เมื่อคนขี้เหนื่อยจากยุคปัจจุบันมาเกิดใหม่เป็นคุณหนูใหญ่ของหนึ่งในสี่พรรคมารมากอำนาจในยุทธภพ นางจะต้องแต่งงานกับว่าที่ประมุขพรรคมารที่มากอำนาจในยุทธภพ หลางยี เฟิ่งหงซี กุยฮั่น จะเลือกใครดีล่ะ
View More๑
สตรีผู้หมดแพชชั่น
ลี่จูคือนามของข้า!
ข้าไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าชีวิตของข้าจะเดินมาถึงจุดนี้ได้ เคยเป็นหรือไม่ แค่นั่งเฉย ๆ ก็เหนื่อยแล้ว
ข้าเคยบอกสหายในชาติก่อนว่า ข้าเหนื่อยกับทุกสิ่งเหนื่อยกับทุกอย่าง สิ่งไหนที่เคยรักและเคยทำได้ดี ข้ายังเหนื่อยและไม่อยากทำ
สหายเคยบอกว่า ‘หมดแพชชั่น’ ข้าเห็นด้วยกับนางยิ่ง ข้าหมดแพชชั่นในการใช้ชีวิต ไม่ว่าจะในชาติก่อนหรือชาติปัจจุบัน
ข้าจำได้ว่าจากภพก่อนมาได้เพราะว่าทานยาคลายเครียด ยาแก้ไบโพลา ยาปรับฮอร์โมนโรคซึมเศร้าและอีกสารพัดยา ทานมากเกินไปจนสุดท้ายก็เสียชีวิตจากภพนั้นมาอยู่ในภพนี้
…โลกยุทธภพ!
ใครบอกว่าตายแล้วสบายให้ลองมาเป็นข้าหนึ่งวัน
วันแรกที่เกิดในร่างทารกของคุณหนูใหญ่พรรคมารป๋ายหลง จนตอนนี้อายุ 18 หนาวไม่มีวันใดที่สบาย
สิบแปดปีที่ผ่านมานี้ไม่มีวันใดที่ข้าไม่เหนื่อยกับการต้องเป็นคุณหนูที่ต้องสมบูรณ์แบบทุกอย่าง
ความสมบูรณ์แบบนี้แน่นอนว่ามันเป็นสิ่งที่ต้องใช้ความพยายามในการสร้าง การฝึกฝน
เมื่อก่อนข้าไม่เคยปริปากบ่น เพราะยังเห็นแก่หน้าท่านแม่ที่ร่างกายอ่อนแอจากการคลอดน้องชาย
จนกระทั่งเมื่อหกเดือนที่แล้ว ท่านแม่เพิ่งจะสิ้นอายุขัยไปด้วยวัยเพียง 36 หนาว ทำให้ท่านพ่อของข้ากลายเป็นหนุ่มโสดวัย 40 หนาวที่ยังหล่อเหลาและฟิตเปี๊ยะ
ส่วนข้านะหรือ พอท่านแม่ไม่อยู่แล้วข้าก็ไม่รู้จะขยันฝึกความเป็นสตรีไปเพื่ออะไร
ข้าเหนื่อย!
“สามคนนั้น หนึ่งในพวกเขา อย่างไรลูกก็ต้องได้แต่งให้ใครคนใดคนหนึ่ง ถึงคราวที่ต้องทำความรู้จักกับพวกเขาอย่างเป็นทางการแล้ว”
ข้ามองตามสายตาของท่านพ่อ ‘ลี่หลง’ ประมุขพรรคมารป๋ายหลงคนปัจจุบันไปยังสนามประลองด้วยสายตาไม่บอกอารมณ์
บุรุษสามคนที่ท่านพ่อกล่าวถึงจัดเป็นชายงามขึ้นชื่อในดินแดนยุทธภพ พวกเขารูปงามมีเอกลักษณ์เป็นของตัวเอง แต่ก็ไม่อาจทำให้ข้าหลงใหลได้
ข้ายังคงมองพวกเขาด้วยสายตาราบเรียบไม่ต่างจากยามปรกติ
“ต้องเป็นหนึ่งในนั้นจริง ๆ หรือเจ้าคะ”
อุตส่าห์หลบหน้ามาได้ตั้งนาน เวลาแห่งการศึกษาดูใจกับ ‘ผู้’ มาถึงแล้ว
“ใช่ หนึ่งในสามคนนี้ดีต่อเราที่สุดแล้ว”
หลางยี เฟิ่งหงซี กุยฮั่นคือบุตรชายคนสำคัญของสามพรรคมารใหญ่ในยุทธภพ
ข้ารู้ว่าพวกเขาอายุมากกว่าข้าไม่กี่ปี เจอกันทีไรนอกจากข้าจะผงกศีรษะทักทายพวกเขาแบบขอไปทีแล้วก็ไม่ได้พูดคุยกันอย่างเป็นทางการสักเท่าไร
“ปฎิเสธได้หรือไม่เจ้าคะอาเตีย”
“ด้วยเหตุใดกัน”
ท่านพ่อไม่ได้แสดงอารมณ์ใดออกมาเป็นพิเศษนอกจากเลิกคิ้วขึ้นอย่างสงสัยในเหตุผลของข้า
เหตุผลของข้าอาจน่าขันสำหรับผู้อื่น แต่สำหรับข้าแล้วจริงจังยิ่ง!
“เหนื่อยเจ้าค่ะ”
ท่านพ่อมองหน้าข้านิ่ง ๆ ทำเอาข้ารู้สึกใจไม่ดีจนต้องคิดหาเหตุผลมาสมทบ
“แม้พวกเขาจะเป็นพันธมิตรกับเรา แต่ก็หาช่องทางแข่งขันกันเป็นที่หนึ่งในยุทธภพทุกเมื่อ ข้ารู้สึกเหมือนมีว่าที่สามีจ้องจะชิงสมบัติอยู่ตลอดเวลา อาเตียไม่คิดว่าข้ารู้สึกแปลกหรือเจ้าคะ”
“...”
ท่านพ่อยังคงเงียบ ความเงียบกดดันข้าจนในหัวรีบคิดหาคำอธิบายเพิ่ม
“อาเตีย คือว่า…”
“หึ ๆ”
ข้าหยุดคำอธิบายเมื่อท่านพ่อหัวเราะในลำคอ ข้าเผลอมุ่นคิ้วมองท่านเพราะเดาไม่ออกว่าคำพูดของข้าน่าขันตรงไหน ตอนแรกท่านพ่อหัวเราะเพียงในลำคอเท่านั้น แต่สุดท้ายกลายเป็นระเบิดหัวเราะดังลั่น
“ฮ่า ๆ”
ข้านิ่งไปเมื่อถูกภาพตรงหน้าสะกดสายตาเอาไว้ ท่านพ่อลี่หลงมีเส้นผมสีขาวพลิ้วสลวยเมื่อยามลมพัด มองภายนอกดูเย็นชาไร้ใจ แต่เพียงท่านพ่อยิ้มครั้งเดียวเท่านั้น บรรยากาศรอบกายพลันอบอุ่นในทันที
ดวงตาของข้าพิเศษกว่าใคร มันชอบสัมผัสกับละอองสีทองแห่งความสุข
และบัดนี้ข้าเห็นละอองสีทองอยู่รอบกายท่านพ่อ ซึ่งข้าก็ไม่พลาดที่จะใช้ดวงตาดูดซับพลังสำรองไว้
“อาเตียชอบใจหรือเจ้าคะ ดวงตาของข้าก็ชอบใจเช่นกันเจ้าค่ะ”
วรยุทธ์ข้าได้ระดับพื้นฐานที่พอเตะต่อยกับผู้คนได้ ทว่าเรื่องงานบ้านงานเรือน เย็บปักถักร้อย วาดภาพแต่งกลอนกลับเป็นเลิศ
นั่นก็คือความสมบูรณ์แบบที่ข้าพยายามสร้างมาตลอดระยะเวลาสิบแปดหนาว
แต่มีสิ่งหนึ่งที่ข้าไม่ต้องพยายามสร้างก็สามารถทำได้อย่างง่ายดาย
นั่นคือการใช้ดวงตาสะกดจิต!
ละอองแห่งความสุข ‘สีทอง’ สามารถทำให้ข้าใช้ล่อลวงผู้คนได้เพียงแค่สบตา เมื่อข้าเจตนาอาจทำให้พวกเขาหลงรัก ศิโรราบหรือเปลี่ยนเจตนาร้ายกลายเป็นดี
ละอองแห่งความโกรธแค้น ‘สีดำ’ สามารถทำให้ข้าใช้สะกดจิตพวกเขาในแง่ลบ เช่น สั่งให้ฆ่าตัวตาย สั่งให้ใครไปทำเรื่องเลวร้ายก็ได้
แต่ข้อเสียของการใช้สิ่งนี้จะส่งผลทำให้ดวงตาของข้าแดงก่ำขึ้นเรื่อย ๆ หากข้าใช้ไปทำเรื่องแย่ ๆ จะฉายชัดผ่านดวงตาทันทีจนผู้คนสามารถสังเกตได้
ถามว่าข้าเคยใช้พลังพวกนี้หรือไม่ คำตอบ…ครั้งเดียว!
นั่นคือการเปลี่ยนใจสุนัขตัวใหญ่ไม่ให้กัดน้องแมวตัวน้อย หลังจากนั้นมาข้าก็ไม่เคยใช้อีกเลย
เพราะมันทำให้ข้าเหนื่อยมาก!
อีกทางด้านหนึ่ง…
“ฮ่า ๆ”
เสียงหัวเราะที่ดังมาจากอัฒจันทร์สูงทำให้เหล่าลูกพรรคที่อยู่ในลานประลองกว้างของพรรคมารป๋ายหลงแอบชำเลืองมองภาพหายากนี้ รวมถึงสี่บุรุษที่กำลังแข่งยิงธนูกันอยู่ในขณะนี้ด้วย
“ลี่หลาน ท่านประมุขหัวเราะเป็นด้วยหรือ เหมือนข้าจะเห็นครั้งแรก บุญตาจริง ๆ”
ลี่หลานว่าที่ประมุขพรรคมารป๋ายหลงวัย 17 หนาวมองขึ้นไปบนอัฒจันทร์สูง เมื่อเห็นสตรีร่างบางคุ้นตานั่งอยู่ข้างบิดาก็ไม่ได้รู้สึกแปลกใจเท่าไร
เพราะสำหรับตัวเขาเองแล้ว นางก็คือจุดอ่อนรวมถึงเป็นความสุขของเขาด้วยเช่นกัน
ลี่หลานไม่ได้ตอบอันใดนอกจากง้างสายธนูแล้วยิ่งไปยังแป้นธนู เขาไม่ได้ใช้สายตาเล็งเป้าเลยสักนิด
แต่ผลที่ได้คือลูกธนูดั่งถูกจับวางไว้กลางแป้นเบียดธนูลูกอื่น ทำเอาผู้เป็นเจ้าของผลงานคนก่อนอย่างหลางยีไม่สบอารมณ์
“นี่คือการสั่งสอนข้าโทษฐานที่กล่าวว่าบิดาเจ้าหัวเราะไม่เป็นรึ”
หลางยีว่าที่ประมุขพรรคมารเฮยหลาง เขาเป็นบุรุษรูปงามที่มีใบหน้าคมเข้ม ตาเฉี่ยวดูดุร้าย แต่กลับมีรอยยิ้มเจ้าชู้แปะไว้บนใบหน้าตลอดเวลา
ลี่หลานเห็นแบบนั้นในใจคิด…
เขาไม่เหมาะเป็นพี่เขยของข้า ดูเจ้าชู้เกินไป
ทั้งสามคนไม่ได้รู้ตัวเลยว่าการประลองธนูกระชับความสัมพันธ์ในวันนี้ ตนได้ถูกประเมินจากลี่หลานไว้เรียบร้อยแล้ว
“นับวันฝีมือลี่หลานยิ่งก้าวหน้า ข้าดีใจแทนเจ้ายิ่ง”
ลี่หลานถอยหลบเมื่อคนต่อไปที่จะยิงธนูคือเฟิ่งหงซี ว่าที่ประมุขพรรคเฟิ่งหง บุรุษที่ทำตัวดูสูงส่งตลอดเวลา ใบหน้าเขายิ้มแย้ม แต่แววตากลับฉายความร้ายกาจที่คนประเภทเดียวกันถึงมองออก
ตึง!
ลูกธนูที่เฟิ่งหงซียิงออกไปผ่าครึ่งลูกธนูของลี่หลานออกเป็นสองซีก เรียกเสียงปรบมือจากลูกพรรคป๋ายหลงที่มาชมการยิงธนูได้เป็นอย่างดี
ท่าทางมั่นใจด้วยการเชิดหน้าขึ้นอย่างถือดีของเขา ทำให้ลี่หลานไม่ประทับใจอย่างยิ่ง
เขาก็ไม่เหมาะจะเป็นพี่เขยข้า หากแต่งออกไปในภายภาคหน้า เจี่ยเจียคงได้คุกเข่าให้เขาทุกคืน
“พวกเจ้าแต่ละคนช่างมีพรสวรรค์ด้านการยิงธนูยิ่ง”
กุยฮั่น ว่าที่ประมุขพรรคมารกุยหานเป็นคนสุดท้ายที่จะยิงธนู
เขาเป็นบุรุษที่มีใบหน้าเรียบเฉยแต่ดวงตาแว่วหวานมีเสน่ห์ สามารถล่อลวงสตรีให้หลงรักได้อย่างง่ายดาย เป็นอันตรายต่อใจของสตรียิ่ง
ลี่หลานส่ายหน้าเบา ๆ ในใจคิด
รู้เลยว่ามีดวงชะตาดอกท้อ เจี่ยเจียต้องรักเขามากกว่าข้าแน่ ไม่ได้…คนผู้นี้ไม่เหมาะจะเป็นพี่เขยข้า
แกรก!
กุยฮั่นปล่อยลูกธนูออกไปแล้ว แน่นอนว่าดอกธนูปักลงกึ่งกลางแทนที่ธนูดอกก่อน
แต่สิ่งที่ได้หลังจากนั้นคือ แป้นธนูแตกออกจากกันเป็นสองส่วนในทันที เรียกเสียงฮือฮาจากคนในลานประลอง สรรเสริญถึงความแข็งแกร่งของเขาไม่หยุด
“แข็งแกร่งยิ่ง!”
“แรงดีแท้”
“เยี่ยม”
ลี่หลานหน้าเจื่อน แต่ต้นเหตุไม่ใช่เพราะรู้สึกพ่ายแพ้อย่างที่หลางยีและเฟิ่งหงซีรู้สึก
แต่เขาตกใจที่หนึ่งในว่าที่พี่เขยของเขาแรงเยอะถึงเพียงนี้ ในใจลี่หลานคิด
ไม่ได้…เจี่ยเจียรับไม่ไหวแน่ถ้าได้แต่งให้ชายคนนี้ เจ้าอย่าหวังจะมาเป็นพี่เขยข้า
๑๐เจ้าไม่ได้สิ้นรักข้า “ฮูหยิน เจ้าไม่ได้สิ้นรักข้า!”นี่คือประโยคแรกที่ข้ากล่าวหลังจากที่ถลันกายเข้าไปในห้องนอนรอยยิ้มบนใบหน้าข้าหายไปทันทีเมื่อเห็นสภาพนางที่ตอนนี้กำลังนั่งอยู่บนเตียง พอเห็นหน้าข้านางก็รีบหันหน้าไปทางอื่น ยกมือขึ้นปาดน้ำตาความรู้สึกตื่นเต้นเมื่อครู่หายไปแทนที่ด้วยความเจ็บปวด เหตุใดนางจึงร้องไห้น้ำตาอาบหน้าเช่นนี้“ฮูหยิน…”อาชิ่งรู้งานรีบเดินออกไปจากเรือนนอนปล่อยให้เราสองคนอยู่ในห้องด้วยกันเพียงลำพัง“ฟูจวินอยู่ตรงนั้นเจ้าค่ะ ไม่ต้องเข้ามา”ข้าชะงักเท้าตามที่นางสั่ง แม้จะทราบว่านางเป็นเช่นนี้เพราะกำลังตั้งครรภ์อยู่ แต่ข้าก็ไม่อาจห้ามความเศร้าที่กอบกุมจิตใจได้“ฮูหยินร้องไห้ด้วยเหตุใด บอกฟูจวินได้หรือไม่”“ไม่บอกเจ้าค่ะ อยากร้องไห้ต้องมีสาเหตุด้วยหรือ” ปลายเสียงนางสะบัดแต่สะอื้นฮัก ๆ เพราะร้องไห้เห็นร่างบางที่หันหลังใส่ตัวสั่นเช่นนี้ข้าก็ไม่สนใจสิ่งใดแล้ว เดินไปนั่งด้านหลังนางแล้วสวมกอดร่างบางเอาไว้จากด้านหลัง“ฮูหยิน อยากร้องก็ร้อง แต่อย่าห้ามฟูจวินให้กอดเจ้าเลย ในเวลานี้เจ้าไม่ควรให้ตัวเองอยู่คนเดียว”นางเห็นหน้าข้าแล้วอาจหงุดหงิด แต่ทำแบบนี้ย่อมดีเสียกว่าทิ้ง
๙เบื่อหน้าเขานัก บุตรสาวข้าเลี้ยงง่ายยิ่งนัก! ท่านพ่อของข้ากล่าวว่าตอนเด็กนางเหมือนข้าไม่มีผิด เวลาใครอุ้มก็จะมองหน้าคนนั้น มองนิ่ง ๆ ด้วยสายตาสำรวจ นอกจากครั้งแรกที่ร้องไฮ้ตอนเป็นทารกแล้ว ข้าก็ไม่ได้ร้องไห้อีก หลางลู่หลินก็เช่นกัน! สิ่งนี้ทำให้ข้าเริ่มสงสัยว่านางเป็นแบบข้าหรือไม่ มีความทรงจำของชาติภพปัจจุบันติดมาด้วยหรือเปล่า มีวันหนึ่งข้าลองทดสอบดู พูดเป็นภาษาอังกฤษภาษาสากล แต่นางเพียงมองหน้าข้าด้วยสายตาว่างเปล่า ชัดเจนว่าไม่เข้าใจ คิดได้สองแง่ หนึ่งนางแค่ไม่ชอบร้องไฮ้ มีความเป็นผู้ใหญ่ตั้งแต่เกิด สองนางอาจมากันคนละยุคกับข้า การทดสอบของข้าดำเนินการมาเรื่อย ๆ จนกระทั่งนางอายุเข้าสามหนาวข้าก็หยุดทดสอบ คิดได้ว่า… ไม่ว่าใครจะมาเกิดนางก็ตาม อย่างไรนางก็คือบุตรสาวของข้า ใช้ชีวิตเป็นมารดาของหลางลู่หลินโดยไม่ตั้งคำถามกับตนเองในใจอีก เข้าปีที่สามของการใช้ชีวิตเป็นมารดา ปีนี้ลู่หลินพูดได้เยอะขึ้น วิ่งเล่นได้เร็วขึ้น ดูสดใสตามวัยโดยเฉพาะยามที่ได้เล่นกับบิดาและน้าชาย กอปรกับข้าตั้งครรภ์อ่อน ๆ หน
๘ผู้ซึ่งสมหวังที่สุดข้าเรียนรู้วิธีการกรี๊ดแล้ว!“กรี๊ด~เจ็บ!”ที่ผ่านมาข้าคิดว่าตนเองกรี๊ดไม่เป็นจนกระทั่งวันนี้ เจ้าตัวน้อยของแม่มอบบทเรียนให้กันตั้งแต่วันแรกที่กำลังลืมตาดูโลกเลย “ฮูหยิน เบ่งเจ้าค่ะ…อื้อ~” “อื้อ~”ข้าออกแรงเบ่งพร้อมเปล่งเสียงตามท่านหมอหญิง แต่เจ้าตัวน้อยของข้าก็ไม่ยอมออกเสียที“เบ่งอีกเจ้าค่ะฮูหยินน้อย เอาให้สุดแรงครั้งนี้ออกแน่เจ้าค่ะ”อีกครั้งเดียวแน่หรือ!“ฮูหยินน้อย อาชิ่งช่วยเบ่งเจ้าค่ะ”สาวใช้คนสนิทใช้ผ้าเช็ดหน้าซับเหงื่อให้ข้า น้ำเสียงสั่นเครือบ่งบอกสภาพจิตใจในตอนนี้“เอาล่ะเจ้าค่ะ เบ่งเจ้าค่ะ”“อีกทีใช่หรือไม่…อื้อ~” ข้าพยายามเบ่งอีกครั้ง แต่ผลก็เหมือนเดิมคือยังไม่ออกมีหลายเสียงบอกว่าข้าจะได้บุตรชาย แต่ก็มีหลายเสียงบอกว่าข้าจะได้บุตรสาวสุดท้ายข้าเลือกเชื่อว่าเป็นบุตรสาวเพราะสามีกระซิบกับท้องข้าเบา ๆ ทุกครั้งที่มีโอกาสเช่น…‘พ่อไปเรียนทำผมมาแล้ว จะถักเปียให้เจ้าทุกวันดีหรือไม่ลูกสาว’ไม่ก็กล่าวกับอาไท่ว่า…‘ทำชิงช้าน้อยใต้ต้นไม้ให้บุตรสาวข้าหน่อย’เป็นเช่นนี้ตลอด! นานวันเข้าข้าก็คาดหวังว่าตัวเองจะได้บุตรสาวเช่นเดียวกับฟูจวิน“ท่านหมอ ไม่ออก…ฮึก”เมื่อค
๗นางอาจจะมาแล้ว“เกิดอันใดขึ้นกับนาง!”“ฮูหยินเป็นลมขอรับ”ข้าบีบมือตนเองแน่น ต่อให้นางจะเป็นลมข้าก็ไม่วางใจ ถามเขาถึงสถานที่ที่นางอยู่่ในตอนนี้“ฮูหยินอยู่ที่ใด”“เรือนนอนขอรับ”เมื่อทราบสถานที่ที่นางอยู่แล้วข้าก็ไม่รีรอ ใช้พลังภายในที่มีทั้งหมดเร่งความเร็วมาที่เรือนหอ ใช้เวลาไม่นานก็มาถึงห้องนอนที่ได้ยินเสียงสนทนาของหลางผิงและท่านหมอประจำจวนข้าถลันกายเข้าในด้านในโดยไม่สนหน้าใครทั้งสิ้น“ฮูหยิน!”ใบหน้านางซีดมากจนข้าหายใจไม่ออก มารู้ว่าตนมือสั่นก็ตอนที่เอื้อมมือไปจับมือบาง“ฟูจวิน ใจเย็น ๆ เจ้าค่ะ ทำใจดี ๆ”ทำใจดี ๆ เช่นนั้นหรือ กล่าวเช่นนี้แล้วข้าจะยังใจเย็นได้ไหวหรือ นางเป็นอันใดถึงต้องกล่าวให้ข้าทำใจดี ๆ“ฮะ ฮูหยิน พูดแบบนี้ข้าใจไม่ดีเลย”ข้าเริ่มกล่าวเสียงตะกุกตะกักแล้ว ในตอนนั้นเองที่หมอประจำจวนเรียกความสนใจจากข้า“ท่านประมุขน้อย ฮูหยินไม่ได้ป่วยเป็นโรคร้ายขอรับ แต่เป็นข่าวดี”ข่าวดี!“บอกเขาเถิดเจ้าค่ะท่านหมอ”เสี่ยวกูกู่เอ่ยขึ้น แววตาของนางฉายความขบขันจนข้าวางใจว่าภรรยาไม่ได้ป่วยเป็นอันใดจริง ๆ“ยินดีกับท่านประมุขน้อยด้วยขอรับ ฮูหยินตั้งครรภ์แล้วขอรับ”ตะ ตั้งครรภ์หรือ!“ฮูห
๖ฮูหยินเป็นอันใดลี่จู…กลับไปเยี่ยมบ้านเจ้าสาวครั้งนี้ข้ารู้สึกเบาใจขึ้นกว่าเดิมโดยไม่แน่ใจถึงสาเหตุหรือเป็นเพราะเห็นทุกคนต่างพยายามปรับตัวเข้าหากันรวมถึงปรับตัวให้เข้ากับสถานการณ์ ข้าจึงเบาใจว่าจะไม่มีปัญหาความขัดแย้งภายในครอบครัวหลังกลับจากพรรคมารป๋ายหลงเมื่อวาน ข้าคิดจะนอนหลับพักผ่อน แต่ไม่วายโดนฟูจวินลากไปห้องหนังสือให้ช่วยฝนหมึกให้ในตอนนั้นเองที่ข้าทราบว่าเขาไม่ได้ต้องการคนฝนหมึก เขาแค่อยากให้ข้านั่งอยู่ใกล้ ๆช่วงค่ำพวกเราทานอาหารกับประมุขเฮยหลางที่ข้าเปลี่ยนมาเรียกท่านพ่อแล้วท่านพ่อกล่าวว่าพอได้ทานอาหารร่วมกันสามคน ความรู้สึกของการเป็นครอบครัวกลับมาอีกครั้ง สีหน้าแช่มชื่นของท่านเป็นตัวแสดงความสุขได้อย่างชัดเจนเวลาผ่านไปหนึ่งเดือน…ข้าปรับตัวกับที่นี่ได้แล้ว!ฟูจวินทราบว่าข้าชอบดอกไม้จึงลงมือปลูกดอกไม้ให้ข้าด้วยตนเองดอกไม้ที่ลงมือปลูกโดยเขาแม้จะไม่งามเท่าคนสวนปลูก แต่ข้าเห็นถึงความตั้งใจนั้นและรักเขาเพิ่มอีกนิดหนึ่งวันหนึ่งข้ากำลังนั่งเย็บรองเท้าคู่ใหม่ให้ฟูจวินกับอาชิ่ง สาวใช้ประจำพรรคก็เดินเข้ามาในศาลา“ฮูหยินน้อยเจ้าคะ”ข้าพยักหน้าให้นางรายงานได้“หลางผิงกูเหนียงมา ใ
๕ต่างคนต่างตามใจกันข้าจำคำพูดที่ฟูจวินกล่าวไว้วันแต่งงานได้ เขาบอกว่าสาบานเป็นพี่น้องกับลี่หลานแล้วตอนนั้นข้ารู้สึกทะแม่ง คิดอยู่นานว่าลี่หลานหรือจะยอมญาติดีกับเขาโดยง่ายแล้ววันนี้ข้อสงสัยของข้าก็ได้รับการพิสูจน์!ลี่หลานยังคงมองฟูจวินเป็นศัตรูที่แย่งความรักกับพี่สาวเขาไม่เสื่อมคลาย เพียงแต่ไม่มีสิทธิ์ห้ามฟูจวินเข้าใกล้ข้าอย่างกาลก่อน“...เจี่ยเจีย อาเตียนั่งรอที่โต๊ะอาหารแล้วขอรับ”ลี่หลานผายมือเชิญข้าไปยังห้องรับประทานอาหารในเรือนรับแขก เขาชายตามองฟูจวินเพียงครู่เท่านั้นก็ตวัดสายตามามองข้าไม่มองฟูจวินอีกเลย!“เชิญเจี่ยเจียอย่างเดียวหรือ ไม่เชิญเจี่ยฟุหรือ”ฟูจวินถามลี่หลานยิ้ม ๆ ก่อนที่จะยื่นมือมาสอดเอวข้าแล้วดึงเข้าใกล้กว่าเดิมลี่หลานแสดงท่าทางหวงผ่านแววตา ไม่ได้แสดงท่าทางต่อต้านเป็นเด็ก ๆ เช่นเคยเห็นเขาควบคุมตัวเองได้ดีแบบนี้ข้าก็ดีใจ!“เชิญเจี่ยฟุทางนี้”ข้าส่งยิ้มให้ลี่หลานทันทีเมื่อเขาเรียกฟูจวินเช่นนี้คำกล่าวเมื่อครู่ลี่หลานย่อมฝืนใจ แต่เมื่อเห็นข้าส่งยิ้มดีใจให้ ที่กล่าวไปเมื่อครู่ก็ไม่ดูฝืนอีกต่อไป“ไปทานข้าวกันขอรับเจี่ยเจี่ย เจี่ยฟุ”“ไป”ถือเป็นก้าวที่ดี ลี่หลานรั
Comments