เกรงว่าแม้แต่ผีจริงๆ หากพบเจอนางก็คงต้องหลีกทางให้ชีหยวนหันศีรษะไปมองไปทางจูเชวี่ยเพียงแค่การมองนี้ จูเชวี่ยก็รู้สึกเหมือนครึ่งร่างของตนเองชาไปหมดทว่าชีหยวนกลับไม่สนใจเขา กลับหันไปพุ่งตรงเข้าหาอ๋องฉีแทนจับโจรต้องจับหัวหน้าจูเชวี่ยตั้งสติได้ รีบตะโกนออกมาด้วยความตื่นตระหนก “คุ้มกันนายท่าน! คุ้มกันนายท่าน!”ผู้หญิงคนนี้จะบิดคออ๋องฉีเอาได้จริงๆ!เห็นชีหยวนพุ่งเข้ามาหาตน อ๋องฉีไม่เพียงไม่กลัว แต่กลับแสยะยิ้มเย็นเยียบพร้อมกับยกมือขึ้นในมือของเขานั้นยังมีเกาทัณฑ์แขนเสื้อ ภายในยังเหลือลูกดอกอีกสิบดอก มากพอที่จะทำให้ชีหยวนพรุนเป็นตะแกรงร่อนได้ผู้หญิงคนนี้นั้นไร้หัวใจ เช่นนั้นเขาก็ไม่จำเป็นต้องปรานี ตายในมือของเขา ก็ถือเป็นการชดใช้หนี้กรรมแก่นางจากชาติที่แล้วเขาเหนี่ยวไกอย่างไร้ความปรานีเหล่าองครักษ์ลับที่เหลือต่างพุ่งเข้าโจมตีชีหยวนคนมากมายขนาดนี้ ต่อให้ปิดตาฟันไปเรื่อย ก็คงหั่นชีหยวนเป็นชิ้นๆ ได้แล้วอ๋องฉีแสยะยิ้มมุมปากแต่แล้ว เหตุการณ์กลับพลิกผันก็เกิดขึ้นในเพลานี้เสียงโครมดังสนั่น กำแพงคุกถล่มลงมาดังก้องไปทั่วบริเวณ จากนั้นเหล่าทหารในชุดเกราะของทางการก็ปรากฏต
เมื่อเหยื่อและนักล่าต้องสลับบทบาทกัน ตำแหน่งรุกและรับก็เปลี่ยนไปทันทีอ๋องฉีโกรธจนแทบคลั่ง ความโกรธดุจไฟที่แผดเผา จากอกจนลามไปถึงศีรษะ เขามองไปยังชีหยวน ดวงตาเต็มไปด้วยเพลิงแห่งความอาฆาตทั้งหมดเป็นความผิดของเขาเอง เขาไม่ควรมีความหวังใดๆ กับผู้หญิงคนนี้เลยนางก็แค่จิ้งจอกไร้หัวใจ ต่อให้ปฏิบัติกับนางดีแค่ไหน นางก็ยังคอยมองหาโอกาสจะกัดเจ้าให้ได้ไป๋หู่เริ่มร้อนใจ รีบยื่นมือไปดึงตัวอ๋องฉีออกมา เวลานี้เขาไม่สนเรื่องลำดับชั้นอีกแล้วทหารของทางการที่นี่ไม่รู้จักอ๋องฉี กลับมองพวกเขาเป็นเพียงแค่โจรมันช่างมีอันตรายรอบด้าน!หากพวกเขาพลาดแม้แต่นิดเดียว ก็อาจต้องตายอย่างไร้ร่องรอยที่นี่!อ๋องฉียังพอมีสติอยู่บ้าง แม้จะโกรธจนแทบเสียสติ แต่เขาก็ยังตัดสินใจอย่างรวดเร็ว ปล่อยให้ไป๋หู่กับชิงหลงลากตัวเขาถอยหนีไปเหล่าองครักษ์ลับได้รับการฝึกฝนอย่างโหดเหี้ยม พวกเขาแข็งแกร่งกว่าทหารของทางการเป็นธรรมดา แม้ช่วงแรกจะตื่นตระหนกไปบ้าง แต่เพียงไม่นานก็กลับมาตั้งหลักได้ และช่วยกันคุ้มกันอ๋องฉีถอยร่นออกไปในขณะเดียวกัน…ฮูหยินโจวหน้าซีดเผือดด้วยความตกใจ แต่ยังรีบวิ่งไปหาเหล่าสตรีของตระกูลเซี่ยทันทีที่
ทว่าตอนนี้ไม่เหมือนเดิมแล้ว ทุกอย่างเกิดขึ้นในชั่วพริบตาเดียวชีหยวนไล่ตามไปถึงตัวเขาแล้ว ปล่อยเกาทัณฑ์แขนเสื้อใส่เขาโดยไม่ปรานีพุ่งทะลุคอหอย จูเชวี่ยแม้แต่เสียงร้องยังไม่มีโอกาสเปล่งออกมา ก็ร่วงลงไปกระแทกพื้นทันทีไป๋หู่มองด้วยความโกรธสุดขีด จนตะโกนลั่นออกมาอย่างอดไม่ได้ จากนั้นอดกัดฟันแน่นไม่ได้ มองชีหยวนด้วยสายตาแค้นเคืองชีหยวนก็แค่คนเดียวที่ไล่ตามมา ต่อให้เก่งแค่ไหนจะทำอะไรได้?หมัดคู่เดียวสู้สี่มือไม่ได้ พวกเขาล้วนเป็นมือสังหารที่ผ่านการฝึกฝนมาอย่างเข้มงวด หรือว่าคนตั้งหลายสิบคน จะต้องมาหวาดกลัวผู้หญิงเพียงคนเดียวอย่างนั้นหรือ?!หากเรื่องนี้แพร่ออกไปคงกลายเป็นเรื่องขบขันจนใครๆ หัวเราะเยาะแน่!เขากัดฟันสั่งชิงหลงว่า "คุ้มกันท่านอ๋องให้ดี ข้าจะนำคนกลุ่มนี้ของข้าไปฆ่านังคนเลวนั่นเอง!"กลุ่มของเขามีถึงสิบคน ก็ไม่เชื่อหรอกว่าจะฆ่าชีหยวนคนเดียวไม่ได้!ทว่าในตอนนั้นเอง เสียงนกหวีดแหลมคมก็ดังขึ้นจากเนินเขารอบๆ อย่างต่อเนื่อง!ทันใดนั้นเอง เงาร่างมากมายก็ปรากฏขึ้นบนเนินเขาทั้งสองฝั่งชิงหลงกระชากแขนของเขาไว้ กล่าวด้วยสายตาเต็มไปด้วยความเคร่งเครียด: “ปกป้องท่านอ๋องก่อน!”ชีหยว
ไป๋หู่รู้สึกเหมือนหัวใจตนเองแทบจะหยุดเต้น ดีที่ชิงหลงมาถึงทันเวลา พุ่งชนอาชาของอ๋องฉีด้วยความรวดเร็ว อาชาตกใจและทะยานไปข้างหน้า การเคลื่อนไหวในมือของชีหยวนพลันหยุดชะงัก และในจังหวะนั้นเอง อ๋องฉีก็สะบัดตัวหลุดออกจากการควบคุมของชีหยวนและกลิ้งไปกับพื้น เสี้ยวพริบตาที่แผ่นหลังกระแทกลงไปบนพื้น อ๋องฉีรู้สึกว่าอวัยวะภายในทั้งหมดของตนเองเหมือนจะแตกเป็นเสี่ยงเพราะแรงกระแทก เขาขดตัวเป็นก้อนด้วยความเจ็บปวด ชิงหลงอกสั่นขวัญแขวน เขาไม่เคยพบเจอสตรีคนใดที่อันตรายเท่าชีหยวนมาก่อน นางเป็นคนบ้าวิกลจริตไปแล้วจริง ๆ! ไม่สิ แบบนี้มันปีศาจบ้าคลั่งชัด ๆ! เขารีบคว้าตัวอ๋องฉีขึ้นมาบนหลังอาชาของตนเองอย่างเอาเป็นเอาตาย ก่อนจะพาอ๋องฉีควบอาชาหนีไปอย่างสุดชีวิต โดยไม่สนใจใครหน้าไหนทั้งสิ้น คนยิ่งหนีไกลออกไปเรื่อยๆ เกาทัณฑ์แขนเสื้อจึงยิงไปไม่โดนเป้าหมายอีก ชีหยวนหรี่ตา เห็นซองใส่ลูกธนูขององครักษ์ลับคนหนึ่งร่วงตกลงบนพื้น ก็เอื้อมมือไปหยิบขึ้นมา ขึ้นคันธนู และปล่อยลูกธนูยิงออกไปทางอ๋องฉีสามดอกติดกัน ธนูสองดอกถูกอ๋องฉีและชิงหลงปัดทิ้งไปได้ ทว่ายังมีอีกดอกหนึ่งที่ปักเข้ากลางไหล่ขวาของอ๋องฉี ร่างกาย
เซี่ยหรูพยักหน้ารับ มิได้หยุดชะงัก แล้วก็เล่าเรื่องราวทุกอย่างอย่างละเอียด ว่าชีหยวนมาพบตนเองได้อย่างไร สังหารโจวเสี่ยวเผิงอย่างไร สังหารเฉินฮ่าวฮุยและคนอื่นอย่างไร และบอกว่านางไปพบท่านเจ้าเมืองเพื่อเตรียมการขั้นต่อไปอย่างไร เซี่ยอิ๋งได้ฟังแล้วดวงตาถึงกับสั่นไหว หากมิใช่เพราะตนเองประสบพบเจอทุกสิ่งมากับตัว เขาคงนึกว่าท่านอาของตนเองกำลังเล่านิทานให้เขาฟังไปเสียแล้ว จะมีดรุณีที่เก่งกาจเพียงนี้อยู่จริงได้อย่างไร? นางเหมือนไม่ใช่คน ทว่าเหมือนกับเป็นเทพเซียนอย่างไรอย่างนั้น! วางอุบายรอบคอบไร้ที่ติ ชำนาญทั้งบู๊และบุ๋น สังหารคนราวกับฆ่าไก่ สุดท้ายความตกตะลึงเหล่านี้ได้กลั่นออกมาเป็นคำถามเพียงประโยคเดียว: “ท่านอา คุณหนูใหญ่สกุลชีคนนี้บัดนี้อยู่ที่ใดแล้วขอรับ?” ฮูหยินโจวเอ่ยด้วยเสียงเบาหวิว: “ไล่ตามอ๋องฉีไปแล้ว ข้าเห็นนางคล้ายกับว่าจะ…” ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ฮูหยินโจวก็เอ่ยด้วยเสียงที่เบาลงยิ่งกว่าเดิม: “คล้ายว่าจะมีความแค้นฝังลึกกับอ๋องฉี…” เซี่ยอิ๋งพลันตัดสินใจทันที: “ข้าจะไปพบคุณหนูใหญ่สกุลชีท่านนี้” ทว่า เขายังไม่ทันออกเดินทาง พ่อบ้านสวีก็วิ่งกระหืดกระหอบเข้ามาพลางร้องว่า: “
ชิงหลงอยู่ในอารมณ์ตึงเครียด ออกเดินทางครั้งนี้ เดิมทีเตรียมตัวไว้เพียงเรื่องที่จะชิงตัวพระชายาหลิ่วมาให้ได้ก่อนเท่านั้น ผลสุดท้ายแม้แต่เงาของพระชายาหลิ่วยังไม่ได้สัมผัส กลับต้องสูญเสียหัวหน้าองครักษ์ลับไปถึงสองนาย และองครักษ์ลับไปอีกสิบกว่าชีวิต ยิ่งไปกว่านั้นแม้แต่อ๋องฉียังได้รับบาดเจ็บสาหัสถึงเพียงนี้อีก ถึงขั้นเดินไม่ได้! นี่มันหมายความว่าอะไร? หมายความว่าต่อจากนี้อ๋องฉีอาจจะมีปัญหาเรื่องขา ซึ่งนั่น นั่นก็หมายความว่าอ๋องฉีจะสูญเสียสิทธิ์ในการแย่งชิงราชบัลลังก์ไป! นับแต่อดีตมาถึงตอนนี้ ฮ่องเต้ที่ร่างกายทุพพลภาพมีอยู่สักกี่พระองค์กัน? โดยเฉพาะช่วงที่แผ่นดินและราชวงศ์กำลังรุ่งเรืองเฟื่องฟู ยิ่งไม่มีทางยอมให้มีฮ่องเต้ซึ่งร่างกายทุพพลภาพพระองค์ใดปรากฏขึ้น! บัดนี้อ๋องฉีสั่งให้เดินทางกลับเมืองหลวงทันที ชิงหลงค่อนข้างกังวลใจกับสภาพบาดแผลของเขาจึงเอ่ยว่า: “ทว่าบาดแผลของท่านอ๋อง…” สีหน้าของอ๋องฉีกลับนิ่งสงบอย่างน่าเหลือเชื่อ สงบมากจนดูน่าประหลาด เขากัดฟันกรอด: “พาคนผู้นี้ไปด้วย กลับไปพบหมอเทวดาเซวีย! เดินทางเดี๋ยวนี้!” หมอเทวดาเซวียเป็นหมอเทวดาเลื่องชื่อไปทั่วหล้า คนสกุล
ฉู่กั๋วกงหลับตา: “จิงหงเขา เกิดเหตุร้ายขึ้นจริง ๆ” เส้นที่ขึงตึงอยู่ในสมองของนางพลันขาดผึงทันใด นางคว้าแขนเสื้อของฉู่กั๋วกงไว้ด้วยอารมณ์เดือดพล่าน: “เพราะอะไร? เพราะชีหยวนใช่หรือไม่?!” ไม่มีทางเป็นเพราะสาเหตุอื่นอย่างแน่นอน บุตรชายตามชีหยวนออกไป นางกัดฟันกรอด เสียงที่เปล่งออกมาราวกับเค้นออกมาจากลำคอ: “อยู่ดี ๆ ลูกของข้าจะเกิดเหตุร้ายขึ้นได้อย่างไร?!” เห็นดวงตาของนางแดงก่ำ ฉู่กั๋วกงก็ถอนหายใจก่อนจะนั่งลง เล่าต้นสายปลายเหตุทั้งหมดของเรื่องนี้ให้นางฟัง แววตาของฮูหยินหลิ่วเต็มไปด้วยความอาฆาต สีหน้าโหดเหี้ยมอำมหิต ภายในใจเต็มไปด้วยความโกรธแค้นที่สูงล้นฟ้า “ฆ่านางซะ!” หลังจากเงียบไปชั่วขณะ ฮูหยินหลิ่วก็เหลือบสายตาแดงก่ำของตนเองจ้องมองฉู่กั๋วกงตาเขม็ง: “ข้าต้องการฆ่านาง ต้องการให้นางตายอย่างทรมาน! ต้องการให้ศพของนางถูกสับเป็นหมื่นชิ้น!” หากไม่แล้ว มันไม่พอจะดับไฟแค้นในใจของนางได้เด็ดขาด! นางชาติชั่วอัปรีย์คนนี้! แค่เศษสวะต่ำต้อย กล้าดีอย่างไรถึงมาทำร้ายจิงหงของนาง! เหตุไฉนสวรรค์ถึงได้อยุติธรรมเพียงนี้?! ปล่อยให้คนชั่วช้าสามานย์แบบนี้ก่อกรรมทำชั่วสำเร็จได้อย่างไร! เพร
ขอบฟ้าเริ่มสว่างรำไร ดวงตะวันสีทองเคลื่อนขึ้นจากปลายฟ้า มอบความอบอุ่นให้ยามเช้าที่ชุ่มไปด้วยหยาดน้ำค้าง ทว่าเวลานี้พวกเหล่าจ้าวกลับไม่รู้สึกถึงความอบอุ่นแม้แต่น้อย พวกเขาทุกคนตั้งท่าระวังภัยอย่างเคร่งเครียด ยกอาวุธในมือขึ้นอย่างพร้อมเพรียง กระทั่งเห็นศีรษะโผล่ออกมาจากซอกเขา เหล่าจ้าวก็ผงะไป เซียวอวิ๋นถิงกลับพุ่งลงจากเนินเขาทันที และโยนซองธนูในมือทิ้งไปให้เหล่าจ้าว ก็สาวเท้าวิ่งตรงไปหาชีหยวนทันที เสี้ยวพริบตานั้น เซียวอวิ๋นถิงอธิบายความรู้สึกภายในใจของตนเองไม่ถูก ทว่าความตื่นเต้นในน้ำเสียงของเขานั้นปิดไม่มิด “เจ้ามาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร?” เขามองชีหยวน แทบจำไม่ได้ว่าคนมอมแมมตรงหน้าตอนนี้ก็คือชีหยวน ชีหยวนสะบัดศีรษะ ไล่น้ำค้างที่เกาะอยู่ออกไป พอได้ยินเช่นนั้นก็ยิงฟันใส่เซียวอวิ๋นถิงไปหนึ่งที: “กำลังเดินทางกลับเมืองหลวง แต่ก็อยากแวะมาดูสถานการณ์ที่นี่สักหน่อย” ดูอะไร? เซียวอวิ๋นถิงแทบจะเข้าใจในทันที: “อยากดูว่าคนสกุลหลิ่วค้นพบแล้วหรือยังอย่างนั้นหรือ?” ชีหยวนผงกศีรษะ พลางปัดมือเพื่อเอาเศษดินโคลนที่ติดอยู่บนมือออกไป ก่อนจะเอ่ยอย่างไม่ยี่หระ: “หลุมข้างล่างถูกคนรื้อไปแล้ว
ฮ่องเต้หย่งชางกวาดพระเนตรมองโดยรอบ ตวาดเสียงเกรี้ยว “อ่างน้ำมงคลเล่า? ไยถึงได้มาช่วยดับไฟกันช้านัก?!”แล้วก็รีบร้อนหันไปถามไล่เฉิงหลง ซึ่งรับหน้าที่เฝ้าตำหนักเฟิ่งเจ่าในวันนี้ “ร่างของกุ้ยเฟยเล่า?”ไล่เฉิงหลงเหงื่อไหลท่วมทั้งร่าง คุกเข่าลงแล้วคารวะ “กระหม่อมกับนายพันลู่ช่วยกันหามร่างของกุ้ยเฟยออกมาได้แล้วพ่ะย่ะค่ะ เพียงแต่...”พวกเขาก็รู้ดีว่าเสี่ยวหลิ่วกุ้ยเฟยมีตำแหน่งเช่นไรในพระทัยของฮ่องเต้หย่งชาง ไหนเลยจะกล้าปล่อยให้ร่างของเสี่ยวหลิ่วกุ้ยเฟยถูกเผาจนมอดไหม้?หากปล่อยให้เป็นเช่นนั้นจริง เกรงว่าพวกตนก็คงต้องลงไปอยู่กับบรรพบุรุษแล้วแต่ถึงจะช่วยออกมาได้ ทว่าร่างของกุ้ยเฟยก็ยังคงดูเวทนานักอย่างน้อยเส้นผมของเสี่ยวหลิ่วกุ้ยเฟยก็ถูกไฟไหม้ไปแล้วครึ่งหนึ่งใบหน้าก็ถูกควันรมจนดำไปหมดฮ่องเต้หย่งชางปิดดวงเนตรลง เอื้อมพระหัตถ์ไปลูบไล้ใบหน้าของเสี่ยวหลิ่วกุ้ยเฟย สั่งการด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม “ไล่เฉิงหลง ลู่อี้เฟิง ดูแลไม่ดีจนตำหนักเฟิ่งเจ่าเกิดเพลิงไหม้ ให้ไปรับการลงโทษโบยสามสิบไม้ที่กรมวัง!”จากนั้นก็นิ่งไปครู่หนึ่ง แล้วถามต่อ “เหตุใดอ่างน้ำมงคลถึงกลายเป็นน้ำแข็ง?”ในวังหลวง ตามถนนสาย
ฮ่องเต้หย่งชางเหนื่อยล้าอย่างถึงที่สุดหลายวันมานี้ ทุกค่ำคืนเขามักจะฝันถึงเรื่องราวในอดีตตัวเขากับพระชายาหลิ่วสมัยยังอยู่ในดินแดนศักดินาในช่วงนั้น ยามใดที่คลื่นลมในทะเลพัดแรง ไม่รู้ว่าหลังคาบ้านของราษฎรกี่หลังจะปลิวว่อนทุก ๆ ปีล้วนมีคนต้องสังเวยชีวิตเพราะเหตุนี้ไม่น้อยแค่นั้นยังพอทนได้ แต่ภูมิอากาศก็ยังเย็นชื้น ทำให้ข้อกระดูกของเขาเจ็บเรื้อรังพระชายาหลิ่วจึงมักช่วยทำการรมยาเฉพาะจุดให้เขา อยู่เคียงข้างช่วยเหลือราษฎร คิดหาหนทาง ร่วมมือกับขุนนางท้องถิ่น แบ่งเขตพื้นที่ แล้วสอนชาวบ้านสร้างบ้านจากหินที่แข็งแรงมั่นคงในบริเวณที่ปลอดภัยกว่ายังได้ขอร้องอดีตฮ่องเต้ให้ส่งช่างจากกรมโยธามาช่วยสอนการเปิดเตาเผาและเผาอิฐพวกเขาค่อย ๆ แก้ไข นำพาเมืองจางโจวจากดินแดนยากไร้กลายเป็นเมืองมั่งคั่ง แม้แต่เมืองใกล้เคียงอย่างเฉวียนโจวก็ยังได้สร้างท่าเรือบางคราก็ฝันถึงเสี่ยวหลิ่วกุ้ยเฟยแรกเริ่มเดิมที เขาก็ไม่ได้คิดจะให้เสี่ยวหลิ่วกุ้ยเฟยเข้าวังเลยด้วยซ้ำเสี่ยวหลิ่วกุ้ยเฟยอายุน้อยกว่าเขามากเกินไป ห่างกันถึงสิบสองปีเขามองนางเหมือนน้องสาวคนหนึ่งมาตลอดแต่เมื่อเวลาค่อย ๆ ผ่านไป เสี่ยวหลิ่วกุ้ยเ
ปิดไม่มิดแล้วเขาไม่มีทางบ้าเลือดถึงขั้นลากผู่อู๋ย่งลงไปด้วยหรอก อย่างน้อยแบบนี้ผู่อู๋ย่งก็ยังอาจเห็นแก่ที่เขาเชื่อฟัง แล้วช่วยดูแลคนในตระกูลของเขาบ้างมิเช่นนั้น เกรงว่าตระกูลสวีคงไม่เหลือแม้แต่คนเดียวเซี่ยกงกงเชิญไล่เฉิงหลงเข้ามา ไล่เฉิงหลงก็นำเอกสารคำรับสารภาพพร้อมลายนิ้วมือของคนเหล่านั้นมาขึ้นถวายฮ่องเต้หย่งชางเพียงแค่เหลือบตามอง ก่อนจะเหวี่ยงเอกสารลงตรงหน้าสวีฮว่าน “เจ้ายังมีอะไรจะพูดอีก? คดีลักลอบค้าของเมื่อปลายปีก่อนก็เริ่มสอบตั้งแต่ตอนนั้นแล้ว เจ้าคงคิดหาแพะรับบาปไว้ตั้งแต่นั้นกระมัง? ถึงได้ยุยงปลุกปั่นพวกครัวเรือนทหารที่มีเอี่ยว ให้เชื่อว่าตระกูลชีหักหลังพวกเขา ให้พวกเขารับผิดแทน!”สวีฮว่านฟุบหน้าลงกับพื้น สั่นเทาไปทั้งร่าง เอ่ยปากวิงวอนไม่หยุด “ฝ่าบาทโปรดเมตตา ฝ่าบาทโปรดไว้ชีวิตเถิดพ่ะย่ะค่ะ!”ฮ่องเต้หย่งชางแค่นเสียงเย็น แล้วกวาดดวงเนตรมองเหล่าขุนนางบุ๋นบู๊ “เมื่อครู่พวกเจ้าล้วนโกรธแค้นลุกฮือกันขึ้นมา กล่าวว่านี่คือการสมคบคิดศัตรู ขายชาติ ทรยศหักหลัง เป็นความผิดฐานคิดกบฏ พวกเจ้าพูดถูกแล้ว”สิ้นคำ ก็เรียกผู้บัญชาการศาลต้าหลี่เติ้งเหรินกู้ “คดีนี้ให้ศาลต้าหลี่เป็นผู้สื
แน่นอนว่าผู่อู๋ย่งไม่มีพ่อ พ่อของเขาตายไปนานแล้ว มิเช่นนั้นจะเข้ามาเป็นขันทีในวังได้อย่างไรกันเล่า?!แต่ตอนนี้ ความรู้สึกในใจเขามันไม่ต่างอะไรกับพ่อเพิ่งตายไปจริง ๆ เลยบัดซบเอ๊ย!เหลวไหลสิ้นดี!ที่ไหนมีขันที ที่นั่นก็ต้องมีคนของเขาแฝงอยู่รัชทายาทวังบูรพาโง่เง่าอย่างกับหมู ทั้งยังอ่อนแอขี้โรค ร่างกายก็เจ็บออด ๆ แอด ๆ ไปทั้งตัวต่อให้เซียวอวิ๋นถิงฉลาดหลักแหลมแค่ไหน ก็ใช่ว่าจะรอดพ้นสายตาเขาไปได้ทุกอย่าง ไม่ว่าอย่างไรอีกฝ่ายก็เป็นแค่คน ไม่ใช่เทพเซียน!เขาเตรียมตัวไว้แล้วว่าส่งขันทีไปขัดขวางเซียวอวิ๋นถิง แล้วก็ให้องครักษ์เสื้อแพรไปทำเลยหลักฐานทั้ง ๆ ที่เขาวางแผนทุกอย่างเอาไว้อย่างไม่มีที่ติแต่สุดท้ายเซียวอวิ๋นถิงกลับวางแผนเหนือกว่า ส่งของไปถึงฮ่องเต้หย่งชางก่อนเสียได้แล้วจะไม่ให้เขาโมโหได้อย่างไร?!ไอ้บ้าสองตัวนั่น!คนหนึ่งเจ้าเล่ห์ อีกคนเหี้ยมโหด ราวกับสุนัขจิ้งจอกกับอสรพิษรวมหัวกัน ใครหน้าไหนเข้าใกล้ก็ต้องถูกพวกเขากัดเข้าให้สักแผลเขาสูดลมหายใจเข้าลึก แล้วรีบสงบสติอารมณ์ลงอย่างรวดเร็วเขาเบือนหน้าหนีอย่างเย็นชา ไม่มองทางสวีฮว่านอีกเขาไม่เคยกังวลเลยว่าเรื่องนี้จะพัวพัน
ก็ใช่ว่าจะเคราะห์ร้ายเสียทีเดียว ถึงอย่างไรก็ไม่มีคนมาสนใจเขานัก ล้วนแต่ยุ่งกับการจัดการจวนฉู่กั๋วกงกันทั้งนั้น ต่อมาเสี่ยวหลิ่วกุ้ยเฟยก็ตายไปอีก เรื่องราวเยอะเกินไป ไม่มีใครจะนึกถึงเขาหรอก ทว่าเขาเองก็กลัวมาก! น้องหญิงคนนั้นของเขา มิใช่คนที่จะสะสางหนี้แค้นด้วยคุณธรรมมาตั้งแต่ตอนเยาว์วัยแล้ว หลังจากนี้จะต้องหาโอกาสมาจัดการเขาแน่! พูดให้ถึงที่สุด เรื่องทั้งหมดนี้ต้องโทษสกุลชีอย่างเดียว หากว่าสกุลชีไม่พาตัวพระชายาหลิ่วกลับมา เรื่องราวทั้งหมดนี้ก็จะไม่เกิดขึ้น ดังนั้นแล้วในตอนนี้อุตส่าห์หาโอกาสได้แล้วทั้งที เข้าย่อมต้องเหยียบย่ำสกุลชีให้เต็มที่แน่นอน ผู่อู๋ย่งยิ่งรู้สึกขบขันเต็มที พอเห็นว่าสวีฮว่านเหลือบสายตามองตนเองด้วยความเคร่งเครียดแล้ว ก็เบนสายตาออกเชิงว่าตักเตือนทันที สวีฮว่านรีบก้มศีรษะลง บัดนี้ลำคอของเขายังเจ็บแปลบ ๆ อยู่เลย ไหนจะตรงช่วงท้องอีก ดูเอาเถิดว่านางเด็กชีหยวนคนนี้ดุร้ายโหดเหี้ยมมากขนาดไหน หัวใจของเขาเต้นระส่ำว้าวุ่นไม่เป็นสุข จนถึงตอนนี้ ทั่วท้องพระโรงทั้งฝ่ายบู๊ฝ่ายบุ๋นล้วนพุ่งเป้าโจมตีจุดอ่อนของสกุลชี ทว่าเซียวอวิ๋นถิงกลับยังคงไม่ปรากฏตัว
สกุลชีถูกโจรบุกปล้นในวันที่สามของปีใหม่ ที่พำนักของคุณหนูใหญ่สกุลชีถูกไฟเผาวอดไปครึ่งหนึ่ง หากมิใช่เพราะคุณหนูใหญ่สกุลชีบังเอิญไปอยู่ที่ห้องของฮูหยินผู้เฒ่า และกำลังคัดเลือกถั่วปากอ้ากับฮูหยินผู้เฒ่าพอดี เกรงว่าคุณหนูใหญ่สกุลชีคงจะไม่รอดแล้ว เรื่องนี้ปิดบังไม่อยู่ ไม่นาน ก็แพร่สะพัดลือเล่ากันไปไกลแล้ว จะไม่ให้แพร่สะพัดไปไกลก็คงไม่ได้ สกุลชีเพิ่งถูกกล่าวหาว่าสมคบกับข้าศึกขายดินแดนให้อริราชศัตรู โหวผู้เฒ่าชีและชีเจิ้นก็ถูกจับเข้าคุกหลวงไปแล้ว เห็นสกุลชีสภาพน่าเวทนาถึงเพียงนี้ แต่ใครจะรู้ว่ายังมีคนจ้องจะซ้ำเติมสกุลชีไม่ปล่อย หวังให้สกุลชีตายราบคาบ เฮอะ ๆ พวกชาวบ้านก็ยังมีแอบวิพากษ์วิจารณ์กันบ้าง “ไม่รู้ว่าใช่ฝีมือของครอบครัวทหารจากจี้โจวหรือไม่?” “จริงด้วย หากว่าเป็นอย่างที่พวกครอบครัวทหารเหล่านั้นว่ากันจริง เงินถูกสกุลชิงเอาไปแล้ว แต่กลับโยนความผิดให้พวกเขารับไว้แบบนั้น พวกเขาจะไปยอมได้อย่างไร?” “หากเป็นข้านะ ข้าก็คงทุ่มสุดตัวเหมือนกัน!” ดูเหมือนว่าคนที่คิดเห็นเช่นเดียวกันนี้จะมิได้มีเพียงแค่พวกชาวบ้าน เทศกาลปีใหม่ปีนี้ถูกลิขิตไว้ไม่ให้เงียบสงบ ในวันที่เจ็ดของปีใหม่ ศ
สวีฮว่านเหงื่อเย็นไหลพลั่ก ตอนที่ได้ยินชีหยวนนับหนึ่ง สอง สาม ท้ายที่สุดเขาก็ทนไม่ไหว ร้องเสียงดังออกไป “ข้าให้เจ้าก็ได้! ข้าให้เจ้าก็ได้! สาส์นลับอยู่ใน…อยู่ในชั้นวางลับหลังโต๊ะหนังสือในห้องหนังสือของข้า!” ชีหยวนเปล่งเสียงอุทานออกมาหนึ่งคำ ก่อนจะเก็บกริชและปิ่นทองคำกลับมา แล้วใช้มือข้างหนึ่งคว้าคอเสื้อด้านหลังของเขาฉุดเขาขึ้นมา และผลักให้เขาเดินไปที่ชั้นหนังสือ พร้อมเอ่ยเสียงเข้มว่า “เปิดมัน” สวีฮว่านลังเลเล็กน้อย ทันใดนั้นชีหยวนก็เตะข้อพับขาของเขาอย่างแรงไปหนึ่งที “เปิดออก!” สวีฮว่านดึงจี้หยกที่ห้อยอยู่ข้างเอวของตนเองออกมาด้วยมือที่สั่นเทา ก่อนจะฝังมันเข้าไปในตำแหน่งที่เป็นช่องเว้าบนชั้นวางหนังสือ และหมุนมันหนึ่งรอบ ทันใดนั้นชั้นหนังสือก็เปิดออกอย่างช้า ๆ ทว่าเสี้ยวพริบตาเดียวนี้ สวีฮว่านรีบสะบัดตัวออกจากชีหยวนหวังว่าจะหลบหนี เขารู้ดี โดยปกติคนเราเมื่อตกอยู่ในเสี้ยวขณะที่ได้รับสิ่งของที่ตนเองต้องการมากเป็นอย่างยิ่ง ก็จะเผลอไผลไปได้ง่ายดายที่สุด เขาเฝ้ารอจังหวะนี้มาโดยตลอด ทว่าน่าเสียดาย เขาเพิ่งจะกลิ้งตัวไปกับพื้น กลับเห็นชีหยวนใช้มือปัดลูกธนูที่พุ่งออกมาจากชั้นวางลับ
สวีฮว่านรู้สึกอึดอัดกับแรงกดของกริชเล่มนั้น และไม่รู้ว่าเป็นเพราะผลกระทบทางจิตใจหรือไม่ เขารู้สึกอยู่ตลอดว่ารอยแผลที่ชีหยวนกรีดไปนั้นยังคงมีเลือดไหลออกมาไม่หยุด สิ่งนี้ทำให้เขาหวาดกลัวถึงขีดสุดจริง ๆ คนย่อมมีจุดอ่อน ชื่อเสียงและความรู้สึกหวงแหนชีวิตก็คือจุดอ่อนของสวีฮว่าน เขาเอ่ยด้วยความร้อนรน “ข้าช่วยเจ้าได้! ข้าช่วยล้างมลทินให้ตระกูลของเจ้าได้ ตราบใดที่พวกเจ้ายอมให้ความร่วมมือ ความผิดนี้ ข้าสามารถโยนให้คนอื่นรับไว้ได้!” ใบหน้าของชีหยวนไร้ซึ่งความรู้สึก ทว่าความเยือกเย็นในดวงตากลับยิ่งลุ่มลึกขึ้นมา ปลายกริชที่นางกดเอาไว้บนลำคอของเขาขยับเล็กน้อย เพียงเสี้ยวพริบตาก็สร้างรอยแผลเลือดซิบเพิ่มขึ้นอีกหนึ่งรอยให้เขาได้เรียบร้อย ก่อนจะเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงที่เข้มข้นขึ้น “จะผลักความผิดให้แม่ทัพขุนศึกท่านอื่นที่บัดนี้ยังคงสู้รบในสมรภูมิอย่างซื่อสัตย์ภักดี พร้อมยอมพลีชีพเพื่อชาติได้อย่างนั้นหรือ? หรือคิดจะโยนความผิดให้บรรดาบุตรชายของครอบครัวทหารที่ต้องเข้าสู่สมรภูมิรบตั้งแต่วัยเพียงสิบสองสิบสามเหล่านั้นกัน พวกเขายังไม่ทันได้เติบโตด้วยซ้ำ ก็ต้องมาตายภายใต้อุบายชั่วช้าสามานย์ของพวกเจ้า”
หากว่ามี เช่นนั้นก็ต้องเลี้ยงดูให้ดี หากว่าไม่มี เช่นนั้นก็ต้องคิดหาหนทางเลือกเด็กสักคนในตระกูลมาเป็นบุตรบุญธรรมของเขา เพื่อจะได้เป็นทายาทสืบทอดวงศ์ตระกูล ขณะที่กำลังคิดสะระตะ เขาพลันได้ยินเสียงลมหายใจระลอกหนึ่งพัดผ่านข้างใบหู เสียงลมหายใจ! ทว่าในห้องมีเขาอยู่เพียงคนเดียว! เสี้ยวพริบตาเดียวสวีฮว่านพลันรู้สึกเส้นขนลุกชันไปทั่วทั้งตัว สติหลุดออกจากร่าง และทันใดนั้นก็คิดจะหมุนศีรษะกลับไปโดยสัญชาตญาณ ทว่าจังหวะที่เขากำลังคิดจะผินศีรษะกลับไป กริชเล่มหนึ่งก็ปักลงบนลำคอของเขาอย่างเงียบเชียบไร้เสียง หลังจากนั้นเขาได้ยินเสียงหัวเราะเบา ๆ เสียงนี้ชัดเจนว่าเป็นเสียงของดรุณีน้อยงามเพริศพริ้งสดใส เหมือนกับเสียงของบุตรสาวของเขาที่เข้ามาออดอ้อนเขาในยามปกติ ทว่าในเสี้ยวขณะนี้เวลานี้ เขากลับไม่รู้สึกว่าเสียงนั่นกำลังออดอ้อนสักนิด! เพื่อแสดงออกถึงความซื่อสัตย์สุจริตของตนเองแล้ว เรือนของเขายังต้องเช่าอาศัย และในเมื่อเรือนยังต้องเช่าอาศัย ดังนั้นในเรือนย่อมไม่สามารถมีบ่าวรับใช้ที่มากเกินไปได้ ยิ่งไปกว่านั้นยังไม่สามารถมียามเฝ้าเรือนได้ด้วย ดังนั้นองครักษ์เหล่านั้นของเขา ล้วนแต่ถูกเลี