เปิดประตูทำการค้า สิ่งต้องห้ามที่สุดก็คือคนที่ทุบหม้อข้าวตัวเอง แม่เล้าไม่เคยปฏิบัติต่อเหล่าหญิงสาวที่อยู่ใต้อาณัติเหล่านี้เหมือนเป็นมนุษย์เลยเรื่องในวันนี้ไม่ว่าจะใช่ฝีมือของเด็กสาวคนนี้หรือไม่ ก็จะต้องหาข้ออ้างที่เรียกว่าเป็นการระบายอารมณ์ให้กับพวกลูกค้า มิเช่นนั้น ต่อไปหออี้หงนี้ใครยังจะกล้ามาอีก?สาวน้อยตกใจจนขวัญหนีดีฝ่อ ถูกกระชากจนเสียหลัก คุกเข่าตัวสั่นอยู่บนพื้นพลางส่ายหน้า ตกใจจนพูดไม่ออกแม่เล้าเห็นท่าทีที่ไร้ประโยชน์ของนาง ก็ใช้มือซ้ายและมือขวาตบหน้านางไปสองครั้งอย่างไม่สบอารมณ์ ขณะที่กำลังคิดจะสั่งสอนต่อ จู่ ๆ ด้านข้างก็ไม่รู้ว่าใครตะโกนขึ้นมาดังลั่น “แย่แล้ว ไฟไหม้แล้ว! ไฟไหม้แล้ว!” ไฟไหม้หรือ?!ทันทีที่แม่เล้าเงยหน้าขึ้นมอง ห้องหนึ่งในชั้นสองก็มีควันหนาพวยพุ่งออกมาจริง ๆ แสงไฟราวกับจะพุ่งขึ้นไปบนฟ้า ทำเอาตกใจไปชั่วขณะหนึ่ง นางไม่มีเวลามาสนใจที่จะสั่งสอนหญิงสาวอีกต่อไป เดินจ้ำอ้าวไปเรียกอันธพานทันที “ยังยืนโง่อยู่ทำไม? ช่วยดับไฟสิ!”เพียงแต่ไฟนี้ดับง่ายเสียที่ไหน?ไม่นาน ไฟก็ลุกโชนขึ้นเรื่อย ๆ ควันหนาราวกับเสือที่ดุร้ายก็มิปาน และไม่นานก็ปกคลุมไปทั่วหออี้หงเวลาน
ทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วมาก แต่ก็เพียงพอให้หงเสี่ยวตั้งสติได้ นางแทบจะยกมือขึ้นและดึงตัวสาวใช้ที่อยู่ด้านข้างของตนเอง เพื่อมาขวางอยู่ด้านหน้าตนเองในทันทีและลูกธนูดอกที่สอง ก็ถูกไหล่ของสาวใช้คนนี้เข้าอย่างจังมีคนลอบฆ่า!หงเสี่ยวรีบสั่งพวกอันธพาลในทันที “โง่หรืออย่างไร? ยังไม่รีบไปดับตะเกียงกันอีก!”จุดตะเกียงในยามค่ำคืน ยังกลัวว่าจะตายไม่เร็วพออีกหรือ?!ชั่วพริบตาโคมไฟก็ถูกโยนออกไปทั้งหมดแล้ว หงเสี่ยวกลิ้งไปบนพื้น และซ่อนตัวอยู่หลังต้นไทรที่สูงใหญ่ด้วยสีหน้าเคร่งขรึม อันธพาลหลายคนที่ตามนางมาโดยตลอดล้อมนางไว้ ต่างก็ตั้งตัวไม่ทัน “นายหญิง นี่มันเกิดอะไรขึ้น?”หงเสี่ยวสีหน้าดูย่ำแย่อย่างมาก “ไฟไหม้ตรงหน้าเห็นทีจะไม่ใช่อุบัติเหตุเสียแล้ว คงมีคนตั้งใจเข้ามาหาเรื่อง”สีหน้าของนางอึมครึมจนเหมือนจะหยดน้ำออกมาได้พวกอันธพาลที่เป็นสมุนต่างก็งุนงงอย่างยิ่ง “นายหญิง ใครช่างกล้าเช่นนี้?!”“หออี้หงของพวกเราเปิดมานานหลายปีแล้ว แต่ยังไม่เคยมีใครกล้าล้วงคองูเห่าเลย!”ใช่แล้ว คนที่หยิ่งผยองยิ่มมีต้นทุนของการหยิ่งผยองอยู่เสมอที่หออี้หงสามารถซื้อขายครอบครัวสุจริตอย่างกำเริบเสิบสานเช่นนี้ได้ ไม่
ครุ่นคิดถึงเรื่องนี้ ในใจนางก็เต็มไปด้วยความเคียดแค้น ดึงปิ่นปักผมที่อยู่บนศีรษะออก และกรีดลงไปบริเวณข้อเท้าอย่างแรงแต่การเคลื่อนไหวของคนคนนั้นรวดเร็วเช่นกัน และแทบจะปล่อยมือในชั่วพริบตา จนนางควบคุมตนเองไม่ได้และตกลงมาจากกำแพงอย่างแรงแต่ถึงจะเป็นเช่นนี้ นางก็ได้โอกาส พลิกตัวพุ่งขึ้นมาในทันที จากนั้นก็กลับตัวเป็นฝ่ายรุกและล้มคนคนนั้นลงนางล้มคนลงอยู่ใต้ร่าง จับปิ่นปักผมไว้แน่นไม่คิดอะไรก็แทงลงไปอย่างแรงแต่นางไม่อาจแทงลงไปได้อย่างราบรื่น เพราะการเคลื่อนไหวของคนคนนั้นเร็วกว่า และใช้แรงบิดข้อศอกของนาง ทำให้ข้อศอกขวาของนางทั้งชาและทั้งเจ็บปวดในทันที จนทั้งแขนไม่มีแรงโอกาสหายวับในพริบตาชีหยวนยิ้มอยู่ในที่มืดเล็กน้อย พลิกตัวและกดหงเสี่ยวลงใต้ร่างอีกครั้ง พลางยิ้มอย่างสบายใจ “ตัวจานเหวินฮุยเองราวกับเป็นลูกไก่ที่อ่อนแอ คิดไม่ถึงว่าจะมีคนรักที่โหดเหี้ยมถึงเพียงนี้”หงเสี่ยวดิ้นรนด้วยความโกรธแค้น “เจ้าเป็นใคร?!”“คิดไม่ถึงว่าเจ้าจะไม่รู้ว่าข้าเป็นใคร?” ชีหยวนค่อย ๆ จับลำคอของนางอย่างช้า ๆ และจ้องไปที่ดวงตาของนางราวกับงูพิษที่เย็นชาตัวหนึ่ง “ตอนนั้นจานเหวินฮุยยังคาดเดาสถานะของข้าได้ใน
ชีหยวนยื่นมือไปรับผ้าเช็ดหน้าไว้ ก่อนจะค่อย ๆ เช็ดผงยาที่เปื้อนในดวงตาออกทีละน้อย ตอนแรกเซียวอวิ๋นถิงยังดูสงบและผ่อนคลาย กระทั่งชีหยวนเงียบไปไม่ส่งเสียง เขาก็เริ่มกระวนกระวายเหมือนนั่งอยู่บนพรมหนาม เคราะห์ดีที่ในเรือนมีบ่อน้ำ เขาจึงรีบสืบเท้าเดินไปหน้าบ่อน้ำและตักน้ำขึ้นมาชุบผ้าเช็ดหน้า ก่อนจะรั้งชีหยวนที่กำลังจะเดินออกไปแล้วไว้ ชีหยวนเหลียวกลับมามองเขาด้วยสีหน้าไม่เข้าใจเล็กน้อย เพราะผงยาบนใบหน้ายังมิได้เช็ดออกให้สะอาดหมดจดดี สายตาของนางจึงค่อนข้างพร่าเลือน ปวดแสบตรงหางตายิ่งนัก บัดนี้เกือบทั้งใบหน้ากลายเป็นสีแดงไปหมดแล้ว เซียวอวิ๋นถิงยังคิดจะเอ่ยวาจายียวนหยอกล้ออยู่ในตอนแรก ครั้นถูกนางจ้องมอง ฉับพลันทันใดนั้นคำพูดก็หายไปหมด ดรุณีผู้นี้ ต้องผ่านความลำบากมาเท่าใดกัน ถึงได้ถูกหล่อหลอมให้กลายเป็นคนแข็งแกร่งไร้เทียมทานได้ถึงเพียงนี้? ผงยาอันนั้น แค่เขาได้กลิ่นจากที่ไกล ๆ ยังรู้สึกฉุน แต่ชีหยวนถูกป้ายดวงตาแบบนั้น นางกลับไม่ส่งเสียงโวยวายออกมา ไม่เคยแม้แต่จะร้องตะโกนออกมาว่าเจ็บเสียด้วยซ้ำไป เขาเงียบขรึมไปครู่หนึ่ง “เจ้ายังเช็ดผงยานี้ออกไม่สะอาด จะไปสังหารผู้ใดได้หรือ?” เขาเ
มิใช่ว่านางเป็นคนดีอะไรนัก แต่ในเมื่อได้พบกันแล้ว จะให้มองคนตายไปเฉย ๆ โดยไม่ช่วยเหลืออะไรเลยก็คงไม่ได้ คนที่นางต้องฆ่าให้ตายล้วนมีแต่คนที่ต้องการทำร้ายนาง ทว่านั่นก็มิได้หมายความว่านางจะเป็นนางปีศาจเลือดเย็นไร้ความเมตตาที่คิดแต่จะสังหารผู้คน สวรรค์เบื้องบนมีเมตตา ในเมื่อให้นางได้เกิดใหม่อีกครา ย่อมรู้จักทำความดีสะสมบุญกุศล แน่นอนว่า อริศัตรูล้วนเป็นข้อยกเว้น ชิงเถาตอบรับพร้อมคำขอบคุณนับหมื่นนับพันครั้ง ชีหยวนก็สั่งให้คนที่ไว้ใจได้พาตัวชิงเถาไปส่งที่เรือนพำนักนอกเมืองของสกุลชีที่เขตชานเมืองหลวง เมื่อเสร็จสิ้นทุกอย่างนี้ ท้องฟ้าก็สว่างแล้ว ไป๋จื่อก่อนหน้านี้ถูกลิ่วจินพาตัวออกไป ไม่ยอมหลับตาตลอดทาง เพราะกลัวว่าเพียงพริบตาเดียวอาจเกิดเรื่องไม่คาดฝันขึ้นกับชีหยวน คอยจนกระทั่งชีหยวนกลับมาแล้ว ก็กลั้นไม่ไหวร้องไห้โฮออกมาทันใด ชีหยวนตบไหล่นางอย่างเอ็นดูปนขำ ยิ้มพลางเอ่ยว่า “วางใจเถิด มีท่านอ๋องอยู่ด้วยแล้ว ไม่มีทางเกิดเรื่องอะไรขึ้นได้หรอก” เซียวอวิ๋นถิงอดไม่ได้แอบส่งเสียงเฮอะอยู่ในใจ เขาเองก็ยังมองไม่เห็นว่าตนเองมีความสำคัญอะไรในสายตานาง ทว่าในยามนี้เขาก็มิได้มีเวลามา
ชีเจิ้นถอนหายใจออกมา และทิ้งตัวนั่งลงบนเก้าอี้ไปอย่างห่อเหี่ยว นวดขมับตนเองด้วยความเหนื่อยล้าพลางเอ่ยว่า “ท่านพ่อ นางพิเศษลูกเองก็ทราบดี เพียงแต่…” ประโยคอีกครึ่งที่เหลือเขามิได้เอ่ยจนจบ ทว่าพ่อลูกสองคนรู้ดีว่าหมายความว่าอะไร ว่าพิเศษก็พิเศษ แต่นั่นก็ออกจะพิเศษเกินไปหน่อย ไม่รู้เลยว่าควรจะรับมือด้วยอย่างไรดี ดรุณีในตระกูลบุญหนักศักดิ์ใหญ่คนหนึ่งซึ่งมีความคิดเป็นของตนเอง มีความสามารถ แต่กลับไม่สอดคล้องกับมาตรฐานสังคม ยิ่งไปกว่านั้นยังไม่ถูกควบคุม ค่อนข้างทำให้คนไม่รู้จะจัดการด้วยอย่างไร โหวผู้เฒ่าคิดจะเอ่ยบางอย่าง ทว่าหลิวจงวิ่งเข้ามาจากด้านนอกเพื่อรายงานว่า ชีหยวนบัดนี้กลับมาถึงแล้ว ชีเจิ้นลุกพรวดขึ้นมาทันที ไฟโทสะที่ข่มลงไปได้ก่อนหน้านี้เสี้ยวพริบตาเดียวก็กลับมาลุกโชนขึ้นอีกครั้งแล้ว เขาดึงสีหน้าเคร่งขรึมคอยให้ชีหยวนเข้ามา ก็แค่เสียงหัวเราะเย็นเยียบออกมาพร้อมเอ่ยว่า “เจ้ารู้จักจะกลับมาด้วยหรือ? เจ้ามองเรือนหลังนี้เป็นสถานที่อะไรกัน?” หลายวันที่ผ่านมานี้ ใช่ว่าชีเจิ้นจะไม่รู้สึกโกรธเคืองชีหยวน ดรุณีผู้นี้เป็นคนฉลาด เป็นคนมีสติปัญญา และเป็นคนมีความสามารถโดยแท้จริง ทว่า
โหวผู้เฒ่าเงียบไป เสี้ยวพริบตาหนึ่งก็โพล่งถามออกมา “เจ้าคิดว่า เมื่อคืนนางไปที่ใดมาหรือ?” บอกว่าชีหยวนไปอยู่เคียงกายองค์หญิงใหญ่ พวกเขาย่อมไม่มีทางเชื่อ พูดให้ถูกที่กล่าวว่าไปอยู่เคียงกายองค์หญิงใหญ่ก็แค่ข้ออ้างที่ชีหยวนบอกให้เซียวอวิ๋นถิงตอบพวกเขาเท่านั้น และบอกพวกเขาว่า นางมีขุนเขาที่พึ่งพิงแล้ว ชีเจิ้นเงียบไปครู่หนึ่ง กระนั้นก็คิดไม่ออกว่าชีหยวนไปทำอะไรที่ไหนมากันแน่ เคราะห์ดีที่พวกเขาไม่ต้องครุ่นคิดอยู่นานนัก เพราะเมื่อพวกเขาไปถึงศาลาว่าการกรมยุทธนาการ ก็ได้รู้ว่าเมื่อคืนนี้เกิดเรื่องใหญ่ขึ้นที่หออี้หงซึ่งตั้งอยู่ในเขตชานเมือง เพลิงไหม้ใหญ่ เผาเจ้ากรมการลำเลียงขนส่งขั้นห้าประจำกรมการลำเลียงขนส่งเสียชีวิตไปแล้วหนึ่งราย และเผาที่ปรึกษาประจำหน่วยคลังศัสตราวุธในสังกัดศาลาว่าการกรมยุทธนาการบาดเจ็บสาหัสไปแล้วหนึ่งราย เป็นเหตุการณ์ที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในประวัติศาสตร์ของราชวงศ์ ยิ่งไปกว่านั้นภายหลังจากที่หออี้หงถูกเพลิงไหม้ ดรุณีจำนวนไม่น้อยเข้ามาร้องทุกข์กับทางการ โดยแจ้งว่าพวกนางล้วนถูกบีบบังคับให้มาเป็นหญิงคณิกา ทุกคนล้วนถูกบังคับขืนใจให้ขายร่างกายแลกกับเงินทอง เรื่อ
เรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคืนนั้น มากมายเกินกว่าเหตุการณ์ทั้งชีวิตของหงเสี่ยวในยี่สิบปีรวมกันเสียอีก นางตั้งคำถามกับตนเองว่าหลายปีที่ใช้ชีวิตอยู่ในเมืองหลวง เหตุการณ์ที่เคยประสบพบเจอมามีมากมายนับไม่ถ้วน ทว่าเหตุการณ์สะเทือนขวัญเหมือนอย่างเมื่อคืนนี้ ความจริงแล้วนับเป็นครั้งแรก ธารน้ำในเหมันต์ฤดูเยียบเย็นบาดกระดูก นางวักน้ำขึ้นมาล้างหน้า กลับหนาวสั่นไปทั้งสรรพางค์ จากนั้นค่อยเอนหลังพิงบนเนินดิน ถอนหายใจออกมาเฮือกหนึ่ง บาดแผลบนลำคอและใบหน้าจนบัดนี้ยังคงเจ็บระบมอยู่จาง ๆ นางหวนคิดถึงเหตุการณ์ที่ตนเองถูกเด็กสาวกดลงกับพื้น จนถึงตอนนี้ยังรู้สึกหวาดผวาอยู่ในใจอย่างอดไม่ได้ ความรู้สึกของนางไม่มีทางผิดพลาด ดรุณีผู้นั้นเป็นมือสังหารที่ร้ายกาจมากคนหนึ่ง นางบอกว่านางคือคนที่ท่านอ๋องส่งมา… ท่านอ๋อง… หงเสี่ยวหลับตาลง ซับคราบน้ำตรงมุมปากออกเบา ๆ ก็หยัดกายขึ้นยืนและกระชับเสื้อคลุมบนตัว ก่อนจะวูบหายเข้าไปในป่าสนริมธารน้ำด้วยความรวดเร็ว ความเร็วของนางช่างว่องไวนัก ก่อนท้องฟ้าจะสาง ก็มาถึงเรือนอันเงียบสงบแห่งหนึ่งตรงเชิงเขาแล้ว ที่แห่งนี้ตั้งอยู่ใกล้บ่อน้ำร้อน จึงมีเศรษฐีจำนวนไม่น้อยซื้อที่
เขาก้าวเท้าไปด้วยรอยยิ้ม “อมิตา...”ยังไม่ทันกล่าวคำสวดจบ ชีหยวนก็เหยียบต้นไม้ส่งตัวเองลอยขึ้นไป แล้วฟาดเท้าเข้าใส่อกของฉือซานอย่างจัง ฉือซานกระเด็นลงไปกองกับพื้น กระอักเลือดออกมาเต็มปากจากนั้นก็ไม่หยุดการเคลื่อนแม้แต่น้อย นางพุ่งเข้าหาฉือซาน มีดสั้นในแขนเสื้อก็เผยออกมา จ่อเข้าที่อกของเขาฉือซานถึงกับมึนงงไปกับการเคลื่อนไหวนี้ไหนบอกว่าเป็นหญิงสาวที่ไร้หนทาง ไร้ที่พึ่ง ถูกบีบบังคับให้มาขอบุตรไงเล่า?นี่มันคืออะไรกันแน่?!ชีหยวนมองเขาด้วยสายตาเย็นชา สายตานั้นไม่เหมือนกับมองคน แต่เหมือนมองดูหินก้อนหนึ่ง หรือไม่ก็ต้นไม้ต้นหนึ่ง เหมือนมองสิ่งที่ไร้ชีวิตนางไม่พูดพร่ำเพรื่อ ถามขึ้นตรง ๆ “หญิงสาวที่พวกเจ้าลักพาตัวมาจากเรือนพักนอกเมืองเมื่อไม่กี่วันก่อน พวกเจ้าพาไปซ่อนไว้ที่ใด?”ฉือซานเบิกตากว้างในทันที ริมฝีปากสั่นระริกปลายมีดของชีหยวนแทงอกของเขาลึกหนึ่งชุ่นโดยไม่รั้งรอ เลือดไหลพรวดออกจากแผลทันทีจากนั้นนางก็ถาม “ผู่อู๋ย่งเป็นลุงแท้ ๆ ของเจ้าใช่หรือไม่? เห็นได้ยากจริง ๆ หลานของไอ้หมาขันที เขาบอกเจ้าว่าให้เจ้าอยู่นิ่ง ๆ ไปพักหนึ่ง รออีกไม่นานจะให้เจ้าไปเป็นขุนนางที่สำนักพระพุทธศาส
ชีหยวนควบม้าเร็วออกจากเมือง โดยไม่พาคนติดตามไปแม้แต่คนเดียว ลมพัดแรงจนเสื้อคลุมสีแดงสดของนางปลิวสะบัด แต่นางกลับไม่ใส่ใจแม้แต่น้อย แม้หมวกคลุมศีรษะจะเปิดออก นางก็ไม่คิดจะดึงกลับมาสวมอีกนางรู้ดีบนโลกนี้ไม่มีแม่ทัพไร้พ่ายตั้งแต่อดีตจนปัจจุบัน เว้นแต่จ้าวจื่อหลงผู้เป็นดั่งปาฏิหาริย์ ผู้อื่นแม้เป็นแม่ทัพที่เก่งกล้าสักเพียงใด ก็ล้วนเคยลิ้มรสความพ่ายแพ้แต่สำหรับนาง ไม่มีทาง!โดยเฉพาะคนที่ฆ่านาง ทั้งยังทำให้คนที่นางพามาด้วยต้องเติบโตขึ้นโดยไม่มีแม่ ก็ยิ่งสมควรตาย!ตั้งแต่เล็กจนโต สิ่งที่นางไม่เคยเข้าใจก็คือเหตุใดหลี่ซิ่วเหนียงถึงไม่เหมือนแม่คนอื่นสิ่งที่นางอิจฉามากที่สุดก็คือเด็กคนอื่น ๆบัดนี้มีเด็กอีกคนหนึ่งที่ต้องกลายเป็นกำพร้าเพราะนาง ชีหยวนรู้สึกว่าตัวเองช่างบาปหนานักแน่นอนว่าความผิดของนางมีอยู่จริง แต่มันก็ยังมีบางคนที่สมควรจะลงนรกสิบแปดขุม!นางควบม้าเร็วเร่งรุดมาถึงวัดว่านอันที่ชานเมืองหลวง เอียงศีรษะเล็กน้อย จ้องคำว่าวัดว่านอันสามคำนั้นอย่างเย็นชา บนใบหน้าฉายแววเย็นเยียบอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อนออกจากเมืองหลวงมาถึงที่นี่ก็เป็นเวลาค่ำแล้วยามดึกดื่นเช่นนี้ หญิงสาววัยแรกแย
ก็ต้องมี ‘คืนของขวัญ’ กลับไปบ้างกระมัง?ชีเจิ้นก็พลันเข้าใจ เพียงแค่เป้าหมายไม่ใช่ผู่อู๋ย่ง แต่ก็ยังเป็นการไปสังหารคนอยู่ดีเขาคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะกำชับว่า “เช่นนั้นก็ ระวังตัวด้วยแล้วกันนะ”ชีหยวนก็เดินตรงดิ่งออกจากประตูไปชีเจิ้นจึงหันกลับมามองท่านโหวผู้เฒ่าชีกับฮูหยินผู้เฒ่าชี “ท่านพ่อ ท่านแม่ ข้านึกขึ้นได้แล้ว วันปีใหม่วันนั้น แม่หนูหยวนบอกว่านอกจากจะแวะไปที่เรือนนอกเมืองแล้ว ยังมีธุระที่ต้องทำ มันเป็นธุระอะไรกันแน่?”ทั้งยังเป็น ‘การคืนของขวัญ’ ให้ผู่อู๋ย่งอีกด้วย?ท่านโหวผู้เฒ่าชีถลึงตาใส่เขาอย่างไม่สบอารมณ์ “เจ้าถามข้าแล้วข้าจะไปถามใคร โดนขังมาหลายวันแล้วเจ้ายังไม่เหนื่อยหรือไง? ทำตัวดี ๆ รีบไปอาบน้ำแล้วนอนพักเสีย ตอนเย็นค่อยไปกินข้าวที่เรือนใหญ่!”ชีเจิ้นอยากรู้จนใจแทบขาด แต่ก็ไม่อาจรู้ได้เลยว่าชีหยวนกำลังทำเรื่องอะไรที่เกี่ยวกับผู่อู๋ย่ง และยังจะบอกว่าเป็น ‘การคืนของขวัญ’ ให้อีกฝ่ายอีกต่างหากแต่แล้วเขาก็นึกขึ้นได้อีกเรื่องหนึ่ง “ท่านพ่อ! ผู้บัญชาการไล่จะไม่เป็นอะไรใช่หรือไม่?!”ไล่เฉิงหลงช่วยพวกเขาไว้มาก ที่ไม่โดนลงโทษก็เพราะอีกฝ่ายช่วยไกล่เกลี่ยแล้วไอ้หมาขันทีอ
ชีหยวนเลิกคิ้วขึ้นนิด ๆ เห็นทั้งสองคนกลับมาดูครบสามสิบสอง ดูก็รู้ว่าไม่ได้ถูกลงโทษ ก็รู้ทันทีว่าเป็นไล่เฉิงหลงที่ช่วยไว้นางหลุบตาลงแล้วส่ายหน้า “ไม่ใช่เพราะข้าหรอกเจ้าค่ะ เรื่องนี้เดิมทีก็เกิดขึ้นเพราะข้า เป็นข้าที่ก่อเรื่องวุ่นวายขึ้นมา พวกท่านต้องลำบากก็เพราะข้า”ความรู้สึกของท่านโหวผู้เฒ่าชีซับซ้อนอย่างยิ่งชีเจิ้นก็เช่นกันชีหยวนก็ถือว่าเข้าใจฐานะของตนเองดีนัก และไม่ทำตัวเกรงใจเกินจำเป็น พูดสิ่งที่ควรพูด ไม่สนใจด้วยซ้ำว่าจะมีใครตอบรับได้หรือไม่แต่ว่านางพูดตรงได้ ทว่าท่านโหวผู้เฒ่าชีกับชีเจิ้นย่อมไม่อาจตอบกลับตรง ๆ เช่นนั้น ท่านโหวผู้เฒ่าชีจึงกล่าวว่า “พูดอย่างนั้นก็ไม่ได้หรอก ตำแหน่งนี้ของเขา ทำมาก็หลายปี อยู่กึ่งกลาง หากทำงานของฝ่าบาทได้สำเร็จ เช่นนั้นสักวันก็ต้องเกิดเหตุเช่นนี้”ถ้าหากทำไม่สำเร็จ ต้องสืบหากันไปเรื่อย ๆ ไม่จบไม่สิ้น ฮ่องเต้หย่งชางก็ย่อมต้องเริ่มสงสัยในความสามารถของชีเจิ้น และหมดความอดทนต่อเขาฉะนั้นว่ากันตามจริงแล้ว เคราะห์นี้ก็หลีกเลี่ยงไม่ได้อยู่ดี ยังดีที่มีชีหยวนอยู่ จึงสามารถคลี่คลายเรื่องราวได้รวดเร็วขนาดนี้ท่านโหวผู้เฒ่าก็โล่งอก เมื่อเห็นเหล่าลูก
ฮ่องเต้หย่งชางกวาดพระเนตรมองโดยรอบ ตวาดเสียงเกรี้ยว “อ่างน้ำมงคลเล่า? ไยถึงได้มาช่วยดับไฟกันช้านัก?!”แล้วก็รีบร้อนหันไปถามไล่เฉิงหลง ซึ่งรับหน้าที่เฝ้าตำหนักเฟิ่งเจ่าในวันนี้ “ร่างของกุ้ยเฟยเล่า?”ไล่เฉิงหลงเหงื่อไหลท่วมทั้งร่าง คุกเข่าลงแล้วคารวะ “กระหม่อมกับนายพันลู่ช่วยกันหามร่างของกุ้ยเฟยออกมาได้แล้วพ่ะย่ะค่ะ เพียงแต่...”พวกเขาก็รู้ดีว่าเสี่ยวหลิ่วกุ้ยเฟยมีตำแหน่งเช่นไรในพระทัยของฮ่องเต้หย่งชาง ไหนเลยจะกล้าปล่อยให้ร่างของเสี่ยวหลิ่วกุ้ยเฟยถูกเผาจนมอดไหม้?หากปล่อยให้เป็นเช่นนั้นจริง เกรงว่าพวกตนก็คงต้องลงไปอยู่กับบรรพบุรุษแล้วแต่ถึงจะช่วยออกมาได้ ทว่าร่างของกุ้ยเฟยก็ยังคงดูเวทนานักอย่างน้อยเส้นผมของเสี่ยวหลิ่วกุ้ยเฟยก็ถูกไฟไหม้ไปแล้วครึ่งหนึ่งใบหน้าก็ถูกควันรมจนดำไปหมดฮ่องเต้หย่งชางปิดดวงเนตรลง เอื้อมพระหัตถ์ไปลูบไล้ใบหน้าของเสี่ยวหลิ่วกุ้ยเฟย สั่งการด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม “ไล่เฉิงหลง ลู่อี้เฟิง ดูแลไม่ดีจนตำหนักเฟิ่งเจ่าเกิดเพลิงไหม้ ให้ไปรับการลงโทษโบยสามสิบไม้ที่กรมวัง!”จากนั้นก็นิ่งไปครู่หนึ่ง แล้วถามต่อ “เหตุใดอ่างน้ำมงคลถึงกลายเป็นน้ำแข็ง?”ในวังหลวง ตามถนนสาย
ฮ่องเต้หย่งชางเหนื่อยล้าอย่างถึงที่สุดหลายวันมานี้ ทุกค่ำคืนเขามักจะฝันถึงเรื่องราวในอดีตตัวเขากับพระชายาหลิ่วสมัยยังอยู่ในดินแดนศักดินาในช่วงนั้น ยามใดที่คลื่นลมในทะเลพัดแรง ไม่รู้ว่าหลังคาบ้านของราษฎรกี่หลังจะปลิวว่อนทุก ๆ ปีล้วนมีคนต้องสังเวยชีวิตเพราะเหตุนี้ไม่น้อยแค่นั้นยังพอทนได้ แต่ภูมิอากาศก็ยังเย็นชื้น ทำให้ข้อกระดูกของเขาเจ็บเรื้อรังพระชายาหลิ่วจึงมักช่วยทำการรมยาเฉพาะจุดให้เขา อยู่เคียงข้างช่วยเหลือราษฎร คิดหาหนทาง ร่วมมือกับขุนนางท้องถิ่น แบ่งเขตพื้นที่ แล้วสอนชาวบ้านสร้างบ้านจากหินที่แข็งแรงมั่นคงในบริเวณที่ปลอดภัยกว่ายังได้ขอร้องอดีตฮ่องเต้ให้ส่งช่างจากกรมโยธามาช่วยสอนการเปิดเตาเผาและเผาอิฐพวกเขาค่อย ๆ แก้ไข นำพาเมืองจางโจวจากดินแดนยากไร้กลายเป็นเมืองมั่งคั่ง แม้แต่เมืองใกล้เคียงอย่างเฉวียนโจวก็ยังได้สร้างท่าเรือบางคราก็ฝันถึงเสี่ยวหลิ่วกุ้ยเฟยแรกเริ่มเดิมที เขาก็ไม่ได้คิดจะให้เสี่ยวหลิ่วกุ้ยเฟยเข้าวังเลยด้วยซ้ำเสี่ยวหลิ่วกุ้ยเฟยอายุน้อยกว่าเขามากเกินไป ห่างกันถึงสิบสองปีเขามองนางเหมือนน้องสาวคนหนึ่งมาตลอดแต่เมื่อเวลาค่อย ๆ ผ่านไป เสี่ยวหลิ่วกุ้ยเ
ปิดไม่มิดแล้วเขาไม่มีทางบ้าเลือดถึงขั้นลากผู่อู๋ย่งลงไปด้วยหรอก อย่างน้อยแบบนี้ผู่อู๋ย่งก็ยังอาจเห็นแก่ที่เขาเชื่อฟัง แล้วช่วยดูแลคนในตระกูลของเขาบ้างมิเช่นนั้น เกรงว่าตระกูลสวีคงไม่เหลือแม้แต่คนเดียวเซี่ยกงกงเชิญไล่เฉิงหลงเข้ามา ไล่เฉิงหลงก็นำเอกสารคำรับสารภาพพร้อมลายนิ้วมือของคนเหล่านั้นมาขึ้นถวายฮ่องเต้หย่งชางเพียงแค่เหลือบตามอง ก่อนจะเหวี่ยงเอกสารลงตรงหน้าสวีฮว่าน “เจ้ายังมีอะไรจะพูดอีก? คดีลักลอบค้าของเมื่อปลายปีก่อนก็เริ่มสอบตั้งแต่ตอนนั้นแล้ว เจ้าคงคิดหาแพะรับบาปไว้ตั้งแต่นั้นกระมัง? ถึงได้ยุยงปลุกปั่นพวกครัวเรือนทหารที่มีเอี่ยว ให้เชื่อว่าตระกูลชีหักหลังพวกเขา ให้พวกเขารับผิดแทน!”สวีฮว่านฟุบหน้าลงกับพื้น สั่นเทาไปทั้งร่าง เอ่ยปากวิงวอนไม่หยุด “ฝ่าบาทโปรดเมตตา ฝ่าบาทโปรดไว้ชีวิตเถิดพ่ะย่ะค่ะ!”ฮ่องเต้หย่งชางแค่นเสียงเย็น แล้วกวาดดวงเนตรมองเหล่าขุนนางบุ๋นบู๊ “เมื่อครู่พวกเจ้าล้วนโกรธแค้นลุกฮือกันขึ้นมา กล่าวว่านี่คือการสมคบคิดศัตรู ขายชาติ ทรยศหักหลัง เป็นความผิดฐานคิดกบฏ พวกเจ้าพูดถูกแล้ว”สิ้นคำ ก็เรียกผู้บัญชาการศาลต้าหลี่เติ้งเหรินกู้ “คดีนี้ให้ศาลต้าหลี่เป็นผู้สื
แน่นอนว่าผู่อู๋ย่งไม่มีพ่อ พ่อของเขาตายไปนานแล้ว มิเช่นนั้นจะเข้ามาเป็นขันทีในวังได้อย่างไรกันเล่า?!แต่ตอนนี้ ความรู้สึกในใจเขามันไม่ต่างอะไรกับพ่อเพิ่งตายไปจริง ๆ เลยบัดซบเอ๊ย!เหลวไหลสิ้นดี!ที่ไหนมีขันที ที่นั่นก็ต้องมีคนของเขาแฝงอยู่รัชทายาทวังบูรพาโง่เง่าอย่างกับหมู ทั้งยังอ่อนแอขี้โรค ร่างกายก็เจ็บออด ๆ แอด ๆ ไปทั้งตัวต่อให้เซียวอวิ๋นถิงฉลาดหลักแหลมแค่ไหน ก็ใช่ว่าจะรอดพ้นสายตาเขาไปได้ทุกอย่าง ไม่ว่าอย่างไรอีกฝ่ายก็เป็นแค่คน ไม่ใช่เทพเซียน!เขาเตรียมตัวไว้แล้วว่าส่งขันทีไปขัดขวางเซียวอวิ๋นถิง แล้วก็ให้องครักษ์เสื้อแพรไปทำเลยหลักฐานทั้ง ๆ ที่เขาวางแผนทุกอย่างเอาไว้อย่างไม่มีที่ติแต่สุดท้ายเซียวอวิ๋นถิงกลับวางแผนเหนือกว่า ส่งของไปถึงฮ่องเต้หย่งชางก่อนเสียได้แล้วจะไม่ให้เขาโมโหได้อย่างไร?!ไอ้บ้าสองตัวนั่น!คนหนึ่งเจ้าเล่ห์ อีกคนเหี้ยมโหด ราวกับสุนัขจิ้งจอกกับอสรพิษรวมหัวกัน ใครหน้าไหนเข้าใกล้ก็ต้องถูกพวกเขากัดเข้าให้สักแผลเขาสูดลมหายใจเข้าลึก แล้วรีบสงบสติอารมณ์ลงอย่างรวดเร็วเขาเบือนหน้าหนีอย่างเย็นชา ไม่มองทางสวีฮว่านอีกเขาไม่เคยกังวลเลยว่าเรื่องนี้จะพัวพัน
ก็ใช่ว่าจะเคราะห์ร้ายเสียทีเดียว ถึงอย่างไรก็ไม่มีคนมาสนใจเขานัก ล้วนแต่ยุ่งกับการจัดการจวนฉู่กั๋วกงกันทั้งนั้น ต่อมาเสี่ยวหลิ่วกุ้ยเฟยก็ตายไปอีก เรื่องราวเยอะเกินไป ไม่มีใครจะนึกถึงเขาหรอก ทว่าเขาเองก็กลัวมาก! น้องหญิงคนนั้นของเขา มิใช่คนที่จะสะสางหนี้แค้นด้วยคุณธรรมมาตั้งแต่ตอนเยาว์วัยแล้ว หลังจากนี้จะต้องหาโอกาสมาจัดการเขาแน่! พูดให้ถึงที่สุด เรื่องทั้งหมดนี้ต้องโทษสกุลชีอย่างเดียว หากว่าสกุลชีไม่พาตัวพระชายาหลิ่วกลับมา เรื่องราวทั้งหมดนี้ก็จะไม่เกิดขึ้น ดังนั้นแล้วในตอนนี้อุตส่าห์หาโอกาสได้แล้วทั้งที เข้าย่อมต้องเหยียบย่ำสกุลชีให้เต็มที่แน่นอน ผู่อู๋ย่งยิ่งรู้สึกขบขันเต็มที พอเห็นว่าสวีฮว่านเหลือบสายตามองตนเองด้วยความเคร่งเครียดแล้ว ก็เบนสายตาออกเชิงว่าตักเตือนทันที สวีฮว่านรีบก้มศีรษะลง บัดนี้ลำคอของเขายังเจ็บแปลบ ๆ อยู่เลย ไหนจะตรงช่วงท้องอีก ดูเอาเถิดว่านางเด็กชีหยวนคนนี้ดุร้ายโหดเหี้ยมมากขนาดไหน หัวใจของเขาเต้นระส่ำว้าวุ่นไม่เป็นสุข จนถึงตอนนี้ ทั่วท้องพระโรงทั้งฝ่ายบู๊ฝ่ายบุ๋นล้วนพุ่งเป้าโจมตีจุดอ่อนของสกุลชี ทว่าเซียวอวิ๋นถิงกลับยังคงไม่ปรากฏตัว