เมื่อเหยื่อและนักล่าต้องสลับบทบาทกัน ตำแหน่งรุกและรับก็เปลี่ยนไปทันทีอ๋องฉีโกรธจนแทบคลั่ง ความโกรธดุจไฟที่แผดเผา จากอกจนลามไปถึงศีรษะ เขามองไปยังชีหยวน ดวงตาเต็มไปด้วยเพลิงแห่งความอาฆาตทั้งหมดเป็นความผิดของเขาเอง เขาไม่ควรมีความหวังใดๆ กับผู้หญิงคนนี้เลยนางก็แค่จิ้งจอกไร้หัวใจ ต่อให้ปฏิบัติกับนางดีแค่ไหน นางก็ยังคอยมองหาโอกาสจะกัดเจ้าให้ได้ไป๋หู่เริ่มร้อนใจ รีบยื่นมือไปดึงตัวอ๋องฉีออกมา เวลานี้เขาไม่สนเรื่องลำดับชั้นอีกแล้วทหารของทางการที่นี่ไม่รู้จักอ๋องฉี กลับมองพวกเขาเป็นเพียงแค่โจรมันช่างมีอันตรายรอบด้าน!หากพวกเขาพลาดแม้แต่นิดเดียว ก็อาจต้องตายอย่างไร้ร่องรอยที่นี่!อ๋องฉียังพอมีสติอยู่บ้าง แม้จะโกรธจนแทบเสียสติ แต่เขาก็ยังตัดสินใจอย่างรวดเร็ว ปล่อยให้ไป๋หู่กับชิงหลงลากตัวเขาถอยหนีไปเหล่าองครักษ์ลับได้รับการฝึกฝนอย่างโหดเหี้ยม พวกเขาแข็งแกร่งกว่าทหารของทางการเป็นธรรมดา แม้ช่วงแรกจะตื่นตระหนกไปบ้าง แต่เพียงไม่นานก็กลับมาตั้งหลักได้ และช่วยกันคุ้มกันอ๋องฉีถอยร่นออกไปในขณะเดียวกัน…ฮูหยินโจวหน้าซีดเผือดด้วยความตกใจ แต่ยังรีบวิ่งไปหาเหล่าสตรีของตระกูลเซี่ยทันทีที่
ทว่าตอนนี้ไม่เหมือนเดิมแล้ว ทุกอย่างเกิดขึ้นในชั่วพริบตาเดียวชีหยวนไล่ตามไปถึงตัวเขาแล้ว ปล่อยเกาทัณฑ์แขนเสื้อใส่เขาโดยไม่ปรานีพุ่งทะลุคอหอย จูเชวี่ยแม้แต่เสียงร้องยังไม่มีโอกาสเปล่งออกมา ก็ร่วงลงไปกระแทกพื้นทันทีไป๋หู่มองด้วยความโกรธสุดขีด จนตะโกนลั่นออกมาอย่างอดไม่ได้ จากนั้นอดกัดฟันแน่นไม่ได้ มองชีหยวนด้วยสายตาแค้นเคืองชีหยวนก็แค่คนเดียวที่ไล่ตามมา ต่อให้เก่งแค่ไหนจะทำอะไรได้?หมัดคู่เดียวสู้สี่มือไม่ได้ พวกเขาล้วนเป็นมือสังหารที่ผ่านการฝึกฝนมาอย่างเข้มงวด หรือว่าคนตั้งหลายสิบคน จะต้องมาหวาดกลัวผู้หญิงเพียงคนเดียวอย่างนั้นหรือ?!หากเรื่องนี้แพร่ออกไปคงกลายเป็นเรื่องขบขันจนใครๆ หัวเราะเยาะแน่!เขากัดฟันสั่งชิงหลงว่า "คุ้มกันท่านอ๋องให้ดี ข้าจะนำคนกลุ่มนี้ของข้าไปฆ่านังคนเลวนั่นเอง!"กลุ่มของเขามีถึงสิบคน ก็ไม่เชื่อหรอกว่าจะฆ่าชีหยวนคนเดียวไม่ได้!ทว่าในตอนนั้นเอง เสียงนกหวีดแหลมคมก็ดังขึ้นจากเนินเขารอบๆ อย่างต่อเนื่อง!ทันใดนั้นเอง เงาร่างมากมายก็ปรากฏขึ้นบนเนินเขาทั้งสองฝั่งชิงหลงกระชากแขนของเขาไว้ กล่าวด้วยสายตาเต็มไปด้วยความเคร่งเครียด: “ปกป้องท่านอ๋องก่อน!”ชีหยว
ไป๋หู่รู้สึกเหมือนหัวใจตนเองแทบจะหยุดเต้น ดีที่ชิงหลงมาถึงทันเวลา พุ่งชนอาชาของอ๋องฉีด้วยความรวดเร็ว อาชาตกใจและทะยานไปข้างหน้า การเคลื่อนไหวในมือของชีหยวนพลันหยุดชะงัก และในจังหวะนั้นเอง อ๋องฉีก็สะบัดตัวหลุดออกจากการควบคุมของชีหยวนและกลิ้งไปกับพื้น เสี้ยวพริบตาที่แผ่นหลังกระแทกลงไปบนพื้น อ๋องฉีรู้สึกว่าอวัยวะภายในทั้งหมดของตนเองเหมือนจะแตกเป็นเสี่ยงเพราะแรงกระแทก เขาขดตัวเป็นก้อนด้วยความเจ็บปวด ชิงหลงอกสั่นขวัญแขวน เขาไม่เคยพบเจอสตรีคนใดที่อันตรายเท่าชีหยวนมาก่อน นางเป็นคนบ้าวิกลจริตไปแล้วจริง ๆ! ไม่สิ แบบนี้มันปีศาจบ้าคลั่งชัด ๆ! เขารีบคว้าตัวอ๋องฉีขึ้นมาบนหลังอาชาของตนเองอย่างเอาเป็นเอาตาย ก่อนจะพาอ๋องฉีควบอาชาหนีไปอย่างสุดชีวิต โดยไม่สนใจใครหน้าไหนทั้งสิ้น คนยิ่งหนีไกลออกไปเรื่อยๆ เกาทัณฑ์แขนเสื้อจึงยิงไปไม่โดนเป้าหมายอีก ชีหยวนหรี่ตา เห็นซองใส่ลูกธนูขององครักษ์ลับคนหนึ่งร่วงตกลงบนพื้น ก็เอื้อมมือไปหยิบขึ้นมา ขึ้นคันธนู และปล่อยลูกธนูยิงออกไปทางอ๋องฉีสามดอกติดกัน ธนูสองดอกถูกอ๋องฉีและชิงหลงปัดทิ้งไปได้ ทว่ายังมีอีกดอกหนึ่งที่ปักเข้ากลางไหล่ขวาของอ๋องฉี ร่างกาย
เซี่ยหรูพยักหน้ารับ มิได้หยุดชะงัก แล้วก็เล่าเรื่องราวทุกอย่างอย่างละเอียด ว่าชีหยวนมาพบตนเองได้อย่างไร สังหารโจวเสี่ยวเผิงอย่างไร สังหารเฉินฮ่าวฮุยและคนอื่นอย่างไร และบอกว่านางไปพบท่านเจ้าเมืองเพื่อเตรียมการขั้นต่อไปอย่างไร เซี่ยอิ๋งได้ฟังแล้วดวงตาถึงกับสั่นไหว หากมิใช่เพราะตนเองประสบพบเจอทุกสิ่งมากับตัว เขาคงนึกว่าท่านอาของตนเองกำลังเล่านิทานให้เขาฟังไปเสียแล้ว จะมีดรุณีที่เก่งกาจเพียงนี้อยู่จริงได้อย่างไร? นางเหมือนไม่ใช่คน ทว่าเหมือนกับเป็นเทพเซียนอย่างไรอย่างนั้น! วางอุบายรอบคอบไร้ที่ติ ชำนาญทั้งบู๊และบุ๋น สังหารคนราวกับฆ่าไก่ สุดท้ายความตกตะลึงเหล่านี้ได้กลั่นออกมาเป็นคำถามเพียงประโยคเดียว: “ท่านอา คุณหนูใหญ่สกุลชีคนนี้บัดนี้อยู่ที่ใดแล้วขอรับ?” ฮูหยินโจวเอ่ยด้วยเสียงเบาหวิว: “ไล่ตามอ๋องฉีไปแล้ว ข้าเห็นนางคล้ายกับว่าจะ…” ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ฮูหยินโจวก็เอ่ยด้วยเสียงที่เบาลงยิ่งกว่าเดิม: “คล้ายว่าจะมีความแค้นฝังลึกกับอ๋องฉี…” เซี่ยอิ๋งพลันตัดสินใจทันที: “ข้าจะไปพบคุณหนูใหญ่สกุลชีท่านนี้” ทว่า เขายังไม่ทันออกเดินทาง พ่อบ้านสวีก็วิ่งกระหืดกระหอบเข้ามาพลางร้องว่า: “
ชิงหลงอยู่ในอารมณ์ตึงเครียด ออกเดินทางครั้งนี้ เดิมทีเตรียมตัวไว้เพียงเรื่องที่จะชิงตัวพระชายาหลิ่วมาให้ได้ก่อนเท่านั้น ผลสุดท้ายแม้แต่เงาของพระชายาหลิ่วยังไม่ได้สัมผัส กลับต้องสูญเสียหัวหน้าองครักษ์ลับไปถึงสองนาย และองครักษ์ลับไปอีกสิบกว่าชีวิต ยิ่งไปกว่านั้นแม้แต่อ๋องฉียังได้รับบาดเจ็บสาหัสถึงเพียงนี้อีก ถึงขั้นเดินไม่ได้! นี่มันหมายความว่าอะไร? หมายความว่าต่อจากนี้อ๋องฉีอาจจะมีปัญหาเรื่องขา ซึ่งนั่น นั่นก็หมายความว่าอ๋องฉีจะสูญเสียสิทธิ์ในการแย่งชิงราชบัลลังก์ไป! นับแต่อดีตมาถึงตอนนี้ ฮ่องเต้ที่ร่างกายทุพพลภาพมีอยู่สักกี่พระองค์กัน? โดยเฉพาะช่วงที่แผ่นดินและราชวงศ์กำลังรุ่งเรืองเฟื่องฟู ยิ่งไม่มีทางยอมให้มีฮ่องเต้ซึ่งร่างกายทุพพลภาพพระองค์ใดปรากฏขึ้น! บัดนี้อ๋องฉีสั่งให้เดินทางกลับเมืองหลวงทันที ชิงหลงค่อนข้างกังวลใจกับสภาพบาดแผลของเขาจึงเอ่ยว่า: “ทว่าบาดแผลของท่านอ๋อง…” สีหน้าของอ๋องฉีกลับนิ่งสงบอย่างน่าเหลือเชื่อ สงบมากจนดูน่าประหลาด เขากัดฟันกรอด: “พาคนผู้นี้ไปด้วย กลับไปพบหมอเทวดาเซวีย! เดินทางเดี๋ยวนี้!” หมอเทวดาเซวียเป็นหมอเทวดาเลื่องชื่อไปทั่วหล้า คนสกุล
ฉู่กั๋วกงหลับตา: “จิงหงเขา เกิดเหตุร้ายขึ้นจริง ๆ” เส้นที่ขึงตึงอยู่ในสมองของนางพลันขาดผึงทันใด นางคว้าแขนเสื้อของฉู่กั๋วกงไว้ด้วยอารมณ์เดือดพล่าน: “เพราะอะไร? เพราะชีหยวนใช่หรือไม่?!” ไม่มีทางเป็นเพราะสาเหตุอื่นอย่างแน่นอน บุตรชายตามชีหยวนออกไป นางกัดฟันกรอด เสียงที่เปล่งออกมาราวกับเค้นออกมาจากลำคอ: “อยู่ดี ๆ ลูกของข้าจะเกิดเหตุร้ายขึ้นได้อย่างไร?!” เห็นดวงตาของนางแดงก่ำ ฉู่กั๋วกงก็ถอนหายใจก่อนจะนั่งลง เล่าต้นสายปลายเหตุทั้งหมดของเรื่องนี้ให้นางฟัง แววตาของฮูหยินหลิ่วเต็มไปด้วยความอาฆาต สีหน้าโหดเหี้ยมอำมหิต ภายในใจเต็มไปด้วยความโกรธแค้นที่สูงล้นฟ้า “ฆ่านางซะ!” หลังจากเงียบไปชั่วขณะ ฮูหยินหลิ่วก็เหลือบสายตาแดงก่ำของตนเองจ้องมองฉู่กั๋วกงตาเขม็ง: “ข้าต้องการฆ่านาง ต้องการให้นางตายอย่างทรมาน! ต้องการให้ศพของนางถูกสับเป็นหมื่นชิ้น!” หากไม่แล้ว มันไม่พอจะดับไฟแค้นในใจของนางได้เด็ดขาด! นางชาติชั่วอัปรีย์คนนี้! แค่เศษสวะต่ำต้อย กล้าดีอย่างไรถึงมาทำร้ายจิงหงของนาง! เหตุไฉนสวรรค์ถึงได้อยุติธรรมเพียงนี้?! ปล่อยให้คนชั่วช้าสามานย์แบบนี้ก่อกรรมทำชั่วสำเร็จได้อย่างไร! เพร
ขอบฟ้าเริ่มสว่างรำไร ดวงตะวันสีทองเคลื่อนขึ้นจากปลายฟ้า มอบความอบอุ่นให้ยามเช้าที่ชุ่มไปด้วยหยาดน้ำค้าง ทว่าเวลานี้พวกเหล่าจ้าวกลับไม่รู้สึกถึงความอบอุ่นแม้แต่น้อย พวกเขาทุกคนตั้งท่าระวังภัยอย่างเคร่งเครียด ยกอาวุธในมือขึ้นอย่างพร้อมเพรียง กระทั่งเห็นศีรษะโผล่ออกมาจากซอกเขา เหล่าจ้าวก็ผงะไป เซียวอวิ๋นถิงกลับพุ่งลงจากเนินเขาทันที และโยนซองธนูในมือทิ้งไปให้เหล่าจ้าว ก็สาวเท้าวิ่งตรงไปหาชีหยวนทันที เสี้ยวพริบตานั้น เซียวอวิ๋นถิงอธิบายความรู้สึกภายในใจของตนเองไม่ถูก ทว่าความตื่นเต้นในน้ำเสียงของเขานั้นปิดไม่มิด “เจ้ามาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร?” เขามองชีหยวน แทบจำไม่ได้ว่าคนมอมแมมตรงหน้าตอนนี้ก็คือชีหยวน ชีหยวนสะบัดศีรษะ ไล่น้ำค้างที่เกาะอยู่ออกไป พอได้ยินเช่นนั้นก็ยิงฟันใส่เซียวอวิ๋นถิงไปหนึ่งที: “กำลังเดินทางกลับเมืองหลวง แต่ก็อยากแวะมาดูสถานการณ์ที่นี่สักหน่อย” ดูอะไร? เซียวอวิ๋นถิงแทบจะเข้าใจในทันที: “อยากดูว่าคนสกุลหลิ่วค้นพบแล้วหรือยังอย่างนั้นหรือ?” ชีหยวนผงกศีรษะ พลางปัดมือเพื่อเอาเศษดินโคลนที่ติดอยู่บนมือออกไป ก่อนจะเอ่ยอย่างไม่ยี่หระ: “หลุมข้างล่างถูกคนรื้อไปแล้ว
คนอย่างชีหยวนรู้จักกลัวอะไรบ้าง? เขานวดใบหน้าของตนเองที่เริ่มแข็งทื่อไป พลางส่งเสียงเฮอะออกมาแล้วถึงจะเอ่ยขึ้นว่า: “หากเป็นอย่างที่เจ้าว่า บัดนี้อ๋องฉีได้รับบาดเจ็บและกำลังเดินทางกลับเมืองหลวง เช่นนั้นเจ้าต้องระวังตัวให้ดี เขากลับเมืองหลวงไปได้อย่างปลอดภัย ย่อมปกปิดเรื่องที่เขาแอบหนีออกจากเมืองหลวงได้เป็นธรรมดา ทว่าความแค้นของพวกเสี่ยวหลิ่วกุ้ยเฟยที่มีต่อเจ้ามีแต่จะยิ่งเพิ่มขึ้น” ชีหยวนเปล่งเสียงอืมออกมาอย่างไม่ใส่ใจ: “ใช่ ฉะนั้นข้าจึงต้องรีบกลับเมืองหลวง หากว่าข้าไม่ได้อยู่ที่เมืองหลวง พวกเขาจะจัดการข้าได้ง่ายขึ้น” เดิมทีนางก็ควรเป็นคุณหนูผู้สูงศักดิ์ที่อาศัยใช้ชีวิตอยู่ในจวนโหว ..... ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเหตุใด พออยู่กับชีหยวนแล้ว บทสนทนามักจะจบลงเร็วเสมอ คงจะเป็นเพราะนางพูดน้อยเกินไปกระมัง มีอะไรก็จะพูดแค่นั้นตลอดมา ไม่เคยใช้คำพูดเยิ่นเย้อฟุ่มเฟือย เซียวอวิ๋นถิงมองนางด้วยสายตาลุ่มลึก: “หลังจากนี้มีแผนการอะไรหรือ? บัดนี้เจ้ามีศัตรูอยู่รอบด้าน” “คอยดูสถานการณ์ เดินทีละก้าว” ชีหยวนตอบกลับอย่างไม่ใส่ใจ “ใครกล้าโผล่ออกมาก่อนก็จัดการคนนั้นก่อน” ถึงอย่างไรหากคนอื่นไม่ตายก็ต้
พระที่ถูกจี้ด้วยธูปร้องเสียงหลงกลางป่าเขาที่เงียบสงัด เสียงกรีดร้องของพระรูปนั้นดังสนั่นแทบทะลุทะลวงเมฆบนฟ้าพระรูปอื่น ๆ ต่างก็ตกตะลึงกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น พอเห็นชีหยวนก็พากันทำหน้าเหมือนเห็นผีนี่ผีหรือ หญิงสาวผู้นี้ ไฉนถึงออกมาได้อย่างปลอดภัย?!ไม่น่าเชื่อว่าฉือซานจะไม่ลงมือกับหญิงสาวที่งดงามขนาดนี้?!แต่พวกเขาไม่มีเวลาคิดหาคำตอบอีกต่อไปแล้ว เพราะชีหยวนได้ชักกระบี่อ่อนจากเอวออกมาใช้วรยุทธ์ของนางเพื่อฆ่าสวะพวกนี้ถือเป็นการขี่ช้างจับตั๊กแตนโดยแท้ เวลาไม่ถึงหนึ่งก้านธูป พระสิบกว่ารูปก็ตายหมดจิ้งคงถึงกับอึ้งงันเขาขดตัวเป็นก้อน ยื่นมือออกมาบังอย่างขลาดกลัว “อย่านะ อย่า อย่าสังหารข้า อย่าสังหารข้าเลย!”ชีหยวนเก็บกระบี่อ่อนไป เอ่ยถามเสียงขรึม “ลุกขึ้นเองไหวหรือไม่?”จิ้งคงถึงเพิ่งรู้ว่าชีหยวนไม่มีเจตนาจะฆ่าเขา เขาฝืนรับคำ แล้วค่อย ๆ ยันกายลุกขึ้นจากพื้น แล้วมองไปที่ชีหยวนอยากจะพูดอะไรบางอย่าง แต่ก็ลังเลชีหยวนเอ่ยถามเขาตรง ๆ ไม่อ้อมค้อม “รู้หรือไม่ว่าหญิงสาวพวกนั้นถูกขังอยู่ที่ใด?”จิ้งคงน้ำตาคลอทันที ที่แท้นางมาที่นี่เพื่อช่วยพวกหญิงสาวพวกนั้นเขารีบพยักหน้า “รู้ ทุกค
ด้านนอก บรรดาพระกำลังรุมสั่งสอนจิ้งคงผู้ที่ขัดขวางไม่ให้ชีหยวนเข้าวัดเมื่อครู่จิ้งคงกลิ้งอยู่กับพื้น สองมือกอดศีรษะ ปกป้องจุดสำคัญของร่างกาย พร้อมเรียกศิษย์พี่ไม่ขาดปาก พยายามคลานขึ้นมาคุกเข่าขอร้องแต่เขาเพิ่งจะลุกขึ้นได้ พระอีกรูปก็เตะเขาล้มลงไปอีก แล้วพูดเสียงเย็นชา “ข้าก็ว่าอยู่ พักนี้เหตุใดหญิงสาวแรกรุ่นถึงมาที่วัดน้อยลง ที่แท้ในวัดเราก็มีคนทรยศ!”จิ้งคงถูกซ้อมจนใบหน้าเขี้ยวช้ำบวมปูด ปากกับจมูกมีเลือดไหล แต่กลับไม่กล้าเช็ด ตาโปนจนแทบลืมไม่ขึ้น เริ่มโขกศีรษะกับพื้นไม่หยุด “เป็นความผิดของศิษย์น้องเอง ศิษย์น้องไม่กล้าอีกแล้ว ขอศิษย์พี่ไว้ชีวิตข้าด้วย ขอให้ศิษย์พี่ไว้ชีวิตข้าด้วย!”“ไว้ชีวิตเจ้าหรือ?!” พระที่เป็นหัวโจกอีกคนคว้ากำธูปจากกระถางธูปใกล้มือ แล้วพลิกกลับด้าน จี้ลงบนหัวของจิ้งคงอย่างกะทันหันจิ้งคงพลันกรีดร้องโหยหวน พลางร้องไห้กลิ้งไปมาบนพื้นพระพวกนั้นกลับพากันหัวเราะเสียงดังพระที่ใช้ธูปจี้หัวจิ้งคงเอ่ยเสียงดูแคลน “พวกเราก็รู้กันดี พระอาจารย์ชอบเก็บหญิงสาวที่ดีที่สุด หน้าตาสวยที่สุดไว้ให้ ‘บรรพบุรุษเบื้องบน’ เสวยสุข คนที่มาวันนี้น่ะ งามไม่เป็นสองรองใคร เห็นแวบเดียวก
เขาก้าวเท้าไปด้วยรอยยิ้ม “อมิตา...”ยังไม่ทันกล่าวคำสวดจบ ชีหยวนก็เหยียบต้นไม้ส่งตัวเองลอยขึ้นไป แล้วฟาดเท้าเข้าใส่อกของฉือซานอย่างจัง ฉือซานกระเด็นลงไปกองกับพื้น กระอักเลือดออกมาเต็มปากจากนั้นก็ไม่หยุดการเคลื่อนแม้แต่น้อย นางพุ่งเข้าหาฉือซาน มีดสั้นในแขนเสื้อก็เผยออกมา จ่อเข้าที่อกของเขาฉือซานถึงกับมึนงงไปกับการเคลื่อนไหวนี้ไหนบอกว่าเป็นหญิงสาวที่ไร้หนทาง ไร้ที่พึ่ง ถูกบีบบังคับให้มาขอบุตรไงเล่า?นี่มันคืออะไรกันแน่?!ชีหยวนมองเขาด้วยสายตาเย็นชา สายตานั้นไม่เหมือนกับมองคน แต่เหมือนมองดูหินก้อนหนึ่ง หรือไม่ก็ต้นไม้ต้นหนึ่ง เหมือนมองสิ่งที่ไร้ชีวิตนางไม่พูดพร่ำเพรื่อ ถามขึ้นตรง ๆ “หญิงสาวที่พวกเจ้าลักพาตัวมาจากเรือนพักนอกเมืองเมื่อไม่กี่วันก่อน พวกเจ้าพาไปซ่อนไว้ที่ใด?”ฉือซานเบิกตากว้างในทันที ริมฝีปากสั่นระริกปลายมีดของชีหยวนแทงอกของเขาลึกหนึ่งชุ่นโดยไม่รั้งรอ เลือดไหลพรวดออกจากแผลทันทีจากนั้นนางก็ถาม “ผู่อู๋ย่งเป็นลุงแท้ ๆ ของเจ้าใช่หรือไม่? เห็นได้ยากจริง ๆ หลานของไอ้หมาขันที เขาบอกเจ้าว่าให้เจ้าอยู่นิ่ง ๆ ไปพักหนึ่ง รออีกไม่นานจะให้เจ้าไปเป็นขุนนางที่สำนักพระพุทธศาส
ชีหยวนควบม้าเร็วออกจากเมือง โดยไม่พาคนติดตามไปแม้แต่คนเดียว ลมพัดแรงจนเสื้อคลุมสีแดงสดของนางปลิวสะบัด แต่นางกลับไม่ใส่ใจแม้แต่น้อย แม้หมวกคลุมศีรษะจะเปิดออก นางก็ไม่คิดจะดึงกลับมาสวมอีกนางรู้ดีบนโลกนี้ไม่มีแม่ทัพไร้พ่ายตั้งแต่อดีตจนปัจจุบัน เว้นแต่จ้าวจื่อหลงผู้เป็นดั่งปาฏิหาริย์ ผู้อื่นแม้เป็นแม่ทัพที่เก่งกล้าสักเพียงใด ก็ล้วนเคยลิ้มรสความพ่ายแพ้แต่สำหรับนาง ไม่มีทาง!โดยเฉพาะคนที่ฆ่านาง ทั้งยังทำให้คนที่นางพามาด้วยต้องเติบโตขึ้นโดยไม่มีแม่ ก็ยิ่งสมควรตาย!ตั้งแต่เล็กจนโต สิ่งที่นางไม่เคยเข้าใจก็คือเหตุใดหลี่ซิ่วเหนียงถึงไม่เหมือนแม่คนอื่นสิ่งที่นางอิจฉามากที่สุดก็คือเด็กคนอื่น ๆบัดนี้มีเด็กอีกคนหนึ่งที่ต้องกลายเป็นกำพร้าเพราะนาง ชีหยวนรู้สึกว่าตัวเองช่างบาปหนานักแน่นอนว่าความผิดของนางมีอยู่จริง แต่มันก็ยังมีบางคนที่สมควรจะลงนรกสิบแปดขุม!นางควบม้าเร็วเร่งรุดมาถึงวัดว่านอันที่ชานเมืองหลวง เอียงศีรษะเล็กน้อย จ้องคำว่าวัดว่านอันสามคำนั้นอย่างเย็นชา บนใบหน้าฉายแววเย็นเยียบอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อนออกจากเมืองหลวงมาถึงที่นี่ก็เป็นเวลาค่ำแล้วยามดึกดื่นเช่นนี้ หญิงสาววัยแรกแย
ก็ต้องมี ‘คืนของขวัญ’ กลับไปบ้างกระมัง?ชีเจิ้นก็พลันเข้าใจ เพียงแค่เป้าหมายไม่ใช่ผู่อู๋ย่ง แต่ก็ยังเป็นการไปสังหารคนอยู่ดีเขาคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะกำชับว่า “เช่นนั้นก็ ระวังตัวด้วยแล้วกันนะ”ชีหยวนก็เดินตรงดิ่งออกจากประตูไปชีเจิ้นจึงหันกลับมามองท่านโหวผู้เฒ่าชีกับฮูหยินผู้เฒ่าชี “ท่านพ่อ ท่านแม่ ข้านึกขึ้นได้แล้ว วันปีใหม่วันนั้น แม่หนูหยวนบอกว่านอกจากจะแวะไปที่เรือนนอกเมืองแล้ว ยังมีธุระที่ต้องทำ มันเป็นธุระอะไรกันแน่?”ทั้งยังเป็น ‘การคืนของขวัญ’ ให้ผู่อู๋ย่งอีกด้วย?ท่านโหวผู้เฒ่าชีถลึงตาใส่เขาอย่างไม่สบอารมณ์ “เจ้าถามข้าแล้วข้าจะไปถามใคร โดนขังมาหลายวันแล้วเจ้ายังไม่เหนื่อยหรือไง? ทำตัวดี ๆ รีบไปอาบน้ำแล้วนอนพักเสีย ตอนเย็นค่อยไปกินข้าวที่เรือนใหญ่!”ชีเจิ้นอยากรู้จนใจแทบขาด แต่ก็ไม่อาจรู้ได้เลยว่าชีหยวนกำลังทำเรื่องอะไรที่เกี่ยวกับผู่อู๋ย่ง และยังจะบอกว่าเป็น ‘การคืนของขวัญ’ ให้อีกฝ่ายอีกต่างหากแต่แล้วเขาก็นึกขึ้นได้อีกเรื่องหนึ่ง “ท่านพ่อ! ผู้บัญชาการไล่จะไม่เป็นอะไรใช่หรือไม่?!”ไล่เฉิงหลงช่วยพวกเขาไว้มาก ที่ไม่โดนลงโทษก็เพราะอีกฝ่ายช่วยไกล่เกลี่ยแล้วไอ้หมาขันทีอ
ชีหยวนเลิกคิ้วขึ้นนิด ๆ เห็นทั้งสองคนกลับมาดูครบสามสิบสอง ดูก็รู้ว่าไม่ได้ถูกลงโทษ ก็รู้ทันทีว่าเป็นไล่เฉิงหลงที่ช่วยไว้นางหลุบตาลงแล้วส่ายหน้า “ไม่ใช่เพราะข้าหรอกเจ้าค่ะ เรื่องนี้เดิมทีก็เกิดขึ้นเพราะข้า เป็นข้าที่ก่อเรื่องวุ่นวายขึ้นมา พวกท่านต้องลำบากก็เพราะข้า”ความรู้สึกของท่านโหวผู้เฒ่าชีซับซ้อนอย่างยิ่งชีเจิ้นก็เช่นกันชีหยวนก็ถือว่าเข้าใจฐานะของตนเองดีนัก และไม่ทำตัวเกรงใจเกินจำเป็น พูดสิ่งที่ควรพูด ไม่สนใจด้วยซ้ำว่าจะมีใครตอบรับได้หรือไม่แต่ว่านางพูดตรงได้ ทว่าท่านโหวผู้เฒ่าชีกับชีเจิ้นย่อมไม่อาจตอบกลับตรง ๆ เช่นนั้น ท่านโหวผู้เฒ่าชีจึงกล่าวว่า “พูดอย่างนั้นก็ไม่ได้หรอก ตำแหน่งนี้ของเขา ทำมาก็หลายปี อยู่กึ่งกลาง หากทำงานของฝ่าบาทได้สำเร็จ เช่นนั้นสักวันก็ต้องเกิดเหตุเช่นนี้”ถ้าหากทำไม่สำเร็จ ต้องสืบหากันไปเรื่อย ๆ ไม่จบไม่สิ้น ฮ่องเต้หย่งชางก็ย่อมต้องเริ่มสงสัยในความสามารถของชีเจิ้น และหมดความอดทนต่อเขาฉะนั้นว่ากันตามจริงแล้ว เคราะห์นี้ก็หลีกเลี่ยงไม่ได้อยู่ดี ยังดีที่มีชีหยวนอยู่ จึงสามารถคลี่คลายเรื่องราวได้รวดเร็วขนาดนี้ท่านโหวผู้เฒ่าก็โล่งอก เมื่อเห็นเหล่าลูก
ฮ่องเต้หย่งชางกวาดพระเนตรมองโดยรอบ ตวาดเสียงเกรี้ยว “อ่างน้ำมงคลเล่า? ไยถึงได้มาช่วยดับไฟกันช้านัก?!”แล้วก็รีบร้อนหันไปถามไล่เฉิงหลง ซึ่งรับหน้าที่เฝ้าตำหนักเฟิ่งเจ่าในวันนี้ “ร่างของกุ้ยเฟยเล่า?”ไล่เฉิงหลงเหงื่อไหลท่วมทั้งร่าง คุกเข่าลงแล้วคารวะ “กระหม่อมกับนายพันลู่ช่วยกันหามร่างของกุ้ยเฟยออกมาได้แล้วพ่ะย่ะค่ะ เพียงแต่...”พวกเขาก็รู้ดีว่าเสี่ยวหลิ่วกุ้ยเฟยมีตำแหน่งเช่นไรในพระทัยของฮ่องเต้หย่งชาง ไหนเลยจะกล้าปล่อยให้ร่างของเสี่ยวหลิ่วกุ้ยเฟยถูกเผาจนมอดไหม้?หากปล่อยให้เป็นเช่นนั้นจริง เกรงว่าพวกตนก็คงต้องลงไปอยู่กับบรรพบุรุษแล้วแต่ถึงจะช่วยออกมาได้ ทว่าร่างของกุ้ยเฟยก็ยังคงดูเวทนานักอย่างน้อยเส้นผมของเสี่ยวหลิ่วกุ้ยเฟยก็ถูกไฟไหม้ไปแล้วครึ่งหนึ่งใบหน้าก็ถูกควันรมจนดำไปหมดฮ่องเต้หย่งชางปิดดวงเนตรลง เอื้อมพระหัตถ์ไปลูบไล้ใบหน้าของเสี่ยวหลิ่วกุ้ยเฟย สั่งการด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม “ไล่เฉิงหลง ลู่อี้เฟิง ดูแลไม่ดีจนตำหนักเฟิ่งเจ่าเกิดเพลิงไหม้ ให้ไปรับการลงโทษโบยสามสิบไม้ที่กรมวัง!”จากนั้นก็นิ่งไปครู่หนึ่ง แล้วถามต่อ “เหตุใดอ่างน้ำมงคลถึงกลายเป็นน้ำแข็ง?”ในวังหลวง ตามถนนสาย
ฮ่องเต้หย่งชางเหนื่อยล้าอย่างถึงที่สุดหลายวันมานี้ ทุกค่ำคืนเขามักจะฝันถึงเรื่องราวในอดีตตัวเขากับพระชายาหลิ่วสมัยยังอยู่ในดินแดนศักดินาในช่วงนั้น ยามใดที่คลื่นลมในทะเลพัดแรง ไม่รู้ว่าหลังคาบ้านของราษฎรกี่หลังจะปลิวว่อนทุก ๆ ปีล้วนมีคนต้องสังเวยชีวิตเพราะเหตุนี้ไม่น้อยแค่นั้นยังพอทนได้ แต่ภูมิอากาศก็ยังเย็นชื้น ทำให้ข้อกระดูกของเขาเจ็บเรื้อรังพระชายาหลิ่วจึงมักช่วยทำการรมยาเฉพาะจุดให้เขา อยู่เคียงข้างช่วยเหลือราษฎร คิดหาหนทาง ร่วมมือกับขุนนางท้องถิ่น แบ่งเขตพื้นที่ แล้วสอนชาวบ้านสร้างบ้านจากหินที่แข็งแรงมั่นคงในบริเวณที่ปลอดภัยกว่ายังได้ขอร้องอดีตฮ่องเต้ให้ส่งช่างจากกรมโยธามาช่วยสอนการเปิดเตาเผาและเผาอิฐพวกเขาค่อย ๆ แก้ไข นำพาเมืองจางโจวจากดินแดนยากไร้กลายเป็นเมืองมั่งคั่ง แม้แต่เมืองใกล้เคียงอย่างเฉวียนโจวก็ยังได้สร้างท่าเรือบางคราก็ฝันถึงเสี่ยวหลิ่วกุ้ยเฟยแรกเริ่มเดิมที เขาก็ไม่ได้คิดจะให้เสี่ยวหลิ่วกุ้ยเฟยเข้าวังเลยด้วยซ้ำเสี่ยวหลิ่วกุ้ยเฟยอายุน้อยกว่าเขามากเกินไป ห่างกันถึงสิบสองปีเขามองนางเหมือนน้องสาวคนหนึ่งมาตลอดแต่เมื่อเวลาค่อย ๆ ผ่านไป เสี่ยวหลิ่วกุ้ยเ
ปิดไม่มิดแล้วเขาไม่มีทางบ้าเลือดถึงขั้นลากผู่อู๋ย่งลงไปด้วยหรอก อย่างน้อยแบบนี้ผู่อู๋ย่งก็ยังอาจเห็นแก่ที่เขาเชื่อฟัง แล้วช่วยดูแลคนในตระกูลของเขาบ้างมิเช่นนั้น เกรงว่าตระกูลสวีคงไม่เหลือแม้แต่คนเดียวเซี่ยกงกงเชิญไล่เฉิงหลงเข้ามา ไล่เฉิงหลงก็นำเอกสารคำรับสารภาพพร้อมลายนิ้วมือของคนเหล่านั้นมาขึ้นถวายฮ่องเต้หย่งชางเพียงแค่เหลือบตามอง ก่อนจะเหวี่ยงเอกสารลงตรงหน้าสวีฮว่าน “เจ้ายังมีอะไรจะพูดอีก? คดีลักลอบค้าของเมื่อปลายปีก่อนก็เริ่มสอบตั้งแต่ตอนนั้นแล้ว เจ้าคงคิดหาแพะรับบาปไว้ตั้งแต่นั้นกระมัง? ถึงได้ยุยงปลุกปั่นพวกครัวเรือนทหารที่มีเอี่ยว ให้เชื่อว่าตระกูลชีหักหลังพวกเขา ให้พวกเขารับผิดแทน!”สวีฮว่านฟุบหน้าลงกับพื้น สั่นเทาไปทั้งร่าง เอ่ยปากวิงวอนไม่หยุด “ฝ่าบาทโปรดเมตตา ฝ่าบาทโปรดไว้ชีวิตเถิดพ่ะย่ะค่ะ!”ฮ่องเต้หย่งชางแค่นเสียงเย็น แล้วกวาดดวงเนตรมองเหล่าขุนนางบุ๋นบู๊ “เมื่อครู่พวกเจ้าล้วนโกรธแค้นลุกฮือกันขึ้นมา กล่าวว่านี่คือการสมคบคิดศัตรู ขายชาติ ทรยศหักหลัง เป็นความผิดฐานคิดกบฏ พวกเจ้าพูดถูกแล้ว”สิ้นคำ ก็เรียกผู้บัญชาการศาลต้าหลี่เติ้งเหรินกู้ “คดีนี้ให้ศาลต้าหลี่เป็นผู้สื