นางเม้มริมฝีปากเล็กน้อย มือแตะลงบนรอยแผลเป็นอยู่ชั่วขณะพลางเอ่ยถามเบาๆ: “บาดเจ็บได้อย่างไร?”ชีหยวนดึงแขนเสื้อให้เรียบร้อย โชคดีที่ฮูหยินผู้เฒ่าหวังไม่ได้เห็นแขนอีกข้าง ที่ยังผูกมีดเกาทัณฑ์แขนเสื้อเอาไว้อยู่นางตอบเสียงเรียบ: “หลานจำไม่ได้แล้ว คงเป็นตอนที่ช่วยเชือดหมูช่วงปีใหม่ปีใดปีหนึ่ง แล้วพลาดถูกมีดเชือดหมูบาดเข้า”นางจำไม่ได้แล้วจริงๆ แต่ฮูหยินผู้เฒ่าหวังกลับแทบจะกลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่แล้วนางก็คิดไว้แล้วว่า ความสามารถต้องแลกมาด้วยราคาเสมอเด็กสาวที่สามารถยึดบังเหียนไว้ได้แม้ในขณะที่ตกจากหลังม้า ในชีวิตนี้ย่อมผ่านความยากลำบากมานับไม่ถ้วนขณะนั้นเอง มีเสียงรายงานจากข้างนอกว่า คนจากจวนฉู่กั๋วกงและจวนเฉิงกั๋วกงมาเยือนฮูหยินผู้เฒ่าหวังสูดลมหายใจลึกๆ ตั้งสติ ก่อนจะยิ้มออกมาอย่างแผ่วเบา: “เด็กดี ช่างเป็นเด็กดีจริงๆ เจ้าไปเล่นกับน้องหญิงของเจ้าก่อนเถิด เดี๋ยวไว้เราค่อยคุยกันอีก”ชีหยวนรับคำ เมื่อเห็นหวังฉานเดินเข้ามาพร้อมรอยยิ้มและดึงตัวนาง ก็ก้มหน้าลงซ่อนแววตาที่เย็นชาฮูหยินฉู่กั๋วกงมาแล้ว ดูท่าปัญหาคงใกล้เข้ามาแล้วหวังฉานจูงมือนางเดินออกไป ตลอดทางนางร่าเริงเหมือนลูกกวางตัว
สีหน้าของอ๋องเฉิงเรียบนิ่ง บิดคอสาวใช้อย่างง่ายดายแล้วเหวี่ยงไปด้านข้าง มืออีกข้างก็ตะปบข้อเท้าของชีหยวนอย่างรวดเร็ว ก่อนจะกระชากนางเข้าหาตัวขาอีกข้างที่ถูกจับไว้ ทำให้ชีหยวนเสียหลัก ร่างกายท่อนบนของนางเอนล้มไปด้านหลังอ๋องเฉิงแสยะยิ้มอย่างไม่ยี่หระ : “ที่แท้ก็เป็นลูกแมวน้อยที่ชอบข่วนคนสินะ”เขากระชับข้อเท้าของชีหยวน จู่ ๆ ก็ออกแรง โน้มตัวลงใช้ปลายจมูกไล้ไปตามข้อเท้าของชีหยวน: “ช่างมีเสน่ห์ที่ไม่เหมือนใครจริงๆ”ชีหยวนเพียงรู้สึกขนลุกซู่แล่นขึ้นมาตามแนวกระดูกสันหลัง แรงอาฆาตโหมกระหน่ำในใจ ขณะที่แผ่นหลังนางกระแทกลงไปกับพื้นอย่างแรง ก็รีบสะบัดมือ ปล่อยเกาทันณฑ์แขนเสื้อพุ่งตรงไปยังอ๋องเฉิงทันทีอ๋องเฉิงไหวตัวเร็วมาก แทบจะเป็นจังหวะเดียวกับที่ลูกดอกถูกปล่อยออกมา เขาสะบัดมือปล่อยข้อเท้าของชีหยวน พร้อมกับเอนศีรษะหลบไปด้านข้างลูกดอกเฉียดแก้มของเขาไปอย่างฉิวเฉียด ทิ้งรอยแผลลึกไว้บนใบหน้าซีกซ้ายของเขาสีหน้าของอ๋องเฉิงเคร่งขรึมไปทันที มือซ้ายของเขาแตะรอยแผล สัมผัสได้ว่ามีเลือดติดมือ สีหน้าของเขามืดดำราวกับพายุที่กำลังจะโหมกระหน่ำ: “ตอนแรกคิดว่าเป็นแมวป่าตัวน้อยตัวหนึ่ง รู้สึกน่าสนใจดี แ
หรือว่าจะกระชากทั้งตัวนางให้ร่วงลงพื้นไปเสียเลย ถึงตอนนั้นกระแทกพื้นจนสับสนมึนงง จากนั้นก็ฉีกเสื้อผ้านางออก เช่นนั้นเขาก็จะสามารถทำอะไรตามใจชอบได้?บรรดาหญิงสาวผู้สูงศักดิ์พวกนั้นล้วนแต่แข็งทื่อ ไร้ชีวิตชีวา ไม่ต่างอะไรกับปลาตายแต่เด็กสาวตรงหน้ากลับต่างออกไป เขาแทบจะจินตนาการได้เลยว่า นางจะดิ้นรนขัดขืนบนพื้นอย่างสิ้นหวังเพียงใด แค่คิดก็ทำให้เลือดในกายเขาเดือดพล่านแล้วชายกระโปรงถูกเขาคว้าไว้ได้ดังใจหวังอ๋องเฉิงหัวเราะเบาๆ : “จับเจ้าได้แล้ว”ชีหยวนก็หัวเราะเช่นกันนางโปรยผงใส่หน้าอ๋องเฉิงอย่างฉับพลัน พร้อมกับยิ้มจางๆ : “เจ้าติดกับแล้ว”ทันทีที่ผงนั้นเข้าตา อ๋องเฉิงก็รู้สึกถึงความเจ็บปวดแผดเผาอย่างบรรยายไม่ถูก ราวกับเปลวไฟลุกลามไปทั่วลูกตา จนเขากรีดร้องออกมาโดยไม่อาจควบคุมตนเองได้สีหน้าของชีหยวนยังคงเรียบเฉยนางรู้ดี สำหรับนักฆ่าที่ผ่านการต่อสู้มานับไม่ถ้วนเช่นนาง ต่อให้พกของมากแค่ไหนก็ไม่นับว่ามากเกินไปตรงหน้ามืดบอดสนิท น้ำตาไหลทะลักออกมาไม่หยุด คนเราเมื่อสูญเสียการมองเห็น ก็ย่อมสูญเสียความรู้สึกปลอดภัยไปด้วยอ๋องเฉิงเจ็บปวดมากจนต้องใช้มือทั้งคู่ขยี้ตาอย่างบ้าคลั่งทัน
ใครจะรู้ว่าเมื่อพุ่งเข้าไปกลับคว้าได้เพียงอากาศ นอกจากลูกดอกที่นางยิงมาไม่กี่ดอก กับกิ่งไม้ใหญ่ที่ถูกเหยียบจนเรียบ พิสูจน์ให้ว่าก่อนหน้านี้เคยมีคนอยู่ที่นี่คนหนีไปแล้วงั้นหรือ?มือของชีหยวนกำกริชแน่น ดวงตาที่เย็นชากวาดมองเศษกิ่งไม้และใบไม้บนพื้น ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงบางอย่างดังมาจากกำแพง จึงยกมือขึ้นตามสัญชาตญาณเซียวอวิ๋นถิงกระโดดลงมาอย่างมั่นคงข้างนาง กดข้อมือนางไว้ กล่าวอย่างไม่สบอารมณ์: “ข้าเอง!”ชีหยวนมองเขาด้วยความสงสัย “เหตุใดท่านอ๋องถึงอยู่ที่นี่ได้?”เซียวอวิ๋นถิงรู้สึกปวดใจเรื่องที่ควรเตือนก็ให้ลิ่วจินคอยเตือนแล้ว ใครจะรู้ว่าหญิงสาวผู้นี้กลับไม่สนใจเลย รู้ทั้งรู้ว่าข้างหน้าคือกำแพงใหญ่ แต่นางก็ยังคงต้องการที่จะพุ่งชนมันให้พังทลายแล้วเขาจะทำอะไรได้อีก?!เซียวอวิ๋นถิงไอออกมา สายตาของเขามองข้ามนางไปยังร่างของอ๋องเฉิงที่นอนแน่นิ่งอยู่ใต้ต้นไม้ไม่ไกล นัยน์ตาถึงกับสั่นไหวในทันที: “เจ้าฆ่าอ๋องเฉิงแล้ว!”อ๋องเฉิงกับอ๋องโจวนั้นเหมือนกัน ตามศักดิ์แล้วเขาควรเรียกว่าท่านปู่น้อยถึงแม้หลายปีมานี้อ๋องเฉิงจะใช้ชีวิตลุ่มหลงในกามารมณ์และไร้คุณธรรม เป็นที่รู้กันว่าเขาทรมานและสังห
สีหน้าของฮูหยินผู้เฒ่าหวังพลันดูลำบากใจขึ้นมาเล็กน้อยเรื่องที่เกิดขึ้นในสนามตีคลี ทุกคนต่างรู้กันดีหลิ่วหมิงจูทะเลาะกับชีหยวนจนถึงขั้นแตกหักกัน ตระกูลหลิ่วยังถึงขั้นเคยบุกไปที่จวนตระกูลชีเพื่อทวงความเป็นธรรมอีกด้วยทว่าคุณชายรองตระกูลหลิ่ว กลับถูกท่านโหวผู้เฒ่าชีและชีเจิ้น ทำให้ต้องกลับไปมือเปล่าอย่างน่าโมโห บัดนี้ ฮูหยินฉู่กั๋วกงกลับเอ่ยถึงชีหยวนขึ้นมาอีก ตาขวาของฮูหยินผู้เฒ่าหวังพลันกระตุก นางจึงกล่าวเลี่ยงๆ ว่า: “นางยังไม่เคยออกงานเลี้ยงมาก่อน ยังค่อนข้างขี้อาย ตอนนี้กำลังเล่นอยู่กับน้องหญิงของนางที่เรือนหลัง นางเป็นเพียงเด็กผู้หญิงคนหนึ่ง คงพูดจาผสมโรงกับพวกเราไม่ค่อยได้”ฮูหยินฉู่กั๋วกงยิ้มจางๆ : “จะพูดเช่นนั้นก็ไม่ถูกเสียทีเดียว เด็กสาวคนอื่นอาจจะเป็นเช่นนั้นจริง แต่หลานสาวของท่านผู้นี้ ใครจะมองว่านางเป็นเพียงเด็กกันเล่า? ข้าก็เคยได้ยินแต่เพียงชื่อเสียงของนาง แต่ยังไม่เคยพบตัวจริงมาก่อน จึงอยากรู้เป็นพิเศษ ฮูหยินผู้เฒ่าก็อย่าหวงนักเลย”กลุ่มสตรีต่างผลัดกันพูดคุยอย่างออกรสฮูหยินผู้เฒ่าหวังที่เริ่มรับมือไม่ไหวแล้ว ทันใดนั้น ก็มีเสียงเอะอะดังมาจากด้านนอกงานเลี้ยงในวันนี
ในใจของฮูหยินฉู่กั๋วกงรู้สึกสบายใจเป็นอย่างยิ่ง เมื่อเห็นพ่อบ้านกล่าวเช่นนี้ ก็คาดเดาได้ทันทีถึงเหตุผลที่เขาลำบากใจเรื่องของหลิ่วหมิงจูและชีหยวนที่เกิดขึ้นในสนามตีคลี เป็นที่อื้อฉาวขนาดนั้น คนในหมู่ขุนนางที่ควรรับรู้ก็ล้วนรับรู้กันหมดแล้วดังนั้น ความบาดหมางระหว่างตระกูลหลิ่วและชีหยวนจึงเป็นเรื่องที่เปิดเผยต่อภายนอกตอนนี้ชีหยวนถูกอ๋องเฉิงล่วงเกิน นี่ไม่ใช่เรื่องที่ดีงามอะไรด้วย ตระกูลหวังย่อมไม่ต้องการให้พวกนางไปดูเรื่องสนุกนี้แน่ทว่าจะขวางนางได้งั้นหรือ?ฮูหยินฉู่กั๋วกงขมวดคิ้ว สีหน้าวิตกกังวล: “ถึงอย่างไรพวกเราก็เป็นแขกในจวนนี้ ตอนนี้เกิดเรื่องขึ้น จะให้ทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นได้อย่างไร? อ๋องเฉิงมีฐานะสูงส่ง เรื่องนี้ย่อมไม่อาจผิดพลาดได้แม้แต่น้อย!”นางกล่าวพลางปรายตามองฮูหยินผู้เฒ่าหวังด้วยรอยยิ้มที่แฝงนัย: “ฮูหยินผู้เฒ่า ท่านว่าถูกหรือไม่?”ขณะนี้ฮูหยินผู้เฒ่าหวังทั้งตื่นตระหนกสับสน อัดอั้นร้อนใจ จนแทบหายใจไม่ออกเมื่อได้ยินฮูหยินฉู่กั๋วกงกล่าวเช่นนี้ ก็คิดจะคัดค้านในทันทีทว่าฮูหยินฉู่กั๋วกงกลับยิ้มพลางพูดจาเหน็บแหนมกับฮูหยินเฉิงกั๋วกงไปมาเสียแล้วนางหวังสังเกตเห็นว่ามือข
หากเป็นเช่นนั้นจริง ฉู่กั๋วกงย่อมไม่มีทางมีปฏิกิริยาเช่นนี้แน่นอนเกิดเรื่องขึ้นแล้วฮูหยินฉู่กั๋วกงหลับตาลงชั่วครู่ ความไม่เต็มใจและความโกรธพลุ่งพล่านขึ้นมาในอก เกิดเรื่องอะไรขึ้นกัน?นางยังไม่ทันได้เอ่ยถามฉู่กั๋วกงว่าเกิดอะไรขึ้น ก็เห็นฮูหยินผู้เฒ่าหวังถูกประคองเข้ามาอย่างเร่งรีบ นางเอ่ยถามอย่างหอบหายใจหนัก: “เกิดอะไรขึ้น?!”นายท่านใหญ่หวังมองไปที่ฉู่กั๋วกงด้วยสีหน้าประหลาดก่อน จากนั้นก็หันไปมองฮูหยินฉู่กั๋วกงอีกครั้ง ไม่รู้ควรพูดอะไรดีไปชั่วขณะนางหวังใจเต้นระรัวจนแทบจะถึงลำคอ กำลังจะเอ่ยถามว่าชีหยวนเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้หรือไม่ แต่เมื่อเห็นท่านโหวผู้เฒ่าชีกำลังกระซิบกระซาบกับผู้อื่น ยังเผลอยิ้มออกมาเล็กน้อยโดยไม่รู้ตัว และนางก็เงียบลงทันทีน่าจะไม่เกี่ยวกับชีหยวน หากเกี่ยวข้องกับชีหยวน ท่านโหวผู้เฒ่าชีจะยังมีท่าทีสงบนิ่งเช่นนี้ได้อย่างไร?ฮูหยินผู้เฒ่าหวังตกใจจนแทบจะยืนไม่อยู่ นางกระทืบเท้าอย่างร้อนใจแล้วเร่งถาม: “เจ้าก็พูดมาสิ เกิดอะไรขึ้นกันแน่?!”ชินอ๋องผู้สูงศักดิ์ ไม่ว่าจะเกิดเรื่องอะไรในจวนของพวกเขาก็นับว่าเป็นเรื่องใหญ่ เกรงแต่ว่าตระกูลหวังจะหลีกเลี่ยงความรับผิดชอบไม
ไม่เพียงแต่ตายไปแล้ว ยังตายในสภาพที่ไม่สำรวมอย่างยิ่ง ร่างของชายคนหนึ่ง เปลือยเปล่า คว่ำหน้าอยู่บนระเบียงหลังประตูเรือน ดูจากท่าทางคล้ายกับกำลังพยายามคลานออกไปด้านนอกไม่ว่าจะเป็นใครก็สามารถเดาได้ทันทีว่าเกิดอะไรขึ้น!ฮูหยินผู้เฒ่าหวังถึงกับชะงักงันตอนนี้นางเข้าใจแล้วว่าทำไมฮูหยินเฉิงกั๋วกงถึงตกใจจนล้มลงไป ทำไมฮูหยินฉู่กั๋วกงถึงตกใจจนเป็นลมหมดสติ!คือคุณชายรองตระกูลหลิ่ว!คือบุตรชายรองของฉู่กั๋วกงหลังจากที่หลิ่วจิงหงเสียชีวิตไป บุตรชายรองผู้นี้ก็กลายเป็นผู้มีโอกาสมากที่สุดที่จะได้เป็นผู้สืบทอดแห่งจวนฉู่กั๋วกงแม้เขาจะเป็นบุตรที่เกิดจากอนุภรรยา แต่ในเมื่อหลิ่วจิงหงตายไปแล้ว ใครจะมาสนใจว่าเขาเป็นลูกอนุหรือไม่?!แม้แต่ฮูหยินฉู่กั๋วกงเองก็ยังเริ่มใจอ่อนและเอ็นดูเขามากขึ้นมีข่าวลือว่าตระกูลฉู่กำลังเตรียมการให้เขาถูกบันทึกเป็นบุตรในนามของฮูหยินฉู่กั๋วกง เพื่อเปลี่ยนสถานะเป็นบุตรภรรยาเอก แล้วให้ได้รับแต่งตั้งเป็นผู้สืบทอดอย่างถูกต้องแต่ใครจะคาดคิดว่า เขาจะมาตายที่นี่ในสภาพเช่นนี้นางหวังกรีดร้องออกมา พร้อมกับรีบยกมือขึ้นปิดตาตัวเองพวกบุรุษพวกนี้เป็นบ้าอะไรกัน?ไม่คิดจะรักษาห
พระที่ถูกจี้ด้วยธูปร้องเสียงหลงกลางป่าเขาที่เงียบสงัด เสียงกรีดร้องของพระรูปนั้นดังสนั่นแทบทะลุทะลวงเมฆบนฟ้าพระรูปอื่น ๆ ต่างก็ตกตะลึงกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น พอเห็นชีหยวนก็พากันทำหน้าเหมือนเห็นผีนี่ผีหรือ หญิงสาวผู้นี้ ไฉนถึงออกมาได้อย่างปลอดภัย?!ไม่น่าเชื่อว่าฉือซานจะไม่ลงมือกับหญิงสาวที่งดงามขนาดนี้?!แต่พวกเขาไม่มีเวลาคิดหาคำตอบอีกต่อไปแล้ว เพราะชีหยวนได้ชักกระบี่อ่อนจากเอวออกมาใช้วรยุทธ์ของนางเพื่อฆ่าสวะพวกนี้ถือเป็นการขี่ช้างจับตั๊กแตนโดยแท้ เวลาไม่ถึงหนึ่งก้านธูป พระสิบกว่ารูปก็ตายหมดจิ้งคงถึงกับอึ้งงันเขาขดตัวเป็นก้อน ยื่นมือออกมาบังอย่างขลาดกลัว “อย่านะ อย่า อย่าสังหารข้า อย่าสังหารข้าเลย!”ชีหยวนเก็บกระบี่อ่อนไป เอ่ยถามเสียงขรึม “ลุกขึ้นเองไหวหรือไม่?”จิ้งคงถึงเพิ่งรู้ว่าชีหยวนไม่มีเจตนาจะฆ่าเขา เขาฝืนรับคำ แล้วค่อย ๆ ยันกายลุกขึ้นจากพื้น แล้วมองไปที่ชีหยวนอยากจะพูดอะไรบางอย่าง แต่ก็ลังเลชีหยวนเอ่ยถามเขาตรง ๆ ไม่อ้อมค้อม “รู้หรือไม่ว่าหญิงสาวพวกนั้นถูกขังอยู่ที่ใด?”จิ้งคงน้ำตาคลอทันที ที่แท้นางมาที่นี่เพื่อช่วยพวกหญิงสาวพวกนั้นเขารีบพยักหน้า “รู้ ทุกค
ด้านนอก บรรดาพระกำลังรุมสั่งสอนจิ้งคงผู้ที่ขัดขวางไม่ให้ชีหยวนเข้าวัดเมื่อครู่จิ้งคงกลิ้งอยู่กับพื้น สองมือกอดศีรษะ ปกป้องจุดสำคัญของร่างกาย พร้อมเรียกศิษย์พี่ไม่ขาดปาก พยายามคลานขึ้นมาคุกเข่าขอร้องแต่เขาเพิ่งจะลุกขึ้นได้ พระอีกรูปก็เตะเขาล้มลงไปอีก แล้วพูดเสียงเย็นชา “ข้าก็ว่าอยู่ พักนี้เหตุใดหญิงสาวแรกรุ่นถึงมาที่วัดน้อยลง ที่แท้ในวัดเราก็มีคนทรยศ!”จิ้งคงถูกซ้อมจนใบหน้าเขี้ยวช้ำบวมปูด ปากกับจมูกมีเลือดไหล แต่กลับไม่กล้าเช็ด ตาโปนจนแทบลืมไม่ขึ้น เริ่มโขกศีรษะกับพื้นไม่หยุด “เป็นความผิดของศิษย์น้องเอง ศิษย์น้องไม่กล้าอีกแล้ว ขอศิษย์พี่ไว้ชีวิตข้าด้วย ขอให้ศิษย์พี่ไว้ชีวิตข้าด้วย!”“ไว้ชีวิตเจ้าหรือ?!” พระที่เป็นหัวโจกอีกคนคว้ากำธูปจากกระถางธูปใกล้มือ แล้วพลิกกลับด้าน จี้ลงบนหัวของจิ้งคงอย่างกะทันหันจิ้งคงพลันกรีดร้องโหยหวน พลางร้องไห้กลิ้งไปมาบนพื้นพระพวกนั้นกลับพากันหัวเราะเสียงดังพระที่ใช้ธูปจี้หัวจิ้งคงเอ่ยเสียงดูแคลน “พวกเราก็รู้กันดี พระอาจารย์ชอบเก็บหญิงสาวที่ดีที่สุด หน้าตาสวยที่สุดไว้ให้ ‘บรรพบุรุษเบื้องบน’ เสวยสุข คนที่มาวันนี้น่ะ งามไม่เป็นสองรองใคร เห็นแวบเดียวก
เขาก้าวเท้าไปด้วยรอยยิ้ม “อมิตา...”ยังไม่ทันกล่าวคำสวดจบ ชีหยวนก็เหยียบต้นไม้ส่งตัวเองลอยขึ้นไป แล้วฟาดเท้าเข้าใส่อกของฉือซานอย่างจัง ฉือซานกระเด็นลงไปกองกับพื้น กระอักเลือดออกมาเต็มปากจากนั้นก็ไม่หยุดการเคลื่อนแม้แต่น้อย นางพุ่งเข้าหาฉือซาน มีดสั้นในแขนเสื้อก็เผยออกมา จ่อเข้าที่อกของเขาฉือซานถึงกับมึนงงไปกับการเคลื่อนไหวนี้ไหนบอกว่าเป็นหญิงสาวที่ไร้หนทาง ไร้ที่พึ่ง ถูกบีบบังคับให้มาขอบุตรไงเล่า?นี่มันคืออะไรกันแน่?!ชีหยวนมองเขาด้วยสายตาเย็นชา สายตานั้นไม่เหมือนกับมองคน แต่เหมือนมองดูหินก้อนหนึ่ง หรือไม่ก็ต้นไม้ต้นหนึ่ง เหมือนมองสิ่งที่ไร้ชีวิตนางไม่พูดพร่ำเพรื่อ ถามขึ้นตรง ๆ “หญิงสาวที่พวกเจ้าลักพาตัวมาจากเรือนพักนอกเมืองเมื่อไม่กี่วันก่อน พวกเจ้าพาไปซ่อนไว้ที่ใด?”ฉือซานเบิกตากว้างในทันที ริมฝีปากสั่นระริกปลายมีดของชีหยวนแทงอกของเขาลึกหนึ่งชุ่นโดยไม่รั้งรอ เลือดไหลพรวดออกจากแผลทันทีจากนั้นนางก็ถาม “ผู่อู๋ย่งเป็นลุงแท้ ๆ ของเจ้าใช่หรือไม่? เห็นได้ยากจริง ๆ หลานของไอ้หมาขันที เขาบอกเจ้าว่าให้เจ้าอยู่นิ่ง ๆ ไปพักหนึ่ง รออีกไม่นานจะให้เจ้าไปเป็นขุนนางที่สำนักพระพุทธศาส
ชีหยวนควบม้าเร็วออกจากเมือง โดยไม่พาคนติดตามไปแม้แต่คนเดียว ลมพัดแรงจนเสื้อคลุมสีแดงสดของนางปลิวสะบัด แต่นางกลับไม่ใส่ใจแม้แต่น้อย แม้หมวกคลุมศีรษะจะเปิดออก นางก็ไม่คิดจะดึงกลับมาสวมอีกนางรู้ดีบนโลกนี้ไม่มีแม่ทัพไร้พ่ายตั้งแต่อดีตจนปัจจุบัน เว้นแต่จ้าวจื่อหลงผู้เป็นดั่งปาฏิหาริย์ ผู้อื่นแม้เป็นแม่ทัพที่เก่งกล้าสักเพียงใด ก็ล้วนเคยลิ้มรสความพ่ายแพ้แต่สำหรับนาง ไม่มีทาง!โดยเฉพาะคนที่ฆ่านาง ทั้งยังทำให้คนที่นางพามาด้วยต้องเติบโตขึ้นโดยไม่มีแม่ ก็ยิ่งสมควรตาย!ตั้งแต่เล็กจนโต สิ่งที่นางไม่เคยเข้าใจก็คือเหตุใดหลี่ซิ่วเหนียงถึงไม่เหมือนแม่คนอื่นสิ่งที่นางอิจฉามากที่สุดก็คือเด็กคนอื่น ๆบัดนี้มีเด็กอีกคนหนึ่งที่ต้องกลายเป็นกำพร้าเพราะนาง ชีหยวนรู้สึกว่าตัวเองช่างบาปหนานักแน่นอนว่าความผิดของนางมีอยู่จริง แต่มันก็ยังมีบางคนที่สมควรจะลงนรกสิบแปดขุม!นางควบม้าเร็วเร่งรุดมาถึงวัดว่านอันที่ชานเมืองหลวง เอียงศีรษะเล็กน้อย จ้องคำว่าวัดว่านอันสามคำนั้นอย่างเย็นชา บนใบหน้าฉายแววเย็นเยียบอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อนออกจากเมืองหลวงมาถึงที่นี่ก็เป็นเวลาค่ำแล้วยามดึกดื่นเช่นนี้ หญิงสาววัยแรกแย
ก็ต้องมี ‘คืนของขวัญ’ กลับไปบ้างกระมัง?ชีเจิ้นก็พลันเข้าใจ เพียงแค่เป้าหมายไม่ใช่ผู่อู๋ย่ง แต่ก็ยังเป็นการไปสังหารคนอยู่ดีเขาคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะกำชับว่า “เช่นนั้นก็ ระวังตัวด้วยแล้วกันนะ”ชีหยวนก็เดินตรงดิ่งออกจากประตูไปชีเจิ้นจึงหันกลับมามองท่านโหวผู้เฒ่าชีกับฮูหยินผู้เฒ่าชี “ท่านพ่อ ท่านแม่ ข้านึกขึ้นได้แล้ว วันปีใหม่วันนั้น แม่หนูหยวนบอกว่านอกจากจะแวะไปที่เรือนนอกเมืองแล้ว ยังมีธุระที่ต้องทำ มันเป็นธุระอะไรกันแน่?”ทั้งยังเป็น ‘การคืนของขวัญ’ ให้ผู่อู๋ย่งอีกด้วย?ท่านโหวผู้เฒ่าชีถลึงตาใส่เขาอย่างไม่สบอารมณ์ “เจ้าถามข้าแล้วข้าจะไปถามใคร โดนขังมาหลายวันแล้วเจ้ายังไม่เหนื่อยหรือไง? ทำตัวดี ๆ รีบไปอาบน้ำแล้วนอนพักเสีย ตอนเย็นค่อยไปกินข้าวที่เรือนใหญ่!”ชีเจิ้นอยากรู้จนใจแทบขาด แต่ก็ไม่อาจรู้ได้เลยว่าชีหยวนกำลังทำเรื่องอะไรที่เกี่ยวกับผู่อู๋ย่ง และยังจะบอกว่าเป็น ‘การคืนของขวัญ’ ให้อีกฝ่ายอีกต่างหากแต่แล้วเขาก็นึกขึ้นได้อีกเรื่องหนึ่ง “ท่านพ่อ! ผู้บัญชาการไล่จะไม่เป็นอะไรใช่หรือไม่?!”ไล่เฉิงหลงช่วยพวกเขาไว้มาก ที่ไม่โดนลงโทษก็เพราะอีกฝ่ายช่วยไกล่เกลี่ยแล้วไอ้หมาขันทีอ
ชีหยวนเลิกคิ้วขึ้นนิด ๆ เห็นทั้งสองคนกลับมาดูครบสามสิบสอง ดูก็รู้ว่าไม่ได้ถูกลงโทษ ก็รู้ทันทีว่าเป็นไล่เฉิงหลงที่ช่วยไว้นางหลุบตาลงแล้วส่ายหน้า “ไม่ใช่เพราะข้าหรอกเจ้าค่ะ เรื่องนี้เดิมทีก็เกิดขึ้นเพราะข้า เป็นข้าที่ก่อเรื่องวุ่นวายขึ้นมา พวกท่านต้องลำบากก็เพราะข้า”ความรู้สึกของท่านโหวผู้เฒ่าชีซับซ้อนอย่างยิ่งชีเจิ้นก็เช่นกันชีหยวนก็ถือว่าเข้าใจฐานะของตนเองดีนัก และไม่ทำตัวเกรงใจเกินจำเป็น พูดสิ่งที่ควรพูด ไม่สนใจด้วยซ้ำว่าจะมีใครตอบรับได้หรือไม่แต่ว่านางพูดตรงได้ ทว่าท่านโหวผู้เฒ่าชีกับชีเจิ้นย่อมไม่อาจตอบกลับตรง ๆ เช่นนั้น ท่านโหวผู้เฒ่าชีจึงกล่าวว่า “พูดอย่างนั้นก็ไม่ได้หรอก ตำแหน่งนี้ของเขา ทำมาก็หลายปี อยู่กึ่งกลาง หากทำงานของฝ่าบาทได้สำเร็จ เช่นนั้นสักวันก็ต้องเกิดเหตุเช่นนี้”ถ้าหากทำไม่สำเร็จ ต้องสืบหากันไปเรื่อย ๆ ไม่จบไม่สิ้น ฮ่องเต้หย่งชางก็ย่อมต้องเริ่มสงสัยในความสามารถของชีเจิ้น และหมดความอดทนต่อเขาฉะนั้นว่ากันตามจริงแล้ว เคราะห์นี้ก็หลีกเลี่ยงไม่ได้อยู่ดี ยังดีที่มีชีหยวนอยู่ จึงสามารถคลี่คลายเรื่องราวได้รวดเร็วขนาดนี้ท่านโหวผู้เฒ่าก็โล่งอก เมื่อเห็นเหล่าลูก
ฮ่องเต้หย่งชางกวาดพระเนตรมองโดยรอบ ตวาดเสียงเกรี้ยว “อ่างน้ำมงคลเล่า? ไยถึงได้มาช่วยดับไฟกันช้านัก?!”แล้วก็รีบร้อนหันไปถามไล่เฉิงหลง ซึ่งรับหน้าที่เฝ้าตำหนักเฟิ่งเจ่าในวันนี้ “ร่างของกุ้ยเฟยเล่า?”ไล่เฉิงหลงเหงื่อไหลท่วมทั้งร่าง คุกเข่าลงแล้วคารวะ “กระหม่อมกับนายพันลู่ช่วยกันหามร่างของกุ้ยเฟยออกมาได้แล้วพ่ะย่ะค่ะ เพียงแต่...”พวกเขาก็รู้ดีว่าเสี่ยวหลิ่วกุ้ยเฟยมีตำแหน่งเช่นไรในพระทัยของฮ่องเต้หย่งชาง ไหนเลยจะกล้าปล่อยให้ร่างของเสี่ยวหลิ่วกุ้ยเฟยถูกเผาจนมอดไหม้?หากปล่อยให้เป็นเช่นนั้นจริง เกรงว่าพวกตนก็คงต้องลงไปอยู่กับบรรพบุรุษแล้วแต่ถึงจะช่วยออกมาได้ ทว่าร่างของกุ้ยเฟยก็ยังคงดูเวทนานักอย่างน้อยเส้นผมของเสี่ยวหลิ่วกุ้ยเฟยก็ถูกไฟไหม้ไปแล้วครึ่งหนึ่งใบหน้าก็ถูกควันรมจนดำไปหมดฮ่องเต้หย่งชางปิดดวงเนตรลง เอื้อมพระหัตถ์ไปลูบไล้ใบหน้าของเสี่ยวหลิ่วกุ้ยเฟย สั่งการด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม “ไล่เฉิงหลง ลู่อี้เฟิง ดูแลไม่ดีจนตำหนักเฟิ่งเจ่าเกิดเพลิงไหม้ ให้ไปรับการลงโทษโบยสามสิบไม้ที่กรมวัง!”จากนั้นก็นิ่งไปครู่หนึ่ง แล้วถามต่อ “เหตุใดอ่างน้ำมงคลถึงกลายเป็นน้ำแข็ง?”ในวังหลวง ตามถนนสาย
ฮ่องเต้หย่งชางเหนื่อยล้าอย่างถึงที่สุดหลายวันมานี้ ทุกค่ำคืนเขามักจะฝันถึงเรื่องราวในอดีตตัวเขากับพระชายาหลิ่วสมัยยังอยู่ในดินแดนศักดินาในช่วงนั้น ยามใดที่คลื่นลมในทะเลพัดแรง ไม่รู้ว่าหลังคาบ้านของราษฎรกี่หลังจะปลิวว่อนทุก ๆ ปีล้วนมีคนต้องสังเวยชีวิตเพราะเหตุนี้ไม่น้อยแค่นั้นยังพอทนได้ แต่ภูมิอากาศก็ยังเย็นชื้น ทำให้ข้อกระดูกของเขาเจ็บเรื้อรังพระชายาหลิ่วจึงมักช่วยทำการรมยาเฉพาะจุดให้เขา อยู่เคียงข้างช่วยเหลือราษฎร คิดหาหนทาง ร่วมมือกับขุนนางท้องถิ่น แบ่งเขตพื้นที่ แล้วสอนชาวบ้านสร้างบ้านจากหินที่แข็งแรงมั่นคงในบริเวณที่ปลอดภัยกว่ายังได้ขอร้องอดีตฮ่องเต้ให้ส่งช่างจากกรมโยธามาช่วยสอนการเปิดเตาเผาและเผาอิฐพวกเขาค่อย ๆ แก้ไข นำพาเมืองจางโจวจากดินแดนยากไร้กลายเป็นเมืองมั่งคั่ง แม้แต่เมืองใกล้เคียงอย่างเฉวียนโจวก็ยังได้สร้างท่าเรือบางคราก็ฝันถึงเสี่ยวหลิ่วกุ้ยเฟยแรกเริ่มเดิมที เขาก็ไม่ได้คิดจะให้เสี่ยวหลิ่วกุ้ยเฟยเข้าวังเลยด้วยซ้ำเสี่ยวหลิ่วกุ้ยเฟยอายุน้อยกว่าเขามากเกินไป ห่างกันถึงสิบสองปีเขามองนางเหมือนน้องสาวคนหนึ่งมาตลอดแต่เมื่อเวลาค่อย ๆ ผ่านไป เสี่ยวหลิ่วกุ้ยเ
ปิดไม่มิดแล้วเขาไม่มีทางบ้าเลือดถึงขั้นลากผู่อู๋ย่งลงไปด้วยหรอก อย่างน้อยแบบนี้ผู่อู๋ย่งก็ยังอาจเห็นแก่ที่เขาเชื่อฟัง แล้วช่วยดูแลคนในตระกูลของเขาบ้างมิเช่นนั้น เกรงว่าตระกูลสวีคงไม่เหลือแม้แต่คนเดียวเซี่ยกงกงเชิญไล่เฉิงหลงเข้ามา ไล่เฉิงหลงก็นำเอกสารคำรับสารภาพพร้อมลายนิ้วมือของคนเหล่านั้นมาขึ้นถวายฮ่องเต้หย่งชางเพียงแค่เหลือบตามอง ก่อนจะเหวี่ยงเอกสารลงตรงหน้าสวีฮว่าน “เจ้ายังมีอะไรจะพูดอีก? คดีลักลอบค้าของเมื่อปลายปีก่อนก็เริ่มสอบตั้งแต่ตอนนั้นแล้ว เจ้าคงคิดหาแพะรับบาปไว้ตั้งแต่นั้นกระมัง? ถึงได้ยุยงปลุกปั่นพวกครัวเรือนทหารที่มีเอี่ยว ให้เชื่อว่าตระกูลชีหักหลังพวกเขา ให้พวกเขารับผิดแทน!”สวีฮว่านฟุบหน้าลงกับพื้น สั่นเทาไปทั้งร่าง เอ่ยปากวิงวอนไม่หยุด “ฝ่าบาทโปรดเมตตา ฝ่าบาทโปรดไว้ชีวิตเถิดพ่ะย่ะค่ะ!”ฮ่องเต้หย่งชางแค่นเสียงเย็น แล้วกวาดดวงเนตรมองเหล่าขุนนางบุ๋นบู๊ “เมื่อครู่พวกเจ้าล้วนโกรธแค้นลุกฮือกันขึ้นมา กล่าวว่านี่คือการสมคบคิดศัตรู ขายชาติ ทรยศหักหลัง เป็นความผิดฐานคิดกบฏ พวกเจ้าพูดถูกแล้ว”สิ้นคำ ก็เรียกผู้บัญชาการศาลต้าหลี่เติ้งเหรินกู้ “คดีนี้ให้ศาลต้าหลี่เป็นผู้สื