฤทธิ์เย็นจัด ข้านำมาไว้ใช้ยามจำเป็น ร่างกายท่านคงใช้สิ่งนี้มิได้"ลั่วชิงยวนขมวดคิ้ว พลางถอนหายใจ “คงจะดีมากหากมีสนหิมะเขาฉีซาน”เมื่อได้ยินสิ่งนี้ ซ่งเชียนฉู่ก็ตกใจ “สนหิมะเขาฉีซานหรือ? นี่คงมีแค่เฉพาะในแคว้นหลีเท่านั้น”“อีกอย่างในแคว้นหลีก็ยังหามิได้ง่าย ๆ ก่อนหน้านี้ที่บ้านข้าเคยมีสนหิมะเขาฉีซานอยู่เหมือนกัน แต่ถูกใช้ไปหมดแล้ว”“สิ่งนี้ขัดแย้งกับฤทธิ์ทางยาของใบธารมรกต ทั้งคู่เป็นยาที่มีฤทธิ์แรง แต่ก็สามารถชดเชยความเสียหายต่อร่างกายได้อย่างพอดี”“ทว่าหากท่านหมายจะใช้วิธีนี้ซ่อมแซมเส้นลมปราณ ข้าว่ามันอันตรายเกินไป”ลั่วชิงยวนถอนหายใจ “หายากจริง ๆ”นางเคยมีสนหิมะเขาฉีซานอยู่ในกล่องยาของนางมาก่อน แต่ตอนนั้นนางหาใบธารมรกตมิพบ ดังนั้นจึงมิเคยใช้ยานี้ตอนนี้มีใบธารมรกต แต่กลับไม่มีสนหิมะเขาฉีซานคิดแล้วก็ทำได้แค่ยอมแพ้แต่ซ่งเฉียนฉู่ก็เก็บใบธารมรกตไว้อย่างดีหลังจากที่ลั่วชิงยวนพักรักษาตัวมิกี่วัน ร่างกายฟื้นตัวขึ้นอย่างเห็นได้ชัด มิอ่อนแอเหมือนก่อนอีกต่อไปในวันนี้ จือเฉามาหานางที่ร้านอีกครั้งนำจดห
ร่างที่ไร้ศีรษะร่างหนึ่งถือกระบี่เดินเข้ามาหาลั่วชิงยวน โซ่เหล็กด้านหลังลากคนสามคนไว้แม้จะออกแรงสุดกำลังแล้วก็ยังฉุดรั้งโหยวจิ้งเฉิงไว้มิได้แต่ร่างของโหยวจิ้งเฉิงในตอนนี้ไม่มีศีรษะแล้ว ยากที่จะควบคุมร่างกายได้ลั่วชิงยวนถือกระบี่เงื้อฟันไปยังร่างของฝูเหมิ่ง เช่นเดียวกับตอนที่โหยวจิ้งเฉิงตัดแขนขาของอวี๋ตันเฟิ่งนางกำลังแก้แค้นและระบายความแค้นอย่างบ้าคลั่งตัดแขนของเขาขาดทีละข้างกระบี่ห้วงสวรรค์ร่วงลงสู่พื้นไปพร้อมกับแขนจากนั้นขาทั้งสองข้างของเขาก็ขาดกระเด็นอวี๋ตันเฟิ่งอาละวาดแก้แค้นอย่างบ้าคลั่งเมื่อมองไปยังซากศพที่กองอยู่บนพื้น ดวงตาของลั่วชิงยวนก็ราวกับถูกย้อมไปด้วยสีแดงฉานใต้หล้าเต็มไปด้วยกลิ่นคาวเลือดทั้งสามที่อยู่มิไกลต่างตกตะลึงมิเคยเห็นฉากที่นองเลือดเช่นนี้มาก่อนแต่ถึงแม้ร่างกายจะแหลกละเอียด โหยวจิ้งเฉิงก็ยังมิตายทันใดนั้นมีร่างหนึ่งพุ่งออกมาจากซากศพ แล้วลอยละลิ่วไปอวี๋ตันเฟิ่งกรีดร้องแหลม “โหยวจิ้งเฉิง เจ้าอย่าหวังว่าจะหนีไปไหนได้อีก! ข้าจะทำให้เจ้ามิได้ผุดได้เกิด!”พลังในร่างของนางพลันเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว เกิดเป็นลมพายุโหมกระหน่ำ ลั่วชิงยวนรู้สึกราว
ใบหน้านั้นบ่งบอกชัดเจนว่าเป็นโหยวจิ้งเฉิง“ต่อไปก็ถึงตาพวกเจ้าแล้ว” เขาเอ่ยด้วยเสียงแหบแห้งเย็นเยือกโฉวสือชีกำกระบี่ในมือแน่น ปกป้องคนใบ้และอวี๋โหรวไว้ส่วนลั่วชิงยวนค่อย ๆ ก้าวเท้าไปข้างหน้าในดวงตาค่อย ๆ ก่อเกิดจิตสังหารนางหลับตาลง แล้วกล่าวว่า “อวี๋ตันเฟิ่ง ไปแก้แค้นของเจ้าเถิด”ลั่วชิงยวนมอบร่างของตนให้อวี๋ตันเฟิ่งโดยสมบูรณ์เมื่อลืมตาขึ้นอีกครั้ง ใบหน้าของนางยังคงเป็นใบหน้าเดิม เพียงแต่แววตานั้นกลับดุดันยิ่งนัก ดวงตาสีแดงก่ำเต็มไปด้วยความแค้นเสียงของอวี๋ตันเฟิ่งดังขึ้น “โหยวจิ้งเฉิง ความแค้นระหว่างข้ากับเจ้า วันนี้ถึงคราวสะสางแล้ว”“สิบกว่าปีที่ผ่านมา ข้าคิดอยู่ตลอดเวลาว่าจะฉีกร่างเจ้าเป็นชิ้น ๆ อย่างไรถึงจะสาสมกับความแค้นในใจข้า”“แต่คาดมิถึงว่าเจ้าจะตายไปแล้ว”“แต่ก็มิเป็นไร วันนี้ข้าจะฉีกร่างเจ้าให้เป็นชิ้น ๆ ให้ได้!”เมื่อกล่าวจบ ลั่วชิงยวนก็กระโจนเข้าไปเสียงอาวุธปะทะกันอย่างรุนแรงดังขึ้นแต่ในเวลานี้เอง โหยวจิ้งเฉิงก็พุ่งไปยังกำแพง คว้ากระบี่ห้วงสวรรค์มาได้ จากนั้นกระโจนออกนอกห้องไปอวี๋ตันเฟิ่งรีบไล่ตามไปสีหน้าคนใบ้เปลี่ยนไป กระบี่ห้วงสวรรค์! หากฝูเหมิ่ง
ต่งอวิ๋นซิ่วตกใจจนหน้าซีดเผือด รีบยกมือขึ้นมาป้องกัน แล้วต่อสู้กับฝูเหมิ่งแต่พลังในตอนนี้ของต่งอวิ๋นซิ่วเทียบกับฝูเหมิ่งแล้วยังอ่อนแอกว่ามากนักสุดท้ายก็ถูกฝูเหมิ่งบีบคอไว้แน่นลั่วชิงยวนเห็นชัดเจนว่าในร่างของฝูเหมิ่งตอนนี้คือโหยวจิ้งเฉิง!เขาเป็นบ้าไปแล้วหรือ? เขาจะฆ่าต่งอวิ๋นซิ่วภรรยาของตนหรือ?เมื่อเห็นดังนั้น โหยวเซียงก็ชักกระบี่พุ่งเข้าไปหมายจะช่วยต่งอวิ๋นซิ่ว แต่ฝูเหมิ่งกลับมิหลบเลยแม้แต่น้อย ปล่อยให้กระบี่ในมือนางแทงทะลุร่างจากนั้นฝูเหมิ่งก็ฟาดมือไปทีหนึ่ง โหยวเซียงจึงกระเด็นปลิวไปโหยวเซียงกระอักเลือดออกมาต่งอวิ๋นซิ่วร้อนใจยิ่งนัก “เซียงเอ๋อร์ มิต้องสนใจแม่ รีบหนีไป!”โหยวเซียงจะทนมองดูมารดาของตนถูกฆ่าได้อย่างไร นางพยายามลุกขึ้นมาสู้ต่อแต่ฝูเหมิ่งกลับมองโหยวเซียงอย่างดุดัน แล้วกล่าวขู่ “คนที่ข้าต้องการฆ่ามีเพียงต่งอวิ๋นซิ่วเท่านั้น เจ้าจงหลีกไป”“มิเช่นนั้นอย่าหาว่าข้ามิเห็นแก่ความเป็นพ่อลูก”เมื่อได้ยินดังนั้น โหยวเซียงก็ตกใจจนยืนอึ้งไปกับที่ แล้วกล่าวเสียงสั่นเครือ “พ่อ… พ่อลูกหรือ?”ตอนนี้เสียงของฝูเหมิ่งก็มิใช่เสียงของฝูเหมิ่งอีกต่อไปแล้วเมื่อต่งอวิ๋นซิ่ว
ขณะนี้เอง โหยวเซียงก็ฉวยโอกาสหลบหนีจากมือของลั่วชิงยวนไปได้ต่งอวิ๋นซิ่วมองพวกเขาอย่างเย็นชา “ในเมื่อมาถึงที่นี่แล้วก็เตรียมตัวตายได้เลย!”ทันใดนั้นบนคานเรือนก็ปรากฏชายชุดดำจำนวนมากพร้อมถือหน้าไม้เล็งมาที่พวกเขาลูกดอกอันคมกริบประกายแสงเย็นลั่วชิงยวนยกยิ้มมุมปาก หัวเราะอย่างเย็นชา “ดูเหมือนว่าเจ้าจะเตรียมการมาอย่างดี ตอนนี้พวกข้าคงหนีออกจากห้องนี้ไปมิได้แล้วใช่หรือไม่?”ลั่วชิงยวนสังเกตประตูห้อง รวมถึงผนังห้องทุกด้าน แล้วพบว่ามีกลไกบนประตูเหนือศีรษะ ต่งอวิ๋นซิ่วหัวเราะเบา ๆ “แน่นอน นี่คือห้องกลไกที่สร้างขึ้นมาเพื่อรับมือพวกเจ้าที่บุกรุกเข้ามาบนเขา”“วันนี้พวกเจ้าอย่าหวังว่าจะได้ออกไปแม้แต่คนเดียว!”ลั่วชิงยวนจับกระบี่ห้วงสวรรค์แน่นแล้วพุ่งไปที่กลไกจุดหนึ่งบนผนังห้อง ฟาดฟันกระบี่ลงไปอย่างแรงต่งอวิ๋นซิ่วรีบดึงโหยวเซียงหลบหลีกไปแต่ใครเล่าจะรู้ว่าลั่วชิงยวนมิได้โจมตีพวกนาง แต่กลับฟันกลไกบนผนังห้องทำให้ประตูห้องลงกลอนอย่างสมบูรณ์เมื่อเห็นเช่นนั้น ต่งอวิ๋นซิ่วก็หัวเราะเยาะ “เจ้าช่างรนหาที่ตายยิ่งนัก”ลั่วชิงยวนยกยิ้มอย่างมีความหมาย “เช่นนั้นรึ? ยังมิรู้เลยว่าใครกันแน่ที่จะ
ร่างที่เดินออกมาจากฝูงชนนั้นมีท่าทางคุกคามยิ่งนักลั่วชิงยวนหรี่ตาลงเล็กน้อย นั่นคือสตรีที่นางเห็นในความทรงจำของอวี๋ตันเฟิ่งต่งอวิ๋นซิ่ว!โหยวเซียงดิ้นรนพลางเงยหน้ามองต่งอวิ๋นซิ่วด้วยดวงตาแดงก่ำ “ท่านแม่… เป็นความผิดของลูกเองที่ปล่อยให้พวกมันขึ้นเขามาได้”หากมิใช่เพราะลั่วชิงยวนรู้ทางลับของวัดร้างแห่งนั้น พวกนางคงไม่มีทางขึ้นเขามาได้ง่ายดายถึงเพียงนี้!ต่งอวิ๋นซิ่วมองด้วยความเจ็บปวดแล้วตวาดใส่ลั่วชิงยวน “ปล่อยลูกสาวข้าเดี๋ยวนี้! มิเช่นนั้นข้าจะทำให้พวกเจ้าตายเยี่ยงไร้ที่ฝัง!”ลั่วชิงยวนหัวเราะเบา ๆ แล้วพูดด้วยน้ำเสียงดูถูกเหยียดหยาม “เมื่อคืนยังพยายามทำลายวิญญาณที่เหลือของอวี๋ตันเฟิ่งอยู่เลย วันนี้เจ้าลืมไปแล้วหรือว่าศัตรูของเจ้าคือใคร?”“ใครกันแน่ที่จะตายแบบไร้ที่ฝัง ยังบอกมิได้หรอก”เมื่อได้ยินดังนั้น ต่งอวิ๋นซิ่วก็สะดุ้งเฮือก สีหน้าเปลี่ยนไปอย่างมากท่าทางของนางดูตึงเครียดขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัด แต่ก็ยังพยายามซ่อนไว้ได้ดีนางมองลั่วชิงยวนอย่างใจเย็น แล้วกล่าวว่า “ในเมื่อพวกเจ้ามาถึงเมืองแห่งภูตผี ก็คงต้องการของล้ำค่าของเมืองแห่งภูตผีสินะ”“พวกเจ้าอยากได้อะไร ข้าสามารถให้เจ
นางปฏิเสธอย่างหนักแน่นลั่วชิงยวนกลับยกยิ้มอย่างพึงพอใจแล้วค่อย ๆ ลุกขึ้น “พานางไปด้วย ไปวัดร้าง!”พวกเนางมุ่งหน้าไปทางทิศใต้ โหยวเซียงดิ้นรนตลอดทาง แต่โฉวสือชีและคนใบ้จ้องมองทุกการกระทำของนางอย่างใกล้ชิด มิเปิดโอกาสให้นางหลบหนีไปได้แม้แต่น้อยเมื่อเดินไปได้ไกลมากพอสมควร เสียงไก่ขันยามรุ่งอรุณก็ดังขึ้นแล้วในที่สุดพวกเขาก็มาถึงวัดร้างแห่งนั้นในวัดร้างมีพระพุทธรูปที่เป็นซากปรักหักพังล้มลงบนพื้น ดูเหมือนว่าที่นี่จะไม่มีใครมานานแล้วเมื่อมองหาอย่างละเอียดก็พบรอยเท้าบนพื้นลั่วชิงยวนมั่นใจยิ่งขึ้น นี่คือสถานที่ที่ถูกต้อง!โหยวเซียงจ้องมองทุกการกระทำของลั่วชิงยวนอย่างกระวนกระวาย เกรงว่าลั่วชิงยวนจะพบกลไกเข้าแต่ลั่วชิงยวนกลับสังเกตปฏิกิริยาของโหยวเซียง ค่อย ๆ เดินไปในแต่ละที่โดยอาศัยการสังเกตปฏิกิริยาโหยวเซียงสุดท้ายลั่วชิงยวนจึงเพ่งเล็งไปที่ผนังด้านหนึ่งแล้วเริ่มค้นหากลไกเสียงเปิดกลไกดังแกร๊กดังขึ้นประตูบานหนึ่งบนพื้นพลันเปิดออกหลังจากที่ลั่วชิงยวนเปิดประตูแล้วก็พบว่าด้านล่างยังมีประตูอีกบานหนึ่ง และบนนั้นก็มีกลไกเช่นกันแต่สำหรับลั่วชิงยวนแล้วเรื่องนี้ง่ายมากเมื่อประต
“เจ้ารีบอะไรนักหนา รอมาตั้งนานแล้ว รออีกสักหน่อยจะเป็นกระไร”เมื่อได้ยินดังนั้น อวี๋ตันเฟิ่งก็หยุดมือลั่วชิงยวนเดินเข้าไปคว้าตัวโหยวเซียงไว้ให้โฉวสือชีมัดนางไว้แน่นหนา จากนั้นจึงปลุกโหยวเซียงให้ฟื้นขึ้นมาเมื่อฟื้นคืนสติ โหยวเซียงก็จ้องหน้าลั่วชิงยวนเขม็งอย่างโกรธแค้น “เจ้ากล้าจับข้า เจ้าคอยดูเถอะว่าจะตายอย่างไร!”ลั่วชิงยวนย่อตัวลงนั่งตรงหน้านาง แล้วหัวเราะเบา ๆ “ใช่แล้ว ใครจะกล้าแตะต้องคุณหนูใหญ่เมืองแห่งภูตผีเล่า”“น่าเสียดาย เมืองแห่งภูตผีแห่งนี้ บิดามารดาของเจ้าไปปล้นเขามา มิใช่ของพวกเขามาแต่เดิม ย่อมมิใช่ของเจ้าเช่นกัน”“ถึงเวลาคืนเจ้าของตัวจริงแล้ว”โหยวเซียงจ้องเขม็งนางอย่างโกรธแค้น “เจ้าพูดจาเหลวไหลอะไร! เมืองแห่งภูตผีแห่งนี้เป็นของบิดามารดาข้ามาแต่เดิม!”เมื่อได้ยินดังนั้น ลั่วชิงยวนก็ประหลาดใจ “หรือว่าต่งอวิ๋นซิ่วมิได้บอกความจริงแก่เจ้า”“ก็ถูกแล้ว เรื่องน่าอับอายเช่นนี้ นางจะบอกลูกสาวได้อย่างไร”“เมืองแห่งภูตผีแห่งนี้มิใช่เพียงถูกบิดามารดาเจ้ายึดมาเท่านั้น แต่ยังใช้วิธีการที่น่ารังเกียจในการยึดครองด้วย!”“เดาว่าจนถึงตอนนี้เจ้าก็คงยังมิรู้เลยว่าศัตรูของเจ้าคือผ
โหยวเซียงกัดฟันพูดด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบลั่วชิงยวนมองไปที่อวี๋โหรว หลายวันมานี้อวี๋โหรวผอมซูบไปมาก“เจ้าจับตัวอวี๋โหรวมาเพื่อล่อข้ามาที่นี่รึ?”ลั่วชิงยวนหรี่ตามองโหยวเซียง“แต่เจ้ามิน่าจะมีความสามารถพอที่จะพาอวี๋โหรวออกจากวังหลวงไปได้”“เวินซินถงเป็นคนทำใช่หรือไม่?”“เจ้าทำข้อตกลงอะไรกับนางไว้?”โหยวเซียงหัวเราะเยาะ “อยากรู้รึ?”“คุกเข่าอ้อนวอนข้าสิ”“เจ้าอ้อนวอนข้า ข้าถึงจะบอกเจ้าว่าผู้ใดจับตัวอวี๋โหรวมา และผู้ใดร่วมมือกับข้าวางแผนให้เจ้ามาที่เมืองแห่งภูตผี”ลั่วชิงยวนมองท่าทีหยิ่งยโสของโหยวเซียงแล้วก็อดมิได้ที่จะหัวเราะเบา ๆ นางกวาดสายตามองไปรอบ ๆ แล้วถามว่า “ต่งอวิ๋นซิ่วมิมาด้วยรึ?”“เมื่อครู่นี้คนที่ต่อสู้กับข้าก็คือนางใช่หรือไม่?”เมื่อได้ยินน้ำเสียงเยาะเย้ยของลั่วชิงยวน โหยวเซียงก็โกรธจัด ในใจนางตกใจ ลั่วชิงยวนรู้แล้วหรือว่ามารดาของนางเป็นใคร“สารเลว!”นางบีบคออวี๋โหรวอย่างแรงเพื่อข่มขู่ลั่วชิงยวน “จะคุกเข่าหรือไม่?!”“ลั่วชิงยวน เจ้ามีโอกาสแค่ครั้งเดียว!”“หากเจ้ามิยอมคุกเข่ายอมจำนนแต่โดยดี ข้าจะหักคอนางเดี๋ยวนี้!”กล่าวจบ โหยวเซียงก็ออกแรงบีบบีบจนอวี๋โหรวหาย
ทันทีที่คนใบ้หันมาเห็นจึงรีบเข้ามาย่อตัวลงข้างนางแล้วช่วยประคองนางไว้ลั่วชิงยวนเช็ดเลือดที่มุมปาก ใบหน้าซีดเผือดกว่าเดิม“ข้ามิเป็นอะไร”นางเงยหน้าขึ้นมองอวี๋ตันเฟิ่งที่อยู่กลางอากาศ ในที่สุดจิตวิญญาณของนางก็สมบูรณ์แล้วบนใบหน้าซีดขาวนั้นปรากฏรอยยิ้ม รอยยิ้มนั้นทั้งพึงพอใจและเย่อหยิ่ง“ในที่สุดข้าก็ได้… เป็นอิสระแล้ว! ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า...”อวี๋ตันเฟิ่งหัวเราะลั่น ทำเอาป่าทั้งผืนเกิดพายุโหมกระหน่ำคนใบ้รีบยกมือขึ้นช่วยลั่วชิงยวนปัดป้องฝุ่นและใบไม้ที่ปลิวว่อน......จู่ ๆ ต่งอวิ๋นซิ่วก็กระอักเลือดออกมาเต็มปาก จากนั้นหมดสติล้มลงบนพื้น“ท่านแม่!”โหยวเซียงตกใจ รีบเข้าไปประคองนาง “ท่านแม่! ท่านแม่! ท่านเป็นอะไรไป!”หลังจากตะโกนเรียกอยู่นาน มารดาของนางก็มิฟื้นโหยวเซียงโกรธจนกัดฟันพูด “ลั่วชิงยวน สารเลว!”“เจ้าคอยดูเถอะ!”......ผ่านไปครู่ใหญ่ อวี๋ตันเฟิ่งถึงจะสงบสติอารมณ์ลงได้ลมพายุในป่าก็สงบลงเช่นกันถูหมิงที่อยู่ข้าง ๆ จึงค่อย ๆ ขยับเข้ามาใกล้ฉีเสวี่ยเวยที่ยังคงตกตะลึงมองภาพเหตุการณ์เมื่อครู่ด้วยความมิอยากเชื่อ “เมื่อกี้เกิดอะไรขึ้น?”“ต่อไปพวกเราต้องทำอะไร?”ลั่วชิงยวน