องค์หญิงแห่งแคว้นฉู่ งามล้ำประดุจเทพธิดา แต่ใคร ๆ ก็ขนานนามนางว่า “องค์หญิงปีศาจ” ! แม้แต่เขา.. แม่ทัพผู้ไร้พ่ายยังเห็นนางเป็นศัตรู ! เมื่อนางหลบหนีการแต่งงานเข้ามาในค่ายทหารของเขา เขาจึงจับนางเพื่อแก้แค้นอย่างสาสม !
View Moreณ เมืองหลวง แคว้นฉู่
สมัยราชวงศ์ ฉู่ ที่ 17 ฮ่องเต้ฉู่หลางทรงรักองค์หญิงฉู่ปิงหลินยิ่งนัก เพราะทรงเป็นธิดาเพียงองค์เดียวที่เกิดจากฮองเฮา และเป็นเพียงองค์เดียวแห่งแคว้นฉู่
ความรักของฮ่องเต้ที่มีต่อธิดามากมายนัก แม้กระทั่ง เมื่อฮองเฮาสิ้นชีพลงเมื่อ 10 ปีก่อน องค์หญิงฉู่ปิงหลินไม่ยอมให้ฮ่องเต้ทรงแต่งตั้งฮองเฮาคนใหม่ พระองค์ก็ทรงตามพระทัย ดังนั้น องค์หญิงฉู่ปิงหลินจึงครอบครองตำหนักหงส์ฟ้า ซึ่งตำหนักของฮองเฮามีอำนาจอยู่เหนือวังหลังตั้งแต่บัดนั้นมา
ยิ่งนานวันพระชันษาขององค์หญิงฉู่ปิงหลินยิ่งมากขึ้นจนกระทั่งอายุได้ 18 ชันษา นางยิ่งมีอำนาจมากขึ้นและเป็นที่กล่าวขานไปทั่วทั้งวังหลวงว่า
“องค์หญิงปีศาจ”
เนื่องด้วย องค์หญิงทรงสั่งทำโทษข้ารับใช้ไม่เว้นแต่ละวัน อีกทั้ง สนมนางในก็ถูกนางสั่งสอนเสียจนไม่กล้าเฉียดเข้าใกล้ตำหนักหงส์ฟ้า แม้เรื่องความร้ายกาจของนางจะลอยไปถึงหูของฮ่องเต้ แต่พระองค์ก็หลับตาเสียข้างหนึ่ง เพราะรู้สึกสงสารนางที่กำพร้ามารดาตั้งแต่ยังเล็ก จึงไม่มีใครคอยอบรมสั่งสอน ฮ่องเต้เอาใจนางเพื่อชดเชยที่พระองค์ไม่มีเวลาให้นาง
นอกจากนี้ องค์ชายรัชทายาทยังเป็นพี่แท้ ๆ ของนาง จึงทำให้ไม่มีผู้ใดกล้าแตะต้ององค์หญิงฉู่ปิงหลินให้ระคายเคืองพระทัย แลอาภรณ์ เครื่องประดับและเครื่องเสวยล้วนต้องเป็นสิ่งของขึ้นชื่ออันดับหนึ่งที่นำมาถวายแก่องค์หญิง
หลังจากที่องค์หญิงปิงหลินตื่นบรรทมแล้ว นางกำนัลก็คอยปรนนิบัติองค์หญิงตั้งแต่หัวจรดเท้า สรงน้ำ สวมอาภรณ์ที่ทอมาจากเส้นไหมชนิดพิเศษ ปักลายวิจิตรงดงาม บนศีรษะประดับด้วยปิ่นทองคำประดับมุข มีระย้าลงมาระยิบระยับ
แต่งองค์เสร็จสรรพนางกำนัลก็ประคองมาที่โต๊ะเสวย มีอาหารทั้งคาวหวานนับ 10 อย่างซึ่งล้วนทำจากพ่อครัวฝีมือชั้นเลิศ บรรจุอยู่ในภาชนะทองคำทั้งสิ้น
องค์หญิงปิงหลินกรีดนิ้วเรียวงามหยิบตะเกียบทองคำทองขึ้นมา แต่แล้วนางก็ชะงักค้างกลางอากาศ คิ้วโก่งสวยย่นเข้าหากัน พร้อมกับดวงตาหงส์ที่รีลงครึ่งหนึ่งขณะที่จับจ้องสิ่งแปลกปลอมในจานเครื่องเสวย
นางกำนัลที่ยืนคอยรับใช้อยู่ข้าง ๆ ถึงกับกลั้นลมหายใจ หัวใจเต้นระส่ำเกรงว่าฟ้าคงจะพิโรธลงมา
ปัง !
องค์หญิงปิงหลินกระแทกตะเกียบลงพื้นโต๊ะเต็มแรง นางกำนัลถึงกับเข่าทรุด รีบคุกเข่าหมอบลงตัวสั่นงันงก“นำตัวคนที่ทำอาหารมาเดี๋ยวนี้ !”
องค์หญิงปิงหลินตวาดออกมา
“เพคะ”
นางกำนัลผู้หนึ่งรับคำ แล้วรีบสาวเท้าออกไปเรียกพ่อครัวที่ทำเครื่องเสวยมื้อนี้เข้ามา
ไม่นานนักพ่อครัวตัวอ้วนก็เข้ามาคุกเข่า ตัวสั่นงก ๆ จนไขมันกระเพื่อมเบื้องพระพักตร์องค์หญิงปิงหลิน
เคว้ง !
จานทองคำตกกระทบลงพื้นอาหารหกเลอะเทอะเกลื่อนกลาด
นางกำนัลก้มหน้าลง บีบมือแน่น ในขณะที่พ่อครัวหมอบลงจนแทบติดพื้น หยาดเหงื่อผุดขึ้นเต็มใบหน้าด้วยความหวาดกลัว เพราะเขาได้ยินคำเล่าลือมานานแล้วว่า ผู้อยู่เบื้องหน้า คือ องค์หญิงปีศาจ หากใครไม่อยากอายุสั้น อย่าหาเรื่องให้เคืองพระทัยเป็นอันขาด เขาจึงทำอาหารอย่างระมัดระวังเป็นพิเศษนึกไม่ถึงว่าวันนี้ชะตาเขาจะขาดเสียแล้ว
“ดูซะให้เต็มตา ทำไมอาหารที่เจ้าทำถึงได้มีเส้นผมปะปน สกปรกที่สุด !”
องค์หญิงปิงหลินขึ้นเสียงสูงอย่างเกรี้ยวกราด พร้อมกับชี้นิ้วไปที่อาหารบนพื้น
“องค์หญิง ข้าน้อยผิดไปแล้ว โปรดไว้ชีวิตกระหม่อมด้วย”
พ่อครัวตัวอ้วนโขกหัวลงพื้นเต็มแรง ไม่กล้าเงยหน้าตรวจสอบดูด้วยซ้ำว่ามีเส้นผมจริงหรือไม่ เพราะผู้ที่อยู่เบื้องหน้าเปรียบเสมือนเจ้าชีวิต หากนางเอ่ยเช่นไร มีหรือเขาจะกล้าเห็นเป็นอย่างอื่น
“ให้อภัยรึ ? เจ้าเป็นพ่อครัวในวังหลวงมากว่าสิบปีแล้วมิใช่รึ แค่เรื่องรักษาความสะอาดยังทำไม่ได้ ก็อย่าหวังว่าจะได้อยู่ในวังต่อไปอีกเลย ทหารจับมันไปโบยห้าสิบที แล้วโยนออกนอกตำหนัก”
สิ้นคำ ทหารองครักษ์ที่ยืนรักษาการอยู่หน้าประตูก็วิ่งเข้ามาลากพ่อครัวออกไปลงโทษ
“องค์หญิงโปรดเมตตา กระหม่อมไม่อยากถูกโบย องค์หญิง......”
พ่อครัวถูกลากตัวออกไปพร้อมกับเสียงร้องโหยหวน ในขณะที่นางกำนัลรีบเก็บกวาดอาหารที่องค์หญิงทรงขว้างลงพื้นเพื่อระบายโทสะเมื่อสักครู่
“ไปนำอาหารชุดใหม่มาให้ข้า อาหารพวกนี้เก็บออกไปให้หมด !”
องค์หญิงปิงหลินสั่งนางกำนัลด้วยความหงุดหงิดเพราะความหิวกำลังโจมตีกระเพาะน้อย ๆ ของนางอย่างหนักหน่วง แต่จะให้ฝืนใจกินอาหารที่ไม่สะอาด นางก็กลืนไม่ลง
“องค์หญิง เดี๋ยวหม่อมฉันจะไปเอานมถั่วเหลืองมาให้ดื่มรองท้องนะเพคะ”
ชิงชิง นางกำนัลข้างกายที่รู้ใจที่สุด รีบเอ่ยขึ้น เมื่อองค์หญิงทรงพยักหน้า นางก็รีบไปยังห้องเครื่องทันที
ขณะที่ชิงชิงเดินเข้าใกล้ห้องเครื่องซึ่งเป็นโรงครัวสำหรับปรุงอาหารให้แก่องค์หญิงนั้น เหล่าพ่อครัว แม่ครัวต่างวิพากษ์วิจารณ์เหตุการณ์เมื่อครู่อย่างออกรสออกชาติ
“สั่งโบยคนแก่ตั้ง 50 ที ไม่ใช่คนแล้ว”
“ก็นางไม่ใช่คน เป็นปีศาจชัด ๆ”
“สั่งลงโทษไม่เว้นแต่ละวัน ใจร้ายที่สุด”
ชิงชิงถลึงตามองพวกเขาอย่างไม่พอใจ พร้อมกับตวาดขึ้น
“นี่พวกเจ้าช่างบังอาจนัก กล้านินทาองค์หญิงลับหลังรึ !”
ผู้ที่จับกลุ่มกันสนทนาเมื่อครู่ต่างแตกตื่นรีบกลับไปทำหน้าที่ของตนอย่างว่องไว และทำราวกับว่าเมื่อครู่ไม่ได้กระทำการใดเมื่อเห็นว่าแต่ละคนไม่กล้าส่งเสียงอีกชิงชิงออกคำสั่งว่า
“ทำเครื่องเสวยใหม่ให้องค์หญิง และนำนมถั่วเหลืองขึ้นไปถวายด้วย”
ทุกคนต่างทราบดีว่าในตำหนักแห่งนี้ผู้ที่มีอำนาจรองจากองค์หญิงก็คือนาง
ณ ประตูประจิมยามเหมา....ช่วงเวลานี้ ที่ประตูประจิมพ่อค้าจากตลาดสดจะนำผักผลไม้สดมาส่งที่วังหลวง ด้วยเหตุนี้ จึงมีคนงานในโรงครัวเดินเข้าเดินออกสำรวจสิ่งของ และขนผักผลไม้อยู่ตลอดเวลาองค์หญิงเหยียนชิงจึงแฝงตัวเข้าไปในกลุ่มบ่าวรับใช้เพื่อไม่ให้ทหารยามซึ่งเฝ้าประตูจับนางได้วันนี้ ทหารมีเพียงแค่ 2 นายเท่านั้น เพราะกำลังทหารรักษาวังหลวงถูกเรียกตัวให้ไปรักษาความปลอดภัยในพระราชพิธีส่งเจ้าสาวขึ้นเกี้ยวที่ลานหน้าพระที่นั่งเมื่อองค์หญิงเหยียนชิงก้าวพ้นเขตประตูวังหลวง นางก็เดินตรงไปยังรถม้าที่จอดนิ่งอยู่ในมุมค่อนข้างลับตา บนรถม้ามีบุรุษรูปร่างสูงใหญ่ สวมอาภรณ์สีดำตลอดทั้งตัว อีกทั้ง ยังสวมหมวกที่มีผ้าโปร่งอำพรางใบหน้าเอาไว้“นี่ท่าน.... ท่านใช่คนขับรถม้าของเหมยชิงหรือไม่”นางส่งเสียงถามออกไปเบา ๆ ดวงตายังคงมองซ้ายแลขวาอย่างระแวดระวัง กลัวว่าจะมีข้ารับใช้จำนางได้บุรุษชุดดำบนรถม้าส่งเสียงตอบรับ “อืม”ดวงตาคมกริบภายใต้ผ้าโปร่งสีดำมองหญิงสาวอย่างพิจารณา แม้ว่านางจะสวมชุดข้ารับใช้ อีกทั้ง ยังใช้ผ้าปกปิดใบหน้าจนเห็นเพียงแค่ดวงตา แต่ความงามของนางกลับฉายชัดออกมาจนยากจะปิดบัง“หากใช่ ก็รีบไปกันเถิด อย
ปลายยามอิ๋นช่วงเวลานี้ หากเป็นยามปกติ องค์หญิงชิงอี้คงยังมุดอยู่ภายใต้ผ้าห่ม ซุกไซ้ตัวกับเตียงนุ่ม ๆ ในห้องบรรทมแต่วันนี้นางกลับต้องลุกขึ้นผลัดเปลี่ยนอาภรณ์ สวมมงกุฎหงส์แห่งแคว้นเป่ย เพื่อขึ้นเกี้ยวเจ้าสาวแทนพี่สาวต่างมารดา“น้องชิงชิง ขอบใจเจ้ามาก บุญคุณครั้งนี้ข้าจะไม่ลืมเลย”องค์หญิงเหยียนชิง กอบกุมมือขององค์หญิงชิงอี้เอาไว้ นางมองน้องสาวในชุดเจ้าสาวสีแดงด้วยใบหน้าเศร้าหมอง ดวงตาแดงก่ำ“ท่านพี่ อย่าทรงกันแสงสิเพคะ น้องไม่ได้ถูกส่งไปประหารเสียหน่อย น้องแค่ไปอภิเษกแทนท่านพี่ก็เท่านั้น”องค์หญิงชิงอี้ยังคงยิ้มทะเล้นให้พี่สาว นางกับองค์หญิงเหยียนชิงอายุห่างกันเพียงหนึ่งพรรษาจึงสนิทกันมากองค์หญิงเหยียนชิงลูบมือน้องสาวเบา ๆ “ข้าก็หวังว่าองค์ชายรัชทายาทแคว้นหนานจะดีต่อเจ้า”นางรู้สึกว่าชิงอี้ยังเด็กนัก และคงไม่รู้ความหมายของการแต่งงาน ว่ามันคือ ทั้งชีวิตของสตรี หากพบพานกับสามีไม่ดี ก็เท่ากับตกนรกทั้งเป็นเมื่อหลายวันก่อน ฮ่องงเต้ทรงมีรับสั่งว่าจะส่งตัวองค์หญิงเหยียนชิงไปอภิเษกกับองค์ชายรัชทายาทแคว้นหนานเพื่อเชื่อมสัมพันธไมตรีนางทราบข่าวเช่นนั้น ก็รู้สึกทุกข์ใจเป็นอย่างยิ่งที่ต้องแต่งง
หลินหลินรีบลุกขึ้นด้วยความดีใจ แต่เพราะร่างกายยังไม่หายดี นางจึงโงนเงน หยางจงจึงรีบสะอึกเข้ามาประคองร่างของนางเอาไว้ได้ทัน“หลินหลิน เจ้าระวังหน่อยสิ เจ้าเพิ่งฟื้นจากความตายมานะ จะแกล้งให้พ่อเสียใจอีกรอบหรือไง”ฮ่องเต้ส่งเสียงดุด้วยความห่วงใย“ลูกคิดถึงท่านพ่อ”หลินหลินน้ำตารื้นขึ้นมา“ลูกพ่อ เจ้าจะออกเรือนอยู่แล้วยังร้องหาพ่อเหมือนเด็ก ๆ ไปได้”ฮ่องเต้เอื้อมมือออกไปเกลี่ยน้ำตาบนแก้มเนียนออกอย่างรักใคร่เอ็นดู“เชิญนายท่าน นั่งก่อน”หยางจงผายมือเชื้อเชิญทุกคนในฐานะเจ้าของบ้าน วันนี้ไม่มีฮ่องเต้ ไม่มีองค์หญิง หรือแม่ทัพ มีเพียงคนในครอบครัวกันเมื่อนั่งลงแล้ว ฮ่องเต้จึงเอ่ยขึ้นว่า“เห็นหยางจงดูแลเจ้าอย่างดี ข้าเองก็สบายใจ เขาเป็นบุรุษองอาจกล้าหาญที่เจ้าจะฝากชีวิตให้เขาดูแลได้”“ท่านพ่อเอ่ยเช่นนี้หมายความว่า.....”หลินหลินเอ่ยแผ่วเบา ความดีใจนั้นทำให้นางไม่กล้าแม้จะเอ่ยให้จบประโยค เพราะกลัวว่าจะผิดหวังอีกครั้ง“หมายความว่า ถ้าหยางจงยอมสละตำแหน่งแม่ทัพ แล้วมาเป็นผู้อำนวยการโรงเรียนการทหาร พ่อก็จะยกเจ้าให้เขา”ฮ่องเต้ต่อประโยคให้ เรื่องนี้เขาได้คิดมาหลายวันแล้ว เขาไม่อยากทำลายความสุขของลูกส
หยางจงได้ยินดังนั้น หัวใจเขาแทบจะสลายลงไป มองไปยังใบหน้าหญิงอันเป็นที่รัก ซึ่งบัดนี้ซีดขาวราวกับซากศพ ลมหายใจรวยรินยิ่งนัก เขาจะปล่อยให้นางตายไม่ได้“หมอหลวง ไม่มีทางอื่นอีกแล้วรึ ไม่ว่าจะใช้วิธีไหน ข้าก็พร้อมจะทำเพื่อช่วยนาง”เขาเอ่ยเสียงเครือ ปล่อยมือจากเสื้อของหมอหลวง ค่อย ๆ ถอยออกไปทรุดตัวลงนั่งข้างเตียงองค์หญิงปิงหลินเช่นเดิมหมอหลวงเห็นเช่นนั้นแล้วจึงตัดสินใจเอ่ยขึ้นว่า“หากไม่มียาถอนพิษ มีอีกหนึ่งวิธีที่จะสามารถขับพิษออกจากร่างกายได้”ดวงตาของหยางจงเบิกโพล่งขึ้น ถลาเข้าจับไหล่ทั้งสองข้างของหมอหลวงเขย่า แล้วเอ่ยว่า“รีบบอกมา ต้องทำอย่างไรถึงจะช่วยองค์หญิงได้”“ใช้เลือดถ่ายเลือด”“เลือดถ่ายเลือด”หยางจงชะงักค้าง ฮ่องเต้ที่นั่งอยู่ขมวดคิ้วด้วยความสงสัย หมอหลวงจึงรีบอธิบายว่า“วิธีเลือดถ่ายเลือดนี้ คือ การนำเลือดดีของอีกคนหนึ่งเข้าสู่ร่างกายของคนที่ถูกพิษ จากนั้นก็รีดเอาเลือดที่มีพิษออก ซึ่งเป็นวิธีที่ข้าศึกษาในตำราโบราณแต่ยังไม่ได้ทดลองใช้จริง เกรงว่าจะมีโอกาสถึงแก่ชีวิตทั้งคู่”“ข้ายอม ! รีบถ่ายเลือดของข้าให้องค์หญิงเร็วเข้าเถอะ ก่อนที่พิษจะแพร่กระจายเข้าสู่อวัยวะสำคัญ”หยางจงรีบ
“เจ้าพูดเหลวไหลอะไร สารภาพอะไร ขอโทษอะไร ข้าไม่เข้าใจ”เหยากุ้ยเฟยหน้าซีดขาว ตวาดเสียงสั่น นักพรตผู้นี้สื่อสารกับวิญญาณได้จริง ๆ รึ“ข้าก็ไม่ทราบ แต่วิญญาณที่ยืนอยู่ตรงนี้กล่าวเช่นนั้น”นักพรตใช้แส้ชี้ไปที่เสาข้างเตียงบรรทมของกุ้ยเฟยสนมกุ้ยเฟยถึงกลับผงะโผ่เข้ากอดนางกำนัลคนสนิทด้วยความหวาดกลัว ละล่ำละลักถามว่า“วิญญาณขององค์หญิงปีศาจยืนอยู่ที่นี่รึ”“ข้ามิทราบว่านางเป็นผู้ใด แต่วิญญาณตนนี้อาฆาตท่านนัก แล้วพูดย้ำ ๆ ว่า ...สารภาพออกมา... ...สารภาพออกมา... ...สารภาพออกมา...”กรี๊ดดดดดดดดดดดสนมกุ้ยเฟยกรีดร้องออกมาราวกับคนเสียสติ ในหูนางเหมือนได้ยินเสียงเย็นยะเยือกกล่าวเช่นนั้นจริง ๆ ปากของนางจึงรีบเอ่ยขึ้นว่า“ขะ ข้าสารภาพแล้ว ข้าสารภาพแล้ว ข้าเป็นคนสั่งให้นางกำนัลนำพิษไปใส่ไว้ในอาหารขององค์หญิงปิงหลิน เพราะข้าอยากให้นางตาย เพื่อใส่ร้ายหวงกุ้ยเฟย ฮือ ๆ ข้าสารภาพแล้ว อย่าหลอกหลอนข้าอีกเลย”ปัง !ประตูห้องบรรทมถูกผลักออกเต็มแรง ผู้ที่ปรากฏกายขึ้นระหว่างช่องประตูนั้นสวมอาภรณ์สีทองลายมังกร ใบหน้าเคร่งขรึม ขบกรามแน่นจนขึ้นเป็นสัน“ฝะ ฝ่าบาท”เหยากุ้ยเฟยอุทานออกมาอย่างแผ่วเบา ถึงกับทรุดตัวลงบ
“เอ๊ะ นางกำนัลของสนมกุ้ยเฟย ทำไมมาแย่งของที่ข้าให้แก่เด็ก ๆ เหล่านี้ด้วยเล่า”หัวหน้าแม่ครัวเอ่ยขึ้นอย่างไม่พอใจ“ทำไม ข้าจะยึดของต้องห้ามเหล่านี้ เจ้ามีปัญหาอะไรไหม ? ที่สำคัญเมื่อครู่ข้าได้ยินเจ้าสนทนากันกล่าวถึงองค์หญิงปิงหลินในทางเสียหาย หากข้านำไปทูลพระสนมกุ้ยเฟยเรื่องต้องถึงหูฝ่าบาทแน่ ๆ ต่อให้พวกเจ้ามีสิบหัวก็ไม่พอให้ตัด !” นางกำนัลของสนมกุ้ยเฟยข่มขู่ นางกำนัลเล็ก ๆ เหล่านั้นจึงได้แต่เงียบเสียง ส่วนหัวหน้าแม่ครัวก็ได้แต่กัดฟันข่มอารมณ์ เพราะตำแหน่งของนางไม่มีเจ้านายคุ้มหัวเหมือนตำแหน่งของนางกำนัลข้างกายสนม“ในเมื่อไม่มีผู้ใดกล่าวอันใด ก็แสดงว่ายอมรับ ของนี่ข้าจะเอาไปทำลายเอง พวกเจ้าไปทำงานได้แล้ว”นางสั่งเสียงเขียวเมื่อทุกคนแยกย้ายกันไปหมดแล้ว นางกำนัลผู้นั้นจึงเร่งฝีเท้ากลับไปยังตำหนักกุ้ยเฟย“พระสนมกุ้ยเฟยเพคะ”นางกำนัลคนสนิทยอบตัวลง พลางส่งสายตาให้นายตนเองคล้ายกับมีเรื่องสำคัญกลับมารายงาน เมื่อเหยากุ้ยเฟยเห็นท่าทีเช่นนั้นจึงเอ่ยกับข้ารับใช้ที่อยู่ในตำหนักว่า“พวกเจ้าออกไปก่อน”ทันทีที่ข้ารับใช้คนสุดท้ายก้าวพ้นประตูออกไป นางกำนัลคนสนิทก็รีบไปปิดประตูลงแล้วกลับมารายงานต่อส
Comments